พิดโลก-เขาค้อ 1st Trip after 2nd shot

ก่อนล็อคดาวน์หลังสงกรานต์ 2564 เพื่อนสองคนสุดท้ายที่เรากินข้าวด้วยคือกอล์ฟติ๊ก ตั้งแต่ต้นเมษาที่ทำงานให้เริ่มต้น Work from home 100% อีกครั้ง เราก็อาศัยอยู่คนเดียวในบรรยากาศซุปเปอร์แมกซ์มาตลอด ตัดความอยากได้ใคร่ดี อิสระเสรีภาพใดๆ เอาใส่กล่องแล้วเก็บซ่อนในห้องลึกสุดใน mind palace ล็อคกุญแจแล้วทำเป็นลืมไปว่ามันมีอยู่ นานจนจำไม่ได้ว่าลมพัดผ่านหน้ามันรู้สึกยังไง การได้ขับรถบนถนนโล่งๆ มันกระตุ้นหัวใจขนาดไหน จำเสียงสายน้ำอื่นนอกจากน้ำประปาไม่ได้ มีแค่เสียงนกร้องที่ระเบียงทุกวันที่คอยเชื่อมโยงคนนั่งทำงานพิมพ์คอมพ์ก๊อกๆ เข้ากับโลกข้างนอก ที่หยุดหมุนไปชั่วขณะ

ครึ่งปีต่อมา เมื่อหลายคนทยอยได้วัคซีนเข็มที่สอง เพื่อนๆ เริ่มชักชวนกันกลับสู่โลก เรามีธุระได้ออกข้างนอกมาแล้ว 2 ครั้ง แต่ยังไปด้วย Save mode ไม่ได้เปิดเครื่องแบบเต็มกำลังเหมือนเคย ครึ่งปีที่อยู่คนเดียวเงียบๆ เหมือนเก็บตัวเองให้อยู่ในโคม่า รอวันโควิดหมดไปถึงค่อยฟื้น เหมือนใช้ตัวตนอีกบุคลิกมาคุมเครื่องจักรระหว่างที่ตัวจริงหลับใหล หลังจากทบทวนอยู่หลายตลบ มันก็ถึงเวลาที่จะปลุกตัวเองให้คืนกลับสู่โลกได้แล้ว เจ้าโควิด เราต้องอยู่กับมันไปอีกนาน งั้นเริ่มเลยละกัน

และครอบครัวเพื่อนรักก็ยังคงเป็นมนุษย์กลุ่มแรกที่เราเที่ยวด้วยหลังสภาวะซุปเปอร์แมกซ์ สมัยก่อนมันสองคนมีลูก เราเคยหัวหกก้นขวิดกันอยู่ตามป่าเขาและอุทยานแห่งชาติต่างๆ พร้อมโอริหมาร้อยดอยที่สูงวัยไปดาวหมาแล้วหนึ่งตัว ถึงแม้งานการพวกเราจะค่อนข้างมั่นคง แต่พวกเรางกและชอบนอนเต็นท์ ครั้งนี้ถือว่าเป็นทริปแรกนำร่องหลังจากไม่ออกเดินทางมาซะนาน เลยเลือกนอนเต็นท์คืนแรก และนอนรีสอร์ทคืนที่สองจะได้ไม่ลำบากมาก เราเซ็ตเส้นทางที่ชำนาญจะได้ไม่ลุ้นเจอเซอร์ไพรส์โดยเดินทางเป็นวงกลมรอบทิวเขาเพชรบูรณ์ เริ่มต้นขึ้นจากทางด้านซ้ายและแวะนอนคืนแรกที่ ต.บ้านมุง อ.เนินมะปราง จ.พิษณุโลก

อากาศปีนี้และหลายปีก่อนหน้านี้แปรปรวนมากเนื่องจากสภาวะโลกร้อนที่มันเกินจะเยียวยาแล้ว ปีนี้ฝนตกชุกยาวนานและมีพายุติดๆ กันหลายลูก ณ ขณะนี้เองเราก็ยังลุ้นน้ำท่วมกันอยู่ ทั้งๆ ที่ลมหนาวก็แหลมหน้าพัดมาทักทาย เราเลือกจองที่พักที่เป็นกระท่อมไว้กางเต็นท์ด้านบน เผื่อฝนตกจะได้ไม่นอนชื้นมาก เพราะอุปกรณ์ที่เก็บกรุมานานยังไม่ค่อยพร้อม เนินมะปรางจะดัง จะดังมาหลายปี น่าจะเปรี้ยงปร้างไปกว่านี้แล้วถ้าไม่โดนคุณโควิดเตะสะกัดขา เราไปที่นี่มาหลายครั้งมาก เริ่มตั้งแต่เป็นที่รู้จักแรกๆ ที่จะนอนยังไม่ค่อยจะมี น่าดีใจที่ปีนี้มีที่ใหม่ๆ เกิดมาพร้อมรองรับนักท่องเที่ยวมากขึ้น ขณะเดียวกันก็มีร่องรอยของหลายกิจการที่ต้องพังพาบไปเพราะขาดรายได้นานเป็นปีๆ

วันแรก

สัปดาห์สุดท้ายของเดือนตุลาคม พวกเราลางานวันศุกร์และเดินทางโดยรถคุณเพื่อนขับมือเดียวถึงเนินมะปรางตอนบ่ายๆ ระหว่างทางเสียวน้ำท่วมเหมือนกันเพราะว่ากำลังเอ่อล้นเลยเชียว เราไม่ได้เช็คฤดูทำนาก่อนแต่โชคดีชะมัด มองไปทางไหนก็มีแต่ท้องนาสีเขียวสว่างสดใส ท่ามกลางแดดจ้า และฟ้าเป็นสีสดเหมือนตัดแปะ สมาชิกในทริปนอกจากผู้ใหญ่สามคนก็ยังมีน้องคุณหลานรักที่ไม่ได้เจอกันนานคิดถึงมาก เราจองที่พักเป็นแคมป์ไซต์ยี่ห้อ “บ้านมุงแค้มป์” หรืออีกชื่อคือ “หมาบ้าใจดี” ที่มีทำเลสวยสุดๆ ในอ้อมกอดภูเขาทั้งหน้าและหลัง แถมยังได้นอนกระท่อมหลังสูงที่วิวดีกว่าชาวบ้านแบบบวกเมตรครึ่ง เราสี่คนกรี๊ดกร๊าดกับวิวเสร็จแล้วก็ช่วยกันกางเต็นท์หลังยักษ์แบบสองห้องนอนที่เราเพิ่งมือลั่นกดช้อปปี้มาสดๆ เนื่องจากมีหลังคาสังกะสีคุ้มหัวอยู่แล้ว เลยเลือกที่จะไม่ปิดฟลายชีตด้านบน ปล่อยเปิดเป็นมุ้งโล่งๆ เพื่อระบายอากาศให้เย็นสบายยิ่งขึ้น

กิจกรรมบ่ายนั้นเรียบง่ายมากๆ เราขับรถเล่นชมวิว ไปตลาดหาของกินที่ยังขาด ซึ่งก็ไม่เยอะเพราะเตรียมมาแล้วพอสมควร แต่ตื่นเต้นกับมะนาวมาก ทั้งขายถูก ลูกใหญ่ น้ำเยอะ เป็นปลื้มที่สุด จากนั้นก็ไปนั่งรอชมค้างคาวออกหากิน ซึ่งเป็นไฮไลท์ของที่นี่ เรามาเนินมะปรางหลายครั้งแต่พลาดค้างคาวทุกครั้งด้วยสารพัดเหตุผล (ครั้งหนึ่งคือ ขับมอไซค์หลง กลับมาไม่ทัน) แดดอ่อนๆ ยามเย็นยังมีความร้อนหลงเหลือแต่ไม่มากมาย อากาศดีมาก ลมพัดเรื่อยๆ นักท่องเที่ยวหลายคนมานั่งรอชมค้างคาว เราใส่หน้ากากสองชั้นแนบหน้าจนหน้าเปียก ซื้ออาหารปลาไปโรยในบึงกับน้องคุณอย่างสนุกสนาน แม่ค้าและชาวบ้านพูดคุยแนะนำข้อมูลให้นักท่องเที่ยวกันคึกคัก เราสังเกตว่าของกินเล่น น้ำดื่ม อาหารปลาที่ขายได้ ไม่ได้มากมายอะไร แต่ดูจากท่าทางดีใจของคนขายแล้ว เขาก็คงอยู่กันแบบแห้งแล้งมานานเหลือเกิน มองภูเขาตรงหน้าที่ยอดสูงสุดเห็นธงแว้บๆ เลยเอาเลนส์ซูมดู พบว่ามีคนเดินเขากันอยู่ สนใจมากๆ กะว่าคราวหน้าต้องมาเดินเขาให้ได้เลย

ห้าโมงครึ่ง ฟ้ายังไม่มืด ค้างคาวเช็คเทียบเวลาแม่นเป๊ะแล้วเริ่มบินออกจากถ้ำ พวกมันบินเร็วจี๋เรียงหน้ากระดานต่อเนื่องเป็นสาย และตามที่คุณป้าร้านขายของบรีฟคือมันพยายามยังไม่บินสูงเพราะนกใหญ่อาจจะมาโฉบไปกินได้ กล้องเราเป็นคอมแพ็คล้วนๆ ไม่สามารถถ่ายให้ดีไปกว่าปื้นค้างคาวได้ ได้แต่ดูและพยายามเดินหามุม พอแสงค่อยๆ อ่อนลง สายธารค้างคาวก็ตวัดสูงขึ้นเหนือยอดเขาทำให้มองเห็นได้ชัดขึ้น เราดูอยู่นานมาก และพวกมันไม่มีทีท่าว่าจะหมด เมื่อได้ดูจนจุใจและหิวแล้ว เลยกลับแค้มป์กันดีกว่า

พอฟ้ามืดอากาศก็เย็นสบาย เราปิ้งย่างอะไรง่ายๆ กินกัน (การเผาผลาญที่ต่ำทำให้กินนิดหน่อยก็อิ่มแล้ว ดีจริงๆ) จากนั้นก็เข้าไปนั่งเล่นการ์ดเกมต่อในเต็นท์ยักษ์ที่ซื้อมาเพื่อการนี้ เนื่องจากแพ้ยุงหนักขึ้นทุกวันๆ ถ้าความสุขของการไปแค้มปิ้งคือการนั่งเล่นกับเพื่อนยันดึกดื่น ความทุกข์ก็คือการรักษาแผลยุงหลังจากนั้น 3-4 เดือน ห้องระเบียงมุ้งของเต็นท์ยักษ์จึงช่วยได้เป็นอย่างดี สามคนนั่งล้อมวง แถมเล่นเกมที่ใช้พื้นที่กางการ์ด ยังสบายๆ ยัดพัดลมเข้าไปได้อีกตัว แลกกับน้ำหนักที่ต้องแบก 14 กก. ถือว่าคุ้ม

อุปสรรคชีวิตนิดหน่อยตรงจิ้งจกทิ้งดิ่งลงมาเกาะเพดานเต็นท์ ไม่ว่าจะตรงมุ้งหรือตรงผ้าใบก็มองเห็นได้ชัดจากด้านล่าง มองทีไรก็ขนลุกเกรียวกราว แก๊งเรามีกันสี่คนกลัวจิ้งจกหมดทุกคน บ้าบอจริงๆ อีกอล์ฟเป็นที่พึ่งได้สุดแล้วคือมันดีดจิ้งจกได้สองตัว แมนมากเพื่อน

คืนนั้นนอนสบายๆ ไม่ดึกมาก ทริปผู้สูงอายุกับเด็กก็งี้ เสียงเต็นท์กลุ่มใหญ่ใกล้ๆ เมาและแฮปปี้เบิร์ธเดย์กันซ้ำไปซ้ำมา แต่เราหลับง่าย ฟังอยู่ไม่นานก็หลับ เพิ่งมารู้ตอนเช้าว่าเจ้าของสถานที่ไปตักเตือนแล้วสมาชิกในกลุ่มมีด่ากลับด้วยว่าให้ไปเปิดสถานปฏิบัติธรรมแทน ก็น่าน้อยใจแทนเจ้าของแค้มป์ที่พยายามสร้างสิ่งที่ดีงาม แต่ชีวิตก็เป็นแบบนี้ เราให้กำลังใจและบอกว่าประทับใจมาก และจะมาใหม่อย่างแน่นอน

วันที่สอง

เช้าตรู่ เราสี่คนตื่นขึ้นมาแล้วออกไปวิ่งรวม 3.5 กม. ลัดเลาะภูเขาไปจนถึงปากทางเข้าน้ำตกขุนห้วยเทินซึ่งเราจำชื่อไม่ได้ซักที แล้วก็วนกลับ (ที่พิมพ์อยู่นี่ก็ต้องไปกุ๊กเกิ้นชื่อมา) ที่ทางเข้าน้ำตกมีคุณยายที่ extrovert สุดๆ ท่านนึง โฆษณาให้เราเข้าไปเที่ยวที่น้ำตกให้ได้เลยนะ หยุดคุยกับแกอยู่นานเหมือนกัน บรรยากาศและอากาศช่างดีงาม สองข้างทางสวยมากๆ มีคนออกมาวิ่งกันพอสมควรเลย เราคุยกันว่า ถ้าบ้านอยู่แถวนี้ก็คงออกมาวิ่งทุกเช้าเหมือนกัน ข้างถนนช่วงแรกมีลำรางระบายน้ำเล็กๆ น้ำใสอย่างกับทางระบายน้ำในญี่ปุ่นและมีนกหากินอยู่ใกล้ๆ พอเราวิ่งเข้าไปมันก็บินหนีขึ้นฟ้า นกสีขาวตัดกับท้องนาและภูเขาสีเขียวอ่อนแก่ และดอกไม้ที่ถูกปลูกไว้ตรงนั้นตรงนี้ก็ออกดอกแข่งกันอวดความสดใส

สมาชิกหิวโซกลับมา ติดเตาทำอาหารเช้าง่ายๆ กิน ส่วนเราซึ่งยังไม่ออกจากโปรแกรมไดเอตขั้นรุนแรงที่เริ่มมาตั้งแต่ล็อคดาวน์ ทั้ง IF และคีโต จะว่าชีวิตง่ายก็ง่าย จะว่ายากก็.. นิดหน่อยนะ เราไม่กินข้าวเช้า แต่ใช้เวลาเตรียมอาหารเที่ยงไร้แป้งไร้น้ำตาลสำหรับตัวเองไว้ก่อน จากนั้นเราผลัดกันไปอาบน้ำ และกลับมาปลุกปล้ำเก็บเต็นท์ เก็บข้าวของพร้อมเดินทางกัน เต็นท์ยักษ์นี่เก็บและกางไม่ยากเท่าไหร่ แต่อย่างน้อยช่วยกันสองคนจะดี เพราะมันใหญ่มาก ถ้าทำคนเดียว กว่าจะเดินวน มีเหงื่อตกเหมือนกันแหละ อาจจะต้องวิ่งไปอาบน้ำใหม่อีกรอบ

ออกจากแค้มป์เราแวะที่น้ำตกขุนห้วยเทิน สำหรับเราแล้วที่นี่มีความพิเศษอย่างหนึ่ง คือเมื่อหลายปีก่อนเราบังเอิญมาที่นี่ตอนเขากำลังเปิดเป็นที่ท่องเที่ยวพอดี เรียกได้ว่าเป็นวันแรกๆ เลย หน้าน้ำตกชั้นล่างสุดชันประมาณ 60 องศา มีน้ำไหลแรง แต่ตอนนั้นชาวบ้านกลับเดินสวนน้ำขึ้นไปเฉยๆ พอลองเดินบ้างถึงได้รู้ว่า น้ำตกที่แทบไม่เคยมีใครมาเหยียบเลยเนี่ย มันมีพื้นผิวหินที่หยาบมาก มีแรงเสียดทานสูงมากจนไม่มีความลื่นเลย ถึงได้เดินตัวตรงๆ ขึ้นไปได้สบายๆ สำหรับการไปเยือนครั้งนี้ ลองไปเหยียบที่เดิมดูอีกครั้งพบว่าฟริคชั่นหายไปเยอะเหมือนกัน อีกไม่กี่ปีคงลื่นปื๊ดเหมือนน้ำตกท่องเที่ยวทั่วๆ ไปละแหละ

เราสี่คนเดินไต่ขึ้นไปได้ถึงชั้นสองก็วนกลับ เพราะว่าคนเยอะแล้วก็มีคนสูบบุหรี่ ถ้าไม่เจอคนเยอะแบบนี้ ที่นี่น่าไต่เล่นมาก ทางเดินสนุก น้ำแรง มีมุมให้ถ่ายรูปหรือลงเล่นน้ำหลายจุดเลย แต่วันนี้เราเอาเท่านี้พอ ใส่หน้ากากไต่ทางชัน หอบแฮ่กๆ เลยเหมือนกัน

จุดหมายต่อไปคือจุดชมวิวบ้านรักไทย ทิวทัศน์พิเศษของเนินมะปรางที่ไม่เหมือนที่ไหนคือเขาหินปูนสูงชันตัดกับท้องนาสไตล์ภาคกลาง บ้านรักไทยเป็นหมู่บ้านบนที่ราบบนเขา เพื่อนๆ ถามว่าทำไมได้ยินชื่อหมู่บ้านรักไทยบ่อยๆ ในหลายๆ ที่ เท่าที่จำได้ หมู่บ้านชื่อทำนองนี้ จะเป็นหมู่บ้านที่เคยมีปัญหาความขัดแย้งที่ถูกเรียกว่าคอมมิวนิสต์ ทำให้การปราบปรามต้องควบคู่ไปกับการพัฒนาชุมชน หรือเรียกว่าดูแลใกล้ชิดโดยทหาร ก็จะมีการตั้งชื่อหมู่บ้านที่เป็นเอกลักษณ์แบบนี้ แต่ทุกวันนี้หมู่บ้านรักไทยซึ่งฝั่งหนึ่งมีวิวอลังการ ได้กลายเป็นที่พักหลากหลายแนวและคาเฟ่กับร้านอาหาร หลังจากขับขึ้นถนนชันดิ๊กๆ และคดโค้ง ซึ่งพอเพื่อนบอกหวาดเสียว เราก็ได้ทีข่มเลยว่า เคยแว้นมอไซขึ้นมาแล้วนะ (คิดมาถึงตรงนี้ก็ตั้งคำถามกับตัวเองว่า ตอนนั้นทำไปได้ไงฟระ) เราแวะทานมื้อเที่ยงที่ร้านหนึ่งพร้อมชื่นชมวิวพานอรามา ท่ามกลางแสงแดดแผดๆ ยามเที่ยง แนวภูเขา ต้นไม้และท้องนาด้านล่างดูเหมือนโมเดลจำลองที่ทำขึ้นละเอียดยันดีเทลสีสันสดใส คนไดเอตเห็นตู้ไอติมแล้วก็ได้แต่ถอนใจ คิดถึงการเจออะไรก็กิน เจออะไรก็กิน แต่ก็เพราะทำแบบนั้นมาตลอด ทำให้ต้องมานั่งกินข้าวห่อคนเดียวเงียบๆ อย่างทุกวันนี้สินะ

เป้าหมายต่อไปเราจะไปนอนเขาค้อ ที่พักที่จองไว้จะอยู่ช่วงเขาค้อตอนบนๆ เส้นทางที่เรารู้จักคือขับอ้อมไปบนถนนสาย 12 แต่กุ๊กเกิ้นบอกว่ามันลัดไปลงอีกฝั่งได้จากบนบ้านรักไทยเลย ซึ่งจะประหยัดเส้นทางไปได้พอสมควรแต่ประหยัดเวลาได้แค่นิดหน่อยเพราะถนนมันเล็ก เราเลือกข้ามเขาบนเส้นทางใหม่กัน เพื่อความตื่นเต้น ถนนไม่แย่มาก มีถนนดินแดงโผล่มาสองสามแว้บ แว้บละไม่นาน ไม่ถึงกับใจเต้นตุ๊มๆ ต่อมๆ เหมือนบางที่ ทางลงฝั่งนี้มีความชันบ้าง แต่เทียบไม่ได้เลยกับทางขึ้นฝั่งเนินมะปรางที่เพิ่งผ่านกันมา

ที่พักคืนที่สองเป็นรีสอร์ทชื่อภูหมอกวิลเลจ บ่ายแก่ๆ พอไปถึงเราก็ตัดสินใจว่าจะไม่ออกไปไหนกันเลยเพราะมันชิลมาก รีสอร์ทเงียบสงบ มีแขกไม่กี่ห้อง ให้พื้นที่ส่วนกลางที่ดูแลจัดการดีไว้เยอะมากเทียบกับปริมาณห้องพัก เรียกง่ายๆ ว่า ถ้าจะงกเงิน อยากสร้างห้องพักอีกซักสองเท่าก็ยังไหว แต่ไม่ทำ ปล่อยไว้เป็นสวนกว้างๆ กับวิวภูเขาที่เห็นได้ทั้งสองฝั่งจากระเบียงห้องนอนทุกห้อง จากโถงทางเดิน และจากทุกซอกทุกมุมที่ดีไซน์ให้เข้าถึงแสงแดดและวิวภูเขา ช่วงที่แดดยังแข็ง เราเล่นการ์ดเกมกันอีกและเกิดเป็นมุกตลกส่วนตัว เมื่อเจ้าเด็กต้องการให้ผู้ใหญ่ใช้การ์ดช่วยให้หลุดจากการโดนแอทแทคต์แต่ทั้งพ่อแม่และอามันไม่ยอมช่วย น้องคุณเลยร้อง ช่วยด้วย ช่วยด้วยเป็นระยะ พวกเราขำกันว่าถ้าฟังจากข้างนอกอาจจะมีลุ้นโทร.แจ้งตำรวจว่าผู้ใหญ่บ้านนี้ทำร้ายเด็กกันบ้าง

พอแดดเย็นเป็นสีทอง พวกเราลงไปเดินเล่นที่สวน อากาศฝั่งนี้ของเขาค้อเย็นลงกว่าเนินมะปรางอย่างสัมผัสได้ ให้ความรู้สึกเหมือนหน้าหนาวมาแล้วอย่างรวดเร็วแต่ละมุนละไม หมาตาตี่ตัวนึงมาเล่นกับติ๊กอย่างสนิทสนมเหมือนพกมาเองจากบ้านซึ่งติ๊กเป็นด๊อกวิสเพอร์เรอร์อยู่แล้ว การที่หมาแปลกหน้าวิ่งมาศิโรราบไม่ใช่เรื่องใหม่ เจอบ่อยๆ แต่เราซึ่งวางกล้องเรี่ยราด แอบเสียวมันจะคาบโกโปรวิ่งหนีเหมือนกัน อาจจะได้ฟุตเตจสวยๆ ชุ่มน้ำลายแต่ไม่ลุ้นจะดีกว่า

นานแค่ไหนนะที่ไม่ได้นั่งบนสนามหญ้าแบบนี้ เพื่อเฝ้ารอดูแสงสุดท้ายของวันค่อยๆ หมดลง

คืนนั้นแก๊งเราหลับเร็วมาก เร็วแบบ กลัวใช้เตียงไม่คุ้มเหรอเพื่อนๆ

วันที่สาม

เนื่องจากนอนเร็วมาก ปลุกตอนเช้านี่ห้ามอิดออดแล้วนะ เราแต่งชุดวิ่งกัน แต่ขับรถไปจุดชมวิวทะเลหมอก มีคนมาเยอะมากเลย รถงี้จอดกันเพียบ แผงขายของก็คึกคัก เช้านั้นอากาศโปร่งมาก อาจจะลมแรงเกินไปเลยไม่มีหมอก ยืนชมวิวนิดหน่อยตียิมโปเกมอนแล้วก็ไปช้อปปิ้ง เจ้าเด็กน้อยใส่ชุดชาวเผ่าขายของเสียงใส เราซื้อยางรัดผมจากเด็กผู้หญิงตัวน้อยที่พูดจาฉะฉานเหมือนพิธีกรช่องเด็กในทีวี แล้วลองถามว่า นักท่องเที่ยวกลับมาแล้วหนูดีใจไหม เด็กน้อยตอบอย่างฉลาดว่า ดีใจค่ะ แต่ก็ไม่ดีใจมากเพราะโควิดก็จะกลับมาเหมือนกัน ยัยหนูพูดไปพลางก็กดเจลมาถูมือไปพลาง ในด้านของหลานชายช่างช้อปเป็น ได้ของเล่นจากจุดนี้มาสองชิ้นได้แก่กังหันลมสีสวยกับปืนไม้ยิงยางวง ส่วนผู้ใหญ่ได้ผลไม้นิดหน่อย

พอกลับถึงรีสอร์ท เพื่อนๆ ว่าจะไปกินข้าวเช้าเลย เราเลยขอลงที่ปากทางเข้ารีสอร์ทแล้ววิ่งขึ้น เป็นทางชันเล็กน้อย ระยะทางรวม 1 กม. ทำได้ดีกว่าสมัยก่อนเยอะ หวังว่าสุขภาพที่ดีขึ้นจะนำเราไปสู่การผจญภัยใหม่ๆ ที่สนุกขึ้นอีกในอนาคตนะ (ฉันจะไม่ยอมแก่ง่ายๆ เหอๆๆ) จากนั้นก็กลับไปที่ห้องพร้อมหลานชายซึ่งอิ่มข้าวแล้ว อยากไปลองยิงปืนของเล่นชิ้นใหม่มากกว่า เราจึงนั่งทำอาหารเตรียมสำหรับมื้อเที่ยงและช่วยทำเป้าซ้อมยิงปืนไปพร้อมๆ กัน

เราเช็คเอาท์กันประมาณสิบโมง เพราะวันนี้ต้องเดินทางกลับกรุงเทพฯ จึงจะไม่แวะเยอะแยะ เราเลือกที่แวะที่น่าสนใจแค่สองจุด ที่แรกคือกังหันลม ซึ่งเป็นการแก้มือเพราะเราเคยพยายามขึ้นไปแต่ขึ้นผิดทางจนไปเจอถนนพังต้องย้อนกลับมาแล้ว ครั้งนี้ขึ้นถูกทาง แต่ข้างบนคนค่อนข้างเยอะแฮะ ระบบการจอดรถที่จะเอาตังค์อย่างเดียว ทำให้โมโหนิดหน่อย แต่อากาศเย็นสบาย ฟ้าสวยมากๆ ทำให้โมโหไม่ได้นาน หลังจากที่จอดรถ จะมีจุดให้ซื้อตั๋วรถเวียนบริการพาไปเที่ยวด้านในทุ่งกังหันลมซึ่งไม่รู้มีอะไรบ้าง พวกเราไม่ได้ไป แค่เดินเล่นรอบๆ ตรงร้านขายต้นไม้และของฝากก็ได้รูปเพียบแล้ว น้องคุณได้ของเล่นทวนไม้มาอีกอันซึ่งรักมาก ถือตลอดทางกลับเลย (แต่พอถึงบ้านอาจจะกลายเป็นที่ค้ำประตูก็เป็นได้) เขาเรียกทวนแต่เราว่ามันไม่ใช่ทวนนะ มันเป็นดาบกวนอู ใบดาบสั้น ด้ามยาว ไม่รู้เรียกว่าอะไรแน่

สันเขารับลมเต็มที่ ลมพัดแรงดีไม่มีตก ใบกังหันทุกต้นหมุนฟึ่บๆ ตลอดเวลา คงปั่นไฟได้เยอะแยะเชียว แต่คุณค่าทางการท่องเที่ยวน่าจะเยอะไม่แพ้กัน เพราะตรงจุดนี้วิวสวยมาก และคงเป็นที่เที่ยวฮอตฮิตไปตลอด

ได้เวลาอันควรเราก็เดินทางต่อ เป้าหมายต่อไปคือล่องเรือแม่น้ำเข็ก แก่งบางระจัน ซึ่งเราเคยทำสิ่งนี้กันมาแล้วเมื่อสิบกว่าปีที่แล้ว แต่เนื่องจากบริการล่องเรือทำโดยชุมชน เราพยายามหาเบอร์โทร.เช็คว่าเปิดรึเปล่าแต่หาไม่ได้เลย โทร.ไปหลายเบอร์ที่หาเจอในอินเตอร์เน็ตก็ถูกเปลี่ยนมือไปหมดแล้ว เลยตกลงกันว่า มุ่งหน้าตรงไปดูด้วยตัวเองเลย ถ้าได้ล่องเรือก็ล่อง ถ้าไม่ได้ก็อาจจะแวะไปเดินเล่นใน อช.ทุ่งแสลงหลวงแทนก็แล้วกัน

ระหว่างทางพวกเราหยุดกินอาหารเที่ยงที่ร้านอาราบิก้าเขาค้อ ส่วนเราสั่งอเมริกาโน่โนน้ำตาลหนึ่งแก้ว และกินของพกมาเองตามเคย ร้านนี้บรรยากาศดี มีสวนให้เดินเล่นย่อยอาหารที่ดูแลดีสวยงามเลยแหละ

โชคช่างเข้าข้างเรา พอไปถึงแก่งบางระจันสิ่งแรกที่เห็นคือราวไม้ที่แขวนเสื้อชูชีพสะอาดๆ สีส้มสดใสไว้เป็นตับ ชาวชุมชนสองสามคนกำลังง่วนทำงาน พอเราไปถามว่าล่องเรือไหม คำตอบที่ได้คือ เขาเปิดบริการวันนี้วันแรก และพวกเราเป็นลูกค้ากลุ่มแรกตั้งแต่ล็อคดาวน์ที่โผล่มาเอาตอนบ่ายๆ ค่าล่องเรือทั้งหมด 800 บาท จำไม่ได้ว่า คนละ 200 บาทหรือเป็นราคาเหมา ตอนนั้นได้ล่องเรือก็ดีใจลิงโลด ไม่สนอะไรละ รีบเตรียมข้าวของน้ำขนมแล้วลงเรือกัน เราคอมเมนต์ว่าลูกค้าอยากโทร.เช็คก่อนแต่หาเบอร์ไม่ได้เลยค่ะ ผู้ดำเนินการชี้ให้ดูเบอร์ใหม่ที่เขียนไว้บนผนังและบอกว่า เบอร์ที่อยู่บนป้ายไวนิลด้านบนน่ะไม่ใช้แล้ว อันนี้คืออุปสรรคของการดำเนินธุรกิจโดยชุมชนเลย คือเขาคิดว่าเขาก็อยู่ตรงนี้ตลอด แต่คนจะมาเขามาไกลและต้องการเช็คหรือจองก่อนเฟ้ย เข้าใจกันบ้างเซ่

คนพายเรือมีหัวท้าย คุณป้าด้านหน้าบรีฟอะไรให้เราฟังเรื่อยๆ ป่าที่ไม่มีคนมาเยือนนานมาก ดูเงียบสงบแต่ก็มีชีวิตชีวา ขาขึ้นพายทวนน้ำ แดดอัดหน้า เราซึ่งหดหัวอยู่ในหลังคามานานจนซีดขาว จากคนที่ผิวสีน้ำตาลตกกระ ชอบตากแดดเป็นชีวิตจิตใจ กลายเป็นกลัวแดดและแสบผิวง่ายขนาดหนักเลยต้องใส่เสื้อแขนยาวกันยูวีโผล่แต่ลูกกะตาเหมือนจะไปรับจ๊อบตัดอ้อยแล้วกลัวใบอ้อยบาด นกกระเต็นปีกสีฟ้าสดใสโผเกาะบนกิ่งไม้สูงๆ เสียงใบพายแหวกน้ำเบาๆ ตัดสลับกับเสียงลมเสียงป่า นกร้องและจั๊กจั่นกรีดปีก เราถามว่าเดี๋ยวนี้คนลักลอบตัดไม้ยังมีอยู่ไหม คุณป้าว่าไม่ค่อยมีแล้วเพราะ อช.เขาดูแลใกล้ชิด ขอให้จริงนะป้า มองไปหลังทิวไม้ริมน้ำ ดูด้านหลังโล่งๆ เห็นท้องฟ้าง่ายๆ ยังไงชอบกล

สิบกว่าปีก่อนปลายทางของการล่องเรือคือเดินเท้าเข้าป่ารกๆ ไปดูน้ำตก แต่โปรแกรมนี้เหลือแค่ถึงแก่งกลางน้ำที่มีผีเสื้อสวยๆ มากินน้ำที่เต็มไปด้วยแร่ธาตุที่พวกมันชื่นชอบแล้วก็ยูเทิร์นกลับ เราโอเคเพราะเราต้องเดินทางกันอีกไกล ไม่เสียเวลามากก็ดีแล้ว แต่สำหรับการอ้อยอิ่งถ่ายรูปผีเสื้อ เราก็เต็มที่ไปเลยจนหลานบอกพอเฮอะอาแอ้ คุณป้าบอกว่า ให้ลองเอามือจุ่มน้ำเปียกๆ แล้วสอดเข้าที่ด้านหน้าหนวดผีเสื้อช้าๆ เข้าตรงขาหน้า มันจะเกาะนิ้วเลย ลองแล้วเวิร์คจริงๆ ด้วยแหละ ผีเสื้อที่แก่งนี้สวยมาก บางลายไม่เคยเห็นมาก่อนเลยด้วยซ้ำ คุณป้าว่า นักดูผีเสื้อหรืออาจารย์ผีเสื้อเขานิยมมา และเวลานักท่องเที่ยวมาเต็มๆ เขาจะใช้น้ำปู (น่าจะเป็นน้ำปูดอง) มาราดเพื่อเรียกผีเสื้อมาเยอะๆ แน่ะ มีสูตรลับอีก ระหว่างที่อาแอ้ง่วนถ่ายรูปผีเสื้อ หลานชายก็ลุยน้ำเย็นเจี๊ยบกลับไปกลับมาเป็นที่น่าสนุกสนาน เอาจริงถ้าลงได้ทั้งตัวคงยิ่งสนุกแหละ

ขากลับเป็นการล่องตามน้ำ เลยใช้เวลาแค่แป๊บเดียวก็ถึง ติ๊กตาดี เห็นนกเงือกแล้วเรียกให้ทุกคนดู ผู้ใหญ่ได้เห็นหมดทุกคน เสียดายน้องคุณไม่เห็น เพราะเจ้านกได้ยินเสียงคนเอะอะเรียกชื่อมัน มันเลยทิ้งตัวลงแอบซ่อนในดงไม้หนาทึบแทนที่จะบินขึ้น ทำให้มองยังไงก็หามันไม่เจออีก ก่อนถึงที่หมายเล็กน้อย เราแวะวัดซื้ออาหารปลาและเลี้ยงปลาในเขตอภัยทานบนเรือลำน้อยกราบเรือต่ำของเรา ได้เปลี่ยนกางเกงก็เพราะอีตรงนี้แหละ เหล่าปลาคงไม่ได้กินอาหารเม็ดนานสินะ น้องคุณสนุกสนานมาก นั่งหน้าเลี้ยงปลา แล้วปลาผู้หิวโหยก็ยื้อแย่งพื้นที่ผิวน้ำ ดีดตัวสาดน้ำมาข้างหลังใส่อากับแม่มันซะชุ่ม เปียกไม่ว่า ดันเหม็นคาวปลากับอาหารเม็ดด้วยเนี่ยสิ แต่เด็กเมามันมาก

ออกจากแก่งบางระจัน เรายิงยาวกลับกรุงเทพฯ เลย รถติดเป็นระยะตั้งแต่ลพบุรียันปทุม ไม่ได้น่าเกลียดมากเพราะถนนกว้าง ติดแบบไหลๆ แต่ไม่ปรู๊ดปร๊าด และแล้วทริปแรกของศักราชใหม่ก็จบลงอย่างสวยงาม ถึงกทม. ไม่ดึกมาก แต่โคตรเพลีย แล้วก็ตัวรุมๆ อยู่อีก 1.5 วันหลังจากกลับ ไม่รู้ว่ารับเชื้อมาแล้วกำลังสู้อยู่รึเปล่า ถ้าเป็บแบบนั้นก็ชนะแหละ เพราะตอนนี้สบายๆ ชิวๆ และประกาศได้อย่างเป็นทางการว่า อิชั้นตัวจริงฟื้นจากโคม่าแล้วจ้าเวิล์ด..