โอมานอีสออซั่มมมม #๓

เนื่องจากกล้องตั้งเวลาผิดไปหลายชั่วโมง เวลารวมรวบเรื่องราวมาเล่า จะสับสนงงๆ เองอีตรงเวลาเนี่ย เช้านั้น ไม่ว่าจะนอนดึกขนาดไหน เราก็ตื่นแต่เช้าตามเวลาไทยอีก (ตีห้าโอมาน ตื่นตาใส หิวท้องกิ่ว) จัดกระเป๋าสำหรับค้าง ๒ คืนไว้คร่าวๆ พอเงาะตื่น มุ้ยหนิงตื่น พวกเราก็เข้าครัวเตรียมอาหารกัน การได้เตรียมของแค้มปิ้งด้วยกันเป็นเวลาที่ดีมากพอๆ กับบรรยากาศของโร้ดทริป (โดยเฉพาะเมื่อครัวติดแอร์อะนะ) เราได้คุยกัน ได้ซักถามเรื่องวิถีวัฒนธรรม ค่าครองชีพ ข้อดี ข้อด้อยของโอมานไปพร้อมๆ กับอัพเดตเรื่องราวที่ไทย เราทำอาหาร ๒ ชุด ชุดหนึ่งกินเช้านี้เลย เป็นไข่เจียว ผัดผัก ส่วนมาร์คตื่นมาเทซีเรียลใส่นมกินเพราะแกเป็นฝรั่งจ๋าที่ไม่กินอาหารไทยเป็นมื้อเช้า (แต่มื้ออื่นแกกินนะ) อาหารอีกชุดเป็นชุดที่ไว้กินระหว่างทาง เพราะว่าเราจะออกนอกเมือง ไปสู่ดินแดนรกร้างกันล่ะ

มาร์คจัดการพวกสารพันอุปกรณ์แค้มปิ้งและเตรียมรถ พวกเราสาวๆ และมุ้ย ก็จัดการของกินและอุปกรณ์การกิน ล้อหมุนตอน ๑๐ โมงตามแผน ทิ้งบ้านไว้กับหมา ๒ แมวใหญ่ ๒ ที่ดูแลตัวเองได้ดี ส่วนลูกแมวไร้ชื่อที่เงาะเพิ่งไปช่วยชีวิตมา ต้องเอาไปฝากไว้บ้านนิคกี้ ซึ่งนิคกี้ได้แวะมารับมันแล้วตั้งแต่เมื่อวาน เรื่องลูกแมวนี่ก็เป็นหัวข้อคุยแทบจะทุกวันของเราจนกระทั่งกลับมาเลย คือเงาะมันไม่อยากเอาไว้ เพราะมีที่บ้านเยอะแล้ว แต่ก็สงสาร เลยชิงเก็บมาก่อนจะโดนฆ่าทิ้ง (ที่นี่เขาฆ่าหมาแมวจรทิ้งทันทีที่เจอเลย) หลังกลับมาก็เห็นเพื่อนวุ่นวายในเฟซบุ๊คอยากหาบ้านต่อให้ลูกแมว แต่นอกจากกดไลค์แล้วก็ไม่มีใครตอบรับเลย ระหว่างที่พยายามหาบ้านไปพร้อมกับดูแลลูกแมว แม้จะไม่ยอมรับแต่ชั้นว่าหล่อนก็หลงรักลูกแมวแล้วแหละ ใช่มั้ยยะ หลังจากลีลาและรีรออยู่เป็นเดือนๆ สุดท้ายก็มาขอไอเดียตั้งชื่อให้ลูกแมว
ตัดฉากมาที่ตอนนี้ นังชีต้าก็อ้วนท้วนชูคอนอนโซฟาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ใครเลยจะต้านทานพลังแมวได้

สิบโมงเราออกเดินทางด้วยรถสองคันเพื่อความสะดวกสบาย แต่มีลุ้นๆ อีตรงทะเลทราย เพราะแม้รถมาร์คจะเป็นกระบะแต่งเฟี้ยวสุดเท่ห์ที่น่าจะไปขับโชว์ไต่ถังตามงานวัดได้ แต่รถเงาะเป็นรถแม่บ้านที่มีฟังก์ชั่น 4×4 ติดไว้ให้ใจอุ่น อย่างที่เล่าไว้ตอนต้นว่า ช่วงแพลนการเดินทาง เราเคยคุยเรื่องนี้กันมาก่อนว่าเราอาสาช่วยขับเวลามันเหนื่อย และยังยืนยันอยู่ แต่เนื่องจากเราถือใบขับขี่สากล ขับได้เฉพาะรถเช่า จะขับรถบ้านไม่ได้ ก็เลยตีตั๋วนั่งหน้า ถ่ายรูปและเม้ามอยตลอดทริป

มาร์คน่ารักมาก ออกปากก่อนเลยว่า พวกผู้หญิงไปนั่งด้วยกันซะจะได้คุยกัน มุ้ยมาคันนี้ มุ้ยก็ตามไปอย่างว่าง่าย ซึ่งตอนแรกเราคิดเห็นใจมุ้ยว่าต้องไปนั่งกับฝรั่งที่เพิ่งรู้จักได้วันสองวัน จะอึดอัดมั้ย จะเม้าจะอะไรคงติดๆ ขัดๆ แต่กลายเป็นว่าสองหนุ่มก็เดินทางกันเงียบๆ คุยบ้างนิดหน่อย ต่างคนต่างอินบรรยากาศและสุขสงบใจดี
อีคันนังแอ้และแม่บ้านนี่สิ อยู่กันสามคนนะ แต่เม้ากันเซ็งแซ่ตลอดเวลา ตอนพักรถมาร์คทำหน้านิ่งๆ บอกเมียและผองเพื่อน คุยกันให้มันน้อยๆ หน่อย ตั้งใจขับรถด้วย พวกยูโคตรช้าเลย
เคยได้ทำงานและมีบอสเป็นชาวอังกฤษมาบ้าง แม่งก็จะขำหรือเล่นมุกอะไรแบบนี้ คนไทยฟังแล้วแบบเอ๊ะ นี่ด่า เอ๊ะ หรือฮา หรือประชดประชันกันแน่วะ รอบแรกๆ พวกเราก็ได้แต่หัวเราะ ฮ่าๆๆ คือเข้าใจว่ามุก อยากจะโต้กลับด้วย แต่คิดเป็นภาษาอังกฤษไม่ทัน

ใช้เวลาแค่ไม่นานเราก็ออกจากความเจริญของตัวเมือง และสวนสาธารณะแมนเมดสีเขียวสว่าง แม้ว่าทัศนียภาพรอบๆ จะมีแต่สีน้ำตาลสารพัดเฉดของภูเขาหินและทราย แต่ก็ต้องยอมรับว่าสวยมากว่ะเห้ย ฟ้าก็มีสีฟ้าสดใส แต่เป็นฟ้าสไตล์อินสตาแกรมเฟรนด์ลี่ เป็นฟ้าที่มองทะลุแผงแดดไปแล้ว เหมือนใส่ฟิลเตอร์ซันไรส์บางๆ ถนนโอมาน กว้างขวางเนี้ยบกริบ สองชั่วโมงเป๊ะตามแผน เราก็มาถึงจุดชมเขื่อนที่แวะแห่งแรกใน itinerary ของเจ้าบ้าน
Wadi Dayqah Dam หรือใน Google ระบุชื่อไว้ว่า Quriyat อันนี้ก็ไม่รู้ตกลงชื่อจริงชื่อเล่นหรืออะไร (น่าจะชื่อเมือง) แต่ป้ายบอกทางน่ะใช้ชื่อวาดี้เดย์คา

ทีแรกเราตั้งใจว่าจะมากินข้าวกล่องกันตรงนี้ พร้อมสั่งอาหารเพิ่ม เพราะใครซักคนบอกว่าร้านอาหารที่วาดี้นี้ มีไข่ออมเลตอร่อย แต่สองชั่วโมงมันไวไป ข้าวเก่ายังไม่ย่อยเลย อีกอย่าง.. ออมเลตเนี่ยนะ ต้องถ่อมากินถึงนี่เจียวรึ ตกลงเราก็เลยเดินฝ่าแดดชมบรรยากาศและถ่ายรูปกันเฉยๆ เวลาอยู่ในร่ม จุดนี้อากาศเย็นสบายมาก แต่พอออกนอกร่มปั๊บมันสุดจะเบิร์นนนน.. แสบอย่างสุดจะบรรยายเลย เป็นความร้อนแบบแห้งๆ ไม่เหงื่อ ไม่ชื้น มันค่อยๆ ไหม้ไปเฉยๆ อย่างเงียบงัน คนท้องถิ่นสองสามกลุ่มนั่งปิคนิคใต้ต้นไม้ เด็กวิ่งเล่นไปรอบๆ เหมือนทุกที่ นกตัวใหญ่สีฟ้าสวยมากตัวหนึ่ง บินมาเกาะใกล้ๆ กล้องอยู่ในมือแท้ๆ ถ่ายไม่ทัน มัวแต่ปรับค่านั่นนี่ เจ็บใจซะไม่มี

วาดี้เดย์คานี้ มีขนาดไม่ใหญ่มากหรอกถ้าเทียบกับเขื่อนบ้านเรา แต่สำหรับที่นั่นซึ่งคนก็ไม่เยอะ น้ำก็ไม่เยอะ ก็คงเป็นขนาดที่เหมาะสมแล้วแหละ มองจากด้านจุดชมวิวยิ่งเห็นแต่บริเวณด้านหน้า ดูเล็กเข้าไปใหญ่ แต่ถ้ามองท็อปวิวจาก Google แล้ว ก็จะเห็นว่ายังมีซอกเขาที่เก็บกักน้ำเขื่อนไว้อีกไม่น้อย เราถ่ายรูปเล่น และเข้าห้องน้ำแล้ว ก็ออกเดินทางต่อ ห้องน้ำหญิงก็ไม่ได้ดีแบบอู้อ้าเหมือนที่ญี่ปุ่น แต่ก็ใช้ได้ ไม่ได้แย่นัก ประมาณห้องน้ำหมอชิตพอได้ ไว้เดี๋ยวมาเล่าเรื่องน่าสนใจเกี่ยวกับห้องน้ำภายหลัง

วันนั้น เราเลื่อนมื้ออาหารกันไปมา
เงาะมาร์คอาจจะรู้สึกว่า เอ๊ะ ยังไม่หิว หรือว่าเอ๊ะ อยากไปต่อ อะไรยังไง แต่แขกจากไทยแลนด์มันเจ็ตแล็คหิวไม่ตรงเวลาปกติ พอถามว่า เที่ยงแล้วอยากกินมั้ย แน่นอนพวกเราส่ายหน้า บอกตรงๆ งงสุดๆ แต่ระหว่างทางเราก็แวะปั๊ม และสอยขนมรัวๆ ที่โอมานไม่นิยมกินน้ำแข็ง พวกน้ำหวานนี่เขาจะแช่เย็นมาเลย แล้วกินไปแบบนั้น กาแฟขวดแก้วโตๆ ที่เราหยิบมั่วๆ มาขวดหนึ่ง อร่อยมากเวอร์ อร่อยจนต้องซื้อซ้ำ ไอ้เงาะก็ซื้อตามในวันต่อมา

เมื่อล้อหมุนเป็นคำรบสอง ออกจากวาดี้เดย์คา เรามุ่งหน้าไปยังที่แวะสำคัญอีกจุดบนถนนที่มุ่งหน้าสู่ทะเล รถแดงแรงฤทธิ์พุ่งปราดไปด้วยแรงม้าสูง และสมาธิแน่นปึ้กของสองหนุ่ม ในขณะที่รถแม่บ้านตามหลังไปอืดๆ ด้วยเสียงเซ็งแซ่ราวกับบรรทุกโคโลนี่นกกระจอกในยามพลบค่ำมาด้วยเต็มคัน

หนึ่งชั่วโมงต่อมา ถนนวกมุ่งหน้าตรงเข้าสู่ทะเล มองเห็นเส้นขอบฟ้าตรงเปรี๊ยะที่ระบายด้านล่างด้วยผืนน้ำสีน้ำเงินเข้ม แดดแจ่มแจ๋ขับให้ท้องฟ้าเป็นสีฟ้าสว่างสดใส ในขณะเดียวกันแค่จินตนาการถึงการออกไปอยู่กลางแจ้ง ขนแขนก็เริ่มไหม้เกรียมหงิกงอในใจแล้ว

แล้วเราก็ต้องออกจากรถจริงๆ นั่นแหละ ก็ถึงที่เที่ยวแล้วนี่นา
ดูเปลวแดดนั่นสิทุกคน  

หลุมยุบ หรือ Sinkhole เป็นปรากฏการณ์ทางธรรมชาติอย่างหนึ่งที่ดินยุบตัวลงจนกลายเป็นหลุม (บ้างก็ว่าเป็นภัยพิบัติทางธรณี) จุดที่เราแวะนี้ค้นในเน็ตพบว่าชื่อ Bimmah Sinkhole ซึ่ง จำไม่ได้เลยว่ะ ว่าตอนที่ไป เพื่อนเรียกชื่อนี้ เราจอดรถแล้วหอบหิ้วอาหารไปด้วย เพราะว่าถึงตอนนั้น หิวไม่หิวก็ต้องกิน เพราะมันปาไปบ่ายสองโอมานแล้ว (ตูหิวข้าวเย็นพอดี) จากจุดจอดรถ เราต้องเดินไปตามทางเดินที่ตกแต่งข้างทางด้วยสนามหญ้าและต้นไม้รอบด้านแห้งแล้งขั้นสุด ทั่วบริเวณ ปกคลุมด้วยฝุ่นแดงๆ ของดินทรายร่วนๆ ยกเว้นสนามหญ้าที่เขียวและชุ่มชื้น ชุ่มจนเผลอเดินเหยียบแล้วโคลนเปื้อนเท้า เราออกความเห็นว่า นี่ฝังท่อปล่อยน้ำใต้ดินตลอดเวลานี่นา เงาะบอก ไม่รู้เหมือนกัน

รอบๆ ปากปล่องหลุมยุบ มีศาลานั่งพักอยู่หลายศาลา ส่วนมากมีคนจับจอง แต่เราเจอศาลาว่างหนึ่งหลัง จึงเข้าไปปักหลักกินข้าว ทุกคนกินอาหารที่เตรียมมากล่องใครกล่องมัน ส่วนมาร์คกินข้าวเหนียวกับหมูหวาน อตก. ที่เราแบกไป ได้บรรยากาศปิคนิคหน้าร้อนดี เวียร์ดกว่านี้ก็เคยเห็นมาแล้ว (วันที่พีคสุดในหน้าร้อนญี่ปุ่น คนโยโกฮาม่าแม่งนั่งปูเสื่อกลางสนาม ล้อมวงเล่นกีตาร์ร้องเพลงกันเฉย มือกีตาร์คงต้องเกร็งหน่อย เพราะเหงื่อซอกแขน เหงื่อแร้คงไหลทำกีตาร์ลื่นไปหมด)

กินเสร็จแล้ว กวาดเศษอาหารลงถังขยะ แล้วเช็ดกล่องข้าวพอให้เก็บได้ เงาะกับมาร์คบอก ขี้เกียจเดินบันได ลงไปหลายทีละ รอข้างบนนะ เราสามคนที่กินข้าวจนอิ่ม ก็เลยฝ่าเปลวแดดไปเดินบันไดชมหลุมยุบกัน

มองจากข้างบน หลุมขนาดยักษ์เป็นขอบโค้งยุบตัวลงลึก บรรจุน้ำสีเขียวเข้มลึกไว้ มีมนุษย์แหวกว่ายน่าสนุก (ยิ่งท่ามกลางแดดจ้าขนาดนี้แล้ว) เงาะบอกลงไปได้นะ แต่เราไม่ได้ลงกัน แค่ดูก็ชื่นใจละ ขี้เกียจชุดเปียก แต่ขณะเดียวกันยังมองเห็นขอบฟ้ากับผืนทะเลที่อยู่ใกล้ๆ ได้ รู้สึก่ว่ามันเป็นอีกหนึ่งทิวทัศน์ที่พิเศษจัง พยายามถ่ายรูปจากสองสามอุปกรณ์ที่มี พยายามหามุมแปลกๆ แต่สุดท้ายก็ยอมรับว่า อือ ได้แค่เนี้ย ยอม

บันไดสองพับสามพับ ทอดตัวลงไปภายในหลุม ขั้นบันไดสูงๆ กว้างๆ ทำให้ทุกคนที่เดินขาขึ้นเหนื่อยหอบแฮ่ก แต่ทุกคนก็รู้สภาพอยู่แล้วอะนะ มองเห็นตลอดไม่มีเซอร์ไพรซ์ ระหว่างเดินลง เราได้กระทำการหน้าแหกครั้งยิ่งใหญ่ไปหนึ่งครั้ง ขอออกตัวก่อนว่า ด้วยความที่เป็นเฟมินิสต์ มาประเทศมุสลิมแล้วมันอึดอัดขัดใจชะมัด ทำไมผู้หญิงที่นี่แม่งต้องโดนกดขี่วะ
ไม่ควรเหมารวม แต่เพื่อนยืนยันว่าสาวๆ ออกนอกเส้นที่เขากำหนดไม่ได้จริงๆ ด้วยความคิดขัดอกขัดใจแบบนี้ พอเห็นสาวสวยในชุดส่าหรีสีสดใส พร้อมตากล้องหนุ่ม ปีนออกนอกราวกั้นไปไต่อยู่ตามก้อนหิน หาที่โพสต์ท่าถ่ายรูปสวยๆ เรานี่ในใจคือ ดีใจมากนะ แล้วก็เลยชื่นชมกับเพื่อนว่า ผู้หญิงแก่นๆ ที่นี่มันต้องแบบนี้ (อันนี้คือชมจริงๆ จากใจ) ทางโน้นตะโกนกลับมาเลย คนไทยค่ะ ได้แต่บอกว่าขอโทษ แต่ไม่มีโอกาสได้อธิบายเรื่องราวในใจจริงๆ รู้สึกตัวเองกลายเป็นอีป้าปากคันไปเลยทันที

พอขึ้นไปเล่าให้เงาะฟัง มันบอกว่า ส่าหรีมันใช่ชุดคนที่นี่ซะที่ไหน (ตอนเห็นจำไม่ได้ว่าเรียกส่าหรี ต้องอธิบายกันอยู่พักนึง)

บรรยากาศในบึงน้ำ พอมองใกล้ๆ สวยน้อยกว่าตอนมองจากข้างบนพอสมควร อาจเป็นเพราะด้านบนความโค้งของขอบหลุมมันบังไม่ให้เราเห็นว่า เออ คนอยู่ข้างล่างก็เยอะนะ ริมตลิ่งมีรองเท้าวางอยู่เปะปะ ร่องรอยคนขึ้นลงน้ำทำให้พื้นบางส่วนเปียกๆ ลื่นๆ ใครใคร่ว่าย ก็ว่าย ใครใคร่โดดก็ไต่หน้าผาไปตรงที่น้ำลึกๆ หน่อยค่อยดิ่ง ยืนดูฝรั่งโดดน้ำที่นี่แล้ว รู้สึกว่า มนุษย์เราปรับตัวตามสถานที่จริงๆ น้ำที่นี่ใสๆ ลึกๆ โดดแค่เมตรสองเมตร ทำสะดีดสะดิ้ง อั๊ย กลัว อั๊ยจะโดด จะไม่โดด แหม.. หล่อน ปีนๆ มาขนาดนี้ละก็โดดๆ ไปตะ ถ้าจับอีพวกนี้ยัดใส่ประตูโดเรมอน ไปโผล่นู่น Canyoneering Cebu เชื่อเหอะว่า ๑๕ เมตร แม่งได้โดดกันตูมๆ  

สมควรแก่เวลา เราก็ไต่บันไดกลับ เห็นสายตาสมเพชของอีพวกสวนลงมาแล้วก็คิดว่า คงไม่ต่างจากสายตาเราตอนขาลงที่สบตากับพวกสวนขึ้น เดี๋ยวพวกมึงก็รู้สึก เหอๆๆ

ก่อนเดินทางกันต่อ เราแวะเข้าห้องน้ำอีก มุ้ยบอก ห้องน้ำชายก็โอเคนี่ ส่วนห้องน้ำหญิงนั้น เอิ่ม ต้องบอกว่า เอาเรื่องอยู่เหมือนกัน ส้วมเป็นแบบนั่งยอง โถเป็นโลหะ มีความเปรอะเปื้อนบ้าง เพื่อนๆ รับไม่ได้ ไม่เข้าเลย ส่วนเรา เจอมาแย่กว่านี้ ปวดฉี่ก็ฉี่ไม่ซับซ้อน แต่เรายังไม่เอะใจเรื่องห้องน้ำ ยังก่อน.. ยังไม่เฉลย

หลุมยุบนั้นอยู่ใกล้ริมทะเลแล้ว เมื่อออกจากหลุมยุบ เรามุ่งหน้าเข้าสู่ทะเล แล้วเลี้ยวขวาขับเลียบชายฝั่งไปเรื่อยๆ เพื่อหาจุดตั้งแค้มป์ ชายทะเลเป็นที่โล่งร้าง ไม่มีบ้านช่อง แถมยังมีป้ายบอกว่ามีสัตว์ป่าประเภทกวางด้วย ซึ่งอันนี้ประหลาดใจมากว่ามันมีด้วยเหรอวะ รถแดงคุณพ่อบ้านพุ่งปราดอย่างไม่รั้งรอ เพราะอยากเลือกที่ตั้งแค้มป์ดีๆ รถแม่บ้านยังคงเสียงดังเจี๊ยวจ๊าว ชื่นชมทัศนียภาพ เม้ามอยกิ๊วก๊าวทุกอย่างตามประสา นกสีชมพูตัวใหญ่เบิ้มสามตัวบินวน นักท่องเที่ยวอื่นจอดรถถ่ายอย่างตื่นตา ส่วนเราได้แค่ชะลอแล้วเปิดกระจกถ่าย เพราะรถแดงนำไปไกลแล้ว

สัปดาห์ก่อนหน้านี้ สองผัวเมียเจ้าบ้าน ได้มาสำรวจบริเวณนี้กันก่อนแล้ว และเจอทำเลเหมาะตั้งแค้มป์ แต่สัปดาห์นี้ผู้คนมากมายมุ่งหน้ากันมาจับจองพื้นที่ก่อนเรา คำว่ามากมายนี้ก็แค่ว่าหาดส่วนตัวที่หมายตาไว้ ถูก 2-3 เต็นท์กางอยู่ก่อน มีรถสี่ห้าคันจอดแต่ไม่กางเต็นท์ คาดว่าน่าจะแวะมานั่งดูทะเลเล่นๆ แล้วขับกลับ ถ้าเป็นบ้านเราก็แค่ไปกางแจมห่างๆ แต่มาร์คไม่ยอมแพ้ มาร์คจะหาหาดส่วนตัวให้พวกเรา เราเลยขับหากันต่อไป

ชายฝั่งบริเวณนี้ มีชื่อเรียกว่า Fin ถ้าตอนเรียนจีโอตั้งใจกว่านี้ คงบอกได้เต็มปากเต็มคำว่าเป็นดินหินชนิดไหน แต่เอาเท่าที่มีเหลือในหัว (เคาะดูได้ยินเสียงป๊องๆ ดังกังวาน) คาดว่าเป็นหินทราย และมีกรวดก้อนโตๆ เต็มไปหมด ทำให้ชายฝั่งกร่อน สลายตัวผสานกับคลื่นทะเลที่ซัดโครมๆ ชั่วนาตาปี จนเกิดเป็นภูมิทัศน์เว้าๆ แหว่งๆ สวยงามแปลกตา หาดเล็กหาดน้อยที่ลับหูลับตา โผล่ตรงนั้นนิดตรงนี้หน่อย เราจอดรถสำรวจหลายจุด มีหาดนึงยุบตัวซ่อนอยู่หลังเนินหินสองด้าน ยังไม่มีใครจับจอง เรานึกชอบแต่มาร์คบอกว่า ไม่เอา ตรงนี้ไม่ปลอดภัยเป็นทางน้ำหลาก

น้ำหลาก.. มาร์ค.. ยูนอยด์ไปปะวะ มันจะไปเอาน้ำที่ไหนมาหลาก แห้งแก๊ะซะขนาดนี้ เราค้านในใจ แต่ไม่ได้เอ่ยปากอะไรออกมา

เราขับกันไปจนสุดทาง หมดถนนแล้วก็ย้อนกลับ ระหว่างทางที่ผ่านมาร์คหมายตาจุดสำรองไว้แล้ว จึงพาพวกเรามุ่งหน้าไปบริเวณนั้น หาดนั้นเป็นหาดน้อยๆ ที่เต็มไปด้วยก้อนกรวดก้อนหิน เราเห็นแล้วก็รู้สึกเสียดายหาดน้ำหลากขึ้นมาตะหงิดๆ ทางลงหาดแน่นอนว่าไม่ใช่ถนน เป็นเนินชันๆ ที่มีอุปสรรคเป็นหินน้อยใหญ่ปูดโปนเต็มไปหมด แต่สองผัวเมียเจ้าถิ่นพยายามจะเอารถลงให้ได้ มาร์คเอารถแดงลงไปได้อย่างสบายๆ แต่รถแม่บ้านท่ามกลางความลุ้น สุดท้ายก็ทำได้แค่ค้างอยู่ในท่ากลับตัวก็ไม่ได้ให้เดินต่อไปก็ไปไม่ถึง ซึ่งในเวลาต่อมาเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง เพราะเราเอาไว้ฉี่แถวนั้นแหละ ตรงล้อหลังขวานั่นเลย ส้วมของฉัน

มาร์คเป็นเจ้ากรมอุปกรณ์โดยแท้ แกมีอุปกรณ์แค้มปิ้งสารพัดสิ่ง และที่สำคัญคือ แกไม่เบื่อที่จะกางมัน เต็นท์นอนถูกกางง่ายๆ ทีหลัง แต่ก่อนอื่นแกกางเต็นท์นั่งเล่นเป็นปรัมพิธีก่อน
เก้าอี้สนามเท่าจำนวนคนถูกแจกจ่าย ผู้มาเยือนสามคน กางสองเต็นท์กันอย่างแคล่วคล่อง (ตูนะที่คล่อง เรื่องกางเต็นท์นี่ปมเด่นเลย มุ้ยกับหนิงเป็นลูกมือชิวๆ)
เราไม่เคยกางเต็นท์หาดหินมาก่อน ปักสมอบกไม่ได้เลย มาร์คบอกให้มัดกับก้อนหิน เราค่อยๆ มองหาหินขรุขระก้อนใหญ่หนักๆ มาวางรอบๆ เพื่อดึงเชือกรั้งเต็นท์ ปรากฏว่าให้ผลดีกว่าที่คิดมาก เต็นท์ตึงสวยงามและเฟิร์มดี

จากนั้นก็เป็นเวลาพักผ่อน แค้มปิ้งยามค่ำคืน แดดค่อยๆ หมด ฟ้าค่อยๆ สลัวลง เมฆก้อนโตๆ ลอยมาจากทางภูเขา ปกคลุมจนดูอากาศอึมครึม แล้วก็มีละอองฝนลงบางๆ เรื่อยๆ เงาะยังย้ำว่า ที่โอมานนี่ฝนตกปีละ ๕ วันนะ

มันตกใส่เราสองวันแล้ว weather mutant จริงๆ

เมื่อจัดแจงสถานที่เสร็จ มื้อเย็นก็เริ่มขึ้นแบบเรื่อยเปื่อยตามประสาชาวแค้มป์ มาร์คเอนหลังสบายอารมณ์สูบซิการ์ดื่มเบียร์ไปตามเรื่องของแก กับแกล้มมาก็กิน ไม่มาก็ไม่บ่น เงาะผีแม่บ้านเข้าสิงเต็มตัว เข้ามากกว่านี้คงทะลุไปชัยนาท นั่งปิ้งนั่นย่างนี่หน้ามัน เราและเพื่อนๆ เป็นลูกมือบ้าง เป็นตัวถ่วงบ้างตามถนัด บรรยากาศดีมาก คลื่นซัดฝั่งเป็นระยะ พอชินเสียงแล้วก็รู้สึกสงบ ผ่อนคลาย อีหาดนี้ก็คงเสียอยู่อย่างเดียว คือเป็นกรวดล้วนๆ เดินแล้วเจ็บตีนชะมัด

ที่เห็นเปื้อนกล้องในรูปข้างบนคือฝนหยดบางแสนบาง

อาหารที่สรรหากันมา ค่อยๆ ทยอยสุก มาร์คดีใจมากที่มีมันฝรั่งมาด้วย มาร์คบอกเมียไม่ซื้อติดบ้านเลย ชาวอังกฤษอยากกินมาก เราเป็นชาวไทยบ้านที่ชอบกินมันฝรั่งเลยหยิบมาดื้อๆ แต่ไม่รู้ว่าต้องทำให้มันสุกได้ยังไง ก็เลยกลายเป็นว่าชาวอังกฤษนั่งสั่งการในระยะไกล ส่วนชาวไทยก็ห่อฟอยล์แล้วปิ้งตามคำสั่ง มาร์คห่วงใยมันฝรั่งมากกว่าสิ่งอื่น คอยเรียกอยู่นั่นแหละ หมุนมันสิ หมุนมันรึยัง สุดท้ายทุกคนก็ได้กินมันฝรั่งย่างเนยคนละหัว อร่อยพอดิบพอดีมาก

พอเริ่มจะอิ่ม มาร์คก็ไปลากเอาลังไม้พาเลทเก่าที่ติดท้ายรถมาด้วย แล้วก็เริ่มก่อกองไฟ เราถามเพื่อนว่า เอิ่ม มันไม่หนาวนะแก จะก่อไฟเพื่อ เงาะบอกว่า ถ้าไม่ก่อถือว่ามาไม่ถึง ปล่อยตะแกไปเถอะ

คืนนั้นเราเช็ดตัวด้วยทิชชู่เปียกรุ่นดีไซน์พิเศษ มีฟองด้วย ซื้อมาจากลาซาด้า โปะแป้งเย็นแล้วก็หลับไป มุ้ยกับหนิงหลับได้น้อยมาก เงาะดันหลับน้อยไปกับเขาด้วย ส่วนเราวิ้งวับสบายดี

ตื่นมาตอนเช้าก็เจอกับภาพนี้

ถ้าการได้ออกเดินทางเหมือนเป็นของขวัญ การได้ตื่นเช้าแล้วมีพระอาทิตย์ขึ้นตรงหน้าก็คงเป็นเหมือนการที่ได้ของขวัญถูกใจแถมยังห่อกล่องมาซะสวยอีก คลื่นทะเลตอนเช้าซัดแผ่วๆ พอตื่นขึ้นมาเจอฟ้าเป็นสีขอบพระอาทิตย์ ก็รีบเรียกเพื่อนมาชมบรรยากาศด้วยกัน เพื่อนๆ เรียกไม่ยาก เพราะมันนอนไม่ค่อยหลับกันอยู่แล้ว

จากนั้น ทุกอย่างก็กลับสู่จังหวะอันเร้าขึ้นนิดหน่อย เพราะทันทีที่พระอาทิตย์ขึ้นเต็มดวง มันก็ฮีทอัพทุกอย่างให้ร้อนฉ่า แดดเข้าเต็นท์เต็มๆ แค่เข้าไปเปลี่ยนชุดก็จะละลายแล้ว เหล่าผีแม่บ้านออกทำงานอีกครั้ง เงาะรีบปรุงอาหารเช้าให้ทุกคนกิน โดยไม่ยอมกินของตัวเอง แต่ห่อใส่กล่องไปก่อน เพราะกลัวทำนั่นนี่ไม่ทัน ดิฉันผู้ห่างไกลครัว พาเพื่อนเก็บเต็นท์ให้เสร็จ แล้วเดินถ่ายรูปเล่นรอบๆ เก็บบรรยากาศ เมฆฝนยามค่ำคืนหายไปแล้ว เหลือแต่แดดแจ่มจ้า ฟ้าใสกิ๊ง

ก่อนเก้าโมงเช้า พวกเราก็รื้อถอนอุปกรณ์แค้มปิ้งออกจนเกลี้ยง ทิ้งหาดหินไว้แบบเดิมก่อนที่เราจะมา ดีขึ้นนิดหน่อยด้วย เพราะเราเดินเก็บขยะที่ถูกน้ำซัดมาติดก้อนหินรวมทิ้งไปกับขยะของเรา ตอนถอยรถแม่บ้านขึ้นเนิน มาร์คต้องมาขับเอง ท่ามกลางความลุ้นของคุณเมีย เพราะคุณเมียกลัวยางแตก คอยหวีดสร้างบรรยากาศตลอด ส่วนเพื่อนๆ แค่ยืนลุ้นและถ่ายรูปอย่างเดียว

คณะของเราออกเดินทางกันต่อทันที ฟ้าสีฟ้าๆ กับภูเขาสีน้ำตาและท้องทะเล แถมยังมีทางโล่งๆ กรวดๆ พร้อมจะมีฝุ่นฟุ้ง ช่างเป็นโลเคชั่นที่น่าเอารถยนต์มาโฆษณาซะจริงๆ

ชมแบบภาพเคลื่อนไหวพร้อมเสียง commentary จ้ะ

https://web.facebook.com/watch/?v=469500597001001