มองโกเลีย – ทะเลทรายโกบี #๒

เช้าวันต่อมา เราตื่นราวหกโมงครึ่ง นอกหน้าต่างยังขาวโพลน แต่หิมะหยุดตกแล้ว หิมะตอนเช้าหลังชีวิตผู้คนเริ่มต้นสัญจร ตรงกลางถนนละลายกลายเป็นโคลนแหยะๆ แต่บริเวณรอบๆ ยังขาวสวยดูนุ่มฟูอยู่ ต้นไม้พญาไร้ใบรอบๆ โดนหิมะตกปกคลุมกลายเป็นช่อขาวๆ เหมือนแตกดอกออกใบชั่วข้ามคืน
เราบอกปูว่า ขอวิ่งออกไป Circle K ซักหน่อย อยากซื้ออะไรเพิ่มนิด และจะดูอาหารเช้าด้วย คืนนั้นก่อนเรานอนอากาศลดถึง -๑๑ องศา และลงต่ำไปถึง -๑๔ องศาในกลางดึก ตอนเช้าอุณหภูมิวิ่งไปมาระหว่าง -๑ ถึง ๑ องศา ตรงโถงบันไดทางลงตึก มีคนจรจัดนอนหลบหนาวอยู่ จะเรียกว่ารอดตายไปอีกคืนเพราะมีคนเปิดประตูทิ้งไว้ก็คงไม่ผิด คือก่อนนอนตอนเราวิ่งลงไปถ่ายรูปเล่นรอบสุดท้าย ประตูเหล็กถูกเอาก้อนหินดันให้เปิดค้างไว้ เราสองคนไม่กล้าปิดเพราะคิดว่าคนที่ตั้งใจเปิดไว้อาจจะมีเหตุผล เข้าตึกไม่ได้สำหรับบ้านเราอาจจะแค่หงุดหงิด แต่สำหรับค่ำคืนที่หิมะกระหน่ำเหมือนในนิทานเด็กน้อยขายไม้ขีดที่ตายอนาถตอนจบ อาจจะมีคนเดือดร้อนจริงๆ ก็ได้


ตอนแรกเกิดลังเลไม่กล้าเดินผ่านคนจรจัด เพราะชานบันไดมันแคบ เขาตื่นมาเห็นเลยขดตัวให้เล็กลงอีกแล้วโบกมือให้เดินผ่านไป

เมื่อเปิดประตูเหล็กบานหนาออก ก็พบกับลมที่พัดแรง ลากเอาละอองหิมะฟุ้งกระจาย สูดลมหายใจเข้าไปมันเยือกเย็นลงไปในอกจนต้องยกปกเสื้อขึ้นปิดจมูก หิมะเกาะกิ่งก้านแห้งๆ ของต้นไม้ ดูเป็นปุ้มๆ เหมือนทำขนมสายไหมแล้วลืมใส่สี หรือไม่ก็ใครซักคนตีฟองผงซักฟอกมากเกินไป เห็นแล้วอยากเอานิ้วจิ้มให้มันแตก วีดีโอคอลหาเพื่อน กรี๊ดกร๊าดได้นิดหน่อย เพราะว่าทางเท้ามันกลายเป็นโคลนเมือกๆ กรี๊ดมากถ้าร่วงไปกองจะลำบากไปทั้งทริป เพราะมีโค้ทอยู่กับเขาตัวเดียว

ใน Circle K ผู้คนเยอะแยะตั้งแต่เช้า เราสำรวจอาหารแล้วโทร.ไลน์หาปูว่าจะซื้ออาหารเช้าอะไรไปฝากดี ปกติปูไม่กินเนื้อวัว และที่เรากั๊กไว้ยังไม่เล่าคือ มองโกเลียเป็นประเทศที่กินเนื้อหนักมาก กินทุกเนื้อ กินเอาอิ่ม กินต่างข้าว และในทางกลับกัน ไม่ค่อยมีหมูกิน ไก่ก็เป็นของแรร์ หายาก
เรารู้ว่าตอนไปอยู่ทะเลทราย ปูคงต้องโดนเนื้อเข้าบ้าง แต่ก็พยายามลดความน่าจะเป็นให้มันน้อยที่สุด ส่วนของอีนี่ไม่มีกฎเกณฑ์อะไรในชีวิต เลยจัดฮอตด็อกเนื้อ Circle K เป็นอาหารเช้า (ติดเค็มไปนิดแต่อร่อยมาก) ส่วนของปูหาได้แค่แซนวิชทูน่าอย่างเดียวเท่านั้นที่ไม่เนื้อ เราสองคนเก็บอาหารไว้กินบนรถตอนออกเดินทาง

เราผลัดกันอาบน้ำสระผมอย่างสะอาดเพราะรู้ชะตาว่าเราจะไม่ได้ข้องแวะกับน้ำอื่นใดนอกจากน้ำดื่มสักพัก เก้าโมง หอบร่างไปที่สำนักงาน ยังคงไม่มีใครรับเงินค่าทัวร์เรา และคุณผู้จัดการทัวร์ก็ยังไม่อยู่ แต่เราก็ได้พบกับอีไกด์ของเรา กับตาคนขับรถในตอนนั้น ผู้ชายสองคนที่จะใช้ชีวิตอยู่กับเราตลอดเป็นเวลา ๕ วัน ไกด์เป็นผู้ชายตัวโต สูงและตัวอวบๆ หนาๆ หน่อย ฮีแนะนำตัวด้วยภาษาอังกฤษสำเนียงอเมริกันอย่างเลิศ ว่าชื่อบิล ส่วนคนขับรถพูดอังกฤษแทบไม่ได้เลย หน้าตายิ้มแย้ม บิลบอกเราว่าเขาชื่อโลยา (ออกเสียงคล้ายๆ ลอว์เยอร์ เราเลยจำชื่อเขาได้ทันที) สมาชิกในเกสต์เฮาส์ ยิ้มแย้มส่งเรา บิลกับโลยาตุ้มๆ เอากระเป๋าเราสองคน ลงบันไดไป
คนจรที่นอนชานบันไดหายไปแล้ว

รถที่จอดรอเราอยู่เป็นรถตู้รัสเซียคันโตหน้าตาอินดี๊อินดี้ ล้อสูงกว่าเข่าตูอีก (รถสูงมากเหรอ อ๋อเปล่า อีนี่เตี้ย) เห็นแล้วรู้เลยว่า ยกเว้นบินกับดำน้ำ อีรถคันนี้ต้องไปได้หมดเกือบทุกหนแห่งแถมยังถ่ายรูปขึ้นสุดๆ แต่ถึงกระนั้นตอนนั้นก็ยังนึกถึงแสนยานุภาพของรถคันนี้ไม่ออก
เราเดินอุ้ยอ้ายฝ่าลมแรงที่พัดเอาหัวกระเจิงเปิดเปิง พร้อมก้อนหิมะที่กระจุยกระจายจนกะไม่ถูกว่าฝนตกลงมาอีก หรือว่าละอองน้ำอะไรวะ กระเป๋าถูกเก็บไว้ท้ายรถ แล้วเราก็ถูกต้อนขึ้นไปบนรถที่จะเป็นเคหะสถานคุ้มกะลาหัว พร้อมทั้งย้ายตูดเราไปทุกที่เท่าที่อีตาสองคนนั่นจะพาเราไป

โลยาประจำที่พวงมาลัยซ้าย บิลนั่งหน้าขวา
เบาะที่นั่งแถวละ ๔ ที่สำหรับลูกค้ามีสองแถวหันหน้าเข้าหากัน แต่ชีวิตจริงถ้านั่ง ๔+๔ คงจะแน่นมาก ไหนจะไหล่เกยกัน ไหนจะเสื้อโค้ทรองเท้าบู๊ทอีก เรากับปู นั่งคนละเบาะหันหน้าไปทางเดียวกับคนขับ ที่นั่ง ๒ ที่ที่หันหลังชนกับคนขับมีกระเป๋ากับถุงนอนกองสุมอยู่ พอล้อหมุน เราก็เริ่มแกะอาหารเช้าออกมากิน
แล้วรถก็.. ขยับไป.. ได้ช้ามาก แม่ง.. รถโคตรติด

เราตื่นตาตื่นใจกับการจราจรเช้าวันเสาร์ที่หิมะปกคลุมอูลานบาตาร์จนขาวโพลน เจ้าของรถยนต์หลายๆ คันคงแงะหิมะออกจากรถพอให้เห็นทางข้างหน้าโดยไม่แยแสกระจกหลัง ถึงได้ขับกันมาทั้งๆ ที่โดนหุ้มด้วยหิมะเกือบทั้งคัน ตาบิลบอกว่า เดี๋ยวเราแวะซื้อของที่ตลาดแป๊บ เป็นเสบียงห้าวันของพวกเรา ใช้เวลาซักครึ่งชั่วโมงได้ กับการแค่ขับไปตรงๆ ไม่มีซอกซอยเป็นระยะทางไม่เกิน ๙ กม. เราก็ถึงตลาด


เราสองคนลงจากรถเดินตามบิลกับโลยาเข้าประตูเล็กๆ หนักๆ ไปสู่ด้านในอาคารที่อบอุ่น ร้านขายของด้านในเป็นร้านเอกชนต่างคนต่างขาย มีขอบเขตร้านชัดเจน หน้าร้านส่วนมากเป็นกระจกหรือไม่ก็เปิดโล่ง โดยรวมสะอาดเรียบร้อยมากๆ สุดๆ ในความเงียบสงัด เสียงผู้คนพูดคุยซื้อขายกันอย่างเบาๆ ท่อเหล็กเดินรอบๆ ปล่อยความอบอุ่นจางๆ ออกมา ตาบิลบอกเราว่าจะซื้อขนมอะไรไปกินเองก็จัดไปนะ เราสองคนซื้อน้ำหวาน น้ำอัดลมนิดหน่อย


อยู่ๆ ตาบิลก็เดินถือถาดไข่สดถาดใหญ่มา แล้วยัดใส่มือปู บอกว่าช่วยถือหน่อยนะ เรารู้สึกจิ๊ดนึงนะ แบบว่ามึงเป็นไกด์ ใช้ลูกทัวร์ถือของได้ด้วย? แต่ก็ไม่ติดใจอะไรเลย คิดว่าดีออกทัวร์กันเอง เหมือนเที่ยวกับเพื่อนไง มีอะไรก็ช่วยๆ กัน หลังจากนั้นเราไปซื้อส้ม ที่ไม่เจอที่ไหนอีกเลยตลอดการเดินทาง ตาบิลค่อยๆ เข้าร้านนั้นออกร้านนี้ พิจารณาเลือกซื้อเสบียงอย่างถี่ถ้วนสุดๆ เราพบโลยากำลังเดินไปห้องน้ำด้านหลังตลาด ซึ่งเราก็กำลังวนเวียนหาอยู่ เลยตามไป ห้องน้ำมีค่าเข้านิดหน่อย ท่อเหล็กร้อนเดินตามผนังทำให้ในห้องน้ำรู้สึกอบอุ่นเป็นพิเศษ ตอนนั้นเราเข้าห้องน้ำกันไปด้วยความต้องการตามธรรมชาติ แต่ไม่ได้สำนึกรู้เลยว่า กว่าจะได้เจอห้องน้ำปกติธรรมดาแบบนี้อีก มันนานขนาดไหน

Road Trip

เราพบว่าการเดินทางถ้าจะให้ดีมันต้องมีแผ่นแปะ ไอ้อาการปวดหลังออฟฟิศซินโดรมนี่มันกัดกินนักเดินทางมาหลายปีละ เพราะนักเดินทางนั่งทำงานออฟฟิศมากว่าทศวรรษ การเดินทางครั้งนี้ รับประกันความชิว เพราะว่านักเดินทางเอาแผ่นร้อนตราเสือขนาดใหญ่สุดมาเพียบเลย เยอะกว่าจำนวนวันซะอีก สำหรับโร้ดทริปวันแรกก็แปะแผ่นก่อนออกมาแล้ว อุ่นสบาย แถมยังสามารถไถแผ่นหลังไปบดเบียดกับพนักพิงเพื่อเร่งความร้อนของแผ่นแปะได้ตามสั่งอีกด้วย

พอล้อหมุนของจริงได้ไม่นาน การจราจรก็บางตาลงเรื่อยๆ เมื่อเราเลี้ยวหนึ่งครั้ง ออกจากชานเมืองได้สำเร็จ ถนนก็เริ่มมีรถไม่มากนัก ไม่ว่าจะทางเดียวกับเราหรือสวนทาง หรืออาจจะเป็นเพราะว่าลมหิมะมันพัดตึงๆ จนมองอะไรไม่เห็นก็เป็นได้ เราเพ่งมอง เห็นรถที่สวนมาแค่ไฟหน้าที่เปิดจ้า นอกนั้นก็แทบมองไม่เห็น เราสองคนแทนที่จะกลัวหรือกังวล หรืออะไรก็ตามที่จะเป็นการให้เกียรติพลังธรรมชาติหน่อย แม่งไม่มีอะ ตื่นเต้น กินไปถ่ายรูปไป เดี๋ยวขึ้นเบาะเดี๋ยวลงเบาะ (อันนี้ตูเป็นอยู่คนเดียว รถทหารแบบนี้โขยกเขยกหนักมาก ถ้าอยากถ่ายรูปดีๆ บางทีต้องลงไปคุกเข่ากับพื้นรถจะช่วยได้นิดหน่อย)

ธรรมชาตินี่ช่างงดงามและทรงพลัง ภูเขาถูกฉาบด้วยสีขาว ม้าฝูงเริ่มมีให้เห็น มันยืนนิ่งๆ คงรอให้ยามลำบากนี้ผ่านไป นักเดินทางปลื้มถนนช่วงนี้ ชอบมากๆ ทั้งสวยทั้งน่าหวาดเสียวถนนขี้เป๊อะลื่นแป๊ด รถแต่ละคันประคองตัวไปกันอย่างช้าๆ มีไฟหน้าเท่าไหร่เปิดเต็มที่ เพราะต่างคนต่างก็มองอะไรไม่ค่อยจะเห็น อย่างน้อยให้คนอื่นเห็นเราก็ยังดี

เราเห็นรถตกข้างทาง ๒ เคส มีรถลากมีเจ้าหน้าที่ฝ่าแรงหิมะออกมาดูแลกันแล้ว จากนั้นราวหนึ่งชั่วโมงหลังล้อหมุน ฟ้าด้านบนเริ่มเป็นสีฟ้า ไม่รู้ลมกับหิมะที่โปรยปรายสลายหายไปไหน เราเริ่มเห็นทางข้างหน้าชัดขึ้น เช่นเดียวกันกับสองข้างทางอันเวิ้งว้าง สุดลูกหูลูกตา

ทิวทัศน์ต่อมาเป็นช่วงสั้นๆ ที่เราโปรดปรานสุดๆ คือเป็นช่วงที่ไม่มีหิมะก้อนๆ ปลิวว่อนแล้ว มีแต่ภูเขาราดไอซิ่งขาวๆ แดดบด และฟ้าสีฟ้าผลุบโผล่อยู่ข้างหลังเมฆเลือนๆ มันเป็นส่วนผสมที่ประหลาดสุดๆ มองดูแล้วเหมือนไม่ได้อยู่บนดาวโลก

ก่อนฟ้าจะเปิด เหมือนกำลังอยู่ตรงปลายๆ ของก้อนลมและหิมะ เราก็แวะจอดที่หัวโค้งหนึ่ง ซึ่งมีระดับสูงขึ้นกว่าถนนโดยรวมนิดหน่อย จะเรียกว่าเป็นโค้งและเนินน้อยๆ ก็คงจะได้ ลมแรงมากที่สุด ทั้งทริปไม่เจอตรงไหนอีกแล้วที่ลมแรงและหนาวหนักขนาดจุดนี้ ตาบิลบอกว่า เป็นจุดพักรถของนักเดินทาง แต่เราก็ยังไม่ได้ออกเรี่ยวออกแรงอะไรถึงจะต้องได้สิทธิ์พัก แต่ได้ลงไปวิ่งเล่นก็ดีใจ เรามีถุงมือดีๆ นะ แต่วันแรกๆ ยังลืมหยิบตลอด มือไร้ถุงมือมีชีวิตอยู่นอกกระเป๋าโค้ทได้แค่ไม่กี่วิ ต้องรีบกดชัตเตอร์แล้วซุกเข้ากระเป๋าทันที ปูวิ่งลงมาแล้ววิ่งกลับไปเอาถุงมือบนรถอีกรอบ
ตาบิลตะโกนแข่งเสียงลมอธิบายเรื่องหินนักเดินทางก่อนเดินวนรอบกองหินสามรอบ กองหินนี้นักเดินทางจะหยิบก้อนหินจากพื้นที่ด้านนอก มาสามก้อน แล้วเดินวนกองหินสามรอบ ไม่แน่ใจว่าบังคับด้านวนเหมือนเวลาเราประทักษิณาเวียนเทียนรึเปล่า แต่ละรอบจะโยนหินที่เราถืออยู่เข้าไปในกองหนึ่งก้อน เป็นการขอพรให้การเดินทางราบรื่นปลอดภัย
เราหมายตาไว้ว่าจะทำบ้าง แต่ตรงนี้ไม่ไหว หนาวไปมากโว้ย

หมายเหตุ : รูปหมาที่ถ่ายมานี่ไม่เห็นนะว่ามีแม่หมาอยู่ด้วย เห็นแต่ลูกหมาเล่นหิมะอยู่ คือลมแรงมาก ลืมตาเต็มๆ แทบไม่ได้เลย

หน้าหนาวอันขาวโพลนกำลังจะจากไปอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว มัวแต่อินหิมะมาข้ามคืน อาจจะหลงลืมไปแล้วว่า นี่ตูมาทริปทะเลทรายนะนี่นะ คิดถึงทรายทรายก็มา จากละอองหิมะสีขาวที่ฟุ้งอยู่ในอากาศ อยู่ๆ ก็เปลี่ยนไปกลายเป็นละอองสีน้ำตาล ได้ยินเสียงแสกๆ ของเม็ดทรายที่ปะทะกระจกรถตามแรงลมจะหอบมา เรายังคงเห็นริ้วขาวๆ ของหิมะที่ตกค้างตามเนินทรายและกระจุกต้นหญ้า แต่ก็เริ่มบางตาลง เผยให้เห็นพื้นที่แท้จริงของบริเวณรอบๆ ที่เป็นดินทรายสีน้ำตาลแดง ฝุ่นทรายทำให้ท้องฟ้าที่เราเห็นกลายเป็นสีเบจ จางบ้างหนาบ้างตามแต่สายลม เราเริ่มเห็นฝูงสัตว์มากขึ้น พวกมันก้มหน้าก้มตาแทะเล็มอะไรสักอย่างบนพื้นดินแดงว่างเปล่า ในสายตาเราเหมือนมันกำลังอุปาทานหมู่เดินขยับปากอย่างไร้ความหมายกันเป็นฝูงๆ

ประเทศมองโกเลียเป็นประเทศที่กว้างใหญ่มาก ภูมิประเทศก็ช่างเวิ้งว้าง ผู้คนสัญจรด้วยยานพานะอะไรสักอย่างระหว่างรถยนต์ดีๆ กับขี่สัตว์ มอเตอร์ไซค์มีให้เห็นบางตา เราเจอคันนึงฝ่าพายุทรายอยู่อย่างทรหด ช่วงพายุทรายนี้ (เอาจริงๆ คงไม่ถึงขั้นพายุ แต่สำหรับเราก็ขอเรียกให้เวอร์ๆ ไว้ก่อน) เราไม่ค่อยชอบ มันไม่สวย และออกไปทางน่ากลัว (ทีหิมะลื่นๆ ล่ะไม่กลัว) ดูจากภาพอาจจะเหมือนว่าร้อน แต่ความจริงยังคงหนาวเหน็บไม่เปลี่ยนแปลง

คณะของเราแวะทานมื้อเที่ยงที่เลทไปมากที่เมืองแห่งหนึ่งในเวลาบ่ายสาม เพิ่งเอาพิกัดไปค้นชื่อตะกี้พบว่าเมืองชื่อ Mandalgovi ถ้าค้นใน Google map จะรู้สึกว่าเป็นเมืองใหญ่ ถึงขนาดมีสนามบินด้วยนะ เมืองนี้อยู่ห่างจากอูลานบาตอร์ ๓๐๐ กิโลเมตรเป๊ะๆ ซึ่งเราใช้เวลาเดินทางปาไป ๕ ชั่วโมง นับจากตอนแวะซื้อของสด โดยแวะแค่ที่เดียวแป๊บเดียวเท่านั้นตรงจุดพักรถ

บรรยากาศเมื่อลงจากรถ ลมแรงมาก และยังหนาวจัด ลมพัดมามีแต่ฝุ่นทราย เข้าหูเข้าตา ทุกคนรีบพุ่งเข้าไปในร้านอาหาร ผลักประตูหนักๆ ปิดไว้เบื้องหลัง ถนนหน้าร้านอาหาร ร้าง ต้องใช้คำนี้ถึงจะเหมาะ มันเงียบกริบ ไร้ซึ่งสัญญาณการมีอยู่ของผู้คน อาคารแต่ละหลังไม่มีเล่าเต๊ง บ้างวัสดุฉาบกะเทาะเผยให้เห็นเนื้อปูนข้างในเว้าๆ แหว่งๆ ต้นไม้พญาไร้ใบยืนต้นโกร๋นสู้ลม โชว์กิ่งก้านฟอร์มสวยแต่ดันทำให้บรรยากาศดูหลอนเข้าไปอีก เราคุยกับปูว่า นี่แม่งฉากหนังทริลเลอร์ชัดๆ ที่ตัวเอกหลงทางมาเจอเมืองประหลาดๆ ที่เต็มไปด้วยฆาตรกรโรคจิต ส่วนมากไอ้หนังพวกนี้ ไอ้ตัวแรดๆ กับตลกๆ มันจะตายก่อน ดีนะเราเป็นคนเงียบๆ เรียบร้อย

อาหารมื้อแรก เป็นผัดผักเนื้อแกะราดข้าว
ตอนนั้นหิวมากๆ รู้สึกว่าอร่อยมาก ข้าวก็โอเค ก่อนจะมานี่เราเคยกินแกะครั้งสองครั้ง เกลียดเข้าไส้เพราะสาบมาก ต้องกินกับไอ้ดิปปิ้งที่เหมือนยาสีฟันใกล้ชิดรุ่นโบราณนั่นน่ะ แต่แกะจานนี้ไม่สาบเลย ถึงอย่างนั้นก็กินไม่หมด เพราะเขาให้มาเยอะมาก ดูจากในรูป มันมีข้าวแค่ตรงด้านขวาเท่านั้นจริงๆ ที่พูนอยู่นั่นคือเนื้อแกะทั้งหมด ระบบการย่อยตูจะปรับตัวทันมั้ย ถาม..

ที่มองโกเลียนี่ จะกล่าวว่าปลูกข้าวไม่ได้ ก็อาจจะตีรวมไปหน่อย มันคงมีบางพื้นที่ปลูกได้
แต่บอกได้ว่าข้าวสวยคือของนำเข้า เขาจึงไม่ได้ให้เรากินเยอะแยะอะไร เนื้อสัตว์ต่างๆ ต่างหาก ที่เป็นของต้นทุนต่ำ กินกันเข้าไปสิ กินเอาอิ่ม ผักก็มีให้กินน้อยเช่นกัน เพราะพื้นที่นี้ปลูกไม่ได้ ต้องขนส่งมากจากภาคเหนือและตะวันตกเฉียงเหนือที่เขียวขจี (และทีแรกมีความคิดว่าจะไปเที่ยวโซนนั้น แต่เปลี่ยนใจมาโกบี)


ที่จริงแล้วแผนวันนั้นเราจะต้องไปนอนในทะเลทรายโกบีกันเลย แต่บิลบอกแล้วว่า เนื่องจากเสียเวลาไปมากในช่วงต้นของการเดินทาง เราจะไปไม่ถึงตามเป้าแล้วนะวันนี้ โดยจะได้นอนค้างคืนในเมืองที่ขอบทะเลทรายแทน โลยาซึ่งพูดภาษาอังกฤษไม่ได้เลย เป็นสายมวลชน แกรู้จักพนักงานทุกคนในร้านอาหารก็ไม่แปลกเพราะแกคงขับรถให้คณะทัวร์มานานแสนนาน แต่แกดันทักทายพวกคนที่เข้ามากินในร้านด้วยอย่างครึกครื้น ในขณะที่ตาบิลไกด์ของเรา ซึ่งเรามีความรู้สึกว่าแกน่ะมือใหม่ กลับเงียบขรึม ออกไปทางเก๊ก ซึ่งทริปนี้เราจะเปิดฉากการเม้าท์ตาบิลไปด้วยตลอดทาง เพราะมันเป็นสิ่งที่แยกออกจากการเดินทางของเราไม่ได้เลย

บิลบอกว่า แกไปอยู่อเมริกามาสิบเอ็ดปี แต่สำนึกรักบ้านเกิดจึงกลับมาตั้งรกราก แต่งงานมีลูกที่มองโกเลีย มิน่าภาษาอังกฤษแกเลิศ แต่ทักษะการฟัง และความเข้าใจดันไม่ค่อยดี เวลาเราพูดอะไร แน่นอนสำเนียงเราห่วย แต่เขาเป็นฝ่ายคุ้นกับภาษาอังกฤษมากๆ ควรจะฟังคนพูดเหน่อได้เข้าใจมากกว่าสิ หลายๆ ครั้ง แกตีความเราผิด และด้วยทัศนคติ บางครั้งเหมือนจะเข้าใจไปคนละทิศละทางเลย ใช้เวลาสองวันถึงจะรู้ตัวว่า คุยกับคนคนนี้ (หรือคนประเทศสังคมนิยม อันนี้ไม่กล้าเหมารวม เพราะไม่ได้คุยกับคนอื่นมากนัก) ต้องระวังตัวมากๆ ความที่เราชอบคุย ชอบถามนั่นนี่ ก็มีพลาดไปหลายช็อตเหมือนกัน

มุกแรกที่ทำให้เราสงสัยว่าบิลจะนู้บ (อย่างน้อยก็เส้นทางนี้) คือที่ผนังร้านอาหารมีแผนที่แปะอยู่ บิลพาเราสองคนไปยืนดูแล้วอธิบายว่าเรามาจากตรงนี้ ตอนนี้เราอยู่ตรงนี้ และเย็นนี้เราจะไป.. เอิ่ม หยุดไปพักนึงแล้วเอานิ้วจิ้มผนังด้านล่างใต้แผนที่ราวๆ ฟุตนึง เราฮากันเพราะว่ามันทะลุแผนที่ แต่อีนี่สะดุดแว้บ ว่าถ้าแกเดินทางเส้นนี้บ่อยๆ แกก็ต้องแวะร้านอาหารนี้บ่อยๆ และทำสิ่งนี้มาหลายครั้งแล้ว แกไม่รู้ได้ไง ว่าแผนที่มันเป็นแค่แผนที่จังหวัด ไม่ใช่แผนที่ทั้งประเทศ แอบคิดในใจ กูว่าไกด์กูนู้บชัวร์ ไว้คอยดูกัน

เราเข้าห้องน้ำแบบปกติมนุษย์อีกครั้งที่ร้านอาหาร โลยาแวะเติมน้ำมันที่ปั๊ม แล้วเราก็มุ่งหน้าไปกันต่อแบบไม่มีหยุดมีพัก เป้าหมายค่ำนี้คือเราต้องไปถึงเมือง Dalanzadgad ซึ่งห่างออกไปอีก ๓๐๐ กม.เป๊ะๆ เช่นกัน

มาถึงตอนนี้ละอองฝุ่นทรายเริ่มลดลงแล้ว ถนนมองเห็นได้ชัดถนัดตา เริ่มเห็นฝูงสัตว์ดูมีชีวิตชีวาขึ้น สวนทางกับร่องรอยการมีมนุษย์ก็ค่อยๆ จางหายไป ไม่มีรถสวนทาง ไม่มีรถอยู่ข้างหน้า และข้างหลังเป็นเวลานานๆ บิลบอกว่า จะรู้ได้ไงว่าถึงโกบีแล้ว ก็เมื่อเราเริ่มเห็นฝูงอูฐ

ฝูงอูฐแรกที่เราได้เห็นปรากฏตัวขึ้นเป็นจุดดำๆ ที่เส้นขอบเขาในเวลาห้าโมงครึ่ง ตั้งแต่ออกจากร้านอาหารมา สัญญาณอินเตอร์เน็ตเราก็ออนๆ ออฟๆ เหมือนความสัมพันธ์ของชั้นกับกรุงเทพฯ นี่ขนาดใช้ยี่ห้อที่เขาบอกว่า เหมาะกับ Country side ละนะ คือติดต่อได้ แต่ไม่ได้เดี๋ยวนั้น ต้องรอแพ้บ ซึ่งความรอแพ้บนี้มันคือกินแบตเอาเรื่องอยู่ เราใช้เวลาสักพักก็เรียนรู้ว่า พอสัญญาณเข้า จะอ่านอะไรก็อ่านๆ เข้า เสร็จแล้วก็พิมพ์ตอบไปให้หมด แล้วให้มันหมุนติ้วๆ ไป พอเราเริ่มจะลืมๆ สัญญาณก็เกิดจะเข้ามา แล้วข้อความก็ถูกส่งออกไปเองแหละ เรื่องแบตเตอรี่ของอุปกรณ์อิเล็คทรอนิกส์ก็เป็นอีกปัจจัยที่เราจะต้องละเอียดถี่ถ้วนและวางแผนให้รอบคอบ ไม่งั้นเป็นอันหมดสนุกแน่นอน

เราเริ่มสังเกตเรื่องแสงแดด อีตอนที่ดูแดดเย็นแล้วคิดว่า วันนี้พระอาทิตย์ตกน่าจะสวย เลย Google ดูว่าพระอาทิตย์ตกกี่โมง พระอาทิตย์ที่นี่ตก ทุ่มสี่สิบห้าว่ะ ไม่รู้มาก่อนเลย ตอนเช้าก็สว่างเร็ว ตอนเย็นยังมืดช้าอีก คุ้มสุดคุ้ม มีเวลาเที่ยวเยอะมาก ชอบ ฮ่าๆ เราเลยบอกบิลว่า ตอนพระอาทิตย์จะลับขอบฟ้า ขอแวะถ่ายรูปหน่อยได้มั้ย บิลบอกว่าได้ และปรึกษากับโลยาว่าจะจอดตรงไหน เรากับโลยาพูดคนละภาษาแต่พูดพร้อมๆ กันด้วยความหมายเดียวกันว่า
จอดตรงที่มันมีอูฐ

ก่อนจะถึงจุดนั้นเราได้เจอไซก้าก่อน

เราไม่รู้เลยว่ามันเป็นไซก้าจนกระทั่งกลับมาไทย บิลบอกว่า เดียร์ เอิ่ม แอนทีโลปน่ะ สัตว์ป่าฝูงแรกที่เราเจอ สองหนุ่มมีเมตตาจอดรถให้ดู พวกมันอยู่ไกลมากแล้วก็รับรู้ถึงการมาของเราแล้วก็ตั้งท่าจะวิ่งหนี เราต้องค่อยๆ ขยับช้าๆ แอบอยู่ข้างรถ แล้วพยายามถ่ายรูปมันด้วยเลนส์เทเล แต่ความถ่ายไม่ชัดนี้โทษใครไม่ได้เลยนอกจากตัวเอง ทั้งมือไม่นิ่ง (โทษลมและความหนาวได้มั้ย) ทั้งไม่เอากล้องไปให้ร้านดูซะทีว่าที่โฟกัสไม่ค่อยเข้านี่อุปกรณ์มันเริ่มบุบสลายแล้วใช่ไหม มองไกลๆ มันก็กวางนั่นแหละ แต่ที่เรามาค้นจนพบว่ามันคือไซก้า ก็เพราะเวลาซูมดูรูปแล้ว หน้ามันโหนกๆ ชอบกล นี่ถ้ารู้ตั้งแต่ตอนนั้นว่าเป็นมัน จะยิ่งตื่นเต้นจนมือไม้สั่น เพราะว่าไม่เคยคิดว่าจะได้เจอตัวจริงๆ ในธรรมชาติ

ไซก้าหรืออีกชื่อคือ กุย เป็นสัตว์เฉพาะถิ่นพบได้ในไซบีเรียและมองโกเลียเท่านั้น และใกล้สูญพันธุ์โคตรๆ มันเป็นกวางตาหวาน หน้างวงๆ หน้าตาน่ารัก แบ๊วเหมือนกระต่ายยักษ์สูงโย่ง
เคยรู้จักมันจากสารคดี และมาหาอ่านเพิ่มอีก ช่างเป็นบุญตาจริงๆ ที่ได้พบ มันอยู่ในหมวดสัตว์เสี่ยงขั้นวิกฤติต่อการสูญพันธุ์ ด้วยวิถีชีวิตของมันเองและปัจจัยคุกคามภายนอก ในวิกิบอกว่าไซก้าอาจจะอยู่กับเราอีกไม่นานแล้ว เพราะว่าวิถีชีวิตมันวอนตายมาก
๑. มันฆ่ากันเองช่วงผสมพันธุ์ ต้องสู้ถึงตาย
๒. ถูกมนุษย์ล่า (อีพวกชั่ว)
๓. มันแพ้เชื้อโรคระบาดบางอย่าง การตายหมู่เริ่มพบครั้งแรกเมื่อปี ๒๐๑๕

แม้ว่าจะลำบากขนาดไหน ขอสวดแผ่เมตตาให้น้องๆ ไซก้าทั้งหลาย ได้มีชีวิตอยู่กันต่อไป ออกลูกออกหลานกันเยอะๆ ให้ชนะการสิ้นเผ่าพันธุ์ด้วยเถอะเพี้ยง

ไซก้าผ่านเลนส์ซูมคมๆ ในอินเตอร์เน็ต ตาดำขลับแป๋วแหวว ขนดูสั้นๆ นุ่มๆ โคตรอ่อนโยนน่ารัก ส่วนไซก้าในระยะห่างไกลในธรรมชาตินั้นก็น่ารักมากไม่แพ้กัน วิ่งตูดกระดุ๊กๆ หนีเปิงเวลารถเราวิ่งผ่าน และก้มหน้าก้มตาแทะความว่างเปล่ากันงิกๆๆ เวลาคิดว่าตัวเองปลอดภัยดี

หมายเหตุ : ภาพตอนพบไซก้านี่คือเวลาหนึ่งทุ่มตรงจ้ะ แสงกำลังอุ่นๆ

และแล้วก็มาถึงเวลาที่รอคอย ฝูงอูฐย้อนแสง โลยาพบฝูงอูฐในเวลาที่พระอาทิตย์กำลังร่วงลงแตะเนินเขา ตะแกหักขวาตั้งฉากกับถนน แล้วขับออกจาถนนไปเลย

เมื่อลงจากรถที่อบอุ่นด้วยฮีตเตอร์ ข้างนอกที่ดูสงบนิ่งเมื่อมองจากอีกด้านของหน้าต่าง กลับไม่เป็นอย่างที่คิด ลมแรงมากและหนาวมากเช่นเคย แสงสีส้มของพระอาทิตย์ยังให้ความอบอุ่นได้ไม่พอ อูฐฝูงยืนชิวที่เส้นขอบฟ้า เป็นแบบให้เรา ถึงเราจะวิ่งไปวิ่งมากรี๊ดกร๊าด มันก็ไม่ค่อยจะเดือดเนื้อร้อนใจเท่าไหร่ หันมามอง เลิกคิ้วนิดนึงแล้วเล็มตอหญ้าเตี้ยๆ ต่อไป

เราถึงที่พักตอนสองทุ่มนิดๆ ฟ้ายังไม่มืด ยังมองเห็นบริเวณโดยรอบ โลยาพยายามสอนเราออกเสียงชื่อเมืองนี้ Dalanzadgad มันฟังดูคล้ายๆ ดาลันซ์ข์ซัคซ์ซ์ข์กัด พยายามออกเสียงตามจนรู้สึกว่ามันไม่น่าใช่ทางของกูละ เลยเลิก

อย่างที่เล่าไปแล้วว่า เมือง Dalanzadgad นี้อยู่ขอบทะเลทรายโกบี บ้านเรือนมีทั้งแบบบ้านสมัยใหม่ แต่หนาเตอะและปิดมิดชิด และแบบเกอ เกอทูเกอ เป็นคำที่เราจะพบได้ตามบริษัททัวร์มองโกเลีย มันหมายความว่านอนเกอทุกคืนและเปลี่ยนที่นอนไปเรื่อยๆ เกอคือที่พักแบบรื้อถอนได้อย่างหนึ่ง ซึ่งเราจะอธิบายในภายหลัง แต่สำหรับคืนแรกนั้น เรานอนเกอที่อยู่ในชุมชน เจ้าของบ้านนอนบ้านอิฐปกติ แต่สร้างเกอไว้รับแขกในบริเวณรั้วล้อมมิดชิด มีเสียงหมาตัวใหญ่เห่าจากมุมบ้าน ซึ่งบิลบอกว่าเป็นหมาข้างนอก (อีบิลมึง หมาอยู่ข้างในโว้ย)


บิลกับโลยาตุ้มเอากระเป๋าเดินทางเราเข้ามาไว้ในเกอ ก่อไฟในเตาให้ความอบอุ่น แล้วบอกว่าจะไปทำอาหารเย็นละ เขาอยู่เกอข้างๆ จะเอาอะไรก็เรียก ไดอะล็อกนี้เป็นไดอะล็อกปกติ เรารับปากว่าโอเค แต่ไม่เคยเรียกขออะไรเลยตลอดทั้งทริป

เราได้เห็นหน้าเจ้าของบ้านแว้บๆ ไม่นานฟ้าก็มืดสนิท เราผลัดกันออกไปเข้าห้องน้ำที่เป็นส้วมหลุมแห่งแรกของทริปนี้ ส้วมหลุมนี้ตั้งอยู่มุมหนึ่งของบริเวณบ้าน ชิดรั้ว เป็นส้วมนั่งราบที่ต่อเนื่องกับหลุมลึกด้านล่าง ยกเว้นเรื่องระบบส้วมแล้ว ห้องน้ำเขาเหมือนปกติบ้านเราทุกอย่าง มีทิชชู่ มีชั้นวางของจุกจิก มีสเปรย์ดับกลิ่นกระป๋องโตด้วย

ห้องน้ำนี้ความที่อยู่มุมและปิดมิดชิด กลิ่นนี่ไม่ต้องพูดถึงเลย เราสองคนเริ่มต้นปรึกษากันว่างดน้ำงดอาหารแม่ง ไม่อยากเข้าส้วม แต่คิดอีกที อย่าทำร้ายร่างกายเช่นนั้นเลย เรามาตั้งหน้าตั้งตากินแม่งทุกอย่าง แล้วก็เข้าส้วม (และไม่ส้วม) ทุกครั้งที่ต้องการกันดีกว่า มันเฮ้ลที่กว่ากันเยอะ

เกอของเราเป็นเกอสองเตียง น่าจะเป็นขนาดเล็กสุดแล้ว มีหลอดไฟหนึ่งดวง และปลั๊กเสียบกาน้ำร้อน ซึ่งก่อนมาเขาบอกว่าเกอจะชาร์จแบตไม่ได้ แต่นี่เรานอนเกอในเมืองเลยมีที่ชาร์จ ถึงการลากสายพ่วงไปมา จะดูน่าหวาดเสียวโดนไฟดูด แต่เราก็จัดเต็มทุกดีไวซ์ฮะ

ความสุขของการนอนเกอก็คือตรงกลางจะมีปล่องเหล็กต่อเนื่องจากเตาเหล็กส่งควันออกสู่ภายนอก เมื่อก่อไฟในเตาเหล็ก ความร้อนจะค่อยๆ แผ่ออกมา ทั่วเกอจะอบอุ่นสบาย ระบบของเตาคงคิดมาดีมาก ควันจะแทบไม่ออกมารบกวนในเกอเลย เว้นแต่บางเกอที่เตาไม่ค่อยจะดี
ข้อเสียคือ
๑. มันใช้ฟืน เสียดายไม้ซึ่งหาได้ยากยิ่งที่โกบีนี่
๒. พอดับแล้วโคตรหนาว มันไม่อยู่ยาวไปทั้งคืน ต้องคอยตื่นมาเติม
๓. รอยต่อระหว่างปล่องกับหลังคา หลายๆ เกอต่อไม่สนิท ลมแม่งถือโอกาสสวนเข้าตรงนั้นแหละ
๔. เห็นเสาอยู่กลางบ้านไม่ได้ ชิน ชอบเอามือไปจับ ร้อนจนร้องแว้กไปหลายที

อาหารเย็นเสร็จตอนสามทุ่มครึ่ง ดึกเวอร์ แต่ก็ไม่ค่อยเดือดร้อนเพราะขนมเยอะ เอาขนมจากชุมพรติดไปด้วย มีกล้วยฉาบกับกล้วยเล็บมือนางอบน้ำผึ้ง ขนมห่อๆ น้ำหวานก็มีที่ซื้อไว้ มาม่าพกมาถึง ๖ กระป๋อง
ตาบิลทำข้าวต้มซุปมันฝรั่งใส่เนื้อแกะบางเบา แกบอกว่าสังเกตว่าเรากินเนื้อกันได้น้อย แกเลยลองใส่น้อยๆ ดู เราก็พยายามบอกแกว่า มันอร่อยแหละ แต่มันเยอะไป และหนักไปมากสำหรับเรา ลดเนื้อลงก็ดีแล้ว นี่บางทีก็สงสัยนะว่ามีแต่บ้านเรารึเปล่าวะที่กินไม่ค่อยเยอะ (แต่กินหลากหลายและจุกจิก) เวลาไปที่ไหนๆ ก็เจอปัญหาให้อาหารเยอะไปทุกครั้งเลย

เรากินเสร็จก็วางไว้ที่โต๊ะ เพราะไม่รู้ต้องเอาไปไหนอย่างไร ตอนมาถึงเกอทีแรก เราลองเอาน้ำอัดลมขวดนึงไปวางไว้บนกรอบประตูเกอด้านนอก ก็ได้อีตู้เย็นธรรมชาตินี่ล่ะ ชั่วโมงเดียวเท่านั้น เย็นเจี๊ยบชื่นใจแบบที่ตู้เย็นบ้านเรายังทำไม่ได้เลยนะ ดื่มน้ำอัดลมอร่อยมากๆ

บิลกับเจ้าของเกอเข้ามาเติมถ่านให้อีกครั้งแล้วทุกคนก็เข้านอน เราซึ่งปรับตัวเข้ากับสิ่งต่างๆ ได้เป็นอย่างดี วนเวียนเข้าห้องน้ำมันอยู่นั่น ไม่ใช่ว่าปลื้มปริ่มหรือติดกลิ่นนะ แต่เดินทางทั้งวันไม่เป็นอิสระทางการขับถ่าย พอได้มีส้วมหลุมที่เดินไปเข้าได้ตลอด มันก็เลยต้องขอทบต้นทบดอกนิดนึง

คืนนั้นกว่าจะหลับได้ เราก็วิ่งเข้าวิ่งออกถ่ายรูปดาวเต็มฟ้า ประตูเกอจะเล็กและต้องก้มตัวเวลาเข้าออก คงเพราะป้องกันการสูญเสียความร้อนด้วย และเพราะโครงสร้างของเกอด้วย กูก้มแต่ละทีก็ปวดหลังแอ้กๆ แต่ไม่ให้วิ่งไปวิ่งมาก็ทำไม่ได้ ดาวโคตรสวย อากาศโคตรหนาว ตกกลางคืนก็อยู่ประมาณ ๖ องศา และกลางดึกมีติดลบหน่อยๆ ยังได้ยินเสียงหมาเห่าทึบๆ เหมือนว่าตัวมันใหญ่มาก นอกนั้นเงียบเหลือเกิน แทบจะได้ยินเสียงดาวกระพริบ