จอยบ้านอยู่กระบี่ ดินแดนแห่งท้องทะเลและขุนเขาตัวท็อปๆ ของประเทศไทย ครั้งแรกที่พาจอยเที่ยววังน้ำเขียว จอยกรี๊ดกร๊าดเอามาก จนเราต้องถามว่า นี่ไม่ได้กร๊๊ดเอาใจเจ้าถิ่นช่ะ อีภูเขาหญ้านี่มันสวยถูกใจขนาดนั้นจริงๆ เหรอ แกมาจากดินแดนแห่งเขาหินปูนในสายหมอกนะ สำหรับเรา นั่นน่ะสวยสุดแล้ว จอยว่าแบบนี้ไม่เคยเห็น มันปุยๆ โล่งๆ น่ารัก หรืออะไรทำนองนั้น
ทำให้นึกขึ้นได้ว่า ย้อนกลับไปราวสิบปีก่อน เราเคยเดินทางแบ็คแพ็คสายดุ่ยๆ ไประนองกับน้องคนหนึ่งพื้นเพเป็นคนสระบุรี ถามคนท้องถิ่นว่าไปเที่ยวไหนดี เขาบอกให้ไปภูเขาหญ้า เราต่อรถสองแถวกันไป แบกกระเป๋าที่มีทั้งหมดไปพร้อมเพราะเป็นการแวะก่อนเดินทางกลับ ขนาดว่าเป็นเราในเวอร์ชั่นสาวกว่านี้สิบปี ตอนไปถึงยังรู้สึกเหนื่อยล้าระอาแดด ภูเขาหญ้าระนองสองสามหย่อมกลางแสงแดดบ่ายจัดจ้าแต่งแต้มด้วยเศษขยะนิดหน่อย เพราะงานบอลลูนเพิ่งจบปรากฏตรงหน้า เด็กโคราชกับเด็กสระบุรีงงมาก นี่กูขึ้นสองแถวมาตั้งไกลทำไมวะเนี่ย เอ้าเพลงพี่เบิร์ดขึ้น .. ชั้นมาทำอะไรที่นี่ ..
ที่บ้านหนูมีแบบนี้เต็มเลยพี่ เพื่อนร่วมทางในครั้งกระนั้นบอก
สงสัยภูเขาหญ้าคงเป็นอะไรที่แรร์เฉพาะสำหรับคนใต้จริงๆ
บ้านเราอยู่อำเภอข้างเคียงกับอำเภอปากช่องที่เป็นด้านหนึ่งที่มีปากทางขึ้นเขาใหญ่ เรากับเขาใหญ่ผูกพันกันมานาน สมัยละอ่อนน้อยวัยเกรียน เรากับชาวคณะเพื่อนมหาลัยขึ้นรถไฟมาลงปากช่องแล้วโบกรถขึ้นเขาใหญ่กันบ่อยครั้งเพราะเป็นที่เที่ยวดีๆ ที่ประหยัดสุดแล้ว เขาอาจจะเปลี่ยนไปบ้างตามเวลา แต่การเปลี่ยนแปลงของเขาช่างน้อยเหลือเกินเมื่อเทียบกับเรา เราเปลี่ยนจากการโบกรถขึ้นไปกางเต็นท์นอนบนเขาใหญ่ กลายเป็นเดินทางโดยรถส่วนตัว และนอนบ้านพักอุทยาน จากนั้นก็กลายสภาพมาเป็นการนอนรีสอร์ทราคาถูก-กลางๆ และเริ่มไต่ราคาขึ้นตามกำลังและสังขารที่ต้องการการทะนุถนอมมากขึ้น เขายังคงสงบร่มเย็นเป็นที่พักใจเหมือนเดิม มีแต่เราที่กวัดแกว่งไปตามสภาวะแวดล้อม แต่ไม่ว่ายังไง เราแวะเวียนไปเยี่ยมเยือนเขาใหญ่เสมอ
เมื่อสองเดือนก่อน มีเวลาแค่สั้นๆ เท่าวันหยุดราชการ จอยระเห็จมาให้พาเที่ยว เราไปเขาใหญ่กันแบบสบายๆ ตามวัย แต่ไม่ลงทุนเรื่องที่พัก ได้ไปนอนแค่พอซุกหัว เราก็ข้ามจุดนี้ไป เราเน้นตะลอนๆ หาอะไรกินตามแนวเส้นธนรัชต์ และอยากขึ้นไปหาที่ดูพระอาทิตย์ตกบนเขาใหญ่ ที่อ่างเก็บน้ำสายศร ดูเวลาตาม GPS แล้ว ก็รู้สึกว่าเฉียดฉิวเหลือเกิน แต่ก็ยังดั้นด้นไป
เราเป็นคนรักการถ่ายรูปที่ฝีมือที่ถ่ายมานานยังใช้ไม่ได้ แต่ถือกล้องติดมือยิ่งกว่าใครๆ เพราะว่าหลงใหลการได้กดชัตเตอร์หยุดเวลาที่น่าประทับใจไว้ดูนานๆ ซึ่งเอาจริงๆ ก็แทบไม่มีเวลาดูอะนะ กลัวมากว่าจะตายไปแบบวิเวียน มายเยอร์ ต่างแค่คนเจอกรุ HDD เรา คงไม่ได้เอาไปเผยแพร่ต่อ แต่อาจจะเอาไปทำที่ทับกระดาษหรือหนุนกระถางต้นไม้ซะมากกว่า วันนั้นฟ้าไม่เปิดซักเท่าไหร่ แต่ก็ยังหวังว่าจะได้เก็บภาพพระอาทิตย์ตกสวยๆ ที่อ่างเก็บน้ำกลางเขาใหญ่กับเขาบ้าง
แต่การขับขึ้น มันช่างเชื่องช้าไม่ทันใจ เราพยายามรักษาความเร็วที่สมดุลกับความโค้งชันของถนน ไม่ขับเอื่อยเฉื่อย ถึงอย่างนั้นก็ยังไม่ทันการ พระอาทิตย์กำลังจะตกตอนเรามาถึงทุ่งดอกหญ้าคาก่อนถึงอ่างเก็บน้ำสายศรประมาณ ๕ กม. เราตกลงหยุดชมวิวที่ตรงนั้น ป้าจอยวิ่งถลาเข้าไปในกอหญ้า คนที่กรี๊ดกร๊าดกับเขาหญ้าสั้นๆ มาเจอเนินไล่ระดับที่ปกคลุมไปด้วยดอกหญ้าขาวโพลนก็ดูจะฟินๆ หน่อย ส่วนเราหาช่องส่องพระอาทิตย์ตกอย่างเจียมตัว ได้มาแค่ซอกกิ่งต้นไม้ก็ยังดีวะ นักเดินทางอีกสามสี่กลุ่มผลัดกันถ่ายรูปอย่างขะมักเขม้น สายลมพัดดอกหญ้าปลิวไสวเหมือนพรมนุ่มๆ สีขาวที่เต้นระบำอยู่บนปลายเรียวของยอดหญ้า แล้วฟ้าก็ค่อยๆ เปลี่ยนสีจากส้มเป็นน้ำเงิน และมืดลงในที่สุด
นาฬิกาชีวภาพของป้าสองคน หันเหไปสู่อาหารเย็นทันทีที่หมดความสนใจในธรรมชาติ เหล่าตากล้องและนางแบบทั้งหลาย สลายตัวกันไปอย่างเร็วเมื่อพระอาทิตย์สิ้นแสง เหมือนกำลังเล่นเกมใครอยู่หลังระวังนะโว้ย เราขับรถฝ่าความมืดตามลำพังไต่ไปตามถนนแคบคดโค้ง สำหรับคนอื่น ไม่รู้การขับรถทางเขาตอนกลางคืนทำให้กลัวกันรึเปล่า แต่สำหรับเราชอบมาก เพราะว่าเราเอาไฟสาดนำไปก่อนเลย ฝั่งตรงข้ามเห็นแต่ไกล เราเองก็สังเกตแสงไฟฝั่งตรงข้ามได้จากอีกฝั่งของเหวเหมือนกัน ยิ่งถนนในป่าที่รถน้อยมากๆ เราแทบไม่จำเป็นต้องเข้าโค้งเนียนครบทุกโค้ง ถ้าไม่เห็นไฟฝั่งตรงข้ามวาบออกมาจากอีกด้านของโค้งเขา เป็นอันว่าขับแลบๆ ข้ามเลนไปบ้างก็ได้ เทคนิคนี้คนขับรถตู้เส้นตาก-แม่สอดสอนมาเมื่อครั้งไปเดินทีลอซูหลายปีก่อน ต่างกันนิดตรงที่สัตว์ป่ามันไม่ได้คาดสปอร์ตไลท์บนหัว เราจึงใช้วิธีวาบไฟสูงเรื่อยๆ ให้กระทบแผ่นสะท้อนแสง กันไว้ก่อนอีกชั้นหนึ่ง ถึงจะบอกว่าไม่ได้กลัวการขับกลางคืน แต่ก็ไม่ได้อยากตายไวไง โลกออกจะสวยงาม ขออยู่ด้วยอีกนานๆ นะ
เราคุยกันจ๊อกแจ๊ก ไม่รู้เรื่องสัพเพเหระอะไร แต่ใช้เวลาแค่ ๑๕ นาทีเว้ย เราก็มาถึงทางออกที่ด่านเก็บค่าเข้าอุทยานปากทางเขาใหญ่ ซึ่งขาขึ้นเราใช้เวลาขึ้นราวๆ ๔๐ นาทีได้ นี่จำได้จริงๆ นะไม่ได้เบลอ เพราะว่าดูเวลาเทียบเวลาพระอาทิตย์ตกตลอดเวลา ด้วยอิทธิพลจากหนังสือโปรดแนวเดินป่าแฟนตาซี (เพชรพระอุมา ล่องไพร และไม่ลืมหุบเขากินคนของมาลา คำจันทร์ รักมาก) บวกกลิ่นอายมูราคามิ เราบ่นออกมาดังๆ ว่า หรือพวกเราแม่งข้ามเครือเขาหลงไปแล้ววะ ถึงตอนนั้นเราก็กังวลขึ้นมาว่า ถ้าเราข้ามเครือเขาหลงมาที่โลกคู่ขนานแล้วจริงๆ ชีวิตของเราอาจจะต้องดำเนินต่อไปบนโลกใบนี้ แล้วโลกใบเก่าล่ะ จะมีคนมาแทนที่เราไหม ถ้ามีแล้วมันจะเนียนไหม จะมีใครรู้รึเปล่าว่านั่นไม่ใช่ไอ้แอ้ตัวจริง แล้วคนนั้นที่ชั้นชอบแต่เค้าไม่ชอบชั้นน่ะ มันจะมีโลกคู่ขนานอีกใบไหมที่เค้าชอบชั้น ฯลฯ
ชิบหาย ท่าทางจะหิวจัด พอๆ ไปหาอาหารกันดีกว่า
ออกตัวทุกครั้งที่เมนชั่นเรื่องอาหาร ว่าไม่สามารถรีวิวอาหารได้ เพราะเป็นคนกินง่ายอร่อยง่าย แต่ร้านนี้ที่นำเสนอจอยเป็นร้านที่โปรดมาก ตั้งแต่มั่วๆ เข้าไปกินเพราะร้านสวยเมื่อหลายปีก่อน ทุกวันนี้ไปเขาใหญ่ทีไร ยังหาโอกาสแวะเวียนไปร้าน Mew เสมอ อาหารดูรวมๆ เป็นนั่นนี่ฟิวชั่นกันไปมา เมนูไม่ได้เยอะแบบว่าละลานตา แต่ก็ครอบคลุมหลายแนวอยู่ ลองสั่งมาหลายอย่างแล้ว ยังไม่เจอที่ไม่อร่อยซักที (แต่ยังไม่เคยสั่งพวกข้าวผัดนะ เพราะตระกูลข้าวผัดเราจะชอบที่เป็นกะทะโบราณ ก้นดำๆ ผัดแล้วข้าวติดกลิ่นหอมไหม้ๆ นิดหน่อย ซึ่งไม่คิดว่าจะหาได้จากร้านแนวนี้เลยไม่สั่งดีกว่า) วันนั้นเราสองคนเอนจอยอาหารสุดๆ กินกันอย่างอ้อยอิ่งจนแทบจะถึงเวลาปิดร้านช่วยน้องยกเก้าอี้โน่นเลย
วันถัดมาเราเที่ยวได้นิดหน่อยก่อนกลับสู่ชีวิตการทำงาน จะว่าไปคนอย่างเราก็คงเหมือนตุ๊กตาไขลาน ที่ใช้เวลาไขพักนึงรั้งลานให้ตึงเปรี๊ยะ จากนั้นก็ได้เวลาปล่อยให้ตุ๊กตาโดดดึ๋งๆๆๆๆ อย่างร่าเริง และแล้วลานก็หมดลงอย่างรวดเร็ว เราคงต้องกลับไปไขลานอีกครั้ง และอีกครั้ง เพื่อจะได้โดดดึ๋งๆๆๆๆๆๆ กันต่อไป ด้วยเวลาที่น้อยคงทำอะไรไม่ได้มากไปกว่า ฮอพอินฮอพเอาท์กินอาหารแวะร้านกาแฟ บวกถ่ายรูปเยอะๆ ให้สมกับที่เกิดมาในยุคกล้องฟิล์ม แล้วอายุยืนจนทันได้ใช้กล้องดิจิตัล
ผลประกอบการ :
มื้อเช้า Fairy’s Scone House Khaoyai ดี ชอบ ร้านเน้นขนมกับสโคนซึ่งเป็นขนมหนึ่งในน้อยชนิดมากๆ ที่เราดันไม่ชอบว่ะ มีเมนูมื้อเช้าที่เป็นของคาวแค่สองสามเมนู เราเลือกจานไข่ฟูที่ชื่อจริงๆ หรูหรากว่านี้แต่จำไม่ได้ ผลก็คือ ดี อร่อย สวยงามถ่ายรูปขึ้น นั่งกินมื้อเช้ากันเงียบๆ ในร้านเล็กๆ น่ารักสุดๆ ภายในร้านไม่กว้างมาก มีโต๊ะแค่ไม่กี่โต๊ะ แต่บริเวณข้างนอกซึ่งท่ามกลางแดดจ้าเดือนพฤษภาคม ไม่น่านับว่าลูกค้าจะนั่งได้นั้นถูกจัดอย่างสวยงาม งามแบบพอดีๆ ไม่เฟคมาก และโฟโต้จีนิคแทบทุกมุม
ร้านกาแฟลำดับหนึ่ง (ลำดับหนึ่งที่เข้า แต่ไม่ใช่ลำดับหนึ่งในใจแน่นอน) Please Don’t Tell อยู่ในโครงการบ้านหรือรีสอร์ทใหญ่ๆ หรูหราหมาเห่า พอเข้าไปแล้วเปลี่ยนชื่อให้ใหม่เลยว่า Please Don’t Go คือสลิ่มเกินเบอร์เราไปมาก ร้านกว้างขวางแนวแฟคทอรี่มีปล่องดูดควันขนาดใหญ่โตห้อยลงมากลางร้าน (ถ้าไม่ใช่ปล่องดูดควันก็ขออภัย ไม่รู้จักสิ่งนี้จริงๆ) กระจกรอบด้าน เพดานสูงลิบ ผลที่ได้ก็คือ แอร์มันไม่เย็นเลยโว้ย เหมือนเอาตู้กระจกร้อนๆ ไปตั้งกลางแดด แล้วกวาดต้อนเอาประชาชนเข้าไปแย่งกันนั่งโต๊ะ ทำท่าชิลให้กล้อง ขณะที่หนีบจั๊กกะแร้ชุ่มเหงื่อเอาไว้ แต่นั่นยังไม่เท่าพนักงานที่หน้างอมากกกกก เหมือนเราเป็นขอทานที่มาขอปันคาเฟอีนจะได้มีแรงไต่บันไดสะพานลอยยังไงยังงั้น เราสองคนไม่อยากให้เสียบรรยากาศ เลยอดทนๆ จนจอยเจอเส้นผมในไอติมเมอร์เมด (มีโคนเวเฟอร์รูปหางปลาเสียบ ไอติมสีหวานสวย) ตอนดึงผมเส้นยาวๆ ออกมารู้สึกถึงความฝังแน่นในเนื้อไอติม เล่นเอาขนลุกไปหมด สุดท้ายพนักงานคืนเงินให้จอย แล้วออกตัวว่าทางร้านไม่ได้ทำไอติมเองค่ะ รับมา จบนะ อื่นๆ นอกจากนี้ เป็นร้านที่ถ่ายรูปออกมาสวย แต่ตอนอยู่ในร้าน ไม่ได้รู้สึกสบายตัวสบายใจอย่างแท้จริง
ร้านกาแฟลำดับสอง Pirom Café ร้านนี้เป็นทรงเหมือนโรงนาเก่าๆ หรืออาจจะเป็นโรงกาแฟอะไรซักอย่าง มีสวนสวยด้านหน้า มีวิวบึงน้ำให้นั่งมองท่ามกลางแดดแผดเผา เอาจริงๆ ร้านนี้กับร้านแรกมีความคล้ายหลายอย่าง ลูกค้าเยอะ รวมถึงแอร์ไม่เย็นด้วย แต่ร้านนี้ลูกค้าเดินไปบอกพนักงานซึ่งอยู่ข้างนอกห้องแอร์ว่าแอร์ไม่เย็นนะ พนักงานก็ดูมีความใส่ใจ แต่ก็ซ่อมแอร์ไม่ได้อยู่ดี แต่ใส่ใจก็ดีแล้ว ทำให้รู้สึกเลยว่าเออ งานบริการ พนักงานสำคัญมากๆ เพราะเรานั่งเล่นร้านนี้ได้นาน ก็เพราะท่าทีของพนักงานนี่แหละ
แวะ GranMonté ไร่องุ่นนอกฤดูองุ่น (คนละเจ้ากับที่มีข่าวว่ารุกที่ป่าโดนปิดไป เห็นแว้บๆ ว่าเจ้าของเขาประชาสัมพันธ์ในเฟซบุ๊คเพราะเสียชื่อเสียง) ร้านสวยแอร์เย็น ของราคาสูง แต่ผลิตภัณฑ์เจ๋งมาก โคตรเพิ่มมูลค่าเลย แต่ละอย่างที่เอามาทำขาย แค่เดินดูก็เพลินแล้ว ได้สอยติดไม้ติดมือมานิดหน่อยตามสภาพตังค์ในกระเป๋า
จอยเดินทางกลับกระบี่ เราเริ่มลืมเลือนเรื่องเครือเขาหลง หรืออาจจะเพราะมิตินี้ก็ไม่ต่างจากมิติที่เราจากมา วิถีชีวิตก็เหมือนเดิม คนรอบตัวก็เหมือนเดิม โดยเฉพาะคนที่ไม่สนใจเรานั่นน่ะ ก็ไม่มีอะไรต่างออกไปนี่หว่า
อาทิตย์ที่แล้ว เราได้ใช้เวลาวันหยุดที่เขาใหญ่อีกครั้งพร้อมหน้าด้วยเพื่อนๆ อีกกลุ่ม (ไปบ่อยจริงๆ นะเนี่ย) แต่เผื่อเวลาหลังแยกกับเพื่อนๆ ไว้ฟังเสียงตัวเองเงียบๆ บ้าง หลังมื้อเที่ยงที่ Mew (อีกแล้วเห้ย) บอกลาเพื่อนๆ และหลานๆ ผู้น่ารัก เราได้ยินเสียงตัวเองกระซิบผ่านสายลมและแสงแดดยามบ่ายว่า .. กูปวดหลัง ไปนวดกันเถอะ..
ยามบ่ายตามลำพังหมดไปกับการแวะตียิมโปเกมอน เพราะเขาใหญ่ยิมเยอะ แต่คนเล่นไม่เยอะ เหล่าเทรนเนอร์ถ้าผ่านไปก็ลองมองหาดู พบร้านนวดที่ดี นวดคอบ่าไหล่ ๑ ชั่วโมงโคตรฟิน จากนั้นก็ได้เวลาทำภารกิจที่ค้างคาใจมาสองเดือน นั่นก็คือการดูพระอาทิตย์ตกที่อ่างเก็บน้ำสายศร และมุ่งมั่นว่าจะสังเกตเส้นทางที่สัมพันธ์กับเวลาขึ้นและลงเขาใหญ่ เพื่อหาคำตอบเรื่องเครือเขาหลง เพราะครั้งก่อนหลังลงมาสู่พื้นราบแล้ว เราเช็คบันทึกใน Google timeline ที่มักจะเปิดไว้ตลอดเพราะชอบดูว่าวันๆ ไปไหนมาบ้าง (อีกอย่างคือชีวิตไม่มีความลับ หรือจะเรียกให้ตรงกว่านั้นไปอีกนิดก็คือ ไม่มีใครให้ต้องปิดบังว่าวันๆ ไปไหนมา) ใน Timeline แทนที่จะเห็นเส้นทางขึ้นและลงเขา กลับกลายเป็นว่าเส้นตีกันยุ่งเหยิงไปหมด ทำให้จิ้นเรื่องข้ามมิติเพิ่มไปได้อีกนิดนึงพอเพลินๆ
แวะจ่ายค่าเข้าอุทยานเรียบร้อยเป็นเวลาเกือบหกโมงเย็น ดูเวลาแล้วก็ทันพระอาทิตย์ตก แต่ก็ไม่มากพอให้อ้อยอิ่งที่ไหนอีก เส้นทางขาขึ้นเป็นเหมือนที่จำได้ ทางแคบ คดและโค้งบิดกลับไปกลับมาขับสนุกดี แต่ด้วยความที่เป็นวันสุดท้ายของวันหยุดต่อเนื่อง ทำให้มีรถสวนลงมาเป็นระยะๆ และรถเหล่านั้นก็ขับลงเขามาโดยแทบไม่พบรถสวนขึ้นเลย ทำให้ขับกินเลนกันอย่างเมามัน เป็นที่น่าหวาดเสียว ต้องอาศัยบีบแตรเตือนทุกหัวโค้ง
แค่ ๑๕ กม. จะถึงอ่างเก็บน้ำสายศร เราก็จอดแวะไป ๒ จุด จุดแรกเป็นจุดชมวิว กม. ๓๐ แดดเย็นสีสวยฉาบผืนป่า มองเห็นที่ราบอยู่ตรงกลางระหว่างภูเขาเป็นพื้นที่ทะเลสาบกับสนามหญ้า อาจจะเป็นรีสอร์ทหรือสนามกอล์ฟ ไม่มีเวลาพิจารณานาน มีพระอาทิตย์ตกต้องรีบไปดู ตรงนั้นก็มีลิงด้วย และเราไม่ชอบลิงแบบสุดๆ จุดลูกเนินดอกหญ้าคาเราไม่ได้แวะ เพราะครั้งนี้ดอกหญ้าได้หายไปหมดแล้ว เหลือแต่สีเขียวล้วนของใบหญ้า เหมือนขับรถผ่านหญิงสาวคนเดิม แต่วันนี้ไม่ได้แต่งหน้าทำผม ทุกคนจึงผ่านเลยไปไม่ได้แวะทักทายถ่ายรูปกับเธอ
แวะจุดที่สองไปเข้าห้องน้ำที่ที่ทำการอุทยานเพื่อความผาสุกในการชมบรรยากาศ แล้วก็ขับมาถึงอ่างเก็บน้ำสายศรในที่สุด ผิดหวังกับวิวเล็กน้อย เพราะคิดไปเองว่าจะเห็นพระอาทิตย์ลับขอบฟ้า แต่ไม่ว่าที่ไหนบนเขาใหญ่ก็มีต้นไม้เป็นทิวแถวอยู่เสมอ ซึ่งนั่นก็ดีแล้ว เราเลยเปลี่ยนจากอยากถ่ายรูปสวยๆ เป็นการนั่งพักบนสนามหญ้าเย็นๆ ดูน้ำ ดูฟ้าแทน ผู้คนจำนวนหนึ่งสนุกสนานกับการถ่ายรูปแบบครีเอท มีเด็กๆ วิ่งเล่น มีคนที่ดูเหมือนเพิ่งเลิกงานนั่งเต็มหลังกระบะขับผ่านไป พระอาทิตย์ค่อยๆ ลับหลังทิวไม้ ลมพัดกำลังสบาย และอากาศเย็นลงเรื่อยๆ ปลั๊กที่มองไม่เห็นแต่มีอยู่จริงเลื้อยออกจากกระโหลกหนาๆ ของเรา ไปจิ้มเข้ากับธรรมชาติ แบตเตอรี่ถูกชาร์จอย่างรวดเร็วซุเปอร์ฟาสต์ชาร์จ ปื๊ดๆๆๆ เต็ม ๑๐๐% พร้อมสู้วันใหม่เลยจ้า
พอฟ้ามืดเกือบสนิท เราตัดสินใจจะเข้ากรุงเทพฯ จากจุดนั้นเลยด้วยการข้ามเขาไปลงทางปราจีน (ลืมเรื่องพิสูจน์เครือเขาหลงไปแล้ว ไอ้ปลาทองเอ๊ย) ภาวนากับ GPS ว่าอย่าเดี้ยงกลางทางนะลูก ก่อนดั้นด้นไปตามทางที่อากู๋บอก พักนึงแหละก็เจอด่าน ยังซื่อบื้อขับไปจนชิดไม้กั้น เจ้าหน้าที่บอกแบบเอือมๆ ว่า หลังหกโมงไม่ให้ลงทางนี้แล้วครับ กลับไปลงทางปากช่องเลย เราก็นึกขึ้นได้ทันทีว่า ข้อมูลนี้มันมีมานานแสนนาน เราก็รู้แล้ว และเคยโดนมาแล้วนี่หว่า ลืมได้อีก เอาจริงๆ ถ้าเจ้าหน้าที่บอกให้ไปได้ เราก็คงขับไปสั่นไป เพราะว่ามันมืดสนิท เปลี่ยวสงัด แล้วช้างก็มางัดรถลงข้างทางบ่อยๆ เน็ตเราก็ไม่ได้เสถียรอะไร โดนห้ามแหละดี อย่างน้อยมาโม้ได้ว่า อะโถ่.. ถ้าไม่ห้ามนะข้ามไปแล้ว ไม่ได้ป๊อดซะหน่อย
ไปหลงทางเสียเวลาหลงรัชดาติดลาดพร้าวมา เพื่อนๆ เขาก็ลงเขากันไปหมดแล้ว อีนี่ต้องขับลงคันเดียวมืดสนิทกลัวนิดๆ เร้าใจสุดๆ คราวนี้ตั้งใจสังเกตเส้นทางประกอบกับ GPS ดูทั้งเวลา ดูทั้งจุดที่สำคัญที่ต้องผ่านซึ่งก็ไม่ค่อยเห็นอะไรอะ มืดเหลือเกิน พอไต่โค้งลงมาเรื่อยๆ ก็เริ่มเข้าใจ ที่จริงแล้วขาลงทำเวลาได้ดีนั่นถูกแล้ว เพราะแรงโน้มถ่วงโลกมันช่วย เราแทบไม่ต้องเหยียบคันเร่ง แตะๆ เบรคตามจังหวะ แถมความมืดยังลดทอนดีเทลข้างทางลงไปมากหรือจะเรียกว่าหมดเลยก็ยังได้ พอเราไม่ต้องว้าวต้นไม้ ว้าวภูเขา เสียวหน้าผา เราก็โฟกัสกับการขับมากขึ้น แถมยังตัดเลนได้หน่อยๆ เพราะไม่เห็นไฟรถสวนขึ้นมาเลยซักคันเดียว (แต่ฉายไฟสูงไปเจอกวางโตเต็มวัยสามตัว ดีใจปนตกใจไปพักนึง) คงเหมือนกับการถ่ายรูป ถ้าลองหลายเหลี่ยมหลายมุมแล้วมันยังดูไม่สวย บางทีดีเทลมันเยอะไป ลองแต่งรูปเป็นสีขาวดำ บางทีมันอาจจะทำให้เราโฟกัสกับสิ่งที่ถูกนำเสนอมากยิ่งขึ้นก็เป็นได้
เราลงมาสู่พื้นราบด้วยเวลาที่ดีกว่าขาขึ้นมากเช่นเคย และ GPS บันทึกเส้นทางที่ถูกต้องชัดเจน จึงขอสรุปผลการทดลองว่า เราไม่ได้ข้ามเครือเขาหลง และยังคงอยู่ที่มิติเดิม จากนั้นก็เปลี่ยนใจไปหาข้าวหน้าปลาไหลกินก่อนเดินทางกลับ เหตุผลก็เพราะหิวแล้วว้อย
ไม่ว่าจะมิตินี้หรือมิติไหนเรื่องกินก็นำมาก่อนเสมอ