สงกรานต์ปีนี้วันหยุดไม่เยอะ งบประมาณยิ่งน้อยไปกันใหญ่ ไปไหนไกลมากไม่ได้เลยลงใต้กับเพื่อนๆ โร้ดทริปไปเรื่อยแบบค่ำไหนนอนนั่น (แต่วางแผนเส้นทางคร่าวๆ กับจองที่พักไว้ก่อนแล้วอะนะ) ถึงจะออกแนวพเนจรแล้วก็ตัดสินใจกันไปเรื่อยๆ ว่าจะทำอะไรดี แต่สุดท้ายก็ได้เที่ยวได้เล่นหนำใจไปเลยเหมือนกัน บ้านน้ำราบก็เป็นอีกที่หนึ่งที่ไม่ได้อยู่ในแผนเลย ก็กุ๊กเกิ้นกันสดๆ โทร.ถามวิสาหกิจชุมชนล่องแพบ้านน้ำราบ ว่ามีเรือพาเที่ยวไหมแล้วก็มุ่งหน้าไปเลย
อยากรู้ว่าคนที่คิดไอเดียของการท่องเที่ยวทริปสั้นๆ ระยะเวลาราว 3 ชั่วโมงนี้เป็นใคร โคตรจีเนียสเลย แต่ก็ต้องยอมรับว่าที่ทำได้ก็เพราะทรัพยากรเขาดีด้วย มาดูกันว่า เราจะล่องเรือ เดินเขา เข้าป่า เดินเตะขาในน้ำทะเลได้ยังไงหมดในเวลาแค่ 3 ชั่วโมง ก่อนเดินทางมาถึงทางผู้ประกอบการแจ้งว่า พวกเราควรต้องมาถึงก่อนบ่ายสาม “เพราะแสงจะหมด” เราที่เป็นสารถี ขับรถเช่าติดฟิล์มกันแดดบางแสนบางผ่าเปลวแดดเดือนเมษาจากพัทลุงที่เกือบถึงขอบด้านอ่าวไทย ข้ามมาตรังที่เกือบถึงขอบด้านอันดามันด้วยหูที่อื้อไปหมดเพราะเปิดแอร์เบอร์เบาไม่ได้เลยตลอดทาง พวกเราสี่คนตัวเหนียวเหนอะขอเข้าห้องน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้ารองเท้าสักนิด ก็เดินตามสองหนุ่มที่รอเราอยู่แล้ว พลางบ่นพึมพำไปว่า มันจะแสงหมดได้ยังไง ขนาดผิวที่ฉาบด้วยกันแดด SPF50 ยังแสบผ่าวๆ อยู่ขนาดนี้ จากนั้นพวกเราก็ไต่สะพานลงเรือหัวโทงสีสวยมีหลังคาที่พาพวกเราล่องไปตามกระแสน้ำมุ่งหน้าเข้าสู่ป่าโกงกางหนาทึบกันทันที
สิ่งแรกที่ผู้นำทางพาแวะคืออุโมงค์ป่าโกงกาง และนี่เป็นสิ่งที่ทำให้เราต้องมาถึงก่อนบ่ายสาม เพราะว่าแสงกำลังลงสวยเชียว ถ้ามาเย็นกว่านี้ อุโมงค์นี้จะมืดทึบและกระแสน้ำขึ้นน้ำลงก็จะมีผลกับการเข้ามาเที่ยวในอุโมงค์ด้วย พี่คนขับกับน้องไกด์เด็กหนุ่มน้อยปล่อยพวกเราให้ถ่ายรูปกันอย่างสบายๆ พร้อมกับอธิบายประวัติของที่นี่ว่าจากที่เคยเป็นหมู่บ้านที่ตัดต้นโกงกางไปเผาถ่านขาย พวกเขาได้เปลี่ยนมาอยู่อีกฝั่ง กลายเป็นผู้อนุรักษ์ป่า จนป่าโกงกางที่นี่เติบโตหนาแน่น ยกพูรากสูงตามน้ำขึ้นน้ำลง บางกลุ่มก้อนก็ดูเป็นระเบียบ บ้างก็ดูระเกะระกะโก่งไปทางโน้น กางมาทางนี้ แต่ถึงยังไงสิ่งที่ถูกสร้างสรรค์โดยธรรมชาติก็ยังมองแล้วเพลินตา และสีเขียวของป่าก็สวยสุดๆ แบบที่เราจะได้เห็นกันต่อไปจากมุมสูง
เรือหัวโทงพาเราล่องไปตามแม่น้ำ ขนาบข้างไปด้วยป่าโกงกางหนาแน่นจนมองไม่เห็นแสงด้านหลัง ท้องฟ้าเป็นสีฟ้าอ่อนจางแบบหน้าร้อน เราไม่ได้คุยอะไรกันเพราะขี้เกียจตะเบ็งสู้เสียงเครื่องยนต์ สักครู่ใหญ่ๆ เราก็มาถึงท่าเรือที่เป็นไม้ไผ่ประกอบๆ ขึ้นมาพร้อมด้วยบันไดขั้นห่างๆ ชันๆ พอหวาดเสียว เราสี่คนปีนขึ้นไปบนชานพักที่ประกอบด้วยไผ่เรียงกันประมาณสี่ห้าลำ มีราวจับพอให้ทรงตัวแต่ถ้าพิงไปเต็มๆ คงไหลร่วงสู่ก้อนหินตะปุ่มตะป่ำด้านล่างไปตามๆ กัน จากนั้นเราเริ่มเดินเรียงเดี่ยวมุ่งหน้าสู่ภูเขากับน้องไกด์หนุ่มน้อย ทิ้งพี่คนขับเรือให้เอ้อระเหยเพลินอารมณ์รออยู่ในลำน้ำพร้อมเรือลำอื่นอีกสองสามลำ
เส้นทางช่วงแรกที่มีสะพานไม้ไผ่แคบๆ ให้เดินผ่านก้อนหินน้อยใหญ่และเริ่มทิ้งป่าชายเลนไว้เบื้องหลังค่อยๆ เปลี่ยนไป สะพานไม้ไผ่ช่วงสุดท้ายหมดลง คราวนี้เราต้องเดินไปบนทางภูเขาซึ่งไม่ได้ยากเย็นจนท้อแต่มีโหนเชือกบ้างสลับเดินไต่ระดับ แต่มันร้อน มันอบอ้าวจนตัวชุ่มไปหมด ป่าที่หนาแน่นทำให้ลมแทบไม่พัด แต่ระยะทางเดินชมเขาจมป่านี้ ไม่ได้ยาวไกลจนเกินไป เหนื่อยแล้วก็พัก ถ่ายรูปกันเองหน้าเมือกๆ ที่อาศัยหยุดถ่ายรูปบ่อยเนี่ย ความจริงเนียนพักเหนื่อยต่างหาก เส้นทางที่วนอ้อมรอบภูเขาลูกน้อย ค่อยๆ หักชันสูงขึ้น และหินค่อยๆ แหลมคมมากขึ้น
มีกลุ่มนักเดินทางกลุ่มหนึ่งสวนลงมา เด็กน้อยคนหนึ่งเดินบ่นกระปอดกระแปดว่าผู้ใหญ่เดินไม่แข็ง เราเงยหน้าที่มันย่องมองดูสีหน้าคนที่สวนลงซึ่งเหมือนจะเยินกว่าเราอยู่นิดหน่อย ส่งยิ้มอ่อนให้กำลังใจกันแล้วปีนป่ายต่อ ใช่แล้ว ช่วงหลังสุดก่อนถึงยอดเขาเราก็ต้องหยุดใช้คำว่าเดิน เปลี่ยนเป็นปีนๆ ป่ายๆ แทนอีกสองโค้ง
บันไดลิงหนึ่งอันสุดท้ายพาเราขึ้นสู่จุดสูงสุดของเขาจมป่า แต่ยังต้องมุดโพรงหินไปอีกด้านถึงจะเห็นวิวตัวท้อป จุดนี้จะเป็นระยะที่แคบที่สุดที่ต้องสวนกันบนปลายสุดของบันไดลิง ค่อนข้างหวาดเสียวอยู่ เราขึ้นไปก่อนถึงได้เจอว่ามีอีกกลุ่มกำลังสวนลง เราคว้าได้ต้นไม้ต้นหนึ่งพอได้เอนหลบผู้คนพลางตะโกนบอกคนที่อยู่ในมุมลับตา ราวกับว่าเป็นวินมอไซจิตใจใฝ่บริการสังคมที่คอยช่วยโบกรถตามจุดคับขันที่คับแคบ
พอมุดโพรงหินเท่านั้นแหละ วิวก็เปิดมาอย่างอลังการ แม่น้ำที่คดเคี้ยวแหวกกลางป่าโกงกางที่หนาแน่นจนเหมือนผืนพรมสีเขียวนุ่มฟูจนอยากเอามือไปลูบไล้ ตัดกับท้องฟ้าสดใสของหน้าร้อน นานๆ ทีมีเรือหัวโทงลำน้อย แหวกผิวน้ำผ่านไปตรงกลาง ดูเป็นออบเจคต์ชั้นดีของทิวทัศน์พิเศษนี้ บนยอดเขามีทั้งลมเล็กน้อยและแดดที่แผดกว่าด้านล่างอีกซักสิบเท่า และหินบนยอดเขาก็คมจนน่าจะกรีดผ้าขาดได้ ต้นไม้ทิ้งใบแห้งสองสามต้นที่ชิดขอบเขาเป็นโฟร์กราวนด์ให้ถ่ายรูปอย่างสวย เราค่อยๆ ปีนขึ้นไปถึงจุดวิวพอยต์ โชคดีไม่มีนักท่องเที่ยวอื่นอยู่พักใหญ่ๆ พวกเราเลยมีพื้นที่ใช้เวลากันอย่างสนุกสนาน น้องไกด์ควักกระเป๋า แจกเครื่องดื่มเติมน้ำตาลให้คนละขวด เราที่ไม่กลัวความสูง ยืนบนพื้นหินแหลมๆ คมๆ รู้สึกได้ว่าเต็มไปด้วยแรงเสียดทาน เลยกล้าเข้าไปริมผาเพื่อวิวอันงดงาม แต่พอย่อตัวลงถ่ายรูปเพื่อนแล้วลุกขึ้นเท่านั้นแหละ วูบจ้ะ รีบถอยกลับเข้าสู่เขตปลอดภัยแทบไม่ทัน
สมควรแก่เวลาก็เดินกลับลงมาที่เรือ มีนักท่องเที่ยวกับเรือลำอื่นที่ไม่เดินและรอเพื่อนอยู่ที่เรือด้วย ถ้าให้แนะนำคงต้องบอกว่า ถ้าจะไม่เดินแต่ต้องรอเพื่อน งั้นต้องเตรียมยากันยุง เพราะว่าป่ามันทึบ จะกี่โมงก็ดูเหมือนจะเป็นบรรยากาศที่เอื้อให้ยุงได้ออกหากินอยู่ดีแหละ
เรือหัวโทงกับสองหนุ่มพาพวกเราสี่คนที่เหงื่อออกจนโชกชุ่ม มุ่งหน้าออกสู่ทะเลเพื่อชมทะเลแหวก ตอนนี้เราลงนอนราบที่หัวเรือ เอาเสื้อกันแดดคลุมหน้าเพราะหมดแรงจะทาซันบล็อกอีกรอบแล้ว ท้องฟ้าที่มองผ่านรูผ้าเล็กๆ ดูเหมือนโบเก้ที่กระพริบระยิระยับ ความสั่นน้อยๆ จากเครื่องยนต์เรือกับลมที่พัดทำเอาอยากหลับไปจริงๆ แต่ในที่สุดเรือก็จอดลงที่ลอนทรายกลางผืนน้ำเวิ้งว้าง เราลุกขึ้น หันหลังกลับไปมองเห็นพื้นหัวเรือเปียกเหงื่อเป็นรูปต้าวอ้วนขนาดใหญ่ นี่ถ้าเอาชอล์คมาขีดคงทำให้จินตนาการกว้างไกลไปอีก
ทะเลแหวกตอนนั้น เป็นฤดูที่แมงกะพรุนถล่มทะเลไทยพอดี หาดทรายไม่ได้กว้างมากมาย เราเดินไปสุดแล้วเดินกลับมากันได้ในเวลาแค่ 5-10 นาที กลับเต็มไปด้วยซากแมงกะพรุนตัวใสขนาดใหญ่ พูนอยู่ตรงนั้นตรงนี้ แอบคิดว่านี่มันเครื่องสุกี้ฟรีไม่ใช่เหรอครับเนี่ย ดีนะแค่คิด ไม่ได้ลองพกน้องกลับมาต้มด้วยจริงๆ
เราเดินทางกลับมาถึงชุมชนบ้านน้ำราบในเวลารวมสามชั่วโมงนิดๆ อากาศตอนเย็นกำลังดี แต่น้ำลงมากซะจนเราต้องไปขึ้นจากเรืออีกจุดเพราะจุดที่ลงไม่สามารถเข้าถึงได้แล้ว เพื่อนบอกเหงื่อแห้งแล้วเดี๋ยวขึ้นรถเปิดแอร์ก็จะหิวข้าว ส่วนเราที่เปียกเหมือนลูกหมูตกหม้อ ขออาบน้ำไวๆ หนึ่งรอบก่อนเดินทางกันต่อไป
ทริปนี้เป็นการตะลอนๆ แบบไม่ค่อยวางแผนแต่ดันได้ดูของดีเยอะไปหมด เอาไว้ครั้งต่อไปจะมาเล่าเรื่องที่เที่ยวอื่นๆ ที่ได้เจอได้ว้าวในการเดินทางครั้งนี้ก็แล้วกันนะ