โอมานอีสออซั่มมมม #๔

ความเดิมตอนที่แล้ว พวกเราหุบแคมป์ขึ้นรถ และออกเดินทางกันต่อ จากหาดที่กางเต็นท์นอนไปยังที่แวะลำดับถัดไป ระยะทางจริงๆ ไม่ได้ไกลเลย แต่มีความระทึกเกิดขึ้นจนได้ เพราะว่าที่เห็นเมฆดำๆ เมื่อค่ำวาน กับฝนลงเม็ดนิดๆ หน่อยๆ นั่น กลับทำให้เกิดน้ำหลากกระทันหัน แล้วไหลตัดเอาถนนเลียบทะเลขาดบางจุด ลักษณะพื้นที่รับน้ำเป็นแบบเดียวกับหาดที่เราอยากให้ตั้งแคมป์ทีแรกแล้วมาร์คบอกว่าเป็นทางน้ำไหล ไม่ปลอดภัย นั่นเอง โห.. โปรจริงไรจริง ข้าน้อยขออภัยที่ลบหลู่เม้าในใจว่าเฮียนอยด์ไปรึเปล่า ข้าน้อยผิดไปแล้ว

นอกจากรถเราสองคัน ยังมีรถยนต์คันอื่นอีกสองสามคันที่ขับวนๆ กันไปมา หาทางกลับเข้าสู่ถนนหลัก เมื่อขับไปถึงทางตันก็ต่อแถวกันถอยยาวและยูเทิร์น ทุกคนดูงงๆ และชิวๆ ปะปนกันไป หลังจากพยายามอยู่พักใหญ่ รถทุกคันก็กลับเข้าสู่ถนนหลักได้สำเร็จ ไม่นานนักเราก็มาถึง Wadi Shab โอเอซิสที่เป็นที่นิยมของเหล่านักท่องเที่ยว แต่ไม่รู้นิยมกันประสาอะไร ข้อมูลในอินเตอร์เน็ตที่จะทำให้เข้าใจลักษณะพื้นที่ มีน้อยมาก เนื่องจากเงาะมาร์คยังไม่เคยมาที่นี่ เราก็พยายามค้นข้อมูลทั้งเว็บไทยและเว็บเทศ แต่นอกจากรูปสวยๆ แล้ว ก็ไม่ค่อยได้ความอะไรนัก เว็บไทยมีกระทั่งรูปสาวสวยในชุดเดรสยาว แต่งหน้าเต็ม ซึ่งภาพแบบนี้จะทำให้คิดอะไรได้มากไปกว่า อ้อ มันสะดวกสบายล่ะ จริงไหม

ชีวิตจริงนี่เพลงพี่ใหม่ต้องขึ้น มันไม่ใช่เลย มั้นมั้ยใช่เลยยยย..

เราเพิ่งรู้ว่าความแม่บ้านทำให้เงาะมัวแต่บริการทุกคนจนยังไม่กินข้าว แต่ห่อข้าวใส่กล่องมาด้วย แม่นางเลยนั่งกินข้าวริมน้ำ บรรยากาศดี๊ดี ปลายน้ำตรงจุดที่จะต้องเริ่มเดินทางด้วยการขึ้นเรือข้ามฟากไปก่อนนี้ มีน้ำที่ใสมากจนน่าโดด มีกอหญ้าเขียวสดตรงกลางน้ำเป็นฉากหน้า และล้อมกรอบด้วยภูเขาหินสีน้ำตาลสว่างด้านหลัง แพะสี่ห้าตัวหากินอย่างอิสระ บางตัวห้าวๆ หน่อยพยายามมาแทะสายกระเป๋าพวกเราด้วย หมาตัวหนึ่งเล่นน้ำอย่างเมามัน ก่อนเจ้านายที่เป็นฝรั่งจะตะโกนเรียก แล้วมันก็กระโจนขึ้นฝั่งอย่างเริงร่า มาร์คบ่นว่าค่าเรือข้ามฟากแพงไป (หัวละ ๑๐๐ บาท รวมไปกลับ ระยะแค่ตาเห็นเนี่ยแหละ) เริ่มเดินจากฟากนี้ไม่ได้หรือไงนะ

เมื่อพวกเราพร้อม ก็ได้เวลาลงเรือกัน ท่ามกลางอากาศที่ร้อน แดดแรงระดับที่เอื้อต่อธุรกิจหมูแดดเดียวและบรรดาปลาตากแห้งทั้งหลาย แต่พอได้อยู่กลางน้ำก็รู้สึกดีขึ้นมาก ยังไม่ทันเหงื่อยุบเราก็มาถึงอีกฝั่ง และเริ่มออกเดินเท้ากันด้วยความใสซื่อ ไม่ได้รู้จักโอเอซิสแห่งนี้เลยแม้แต่น้อย และเนื่องจากการจัดกระเป๋าของทริปนี้เป็นการจัดกระเป๋ามาเที่ยวทะเลทราย เราจึงไม่ได้เอากระเป๋ากันน้ำมาด้วย กล้องและของรักของหวงต่างๆ จึงเปลือยเปล่าอยู่ในกระเป๋าผ้าใบสะพายติดตัว

เส้นทางช่วงต้นเป็นทางลัดเลาะผ่านรั้วบ้าน รั้วสวนของผู้คน ผ่านสวนอินทผาลัม และพืชที่หน้าตาคล้ายๆ บ้านเรามากมาย ไม่นานนักก็พบว่าพื้นมันแฉะๆ จากนั้นน้ำมันก็นองๆ แอ่งแรกเราโดดหย็องแหย็ง พยายามเหยียบกิ่งไม้ ยอดหญ้าไม่ให้รองเท้าเปียก พอเจอแอ่งที่สองซึ่งน้ำสูงราวตาตุ่ม ก็ตัดสินใจถอดรองเท้าเดิน ไม่ได้เข้าใจตั้งแต่ต้น แต่มาเก็ตทีหลังว่า แอ่งน้ำเหล่านี้น่าจะไม่ใช่น้ำปกติของวาดี้ชาบ แต่มันน่าจะเกิดจากฝนตกเมื่อคืนมากกว่า มองไปไกลๆ แล้วน้ำใสมาก แต่ในแอ่งที่พวกเรากำลังย่ำอยู่นี้เป็นน้ำขุ่นโคลน หญ้าใต้เท้านุ่มนิ่มและเย็นสบาย ถ้าเป็นหญ้าแบบนี้ไปตลอดให้เดินซักสิบโลยังไหว

แต่แหม.. ชีวิตมันไม่ได้ง่ายแบบนั้น ปูนนี้แล้วน่าจะรู้แล้วนะ

สลับกับทุ่งหญ้าน้ำท่วม พื้นที่พ้นน้ำกลายเป็นถนนกรวด เราใส่รองเท้ากลับคืน เดินไปสักพักก็เจอลำธารอีก ภูมิประเทศเปลี่ยนไปจากพื้นที่ชุ่มน้ำ กลายเป็นลานหินสลับลำธารตื้นๆ ในอ้อมกอดของภูเขาทั้งสองฝั่ง ปะหน้าด้วยสีเขียวของต้นไม้ที่ไม่รู้จักและอินทผาลัมที่ดูรวมๆ แล้วเท่ห์สุดๆ สุดท้ายเราทุกคนก็พ่ายแพ้ต่อความใส่ๆ ถอดๆ เลยย่ำรองเท้าผ้าใบลงน้ำไปเลย กลับมาแล้วโคตรเหม็นอับ เราตากมันอยู่ตั้งสองเดือนแน่ะกว่าจะกลับมาใส่ได้อีก บริเวณตรงนี้จะเป็นบริเวณที่เราเห็นภาพตามอินเตอร์เน็ตว่าคือ วาดี้ชาบ เป็นอิมเมจว่าโอเอซิสต้องเป็นแบบนี้นะ

แต่จริงๆ แล้ว วาดี้ชาบไม่ได้มีแค่นั้น เส้นทางเดินสำรวจที่นี่ทอดยาว สูงขึ้นไปใต้ชะง่อนผาของภูเขาหิน เดินเพลินๆ อยู่ๆ ทางเดินที่เคยเป็นลานกว้างจนกลัวหลง ก็แคบเข้าและชันขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ รู้ตัวอีกทีก็เก็บกล้องเก็บมือถือหยุดถ่ายรูปหมด เพื่อโฟกัสไปที่ก้าวแต่ละก้าวบนก้อนหิน มันไม่ได้เหนื่อยมากนักสำหรับเราที่ออกกำลังกายเรื่อยๆ แต่ความร้อนของแดดในหลายๆ จุดที่ไม่มีร่มเงา และความที่ไม่ได้เตรียมตัวทำให้กังวลสารพัด ไหนจะห่วงกล้อง ไหนจะห่วงชีวิตเวลาข้ามเหว เราทั้งเดินทั้งปีนป่ายอยู่พักใหญ่ รองเท้าที่เปียกไปแล้วทำให้การยึดเกาะไม่ค่อยดี แล้วถึงจุดหนึ่งหนิงก็เอ่ยปากก่อนว่า เอาแค่นี้แหละ ไม่ไปต่อแล้ว จะค่อยๆ ชื่นชมบรรยากาศ แล้วเดินลงไปรอด้านล่างช้าๆ

เราและเงาะมาร์ค ตัดสินใจเดินและปีนป่ายต่ออีกจนกระทั่งถึงน้ำตกแรก และเดินตัดผ่านหน้าน้ำตกแรกไปจนถึงโค้งใหญ่ๆ ที่มองเห็นทิวทัศน์ข้างหน้าที่ตระการตา พบว่ามันยังอีกไกลเลยโว้ย จีงตกลงกันว่าจะหยุดเพียงเท่านี้ น้ำตกแอ่งใหญ่ที่เราไปถึง น่าเล่นน้ำมากๆ เสียงน้ำตกดังซู่ซ่าตลอดเวลา ขาแช่น้ำเย็นสบายจนแทบจะลืมไปว่าเราอยู่ในประเทศตะวันออกกลางนะนี่ ที่ใช้คำว่าแทบจะลืมเพราะพระอาทิตย์คอยย้ำเตือนเราตลอดเวลาว่า เอ็งกำลังอยู่ในประเทศตะวันออกกลางเฟ้ย อย่าได้ทำเป็นลืมไป นี่แน่ะ แผดๆๆๆ

ในความเห็นของเรา เทรควาดี้ชาบไม่ได้ยากจนเกินไป แต่ควรเตรียมตัวและอุปกรณ์ให้พร้อม แล้วเริ่มเดิมแต่เช้าหากต้องการเดินสูงขึ้นไปจนถึงแอ่งด้านในที่ ดูจากอัตราความแปรผันของวิวต่อความสูงแล้ว ข้างบนคงจะยิ่งอลังการ และควรจะเตรียมเสื้อผ้ามาเล่นน้ำด้วย เพราะน้ำใสปิ๊งเย็นเจี๊ยบ ดูจากแผนที่จะพบว่า เส้นทางเทรคจะลัดเลาะไปตามซอกเขา แต่ระยะหลังไม่สามารถเดินเท้าที่ลำธารได้แล้ว เพราะทั้งน้ำทั้งเกาะแก่งมันเยอะขึ้น เลยจะต้องปีนป่ายเลียบภูเขาไปนั่นเอง ซึ่งทางเดินเขาก็ทำไว้ปลอดภัยดี มีแค่ช่วงข้ามหินตามโค้งเท่านั้นที่อาจจะต้องบู๊นิดนึง นานๆ ทีจะมีจุดนั่งพักให้ด้วย

กล้องโกโปรเก่าที่ฝ่าฟันกันมาหลายทริปของเรา ตายในหน้าที่ไปตั้งแต่จุดแรกๆ ของการจุ่มน้ำ รูปไม่หาย เย้ๆ แต่กล้องก็ไม่หายเช่นกัน ป่านนี้ยังไม่มีกล้องกันน้ำตัวใหม่เลย หงิง.. เราสามคนเดินกลับทางเก่าและก็พบว่าน้ำที่ท่วมทุ่งหญ้ามีปริมาณสูงขึ้นอีก น้ำใสมาก และมีปลาตัวเล็กๆ ว่ายด้วย เอาจริงๆ ถ้าไม่รีบไปไหนต่อ เรานั่งดูปลาได้อีกเป็นชม. เป็นอย่างน้อย

เมื่อนั่งเรือข้ามฟากกลับ (ลำไหนก็ได้ จ่ายเงินรอบเดียว) พบมุ้ยหนิงที่นั่งรออยู่แล้วอย่างชิวๆ เราก็ไปเข้าห้องน้ำก่อนจะเดินทางต่อ ปริศนาเรื่องห้องน้ำก็คลี่คลายตรงนี้ เพราะแก๊งสามสาวเข้าห้องน้ำหญิงที่เมือกๆ มีกลิ่นตามประสาห้องน้ำในที่สาธารณะกันเสร็จ ก็ไม่ได้บ่นว่าอะไร แต่มุ้ยเข้าห้องน้ำแล้วออกมาชื่นชม ว่าห้องน้ำหอม และมีพนักงานที่ดูแลดีมาก ทำให้พวกเรางงมาก ประชดเหรอมุ้ย มุ้ยบอกว่าชมจริงๆ แล้วเล่าให้ฟังว่าบริการภายในห้องน้ำชายนั้นสุดยอดอย่างไร ทันทีที่ใช้ห้องน้ำเสร็จและเดินออก พนักงานจะเช็ดพื้นและฉีดน้ำหอมปรับอากาศทันที (มียื่นทิชชู่ด้วยไหมจำไม่ได้แฮะ) ทำให้พื้นแห้งสะอาด ห้องน้ำหอมตลอดเวลา เราสามสาวหวีดกันใหญ่ว่า ห้องน้ำหญิงแม่งบ้านๆ เลยนะโว้ย

ไม่ทันที่จะโวยวายเกินไป ก็เหลือบไปพบที่ละหมาดแยกหญิงชาย ถึงกับหยุดเรื่องห้องน้ำเลย เพราะท่ามกลางเปลวแดดที่แผดเผา ห้องละหมาดชายเป็นอาคารติดแอร์ ส่วนของผู้หญิงเป็นผ้าใบล้อมไม้ปัก ๔ ด้าน ตั้งไว้โด่ๆ กลางแจ้ง เฟมินิสต์อึ้ง พูดอะไรไม่ออก หิวด้วยแหละเลยข้ามเรื่องนี้ไป ไปหาอาหารกันดีกว่า

เนื่องจากละแวกนั้นแม้จะเป็นที่เที่ยวดังระดับประเทศ แต่ก็ดูเงียบๆ หาร้านรวงไม่ค่อยมี เราสุ่มได้ร้านอาหารอาหรับสไตล์บุฟเฟต์ในโรงแรมริมทะเลแห่งหนึ่ง ซึ่งข้อดีคือเราสามารถนั่งมองทะเลสีฟ้าเข้มกลางแดดจ้าได้ผ่านกระจกในห้องแอร์ ข้อเสียคือเราไม่เคยกินอาหารอาหรับ แล้วเริ่มต้นด้วยบุฟเฟ่ต์เลย ถ้าจำไม่ผิดหัวละประมาณ ๕๐๐ บาท แต่สบายมาก เพราะว่าเรากินอาหารทำเองกันมา ๔ มื้อติดแล้ว งบเหลือๆ

สรุปผลการกินอาหารอาหรับได้ความว่า เรา หนิงและมุ้ยชอบกินแทบทุกอย่างเลย เราได้กินฮัมมูสเป็นครั้งแรก (บ้างก็ออกเสียงว่าฮัมมัส เอานะ อันเดียวกัน อร่อยเหมือนกัน) กินกับขนมปังพิต้า ปลาทอดแล้วก็ซุปต่างๆ มื้อนี้ถ้านับปริมาณแล้วรู้สึกว่ากินไม่คุ้ม เพราะว่าน่าจะหิวเกินเลยกินได้ไม่เยอะ แต่ถ้านับว่าเป็นการทำความรู้จักกับอาหารอาหรับครั้งแรกแบบฟิวชั่นหน่อยๆ แล้วล่ะก็ กำไรเห็นๆ เพราะพวกเราเปลี่ยนความคิดเรื่องอาหารอาหรับไปเลย

เมื่ออิ่มหนำสำราญ เข้าห้องน้ำที่มีห้องน้ำหญิงที่สะอาดสะอ้านกลิ่นหอมแล้ว เราก็หันหลังให้ทะเล มุ่งหน้ากลับเข้าสู่แผ่นดิน เพราะคืนนี้เราจะไปนอนในทะเลทรายกัน และเรื่องราวการเดินทางมันก็มหากาพย์ซะจน ขอยกไปไหว้ตอนหน้าเลยแล้วกันนะ ไม่มีชี้คสุดหล่อเหมือนในนิยายทะเลทราย มีแต่ความมันส์ลุ้นระทึกล้วนๆ ตามประสาป้าซิ่งๆ ไม่มีใครรักก็รักตัวเองเยอะๆ รักเยอะก็เที่ยวเยอะโอเคมั้ยพีเพิ่ลลลลล