สิ่งที่ทำให้การท่องเที่ยวถาวรได้มีอยู่สองสามประการสำหรับเราดังนี้
๑. เที่ยวสนุกแค่ไหนก็ต้องกลับมาทำงาน ไม่เถลไถล ลาไว้แค่ไหนแค่นั้นไม่ลาป่วยตบท้าย
๒. ใช้เงินตัวเองเที่ยว และเลี่ยงการใช้เงินในอนาคตให้มากที่สุด เพราะอนาคตก็ต้องออกไปเที่ยวอีกอยู่ดี
๓. เลือกเพื่อนรวมถึงเลือกที่จะไปคนเดียว ให้เหมาะกับสไตล์ของการเดินทาง
คนแต๊ดแต๋อย่างเราเที่ยวได้แทบทุกแนว แต่การเที่ยวแต่ละแนวอาจไม่เหมาะกับเพื่อนไปซะหมดทุกคน เราชอบการนอนเต็นท์มากพอๆ กับการไปนอนสบายที่โรงแรมสวยๆ ชอบทำอาหารประหลาดกินได้บ้างไม่ได้บ้างด้วยอุปกรณ์สนาม มากพอๆ กับนั่งในร้านหรูรอคนมาเสิร์ฟความอร่อยในชุดจานชามที่สวยงามเป็นมิตรกับอินสตาแกรม การนอนเต็นท์อาจเป็นเรื่องน่ากังวลสำหรับใครบางคน แต่สำหรับผู้เสพธรรมชาติแล้ว เราต่างรู้ดีว่า เวลาที่ได้อยู่ใกล้ชิดดินหินและยอดหญ้า จะเป็นเวลาที่เราได้กลับคืนสู่อ้อมกอดชื้นเย็นของแผ่นดินที่แผ่กว้าง ตอนอายุน้อยกว่านี้เรามักจะนอนเต็นท์โดยปูแค่ผ้าบางๆ ทับบนพื้นผ้าใบของเต็นท์ เพื่อให้ร่างกายได้สัมผัสกับพื้นโลกมากที่สุด ตอนนี้เหรอ ขอเบาะฟองน้ำหน่อยเถอะ ป้าปวดหลังหลานเอ๊ย..
พี่แอนนี่เป็นหนึ่งในสมาชิกสายแค้มปิ้งของเรา เราออกไปนอนเต็นท์กันปีละครั้งสองครั้ง เดินเท้าเบาะๆ เบาๆ พอได้ออกกำลังกาย ต้นปีนี้อากาศหนาวคลายตัวลงไปเกือบหมดแล้ว เราเพิ่งจะมีเวลาแบกเต็นท์คนละหลังใส่รถเจ๊ แล้วแจ้นออกจากเมืองกรุงมุ่งหน้าขึ้นเหนือหลังวันทำงานอันอ่อนล้า เป็นประเพณีของเราสองคนที่จะเดินทางออกจากกรุงเทพให้ไกลที่สุด แล้วหาที่นอนเอาตอนที่หมดแรง สมัยก่อนเราหมดแรงที่เถิน แต่เปลี่ยนมาเป็นตากหลายปีแล้ว (หรือว่าอีกหน่อยจะได้แค่ยุดยา)
เราจองที่พักไว้ก่อนเพื่อความชัวร์ บ้านสวนศิริวัจ (กูเกิ้ลชื่อไทยมา เพราะจองผ่าน Booking เห็นแต่ชื่อภาษาอังกฤษ เพิ่งรู้ว่าสะกดอย่างนี้แฮะ) เป็นที่พักระหว่างทางที่ดีมาก ราคาถูก ห้องดี ที่นอนโอเค สะอาด และจอดรถได้ใกล้ๆ บ้านพัก เหมาะกับเราสองคนที่ง่วงงอมพอสมควรเมื่อไปถึงราวตีหนึ่ง แต่สิ่งที่ทำให้พี่แอนนี่ตาสว่างคือ กะสุดท้ายก่อนถึงเป็นผลัดเราขับ แล้วกูเกิ้ลแม็พก็บอกทางให้เลี้ยวผ่าป่าช้าไปเลยเว้ย ถ้าเป็นพี่แอนนี่ขับแกถอยแน่นอน แต่เมื่อพวงมาลัยอยู่ในมือเรา เราก็ปลอบพี่แอนนี่ว่า มันลัดน่ะพี่ แค่นิดเดียวก็พ้นแล้ว ไม่ต้องกลัว ตีนก็เหยียบคันเร่งฝ่าป่าช้ามืดตึ้บไปอย่างห้าวหาญ ถามว่ากลัวไหม ไม่ถึงกับใจสั่น แต่ก็ล็อครถซ้ำๆ ไปหลายทีเหมือนกัน เอ๊ะ เมื่อกี้กูล็อคแล้วยังวะ เอาให้ชัวร์ขออีกทึ พลึ่ก พลึ่ก
เช้าวันรุ่งขึ้น เราสองคนตื่นซะสายตะวันโด่ง ทานข้าวต้มที่ทางที่พักเตรียมไว้ให้ และพูดคุยทักทายเจ้าของและทีมงานก่อนเดินทางกันต่อแบบเกือบเที่ยงเลยทีเดียว อะไรมันจะชิวปานนั้น ด้วยความที่พกบ้านมาด้วยคนละหลัง ทำให้ไม่จำเป็นต้องรีบร้อนอะไร ผลัดกันขับไปคุยกันไป แวะโลตัสซื้ออาหารแค้มปิ้งหนึ่งครั้ง แล้วขึ้นไปถึงม่อนวิวงามที่ม่อนแจ่ม ปาไปกว่าหกโมงเย็น เราสองคนรีบหาที่กางเต็นท์และจัดการมันซะขณะที่ฟ้ายังเหลือแสงอ่อนๆ ก็ยังดี แต่ความซวยหรือจะเรียกว่าซุ่มซ่ามก็ได้ เราดันล้มตรงพื้นคอนกรีตผุกร่อนชันๆ อย่างแรงจนหัวเข่าทะลุเป็นรูๆ เลือดค่อยๆ ซึมออกมา อากาศที่ไม่หนาวเลยมาตลอดก็เริ่มหนาวเย็นลง ซึ่งแม่งแสบหัวเข่ามากค่ะ ไม่รู้เป็นเพราะอะไร จำเป็นต้องโขยกเขยกไปขอล้างแผล ซึ่งที่ร้านอาหารก็มีเตรียมไว้พร้อม แล้วกิจกรรมยามค่ำของเราก็เลยดำเนินไปแบบช้าลง ๒๐% เพราะต้องค่อยๆ หาท่าลุกนั่งที่ไม่ตึงเข่ามาก (ซึ่งปกติแม่งก็ตึงไปหมดทั้งตัวอยู่แล้วตามธรรมชาติ)
ที่กางเต็นท์เอกชน แม้จะไม่มีกฎระเบียบมากเหมือนอุทยาน มีเพียงคำขอร้องให้ร่วมกันรักษาบรรยากาศ แต่ก็ไม่มีเสียงดังเอะอะเกินงามจากทิศทางไหนๆ เราเลือกจุดที่สูงเกือบสุดของม่อนวิวงาม ทำให้มองลงมาเห็นสิ่งก่อสร้างทั้งถาวรและชั่วคราวเรียงรายปกคลุมลูกเนินเป็นชั้นๆ แทบทุกช่องเปิดล้วนหันหน้าเข้าสู่หุบเขา บ้านพักหลังน้อย และเต็นท์สีสันสวยงามค่อยๆ กลืนหายไปในความมืด เหลือแค่ดวงไฟส่องแค่พอเห็นทางที่สว่างเหมือนดาวบนดิน
เรานอนหลับสบายและตื่นก่อนสว่าง แทบจะทุกครั้งที่ออกเดินทาง หกโมงครึ่ง เตาสนามก็ถูกใช้งานและผลิตน้ำร้อนสำหรับกาแฟยามเช้า อาหารทำเองอาจจะเหมือนคนทำ คือไม่สวย ไม่อร่อย แต่กินได้นะ อะคริๆ เราสองคนกินอาหารและเสพบรรยากาศยามเช้ากันเร็วๆ เพราะหวังชมพระอาทิตย์ขึ้นจึงเลือกกางเต็นท์หันหน้าไปทางทิศตะวันออก หลังพระอาทิตย์ดวงแดงๆ โผล่พ้นสันเขาตรงหน้า ความร้อนก็สาดเข้ามาอย่างเร็วมาก เหงื่อย้อยใส่แผลที่เข่าทีก็อยากจะหวีด เราจัดการมื้อเช้าและเก็บเต็นท์เสร็จหมดเหลือแต่ดินเดิมๆ ที่แบนราบลงไปอีกนิด ราวเก้าโมงเช้าพร้อมเดินทางกันต่อไป
มนุษย์บางคนอาจเดินทางเป็นเส้นตรง แต่บางประเภทก็วกวนเหนือคำบรรยาย เราสองคนแวะไปหาพี่แอนที่สะเมิงซะก่อน พี่แอนเป็นสาวแกร่งนักพัฒนาที่เคยพาเราเที่ยวสะเมิงมาเยอะครั้งนับไม่ถ้วน คือใช้คำว่าแวะก็ไม่ถูกนัก มันคือการออกนอกเส้นทางไปเพื่อทักทาย เม้ามอย แล้วก็จากพี่แอนมา ทริปนี้สะเมิงไม่ใช่นางเอก ไว้รอบหน้าค่อยเล่านะ ก่อนจากกันพี่แอนแนะนำที่พักคืนถัดไปให้เราแถมยังช่วยติดต่อประสานงานให้เป็นพิเศษอีกด้วย
เมื่อกลับเข้าสู่เส้นทางเดิมแล้ว แน่นอนว่ามาวนเวียนใกล้ๆ ขนาดนี้แล้ว ไม่แวะม่อนแจ่มก็จะกระไรอยู่ เราไม่แน่ใจว่าม่อนแจ่มแต่แรกเริ่มโด่งดังขึ้นมาด้วยกิจกรรมสันทนาการใด แต่ทางขึ้นแม่งชันแคบ และต้องผ่านบ้านชาวบ้านที่มีทั้งรั้วทั้งกำแพง เรียกได้ว่าจิตใจคนขับต้องเข้มแข็งสักหน่อย ยิ่งถ้าตัวเล็กๆ ตอนรถแหงนขึ้นแล้วมองไม่เห็นพื้นนี่เครียดฉิบหายเลยนะ ปัจจุบันมีสวนดอกไม้ชื่อไร่ดอกลมหนาวที่เขาการันตีว่ามีให้ชมตลอดปีอยู่สูงสุดบนยอดดอย หลังจากฝ่าฟันถนนหนทางตลอดจนที่จอดรถ ซึ่งถ้าใจแข็งพอและคนเฝ้าถนนไม่ห้าม แสดงว่าที่จอดรถข้างบนยังเหลือพอ ก็ขับขึ้นไปจอดข้างบนได้เลย ไม่ต้องเดิน แต่ถ้าจะจอดที่ลานจอดแล้วเดินต่อก็ย่อมได้ ไม่ได้ชันและห่างไกลจนสุดวิสัย และยังมีตลาดชาวบ้านให้ช็อปนู่นนี่ที่ลานจอดรถอีกด้วย
ไร่ดอกลมหนาวถูกจัดไว้ดีถูกใจสายพอร์ตเทรตยิ่งนัก พี่แอนนี่โบยบินไปรอบๆ อย่างร่าเริง ชุดเก้าอี้และซุ้มนั่งมีให้พอสมควร แต่คนไม่ค่อยนั่งเพราะมันแดด ต้นไม้เดิมตามธรรมชาติมีอยู่เล็กน้อย กลายเป็นร่มเงาสำหรับคนหลบแดดแทน ส่วนดอกไม้ไฮไลท์ของดอยต้องยกให้ดอกเวอร์บีน่าสีม่วงที่แผ่ปกคลุมด้านหนึ่งของเนินเขา ลมแรงมาก แดดจัด และฟ้าเป็นสีฟ้าอ่อน เดาเอาว่าทุกๆ วินาทีน่าจะมีซัก ๑๐๐ ชัตเตอร์เกิดขึ้นที่นี่ ดอกเวอร์บีน่าก้านยาวๆ โอนเอนไปมาตามแรงลม เหล่านางแบบและตากล้องผลุบโผล่อยู่ตรงพุ่มนั้นพุ่มนี้ เหมือนแมลงตัวใหญ่ที่ไต่ตอมดอกไม้
บ่ายแก่แล้ว ป้าสองคนยังชิวดิ๊ดดึ่งๆ อยู่ ที่นอนคืนนั้นตั้งใจจะไปกางเต็นท์กันที่อุทยานแห่งชาติดอยเวียงผา อ.ไชยปราการ ซึ่งต้องขึ้นเหนือต่อไปอีกร้อยกว่าโล แน่นอนว่าความชิวเกินไปของเรา ก่อให้เกิดผลกรรม เมื่อแสงเย็นสุดสวย สาดส่องบนท้องนาที่ต้นข้าวยังอ่อนเป็นสีเขียวอ่อนอมแดด เราก็ยังไม่ถึงเป้าหมายซะที อยากแวะก็อยาก แต่ก็แวะไม่ได้ แถมยังขับหลงเข้าทางดินฝุ่นๆ เปลี่ยวสัสๆ อีกหลายกิโลมาก ต้องอาศัยถามชาวบ้านถึงกลับเข้าเส้นที่ถูกได้ กว่าจะถึงอช.แสงก็หายไปจนหมด และเราต้องเร่งกางเต็นท์กันให้ทัน ก่อนความมืดจะโรยตัวลงมา (อีกแล้วครับทั่น)
คืนนั้นเราเลือกทำเลกลางสนามริมสระบัว พี่แอนนี่มีจินตนาการว่าจะลองปูเบาะนอนในรถ หลังจากพยายามทัดทานเต็มกำลังเพราะกลัวแกไม่มีอากาศหายใจ สุดท้ายต้องยอมรับว่าบางศึกไม่อาจเอาชนะได้ เราจึงใช้วิธีปล่อยแกตามสะดวก แล้วก่อนนอนไปส่องดูบ่อยๆ แทน เจ้าหน้าที่อุทยานต้อนรับเราดีมากเวอร์ เพราะพี่แอนโทร.บอกหัวหน้าอุทยานซึ่งเป็นเพื่อนแกไว้ก่อน และก็คงเพราะความใจดีของเหล่าเจ้าหน้าที่เอง เราได้ที่นอนหมอนผ้าห่มคนละชุดมากรุเต็นท์ ซึ่งรู้สึกผิดมาก เพราะอีแผลที่หัวเข่ามันเสือกเปิดตอนนอนดิ้น ทำเลือดเปื้อนผ้าเขาเลยแม่งเอ๊ย (สารภาพพร้อมโชว์แผลแล้วเรียบร้อย)
คืนนั้นและเช้าวันถัดมาด้วย เราลงมือทำอาหารเอง ปกติจะเกรงๆ เรื่องทำอาหาร ไม่กล้าออกหน้ามากเพราะทำห่วย แต่วันนั้นคึกชิบหาย คงเพราะองค์พเนจรนอนเต็นท์ประทับร่างเลยจัดการทุกอย่างเองคนเดียวอย่างเมามันในอารมณ์ มื้อเย็นและการหย่อนใจใต้ท้องฟ้ายามค่ำคืนผ่านไปอย่างเรียบร้อย ยุงกระหน่ำกัดอย่างไม่แคร์ซอฟต์เฟลที่ถ้าพ่นมากกว่านี้ก็อาบหรือฉาบเลยเถอะ พอได้เวลานอนเราสองคนก็แยกย้ายเข้าใต้หลังคาใครหลังคามัน เมื่อเสียงปาร์ตี้ของผู้เข้าพักที่บ้านหลังตรงข้ามอีกฝั่งของสระบัวเงียบลง ก็คงเหลือแต่เสียงแมลงกลางคืน และเสียงกบโดดลงน้ำดังจ๋อมๆ กล่อมนอน
เช้าวันรุ่งขึ้น เราตื่นพร้อมตะวันแล้วไปวิ่งเหยาะๆ รอบบริเวณอช. คนเดียวพอได้เหงื่อชุ่ม จากนั้นก็ลงมือต้มน้ำลวกกาแฟดริป พร้อมทำไข่กะทะที่อลังการใช้ได้ ทุกวันนี้ยังภูมิใจอยู่เลยเนี่ย ขณะกินอาหารเช้าและเพลิดเพลินกับบรรยากาศ ก็รู้สึกว่ามีอะไรร่วงหล่นจากฟ้าเป็นระยะๆ พอสังเกตดีๆ ก็พบว่าเป็นฝูงนกตัวเล็กสีออกแดงสวยฉูดฉาดที่มาเก็บลูกไม้กินกันอย่างเอิกเกริก คงมูมมามจนมันหล่นใส่กบาลคนใต้ต้น เจ้านกตัวเล็กบินเร็วมาก พยายามถ่ายรูปก็ได้มาแต่ไหวๆ และพอเขียนถึงมัน ก็พบว่าเราไม่ได้จำชื่อมันมาว่ะ ถามเจ้าหน้าที่แล้ว ได้คำตอบแล้วด้วย แต่ลืมไปแล้ว เค้าขอโทษ
สายๆ เราเก็บข้าวของแล้วมุ่งหน้าไปยังฝาง เป็นการเลือกที่อ๊องๆ หน่อยเพราะเราเหลือเวลาอีกแค่ ๑ คืน กับ ๑ วันที่ต้องใช้ไปกับการเดินทางกลับ ยังจะทะลึ่งขึ้นเหนือต่อไปอีก แต่เรามีเหตุผลที่ดีนะ คือยังไม่เคยไปไง อยากไป แค่นี้นะ อีกอย่างก็ไม่ได้ไกลอะไรมากมาย แค่ ๑ ชม. เท่านั้น ระหว่างทางก่อนกลับสู่ถนนใหญ่ เราผ่านทุ่งนาแสนสวยที่เดิมที่ผ่านมาแล้วเลยแวะถ่ายรูปสักเล็กน้อย เราเอาโดรนไปด้วย เลยเอาขึ้นฟ้าได้นิดเดียว ลมพัดอย่างแรงเลยรีบเอาลงมือไม้สั่น เรื่องราวระหว่างเรากับโดรนมีตำนานกันอีกมากมาย ต้องเล่าต่างหากทีหลัง ขณะเดียวกันพี่แอนนี่เอาไอโฟนติดขาตั้งกล้อง ลมก้อนเดียวกันพัดวูบไอโฟนปักโคลนท้องนาเลยจ้า ใจหายแว้บแต่สุดท้ายก็ปลอดภัยดีทั้งโดรนและโฟน
เที่ยงครึ่ง เรามาถึงบ่อน้ำพุร้อนฝาง ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของอุทยานแห่งชาติดอยผ้าห่มปกที่อยากขึ้นไปใจจะขาดแต่รอบนี้หมดเวลาละ เราสองคนเปิดด้วยการแช่น้ำพุร้อนกันเลยแบบไม่รอรี ที่นี่มีห้องแช่แบบแยกตามที่ต้องการ เราสองคนจัดกันไปคนละห้อง รับผ้าถุงแล้วก็ลุยเลย บ่อน้ำพุร้อนที่นี่เป็นบ่อกลมๆ ขนาดไม่ใหญ่มาก ถ้าลงไปสองคนที่ไม่ใช่แฟนกันก็อาจจะเริ่มเข้าหน้ากันไม่ติดละ ภายในห้องมีราวเหล็กไว้เกาะปีนขึ้นปีนลงและแขวนผ้า แล้วก็ระฆังอีกหนึ่งอัน เดาว่าถ้าเกิดเหตุฉุกเฉินก็เคาะเรียกเอานะ อันที่จริงการแช่น้ำร้อนนี้มีความอันตรายอยู่เหมือนกัน สำหรับคนที่ไม่คล่องตัวก็คือการปีนขึ้นลงบ่อ และสำหรับคนเป็นความดันสูงก็คือความร้อนของน้ำนี่แหละที่ต้องควรระวังให้มากๆ
เมื่อแช่น้ำร้อนได้พึงพอใจ รู้สึกอ่อนวัยลงสิบปีแล้ว เราก็ไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าที่ห้องน้ำ ผู้มาใช้บริการหนาตาขึ้นกว่าตอนก่อนเราลงมากๆ หนาซะจนรองเท้าแตะเราหายไป ซึ่งมันแพงโว้ยอย่าเอาของตูไป๊ เอาคืนมา ดิ้นกะแด่วๆ ไปก็คงไม่ได้อะไรขึ้นมา เราเลยไปฟ้องเจ้าหน้าที่ว่าใครซักคนคงใส่ไปลงบ่อน้ำร้อนซะแล้ว ฝากเอาคืนด้วยแต่ตอนนี้ขอไปเดินเที่ยวก่อน เจ้าหน้าที่ก็รับปากเป็นมั่นเหมาะและสุดท้ายก็ได้คืนในที่สุด
บริเวณของน้ำพุร้อนฝางนั้นกว้างขวางและได้รับการดูแลอย่างดี ทริปนี้เราเดินทางกันเดือนกุมภา ๒๕๖๒ ซึ่งแม้กลางคืนบนดอยจะเย็นสบาย แต่กลางวันมันไม่หนาวแล้ว บ่ายจัดๆ แดดแรงแทบสลบ แต่ฟ้าสวยตัดกับหญ้าเขียวๆ แล้วถ่ายรูปขึ้นมาก ด้านในสุดเป็นน้ำพุร้อนชนิดไกเซอร์ พุ่งสูงราว ๓๐ เมตร ละอองฟุ้งกระจายในแสงแดด แรงดันของน้ำพุมากซะจนถูกนำพลังงานไปใช้ทำไฟฟ้า ขณะที่ไปชมเจ้าหน้าทีมไฟฟ้าที่ยังปีนๆ ป่ายๆ ทำอะไรอยู่เลย พื้นที่โดยรอบมีบ่อน้ำร้อนสลับกับธารน้ำร้อนที่มีตะกอนทั้งขาวๆ ทั้งสีส้ม เกาะทั่วไปหมด ท่ามกลางอากาศร้อน การเดินทางลัดเลาะไปทั่วๆ ธารน้ำร้อนโดยมีละอองน้ำพุร้อนเป็นฉากหลังเป็นอะไรที่ทรมานใช้ได้เหมือนกัน แต่แค่นี้ไม่ตายหรอก ไปเที่ยวก็ต้องลำบากบ้าง เดินๆ มันไปจะบ่นไรมากมาย วู้
เดินชิวกันจนถึงบ่ายสามก็ได้เวลาออกเดินทางมุ่งหน้าทิศใต้ซะที ระหว่างที่เดินกันก็คิดไปว่าจะหาที่นอนที่ไม่ต้องเหนื่อยวันกลับมาก ตอนแรกหวังไกล หวังว่าจะนอนซักอช.ลำน้ำน่านจะได้เหลือระยะทางเข้ากรุงเทพฯ น้อยหน่อย ฝันไปเถอะ เรื่อยเปื่อยขนาดนี้ เราเลยเปลี่ยนแผนเป็นนอนที่ อช.ดอยภูนางแทน ซึ่งร่นระยะมากว่า ๒๐๐ กม. ก็ยังถึงเอาตอนฟ้ามืดมิด
ระหว่างทาง ตอนพระอาทิตย์ใกล้ตก แวะที่พักข้างทางป้ายว่าชื่อบ่อน้ำร้อนห้วยทรายขาว แปลกที่สิ่งก่อสร้างต่างๆ ทำมาได้ดีมาก ที่จอดรถก็กว้างขวางดี แต่ไม่มีคนเลย อาจจะหมดเวลาทำงานแล้วเพราะเราแวะซะเย็นมาก เราเลยเข้าห้องน้ำ และพักแข้งขาสักครู่ที่นั่น เข้าห้องน้ำไปก็เสียวไปเพราะจะมืดแล้ว และห้องน้ำอยู่ไกลสุด ค่อนข้างติดเขากับต้นไม้ครึ้มๆ อีกด้วย
เรื่องราวคืนนั้นเกิดขึ้นอย่างว่องไว เราสองคนซึ่งเหนื่อยพอสมควร โผล่ไปถึงอช.ดอยภูนางตอนพระจันทร์ขึ้นแล้ว แต่ระหว่างทางโทร.เช็คก่อนว่าเจ้าหน้าที่โอเคนะที่จะเข้าไปช้าหน่อย เราไม่พูดพร่ำทำเพลง กางเต็นท์มันตรงสนามหญ้าหน้าที่ทำการอุทยานนั่นแหละ แต่เลือกที่ริมใกล้ห้องน้ำหน่อย อากาศกลางคืนเย็นน้อยลงมากเมื่อขยับลงมาถึงพะเยา เราทำอาหารง่ายๆ กิน นั่งคุยเล่นกันซักพักก็แยกย้ายเข้านอน เจ้าหน้าที่บอกไว้ว่าที่นี่จะมีนกยูงลงมาเดินทอดหุ่ยด้วยตอนเช้าๆ ซึ่งเราหมายมั่นปั้นมือจะได้เจอ
วันรุ่งขึ้น เราตื่นก่อนสว่างมานั่งดูดาวหัวรุ่งคนเดียว จากนั้นเมื่อพระอาทิตย์ใกล้จะขึ้นจากทางด้านหลังเต็นท์ซึ่งเป็นภูเขาลูกย่อมๆ เราชะเง้อชะแง้หามุมชมพระอาทิตย์ขึ้น เจ้าหน้าที่ท่านนึงเดินผ่านและบอกเราว่าให้ขึ้นไปดูบนเขา ซึ่ง ณ เวลานั้นไม่มีใครอยู่บนนั้น เรากึ่งเดินกึ่งวิ่งขึ้นไปจนหอบเหมือนหมาโดนทิ้งไว้ในรถยนต์ร้อนๆ บนเขาแม้จะอยู่ติดกับลานกางเต็นท์ และยังมียกพื้นอีก ๒ แผงสำหรับผู้ที่ต้องการกางเต็นท์มันเปลี่ยวๆ บนนี้ แต่ด้วยความไม่มีคน ฟ้าก็ยังสลัวๆ ต้องบอกว่า เร้าชิบหาย ใจมันบอกว่าพอเฮอะ เอ็งดูพระอาทิตย์ขึ้นมาเยอะแล้ว พลาดซักวันไม่ตายหรอก ลงเฮอะ แต่ขามันยังก้าวไปเรื่อยๆ จนถึงบนสุดที่มีแต่ใบไม้ตกทับถม จากที่กลัวอะไรก็ไม่รู้ ก็ย้ายเอาความกลัวพวกนั้นมาลงที่งูหรือสัตว์มีพิษอื่นๆ แทน เอาวะ เขาก็ไม่ได้ลับแลมาก ถ้าโดนอะไรกัดก็กลิ้งลงแล้วกัน ซักสี่ห้าวิคงถึงด้านล่าง ชิวๆ
พระอาทิตย์ค่อยๆ ลอยขึ้นจากหมอกเหนือทิวเขา เราดูอยู่พักหนึ่งจนพอใจก็เริ่มเดินลง แสงสีส้มลอดตามช่องว่างระหว่างกิ่งไม้ขณะที่เราเดินไปเรื่อยๆ เหมือนในมิวสิควีดีโอเพลงรัก พอมองเห็นลานจอดรถ ก็เห็นนกยูงตัวหนึ่งกำลังเดินไวๆ ผ่านไป เราแจ้นลงเขา แต่ไม่ทันน้องนก รีบมาเรียกพี่แอนนี่ตื่น แล้วก็เดินตามทางที่นกไป อ้อมอาคารสำนักงานไปอีกด้าน น้องนกมีความซึนเดเระพอสมควร ไม่ได้หนีไป แต่ไม่ค่อยโอเคถ้าเข้าใกล้มาก เราดูน้องเกาะป้ายอุทยานไซ้ปีกไซ้ขนอยู่นานจนพี่แอนนี่มาสมทบ จากนั้นน้องก็บ่ายหน้าขึ้นเขา วิ่งเหยาะๆ จากไป
เราจัดการอาหารเช้าไปพร้อมๆ กับเจ้าหน้าที่ตั้งแถวเคารพธงชาติและบรีฟงานกัน หลังอาหารเช้า เราสองคนเก็บข้าวของขึ้นรถแล้วตากเต็นท์ผึ่งแดด ก่อนออกเดินเส้นทางศึกษาธรรมชาติสั้นๆ ลงไปที่น้ำตกธารสวรรค์ ซึ่งมาดูรูปในกุ๊กเกิ้นตอนนี้แล้วทำไมมันสวยจังวะ สปอยเลอร์อะเลิร์ท เราไปไม่ถึงตัวน้ำตก เดินไปแค่พอสบายใจ ดูป่าดูแมลง พอได้ยินเสียงน้ำตกซู่ซ่า เราก็พบว่า ใกล้เที่ยงแล้วสินะ เวลาชักเหลือน้อยเทียบกับระยะทางที่เหลือหกร้อยกว่าโล จึงจำเป็นต้องเดินกลับ และบอกลา อช.ดอยภูนางไว้แต่เพียงเท่านี้ก่อนในครั้งนี้
ตลอดเวลาที่เหลือเราสองคนผลัดกันขับแบบเป็นกะ กะละ ๑๕๐ กม. บวกได้นิดหน่อยถ้ากำลังติดลม แต่ไม่เกิน ๒๐๐ เพราะมันจะเพลียโดยใช่เหตุ แวะกินอาหารเติมน้ำหวานกาแฟเรื่อยๆ ตามปั๊ม ถึง กทม.ค่ำหน่อยแต่ไม่น่าเกลียด เต็นท์ที่กางๆ หุบๆ ถึงสามครั้งในทริปนี้ก็ถูกพากลับบ้าน มันจะถูกวางซุกไว้เงียบๆ ตามมุมห้อง รอคอยเวลาสักวันที่มันจะได้กลับคืนสู่พงหญ้าและป่าใหญ่อีกครั้ง