ช่วงปลายปี อากาศดีๆ แม้เศรษฐกิจส่วนตัวอาจจะรุ่งริ่งซักนิด ถึงยังไงการปะทะน้ำเองก็ต้องมี เพื่อสันทนาการ เพื่อเลี้ยงสกิล สำคัญที่สุดก็คือหล่อเลี้ยงจิตวิญญาณที่แห้งเหี่ยวให้กลับมากระชุ่มกระชวยอีกครั้ง One day dive ที่เป็นไปได้ ก็คือแหล่งชลบุรีระยองบ้านเรานี่แหละ คิวนี้ยัยปิ่นจองไว้หลายเดือนแล้ว เวลาไม่ตรงกับสมาชิกคนอื่นไม่เป็นไร ไปกันสองคนก่อน แต่เราสองคนจับคู่กันแล้วมันวินาศมาหลายต่อหลายทริปทะเล ไปคราวนี้ก็เลยไม่เช็ค ไม่สน ไม่คาดหวังอะไรกับสภาพอากาศเลย ถ้าเรือออกได้มันต้องมีฉันติดสอยห้อยไปด้วยดั่งเพรียงดื้อด้านที่เกาะก้นเรือแน่น
ละแวกชลบุรีระยองนี้ ร้านหรือโรงเรียนดำน้ำแต่ละแห่งต่างก็มีคอนแทคต์กับเรือบางลำหรือหลายลำ เราติดต่อ Fundive TED ที่ดีลมาได้เรือ The Shark ซึ่งมีท่าเรือเป็นของตัวเองที่จอดรถได้ตรงนั้นเลย มีคาเฟ่น่ารักๆ ด้วย เสียดายไม่มีเวลาไปนั่งแหมะ การจัดการในเรือ The Shark ดีเลย ถึงจะเป็นเรือขนาดไม่ต่างกับเจ้าอื่นๆ แต่เห็นได้ว่ามีการแก้ปัญหาที่ Pain point หลายอย่างไว้แล้ว ที่เราชอบมากคือ โต๊ะมีมากพอ โต๊ะมีช่องหลุมหัวท้าย สบายใจดีไม่ต้องกลัวพวกมือถือหล่นเวลาเรือโคลงเคลง ที่ชั้นล่างก่อนแต่งตัวลงน้ำ มีชั้นที่เต็มไปด้วยช่องเล็กๆ แปะป้ายชื่อของเราด้วยเทปกาว มีผ้าขนหนูแบบบางให้คนละผืน และช่องนั้นเราสามารถใส่ของเล็กๆ น้อยๆ ได้ (ก่อนดำน้ำมันจะมีของที่ติดมือมา เช่นกิ๊บติดผม ขวดซันบล็อก หรือน้ำยาฟิล์มแว่นเป็นต้น ถ้าไม่มีช่องใส่ อาจจะต้องวิ่งกลับไปเก็บชั้นบนหรือไม่ก็กองๆ ไว้แล้วของก็หายไปในที่สุด) เราปลื้มใจช่องนี้มาก
อีกอย่างที่ชอบคือ บนเรือจะมีน้องแอดมินน้อยคนนึง ที่มันคอยเช็คชื่อคนลงน้ำกับขึ้นจากน้ำ พร้อมถามอากาศในถัง ก่อนและหลังการดำ เรามองว่ามันดีว่ะ มันเป็น Safety อีกชั้น ที่เราจะมั่นใจได้ว่าเรือจะไม่กลับไปโดยที่เรายังอยู่ก้นทะเล แล้วการถามอากาศมันทำให้เราต้องทวนตัวเองว่า ตะกี้เปิดถังยังนะ แต่แอบบ่นตอนขาขึ้นนิดเดียวว่า น้องมันไม่ยอมให้เรากลับ (เอาถัง) ลงหลุมก่อนจะตอบว่าอากาศเหลือเท่าไหร่ ไม่ว่าเราจะไต่ขึ้นบันไดมาในสภาพไหน มันจะยืนขวางพร้อมปากกาจรดบอร์ดในมือ เราต้องทนขาสั่นดิ๊กๆ ดูเกจแล้วตอบอากาศมันก่อน ไม่งั้นมันไม่ยอมให้กลับลงหลุมจริงๆ
สิ่งที่ไม่ชอบคือ เรือ The Shark ยังให้กินน้ำขวดพลาสติกอยู่แฮะ ไม่มีถังกดน้ำให้ อันนี้ครูเราก็แอบบ่นเหมือนกัน หวังว่าวันหน้า The Shark จะค่อยๆ ปรับแก้ต่อไป

50th Dive
ไดฟ์ที่ 50 มาถึงแบบไม่รู้เนื้อรู้ตัว ไดฟ์แรกเช็คไดฟ์กันเบาๆ ที่ไดฟ์ไซต์อ่าวไข่ ครูของเราวันนี้ชื่อครูเก่ง โดยลูกทีมมีแค่เราสองคนเท่านั้น ครูให้ประกอบอุปกรณ์เองตั้งแต่ยังแห้งๆ ออกมาจากกระเป๋าที่ครูหิ้วมาวางแหมะ ระหว่างนั้นก็เก็บเกี่ยวความรู้เพิ่มเติมที่ไม่เคยรู้มาก่อนเช่นเคยในทุกครั้งที่ได้เจอครูคนใหม่ๆ เช่น คนไม่มีอุปกรณ์ของตัวเองอย่างเรา ควรเช็คชุด BCD เช่าทุกครั้งสำหรับแต่ละรุ่นที่มันต่างกันไป เช่น Dump valve อยู่ตรงไหนบ้าง รุ่นที่เราได้ใช้วันนี้ สามารถดึงสาย Inflator แรงๆ เพื่อให้มันทำตัวเป็น Dump Valve ได้ด้วยว่ะ ตอนลองเรกูเลเตอร์ พบว่าเหมือนลิ้นวาล์วข้างในมันบัง ทุกครั้งที่หายใจเข้ามันต้องออกแรงต้านมากเป็นพิเศษ ครูบอกมันแห้งน่ะ ลงน้ำไปคงหาย


พอลงน้ำจริงๆ สรุปไม่หาย ครูเลยบอกให้คาบ Alternate Air Source สายสีเหลืองแทน ไดฟ์ที่ 50 ของอิฉันก็เลยได้มีความพิเศษเช่นนี้

ไดฟ์ไซต์อ่าวไข่ มีลักษณะเป็นลานทรายกว้างๆ ไม่ค่อยมีอุปสรรคมากนัก แต่ถึงแม้อากาศข้างบนจะสดใสเป็นบ้า แต่โลกใต้น้ำมีกระแสพอสมควร มองตะกอนฟุ้งๆ ลอยผ่านเพื่อน ทำให้รู้สึกเหมือนมีเอฟเฟคต์ลวงตาว่าเรากำลังพุ่งไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว ทันทีที่ลงไปและปรับตัวได้ ครูเก่งก็เริ่มหาตัวเล็กให้ดูทันที ใครบอกงมเข็มในมหาสมุทรเป็นเรื่องยาก อยากบอกให้ลองมาหานูดี้ดูนะ
แม้แลนด์สเคปจะเวิ้งว้าง แต่เราก็ได้เจอตัวเล็กตัวน้อยหลายตัวด้วยฝีมือการหาสัตว์ของครู ใครที่ชอบค้นในเน็ต อาจจะเจอรูป Sea Slug เจ้าทากทะเลหน้าตาแปลกประหลาด สีสดสวยมากๆ อยู่เต็มไปหมด อยากจะบอกว่ามันถ่ายโคตรยากเลยโว้ย เพราะพวกมันตัวเล็กมากๆ เราที่เคยเกาะจอดูรูปน้องแกะของคนอื่น พอมาวันนี้เจอน้องแกะของจริง คือมันมองดีเทลด้วยตาเปล่าไม่เห็นค่ะ น้องเป็นแค่ก้อนตุ่มสีเขียวๆ ที่อยู่บนใบสาหร่ายเขียวแหว่งเว้าที่เติบโตโดดเดี่ยวอยู่ที่พื้นทะเลย ใครจะคิดว่าเปิดโหมดมาโคร (แล้วกระเสือกกระสนทำให้ตัวนิ่งที่สุด เพื่อแลนดิ้งไปใกล้ๆ ใบสาหร่ายแล้วกดชัตเตอร์มันไปเยอะๆ มันจะติดบ้างแหละซักรูป) แล้วจะเห็นว่าน้องน่าตาน่ารักขนาดนี้




ทริปนี้เราเจอน้องกระต่ายหลายตัว แต่ถ่ายโฟกัสไม่เข้าซักตัว เสียดายความน่ารักปุ๊กปิ๊กของน้องจริงๆ แต่ทากทะเลถึงจะน่ารักยังไง อย่าได้คิดเอามาเป็นสัตว์เลี้ยงนะ มันเลี้ยงไม่ได้ ท้ายๆ ไดฟ์เวลาที่ Air ในถังเริ่มน้อยลง ถังจะเบาแล้วเราจะทำให้ตัวจมได้ยากขึ้น ครูแว้บเอาตะกั่วที่เผื่อมาเติมใส่กระเป๋าขวาให้ทำให้จมตัวได้ดีขึ้นทันที แต่ก็ปวดหลังทันทีเช่นกัน (อันนี้คือออฟฟิศซินโดรมเรื้อรังน่ะนะ) หลังจากไดฟ์นี้ ขึ้นมาก็บอกครูว่า ขอไม่เติมแล้ว จะพยายามจมเองให้ได้ดีกว่า
ไดฟ์นี้คนลงน้อย บรรยากาศดี ไม่พบเจอใครทั้งนั้น ดำกันอยู่สามคนจนขึ้นเลย
51st Dive
ไดฟ์ไซต์เรือจมสุทธาทิพย์ หรือ Hardeep เอาล่ะ ทีนี้หนังชีวิตละแหละ ฮาร์ดีพเป็นเรือกลไฟที่โดนระเบิดจมตะแคงตั้งแต่สมัยสงครามโลกครั้งที่สอง เกือบๆ จะร้อยปีแล้ว และเป็นตัวท้อปของย่านนี้ ลงได้เฉพาะ Advance Open Water ขึ้นไป เรารู้อยู่ก่อนแล้วว่าจะลำบากลำบน แต่ของอย่างนี้ ไม่โดนกับตัวไม่รู้สึก ก็ว่าทำไมพวกร้านดำน้ำถึงได้ต้องเช็คตารางน้ำขึ้นน้ำลงกันขนาดนั้นสำหรับจะแพลนการลงไซต์นี้
เราขอเปลี่ยน Octopus เพราะใช้สายเหลืองแล้วมันเหนื่อยคาบมาก มันไม่ได้อยู่ในตำแหน่งที่จะคาบสบายเลยกัดซะแน่นเลย พอได้อันใหม่ก็ใช้สายดำได้ตามปกติ
ครูเก่งบอกว่า เราจะขึ้นและลงด้วยเชือกทุ่นเส้นเดิมนะ ครูบรีฟว่า กระแสน้ำที่นี่โดยมากมันก็จะแรงแบบนี้ทั้งปี แล้วเดี๋ยวเราจะดำกันแบบไม่ติดดีคอม ถ้าเกิดเหตุการณ์ฉุกเฉินสามารถขึ้นสู่ผิวน้ำได้เลยโดยไม่ต้อง Safety Stop ถึงจะดำมาเกินครึ่งร้อย เราก็ยังไม่เข้าใจหรอกว่า มันคืออะไร
ทุ่นลอยเป็นวัตถุโปร่งเบารวมๆ เอาตาข่ายคลุมแล้วรวบเป็นก้อนขนาดใหญ่ลอยตุ๊บป่องอยู่เหนือผิวน้ำ เชือกทุ่นเป็นเชือกขนาดหนาเกือบเท่าข้อมือ ทันทีที่ลงน้ำและเกาะเชือก ครูก็ทำสัญญาณให้ไต่เชือกลงไป
แหมอยากจะถ่ายรูปตอนนั้น แต่ถ่ายไม่ได้ ฟองอากาศจำนวนมหาศาลของคนด้านล่างที่เกาะอยู่ที่เชือกเส้นเดียวกัน ตีหน้าเราอย่างรุนแรงจนน้ำเข้าหน้ากาก แล้วก็สำลักเยอะมาก เราพยายามเบี่ยงตัวออกจากกลุ่มฟองอากาศ แต่ก็เป็นไปไม่ได้ เพราะคนที่เกาะอยู่ด้านล่างมีจำนวนเยอะมากๆ เรางงว่า ก็แล้วทำไมไม่ลงไปล่ะวะ ไอ้ปิ่นที่เกาะอยู่ข้างๆ รู้ตัวก่อนหรือมีคนลากมันไปก็ไม่รู้ มันเลยข้ามฝูงคนพวกนั้นแล้วไต่เชือกลงไป เราเลยไต่ตาม แล้วก็นึกได้ว่า อ๋ออออ พวกนั้นคือคนที่ทำ Safety Stop ตอนกำลังขึ้นนั่นเอง
ความฮอตของไดฟ์ไซต์นี้ และความที่ทุกคนดูตารางน้ำจากแอพเดียวกันเพื่อเลือกเวลาที่กระแสน้ำแรงน้อยที่สุด ทำให้มีเรือหลายลำพานักดำน้ำมารวมตัวกันที่นี่ พอไต่เชือกพ้นมวลมหาประชาชีได้ ทุกอย่างก็สงบลงอย่างที่มันควรจะเป็น เราเคลียร์หน้ากาก ปรับจิตใจซะใหม่ เพราะตอนสำลักน้ำไปอึกสองอึกเริ่มรู้สึกไม่โอเคขึ้นมา เชือกทุ่นทอดตัวยาวถึงก้นทะเล แล้วยึดโยงไว้กับเหล็กผุพังส่วนหนึ่งของท้ายเรือ แล้วครูเก่งก็พาเราดำด้านหนึ่งของเรือที่ใช้ตัวเรือบังกระแสน้ำไว้
น้ำขุ่นและเราลงลึกมากจนวิสัยทัศน์ไม่ค่อยดี เราร่อนตัวเลียบโครงเรือด้านนอกอย่างใกล้ชิดจนไม่ได้ถอยออกมามองดูว่ามันใหญ่โตขนาดไหน ครูเริ่มต้นฉายไฟหาตัวเล็ก ไฟฉายที่เติมสีแดง สาดไปตรงไหนก็สร้างความสดใสตรงนั้น ปกติเราไม่เปิดไฟฉาย เพราะรุงรังกล้องอยู่แล้ว แต่ถ้าไดฟ์ไซต์ที่มืดๆ มัวๆ แบบนี้ เราจะเปิดไฟฉายแล้วห้อยไว้เผื่อใช้ และเพื่อให้บั๊ดดี้และครูมองเห็นชัดๆ ด้วย


ครูพาเรามุดเข้าไปด้านในเล็กน้อย นักดำน้ำมากมายว่ายเฉียดกันไปมา ครูเลยพามุดออกแล้วดำเลียบอีกด้าน ลอยตัวขึ้นเหนือซากเรือเพื่อชมสิ่งมีชีวิตตัวเล็กตัวน้อยที่ไปเติบโตอยู่บนพื้นผิวที่เต็มไปด้วยสนิมหนาเขรอะๆ มีนักดำน้ำหญิงเดี่ยวหนึ่งท่าน มาป้วนเปี้ยนอยู่กับกลุ่มเรา เราไม่ค่อยชอบบรรยากาศแบบนี้เท่าไหร่เพราะมันสับสน ปกติแล้วถ้าไม่ได้เรียนถึงขั้นสูงจริงๆ นักดำน้ำจะไม่ได้รับอนุญาตให้ดำคนเดียว ยังไงต้องมีครู และต้องมีกลุ่ม แต่ถ้ามีใครดำเดี่ยวแล้วมาแจมกลุ่มเราเนี่ย เป็นไปได้ว่าเขาหลง เราจะคิดสับสนว่า เขาจะอยากได้ความช่วยเหลือไหม หรือเขาแค่ไม่แคร์กลุ่มของตัวเองแล้วฉีกออกมาดูอะไรตามใจชอบคนเดียว ใดๆ ก็ตาม เหตุการณ์ลักษณะนี้จะทำให้เราเสียสมาธิ วอกแวกพอสมควรเลย
จากนั้นไม่นานครูก็ทำสัญญาณมือว่าจะพาขึ้นไปทำ Safety Stop ตอนที่เวลาเพิ่งผ่านไปครึ่งชั่วโมงเอง ปกติเราจะเสียดมเสียดาย เพราะอยากอยู่นานๆ แต่สำหรับไดฟ์ไซต์นี้ รู้สึกว่า ขึ้นก็ได้วะ เหนื่อยอยู่เหมือนกัน แล้วครูก็ดูเข็มทิศแล้วมุ่งหน้าดำดิ่งลงไปในความลึก น้ำที่ขุ่นและแรงมากทำให้เรากับปิ่นตีขาตามครูไม่ทัน ทันทีที่ครูพ้นสายตาไปในความเวิ้งว้างของท้องทะเล เราก็จับแขนไอ้ปิ่นไว้ก่อน เพราะว่าหลงกับครูแล้วหนึ่ง อย่าให้ต้องหลงกับบั๊ดดี้
เราสองคนหยุดว่ายน้ำ แล้วเราก็เริ่มเอาไฟฉายมาแกว่งวาบๆๆ สาดไปในน้ำ ถ้าครูหันมาจะเห็นเลยว่า ไอ้สองตัวนี่หลงแล้ว แต่ครูก็ไม่กลับมาซะที บุยยันซีกับทิศทางของเราก็ไม่ได้ดีขนาดจะอยู่กับที่รอครูได้ เราเหลียวซ้ายแลขวา หันไปเห็นเชือกทุ่นเส้นดีเส้นเดิม ดู Dive comp พบว่าเราอยู่ที่ระดับ 14 ม. เราเลยลากแขนไอ้ปิ่นไปเกาะเชือกทุ่นรอครูกันดีกว่า เพราะคิดว่าครูจะต้องไปเริ่มต้นที่เชือกทุ่นด้านล่างนี่แหละ เกาะรอไว้นิ่งๆ ก็คงโอเคแล้ว
อยู่ๆ มีกระทาชายเสื้อเหลืองท่านนึง ดูเหมือนจิตอาสา ช่วยลากแขนไอ้ปิ่นกับเราไปเกาะเชือกทุ่นในลักษณะส่งขึ้นสู่ความสูง เราสบตาเขา ส่งสายตาแบบว่าสถานการณ์ไม่ปกติไป เขาเหมือนพยักหน้าเล็กน้อยแล้วหันหัวดิ่งลงไปตามสายเชือก เราเข้าใจว่าเขาน่าจะอยู่เรือลำเดียวกับเรา รู้ว่าทีมเรามีครูอีกคน เราเชื่อว่าเขาจะไปตามครูให้ จากที่คิดว่าจะเกาะเชือกทุ่นอยู่นิ่งๆ มันยังไงไม่รู้สาวขึ้นไปอีกเล็กน้อย ก็ไปเจอความชุลมุนขนาดใหญ่ที่จุด Safety Stop
คราวนี้ ไอ้ปิ่นหาซอกที่เอานิ้วหนีบได้ที่ระดับนึง แล้วก็ก้มหน้าดูไดฟ์คอมพ์ของตัวเอง ส่วนเราหาที่เกาะไม่ได้ บวกกับถูกมหาชนผลักไปมาก็ลอยสูงขึ้นเรื่อยๆ เสียงถังกระทบกันก๊องแก๊ง สุดท้ายเราขึ้นสู่ผิวน้ำโดยไม่ได้ทำ Safety Stop แล้วภาพสุดท้ายก่อนขึ้นจากน้ำเห็นแต่ไอ้ปิ่นแล้วก็ยังไม่เห็นครูด้วย ตอนนี้คือกังวลมากว่าครูจะตามหาอย่างยากลำบากขนาดไหนนะ ที่ก้อนทุ่น นักดำน้ำอีกสี่ห้าคนพุ่งตัวขึ้นมาตามหลังเรา เขามาจากเรือลำอื่น และเป็นกลุ่มเดียวกัน เขาไล่เราออกจากทุ่น “ออกไปครับ ออกไป” เราบอกว่ารอเพื่อนค่ะ เพื่อนยังไม่ขึ้นมา เขาก็ตะคอกอีก “ออกไป ออกไปจากทุ่น”
เราโดนตะคอกแบบจริงจังเลยลอยตัวออกมา แต่สายตายังมองกลับไปแถวๆ ทุ่นรอเพื่อน แล้วคนดีกลุ่มนั้นก็จับตัวรวมกันอยู่แถวๆ ทุ่นที่ไล่เราออกมาแล้วคุยกันว่าพวกเขาก็รอเพื่อนอีกคนนึง โอเค คนทุกประเภทก็มีอยู่ทุกวงการจริงๆ อะเนอะ
จนไอ้ปิ่นขึ้นมา เราสองคนเกาะเชือกเรือดิงกี้ที่เซอร์วิสลากนักดำน้ำไปส่งเรือใหญ่ (ตรงนี้เป็นอะไรที่ทุ่นแรงได้ดีมาก) เรายังตกใจอยู่เพราะครูไม่ขึ้นมาซักที ไอ้ปิ่นบอกว่ามันเห็นครูแล้ว แต่น้ำเข้าหน้ากากอยู่เลยไม่สามารถเรียกครูได้ เราขึ้นมาปลดอุปกรณ์นั่งรอ ครูตามขึ้นมาในซักหนึ่งถึงสองนาที เรานี่ยกมือไหว้ขอโทษครู ที่กลายเป็นว่าเราหาครูไม่เจอเลยลากเพื่อนขึ้นมาซะเฉยๆ ครูเล่าว่าว่ายกลับไปหาถึงที่เรือตั้งสองรอบ แต่ครูบอกว่าไม่เป็นไรๆ แล้วก็ไม่ต้องเป็นห่วงครู ครูรอดอยู่แล้ว อันนั้นเข้าใจ แต่ครูจะตกใจแค่ไหนเวลาลูกทีมหาย อันนี้ต่างหากที่เป็นห่วง
ไดฟ์ไซต์นี้นอกจากจะมีวีรกรรมแล้ว ยังทำลายสถิติความลึกที่เราเคยลงมาด้วย ไดฟ์คอมพ์แจ้งว่าเราลงไป Max สุดที่ 27.4 ม.
52nd Dive
ปิดท้ายวันด้วยไดฟ์ไซต์โรงโขนโรงหนัง กลับสู่ความชิวๆ อีกครั้งกับไดฟ์ไซต์ไถทรายหาตัวเล็ก บวกกองหินกับปะการังอีกนิดหน่อย มือที่ได้รับบาดแผลจากความชุลมุนที่เชือกทุ่น แสบจี๊ดจ๊าดตอนกลับลงทะเลอีกรอบ น้ำขุ่นและมีกระแสเหมือนอ่าวไข่ บั๊ดดี้ปิ่นที่ลอยตัวชิวๆ ครูที่ฉายไฟอย่างพินิจพิเคราะห์ตามกิ่งก้านของพืชแปลกๆ ใต้น้ำ เราหาตัวอะไรไม่ค่อยจะเป็น เลยฝึกบุยไปพลางๆ แล้วก็คิดว่า สามไดฟ์มันน้อยไป ถึงจะเหนื่อย ถึงจะปวดหลัง และถึงจะแสบแผล แต่ก็อยากดำอีก โชคดีที่อาทิตย์หน้าเราจะไปหินเพิงอีกรอบแบบ One day dive อีกเช่นกัน คิดแบบนี้แล้ว ก็ไม่ต้องเศร้าจนเกินไป แค่ต้องขับรถสู้ชีวิตก็แค่นั้น

ผลงานของไดฟ์นี้





(ไม่แน่ใจ หน้าตามันเหมือนตัวนั้นติดตัวนี้หน่อย)


นี่ก็หาชื่อไม่เจอ ยอม.

(และดูน้ำขุ่นๆ นั่นสิ)
ในที่สุดก็ถึงเวลาต้องขึ้นจากน้ำ ถังออกซิเจนที่ถูกใช้ไปเกินครึ่งเริ่มเบา ทั้งเราทั้งไอ้ปิ่นลอยตุ๊บป่องแซงซอสเสจขึ้นไปสู่ผิวน้ำแต่พยายามไต่ตามสายซอสเสจกลับลงมาทำ Safety Stop ปรากฏว่าครูดึงไม่ไหวเลยขึ้นมันหมดทั้งสามคน โอ๊ย ชั้นจะบ้าตาย ครูบอกว่า เป็นไรกันอะ ไดฟ์สุดท้ายลอยตุ๊บป่องกันหมดเลย เราหัวเราะคริๆ สงสัยจะกินเข้าไปเยอะ

เรือ The Shark ลอยตัวอยู่ห่างไปเล็กน้อย ขับมารับเราแล้วมุ่งหน้ากลับฝั่งโดยทำเวลาได้ดีมาก เราอาบน้ำสระผมทำตัวแห้งๆ หอมๆ เตรียมกินอาหารเย็น ครูเก่งแนะนำมาร้านนึง แต่มันไม่ติดทะเล แล้วบรรยากาศวันนั้นมันดีมาก เลยเลือกร้านที่อยู่ละแวกเดียวกันแต่มีบรรยากาศติดสะพานและพระอาทิตย์ตกยามเย็นให้เสพไปพร้อมๆ กับมื้อค่ำ อากาศดีแสนสบาย แต่อาหารทุกอย่างเด่นเปรี้ยวหมด เราสองคนก็พึมพำกันว่า เราปากเค็มมากไปหรือมันเป็นสไตล์ของร้านนี้กันแน่ฟระ พออิ่มหนำ เติมคาเฟอีนซักแก้วแล้วก็บึ่งกลับ กทม. กันเลย ถึงเวลาน้อยก็ลอยคอในน้ำได้ถ้าใจสู้ และคอลลาเจนข้อเท้ายังไหวนะจ๊ะ
Diving Data
