ผจญภัย เรือ ต.

เมื่อเราไต่ระดับลงสู่ความลึกของทะเล สีแดงเป็นสีแรกที่จะหายไปก่อน ด้วยความยาวคลื่นมากที่สุด ทำให้มีพลังงานน้อยที่สุด ตั้งแต่ห้าเมตรสีแดงเริ่มหม่นลง พอผ่านช่วงสิบเมตรลงไปก็แทบจะหายสนิท

เรามองดูมือที่นิ้วก้อยซ้ายด้านนอกเพิ่งถูกขูดขีดเร็วๆ จากการลากผ่านลานเพรียงหนาแน่น ที่ระดับความลึกราว 20 ม. ที่กราบด้านหนึ่งของเรือ ต.94 เห็นรอยดำเปื้อนเป็นเส้นจางๆ ยาวไม่ถึงเซ็น เจ็บแสบเมื่อโดนน้ำทะเล

อุ๊ยนิ้วเปื้อน เอามือขวาไปถูๆ หายแสบไปนิด

รอยดำเปื้อนบางลงหน่อยแล้วกลับหนาขึ้นอีก อิหยังวะ สงสัยแล้วก็ว่ายน้ำต่อ

ในบรรดา Dive site ของชาวสกูบ้า เรือจมเป็นหมวดหนึ่งที่มีความนิยมอยู่มาก เราคนนึงล่ะชอบเรือจมซะจริงๆ มุดมาก็หลายลำ ไม่นานมานี้เองเพิ่งได้ยินข่าวการจมเรือที่ปลดระวางลงสู่ก้นทะเลเพื่อเป็นแหล่งปะการังเทียมและเป็นแหล่งเรียนรู้ ท่องเที่ยว เพิ่งจะแป๊บเดียวก็มีโอกาสได้ไปดำโดยที่ไม่ได้รู้แผนมาก่อนด้วย ดีใจมาก

ทุ่นสีเหลืองใหม่เอี่ยมลอยกลางทะเล กำหนดจุดสี่มุมแสดงตำแหน่งเรือปลดประจำการที่ถูกจมไว้เป็นแหล่งปะการังเทียมและแหล่งดำน้ำ ทั้ง ต. 94 และ ต. 95 แสมสารวันฟ้าใส ผิวน้ำแทบจะไม่มีคลื่น ถามครูตุ้ยว่า มีปะการังมาเกาะแล้วยังครู ครูว่ามีแต่เพรียงที่คมแสนคม เรือเพิ่งถูกจมได้สองเดือน จึงยังไม่มีดอกไม้ปะการังใดๆ มางอกงาม เมื่อรอให้กลุ่มเราอันประกอบไปด้วยลูกฝูง 5 ครู 1 ครูผู้ช่วยอีก 2 สำหรับไดฟ์นี้พร้อมกันดีแล้ว พวกเราก็จมตัวลงแล้วไต่โซ่อ้วนๆ ใหม่เอี่ยมลงสู่ความเงียบสงบของก้นทะเล แม้แต่ที่ตัวโซ่ บรรดาน้องเพรียงก็เริ่มมาเกาะกันแล้ว เราค่อยๆ ใช้นิ้วคีบพยุงตัวพลางปรับสมดุลในหู เพรียงจิ้มนิ้วหนาๆ จึ้กแล้วจึ้กเล่า ไม่เจ็บซักเท่าไหร่หรอกน่า.. บอกตัวเอง

เมื่อถึงก้นทะเลน้ำไม่ใสเหมือนสองไดฟ์แรกของวัน เรือ ต.94 จอดตะคุ่มๆ อยู่ในน้ำขุ่นเล็กน้อยสีเขียวอมฟ้า เราค่อยๆ ว่ายชมตัวเรือจากด้านหลังสู่ด้านหน้า แทนที่จะเป็นดอกไม้ทะเลหรือปะการังอ่อนชูช่อ แต่ขดเชือกตรงนั้นตรงนี้ที่ขาดแล้วลอยฟูฟ่อง กลับดูผ่านๆ คล้ายดอกไม้ปลอมอยู่เหมือนกัน ตกลงกันไว้ตั้งแต่บนเรือแล้วว่าครูจะให้เรามุดเข้าไปจากช่องประตูด้านขวาของลำเรือ ร่อนขึ้นบันไดสองสามขั้น สู่ห้องกัปตันแล้วชะโงกหน้าออกมาให้ครูถ่ายรูปทีละสองคน

คนฉายเดี่ยวอย่างเรา ครูตุ้ยบอกให้โผล่ช่องหน้าต่างคู่กับครูจิล และว่ายเข้าไปเป็นคู่สุดท้าย ประตูที่แคบอยู่แล้วยิ่งดูแคบมากเป็นพิเศษเมื่อมีนักดำน้ำตัวอ้วนแบกถังกับห้อยสายนั่นนี่พะรุงพะรัง แทบทุกอณูผิวของเรือ ต. ถูกปกคลุมด้วยเพรียงแน่นขนัดไปหมดจนเหมือนผิวเจ้ามังกรร้ายที่ปกป้องเจ้าตัวจากการรุกราน เราโดนขูดตรงนั้นตรงนี้ แล้วก็โผล่มาที่ช่องหน้าต่างของกัปตันเพื่อชะโงกทำหน้าแป้นแล้นถ่ายรูป จากนั้นก็วกตัวไปแทบจะเหมือนยูเทิร์นไปทางซ้าย ร่อนข้ามบันไดอีกสองสามขั้นเพื่อขึ้นสู่ชั้นบนอีกชั้นที่เหมือนดาดฟ้า

บนดาดฟ้ามีโครงเหล็กที่เคยเป็นเหมือนเสาเรดาร์อยู่ระเกะระกะ ไม่มีพื้นผิวไหนที่ไร้เพรียง เรามุดเสามุดคานและจะวกไปรวมตัวกับชาวคณะที่หัวเรือ อยู่ๆ ก็พบกับเจ้าเต่าตัวโตเบ้อเริ่ม แหวกว่ายพุ่งตัวออกมาจากห้องกัปตัน สงสัยจะแอบนอนอยู่ในนั้นแล้วรำคาญเรานี่เองแหละเลยพุ่งหนี เราตามถ่ายรูปน้องเต่าอยู่คนเดียว ซึ่งน้องก็ดันมุ่งหน้าไปหาชาวคณะจำนวนมากด้านหัวเรือซะด้วย เสียงกรี๊ดของชาวสกูบ้ามันอาจจะไม่ดังออกมาเป็นเสียงแหลมสูง แต่จะเป็นการหอบหายใจ พ่นและสูบอากาศกันโครมครามมากกว่า ทันทีที่เจ้าเต่าเผยตัวสู่ชาวคณะทั้งกลุ่มเราและกลุ่มข้างๆ น้องก็กลายเป็นดาราหน้ากล้องทันที เราซึ่งได้ว่ายตามน้องกันตามลำพังสองคนมานาทีนึงแล้ว ก็เลยถอยตัวลงต่ำ ให้คนอื่นได้ดูน้องบ้าง

ขณะนั้นน้องลอยตัวอยู่เหนือส่วนห้องกัปตัน เราเห็นคนที่เพิ่งมุดเข้าห้องกัปตัน คงกำลังงงว่ามองลอดหน้าต่างทำไมมีแต่ช่วงขาคนอื่นด้านนอก เราเลยส่งสัญญาณบอกว่า มีเต่าอยู่บนห้องนี้ ให้รีบว่ายออกมา ทำให้เพื่อนๆ อีกกลุ่มได้มีโอกาสมามุงเต่าด้วยกัน

จึ้กเข้าให้ แล้วก็อีกจึ้ก อีกจึ้ก

เวลาที่ไม่ได้โฟกัสกับการพยุงตัวให้ดี เราก็โดนน้องเพรียงจิ้มเข้าอีก

ไดฟ์นั้นสนุกสนานตื่นเต้นกันพอแล้ว ครูตุ้ยพาทุกคนไต่โซ่อ้วนๆ กลับ และเนื่องจากเป็นไดฟ์สุดท้ายของวันแล้วเราก็ร่าเริงว่ายเล่นพุ่งไปมาอยู่ที่ความลึกสุดเกือบ 23 ม. เพื่อความปลอดภัยเลยต้องทำ Safety Stop นานหน่อย ระหว่างนั้นครูขอดูไดฟ์คอมพ์ เรากระตุกข้อมือพลาดไปนิด จึ้กกก ใหญ่ๆ กึ่งเพรียงกึ่งโซ่เหล็กเขรอะสนิม คราวนี้ก้มมองนิ้วโป้ง

หนังเปิดออกมาเป็นปากฉลาม ของเหลวสีดำไหลออกมา ยิ่งลูบน้ำหมึกดำๆ ก็ยิ่งกระจายปะปนกับน้ำทะเลไม่หยุด

เอ้านี่มันเลือดนี่หว่าโว้ยยยย พลิกมือไปดูรอบๆ โอ้โห ไม่ใช่รอยเปื้อนเลย ขีดจิ๋วๆ ตรงนั้นนิดตรงนี้หน่อย เลือดทั้งนั้น คิดได้ถึงตรงนี้จะเป็นลม เพราะกลัวเลือดตัวเอง เริ่มรู้สึกแสบ เริ่มงอแง

พอขึ้นเรือก็ปรึกษาชาวแก๊งในวันนั้น รวมถึงน้องป๊อบน้องพยาบาลที่มาเดี่ยวเหมือนกัน น้องว่า ฉีดกระตุ้นบาดทะยักเถอะพี่ ครูบอกว่า ไปกระตุ้นซักสามเข็มนะ ดีกว่าโดนฟอร์มาลีนเข็มเดียว เราที่กลัวเข็ม และมั่นใจว่าตัวเองใช้โควต้าโดนจิ้มครบไปแล้วของปีนี้ และยิ่งเพิ่งบริจาคเลือดเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมานี่เองแขนพับยังไม่หายม่วงดี ถึงกับหน้าซีดเซียว กินไอติม กินขนมเท่าไหร่ก็ไม่ช่วย (แต่ก็กินอยู่ดี)

พอขึ้นฝั่งมาแล้ว ก็ยังลีลาท่ามากไม่ยอมไปหาหมอ ยังเลือกไปเที่ยวไปเล่นกับเจ้ามิคกี้กับแม่และหลานต่อ แต่คุ้มค่ามากเพราะอากาศดีเกินกว่าจะหันหลังแล้วจากไปง่ายๆ

แล้วพออิ่ม พอเหนื่อยก็ขี้เกียจขับกลับ เปลี่ยนแผนนอนสัตหีบมันดื้อๆ

ที่พักไม่มีที่จอด แนะนำให้ไปจอดในวัด แต่เลี้ยวผิดเข้าไปประตูที่เป็นส่วนของฌาปณสถาน มืดตึ้บ ขับวนอ้อมต้นไม้ใหญ่แผ่กิ่งก้านลิบหายจากวงแสงไฟหน้ารถ ในหัวก็จินตนาการถึงตัวเองตอนโทร.ไปหาพี่แจ๊คเดอะโกสต์ เอิ่มพี่แจ๊คคะ คือว่าประตูมันอยู่ใกล้กันเลยเลี้ยวผิดค่ะ..

มาการิต้าที่บาร์ดาดฟ้าท่ามกลางแสงจันทร์สว่างร้อนวาบในท้อง กับวันคาร์ดิโอที่แสนเหน็ดเหนื่อย ทำเอาหลับเหมือนสลบ จงใจไปนอนโฮสเทลแบบดอร์มเผื่อได้เพื่อนใหม่ สรุปไม่ได้เจอใครทั้งนั้น

ท่ามกลางแดดแผดๆ ในวันอาทิตย์ รถมอมแมมคันหนึ่งจอดฝั่งตรงข้ามคลีนิคแถวพัทยา

เจ้าอ้วนวิ่งหัวฟูข้ามถนน แล้วเข้าไปนั่งสั่นขาข้างใน คือมาเพื่อจะถามว่า ไม่ฉีดไม่ได้เหรอคะ หมอหนุ่มมือนุ่มจับทั้งสองมือของเราพลิกไปมาอย่างเบาๆ ดูแผลนั้นแผลนี้ บางแผลเราก็เพิ่งจะเห็นพร้อมหมอนี่แหละ มีรูเล็กๆ ที่อุ้งมือขวาอีกหลายรู รวมๆ แล้วน่าจะเกินสิบ

ฉีดกระตุ้นซักเข็มนะครับ คุณหมอบอก แล้วก็เอายาฆ่าเชื้อไปกินซักสองชนิด เพราะบาดแผลเกิดในทะเล ดักๆ ไว้ก่อน ยาฆ่าเชื้อเม็ดใหญ่เท่าหัวแม่โป้งตีนที่มาแกะดูที่บ้าน ทำเอาจิตใจท้อถอย คุณพยาบาลน่ารักใจดีมากๆ หลอกให้เราเล่าเรื่องดำน้ำก่อนจะแอบฉีดวัคซีนทั้งเร็วทั้งมือเบาจนแทบไม่รู้สึกเลย

เอาล่ะ เรือจมทั้งหลาย ต่อไปนี้ข้าไม่กลัวสนิมเอ็งแล้ว.. เจอกัน!

——-

แถมท้าย 1

คุณพยาบาล : เดี๋ยวเขียนใบรับรองแพทย์ให้นะคะ

แอ้ : ขอบคุณค่ะ

คุณพยาบาล : ให้เขียนว่าโดนอะไรมานะคะ

แอ้ : เพรียงบาดค่ะ

คุณพยาบาล : เพรียงเหรอคะ เขียนว่าหอยบาดได้มั้ยคะ

แอ้ : ไม่เอาหอยไม่ได้เหรอ มันไม่เท่ห์อะ มันไปทางตลกเลยนะคะ

สรุปใบรับรองแพทย์จริง ได้มาแค่ “บาดแผลถลอกที่มือ”

แล้วเลือดชั้นอ่าาาา ที่ไหลเป็นทางอยู่ในทะเลนั่น ฮือออ เลือดชั้นโดนด้อยค่าาา

——-

แถมท้าย 2

ครูตุ้ย : ปีหน้าจะไปมาลาปัสกัว สนมั้ย

แอ้ : ครูๆ พี่มีคำถาม

ครูตุ้ย : ว่าไงครับ

แอ้ : หลังจากขายไตเนี่ย อีกกี่เดือนเราถึงจะดำน้ำได้คะ

——-

Reference : วันนี้ไปกับเรือ The great white shark น่าจะหรูสุดในแสมสารแล้ว สวย ของกินเพียบรวมเสิร์ฟกาแฟเครื่องดื่มอร่อยๆ ทั้งวัน น่ารักที่สุดคือพยายามลดพลาสติกมากๆ แม้แต่หลอดยังเป็นหลอดแก้ว รักมาก

ครูตุ้ยและทีมงานจาก https://www.facebook.com/Deklennam สนุกสนานได้ความรู้และมีแพชชั่นในการถ่ายรูปมาก แต่ครูหาตัวเล็กไม่เจอนะ สายแลนด์สเคปกันไป

บ้านน้ำราบ ทะเลป่าเขาชมวิวแอดเวนเจอร์

สงกรานต์ปีนี้วันหยุดไม่เยอะ งบประมาณยิ่งน้อยไปกันใหญ่ ไปไหนไกลมากไม่ได้เลยลงใต้กับเพื่อนๆ โร้ดทริปไปเรื่อยแบบค่ำไหนนอนนั่น (แต่วางแผนเส้นทางคร่าวๆ กับจองที่พักไว้ก่อนแล้วอะนะ) ถึงจะออกแนวพเนจรแล้วก็ตัดสินใจกันไปเรื่อยๆ ว่าจะทำอะไรดี แต่สุดท้ายก็ได้เที่ยวได้เล่นหนำใจไปเลยเหมือนกัน บ้านน้ำราบก็เป็นอีกที่หนึ่งที่ไม่ได้อยู่ในแผนเลย ก็กุ๊กเกิ้นกันสดๆ โทร.ถามวิสาหกิจชุมชนล่องแพบ้านน้ำราบ ว่ามีเรือพาเที่ยวไหมแล้วก็มุ่งหน้าไปเลย

อยากรู้ว่าคนที่คิดไอเดียของการท่องเที่ยวทริปสั้นๆ ระยะเวลาราว 3 ชั่วโมงนี้เป็นใคร โคตรจีเนียสเลย แต่ก็ต้องยอมรับว่าที่ทำได้ก็เพราะทรัพยากรเขาดีด้วย มาดูกันว่า เราจะล่องเรือ เดินเขา เข้าป่า เดินเตะขาในน้ำทะเลได้ยังไงหมดในเวลาแค่ 3 ชั่วโมง ก่อนเดินทางมาถึงทางผู้ประกอบการแจ้งว่า พวกเราควรต้องมาถึงก่อนบ่ายสาม “เพราะแสงจะหมด” เราที่เป็นสารถี ขับรถเช่าติดฟิล์มกันแดดบางแสนบางผ่าเปลวแดดเดือนเมษาจากพัทลุงที่เกือบถึงขอบด้านอ่าวไทย ข้ามมาตรังที่เกือบถึงขอบด้านอันดามันด้วยหูที่อื้อไปหมดเพราะเปิดแอร์เบอร์เบาไม่ได้เลยตลอดทาง พวกเราสี่คนตัวเหนียวเหนอะขอเข้าห้องน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้ารองเท้าสักนิด ก็เดินตามสองหนุ่มที่รอเราอยู่แล้ว พลางบ่นพึมพำไปว่า มันจะแสงหมดได้ยังไง ขนาดผิวที่ฉาบด้วยกันแดด SPF50 ยังแสบผ่าวๆ อยู่ขนาดนี้ จากนั้นพวกเราก็ไต่สะพานลงเรือหัวโทงสีสวยมีหลังคาที่พาพวกเราล่องไปตามกระแสน้ำมุ่งหน้าเข้าสู่ป่าโกงกางหนาทึบกันทันที

สิ่งแรกที่ผู้นำทางพาแวะคืออุโมงค์ป่าโกงกาง และนี่เป็นสิ่งที่ทำให้เราต้องมาถึงก่อนบ่ายสาม เพราะว่าแสงกำลังลงสวยเชียว ถ้ามาเย็นกว่านี้ อุโมงค์นี้จะมืดทึบและกระแสน้ำขึ้นน้ำลงก็จะมีผลกับการเข้ามาเที่ยวในอุโมงค์ด้วย พี่คนขับกับน้องไกด์เด็กหนุ่มน้อยปล่อยพวกเราให้ถ่ายรูปกันอย่างสบายๆ พร้อมกับอธิบายประวัติของที่นี่ว่าจากที่เคยเป็นหมู่บ้านที่ตัดต้นโกงกางไปเผาถ่านขาย พวกเขาได้เปลี่ยนมาอยู่อีกฝั่ง กลายเป็นผู้อนุรักษ์ป่า จนป่าโกงกางที่นี่เติบโตหนาแน่น ยกพูรากสูงตามน้ำขึ้นน้ำลง บางกลุ่มก้อนก็ดูเป็นระเบียบ บ้างก็ดูระเกะระกะโก่งไปทางโน้น กางมาทางนี้ แต่ถึงยังไงสิ่งที่ถูกสร้างสรรค์โดยธรรมชาติก็ยังมองแล้วเพลินตา และสีเขียวของป่าก็สวยสุดๆ แบบที่เราจะได้เห็นกันต่อไปจากมุมสูง

เรือหัวโทงพาเราล่องไปตามแม่น้ำ ขนาบข้างไปด้วยป่าโกงกางหนาแน่นจนมองไม่เห็นแสงด้านหลัง ท้องฟ้าเป็นสีฟ้าอ่อนจางแบบหน้าร้อน เราไม่ได้คุยอะไรกันเพราะขี้เกียจตะเบ็งสู้เสียงเครื่องยนต์ สักครู่ใหญ่ๆ เราก็มาถึงท่าเรือที่เป็นไม้ไผ่ประกอบๆ ขึ้นมาพร้อมด้วยบันไดขั้นห่างๆ ชันๆ พอหวาดเสียว เราสี่คนปีนขึ้นไปบนชานพักที่ประกอบด้วยไผ่เรียงกันประมาณสี่ห้าลำ มีราวจับพอให้ทรงตัวแต่ถ้าพิงไปเต็มๆ คงไหลร่วงสู่ก้อนหินตะปุ่มตะป่ำด้านล่างไปตามๆ กัน จากนั้นเราเริ่มเดินเรียงเดี่ยวมุ่งหน้าสู่ภูเขากับน้องไกด์หนุ่มน้อย ทิ้งพี่คนขับเรือให้เอ้อระเหยเพลินอารมณ์รออยู่ในลำน้ำพร้อมเรือลำอื่นอีกสองสามลำ

เส้นทางช่วงแรกที่มีสะพานไม้ไผ่แคบๆ ให้เดินผ่านก้อนหินน้อยใหญ่และเริ่มทิ้งป่าชายเลนไว้เบื้องหลังค่อยๆ เปลี่ยนไป สะพานไม้ไผ่ช่วงสุดท้ายหมดลง คราวนี้เราต้องเดินไปบนทางภูเขาซึ่งไม่ได้ยากเย็นจนท้อแต่มีโหนเชือกบ้างสลับเดินไต่ระดับ แต่มันร้อน มันอบอ้าวจนตัวชุ่มไปหมด ป่าที่หนาแน่นทำให้ลมแทบไม่พัด แต่ระยะทางเดินชมเขาจมป่านี้ ไม่ได้ยาวไกลจนเกินไป เหนื่อยแล้วก็พัก ถ่ายรูปกันเองหน้าเมือกๆ ที่อาศัยหยุดถ่ายรูปบ่อยเนี่ย ความจริงเนียนพักเหนื่อยต่างหาก เส้นทางที่วนอ้อมรอบภูเขาลูกน้อย ค่อยๆ หักชันสูงขึ้น และหินค่อยๆ แหลมคมมากขึ้น

มีกลุ่มนักเดินทางกลุ่มหนึ่งสวนลงมา เด็กน้อยคนหนึ่งเดินบ่นกระปอดกระแปดว่าผู้ใหญ่เดินไม่แข็ง เราเงยหน้าที่มันย่องมองดูสีหน้าคนที่สวนลงซึ่งเหมือนจะเยินกว่าเราอยู่นิดหน่อย ส่งยิ้มอ่อนให้กำลังใจกันแล้วปีนป่ายต่อ ใช่แล้ว ช่วงหลังสุดก่อนถึงยอดเขาเราก็ต้องหยุดใช้คำว่าเดิน เปลี่ยนเป็นปีนๆ ป่ายๆ แทนอีกสองโค้ง

บันไดลิงหนึ่งอันสุดท้ายพาเราขึ้นสู่จุดสูงสุดของเขาจมป่า แต่ยังต้องมุดโพรงหินไปอีกด้านถึงจะเห็นวิวตัวท้อป จุดนี้จะเป็นระยะที่แคบที่สุดที่ต้องสวนกันบนปลายสุดของบันไดลิง ค่อนข้างหวาดเสียวอยู่ เราขึ้นไปก่อนถึงได้เจอว่ามีอีกกลุ่มกำลังสวนลง เราคว้าได้ต้นไม้ต้นหนึ่งพอได้เอนหลบผู้คนพลางตะโกนบอกคนที่อยู่ในมุมลับตา ราวกับว่าเป็นวินมอไซจิตใจใฝ่บริการสังคมที่คอยช่วยโบกรถตามจุดคับขันที่คับแคบ

พอมุดโพรงหินเท่านั้นแหละ วิวก็เปิดมาอย่างอลังการ แม่น้ำที่คดเคี้ยวแหวกกลางป่าโกงกางที่หนาแน่นจนเหมือนผืนพรมสีเขียวนุ่มฟูจนอยากเอามือไปลูบไล้ ตัดกับท้องฟ้าสดใสของหน้าร้อน นานๆ ทีมีเรือหัวโทงลำน้อย แหวกผิวน้ำผ่านไปตรงกลาง ดูเป็นออบเจคต์ชั้นดีของทิวทัศน์พิเศษนี้ บนยอดเขามีทั้งลมเล็กน้อยและแดดที่แผดกว่าด้านล่างอีกซักสิบเท่า และหินบนยอดเขาก็คมจนน่าจะกรีดผ้าขาดได้ ต้นไม้ทิ้งใบแห้งสองสามต้นที่ชิดขอบเขาเป็นโฟร์กราวนด์ให้ถ่ายรูปอย่างสวย เราค่อยๆ ปีนขึ้นไปถึงจุดวิวพอยต์ โชคดีไม่มีนักท่องเที่ยวอื่นอยู่พักใหญ่ๆ พวกเราเลยมีพื้นที่ใช้เวลากันอย่างสนุกสนาน น้องไกด์ควักกระเป๋า แจกเครื่องดื่มเติมน้ำตาลให้คนละขวด เราที่ไม่กลัวความสูง ยืนบนพื้นหินแหลมๆ คมๆ รู้สึกได้ว่าเต็มไปด้วยแรงเสียดทาน เลยกล้าเข้าไปริมผาเพื่อวิวอันงดงาม แต่พอย่อตัวลงถ่ายรูปเพื่อนแล้วลุกขึ้นเท่านั้นแหละ วูบจ้ะ รีบถอยกลับเข้าสู่เขตปลอดภัยแทบไม่ทัน

สมควรแก่เวลาก็เดินกลับลงมาที่เรือ มีนักท่องเที่ยวกับเรือลำอื่นที่ไม่เดินและรอเพื่อนอยู่ที่เรือด้วย ถ้าให้แนะนำคงต้องบอกว่า ถ้าจะไม่เดินแต่ต้องรอเพื่อน งั้นต้องเตรียมยากันยุง เพราะว่าป่ามันทึบ จะกี่โมงก็ดูเหมือนจะเป็นบรรยากาศที่เอื้อให้ยุงได้ออกหากินอยู่ดีแหละ

เรือหัวโทงกับสองหนุ่มพาพวกเราสี่คนที่เหงื่อออกจนโชกชุ่ม มุ่งหน้าออกสู่ทะเลเพื่อชมทะเลแหวก ตอนนี้เราลงนอนราบที่หัวเรือ เอาเสื้อกันแดดคลุมหน้าเพราะหมดแรงจะทาซันบล็อกอีกรอบแล้ว ท้องฟ้าที่มองผ่านรูผ้าเล็กๆ ดูเหมือนโบเก้ที่กระพริบระยิระยับ ความสั่นน้อยๆ จากเครื่องยนต์เรือกับลมที่พัดทำเอาอยากหลับไปจริงๆ แต่ในที่สุดเรือก็จอดลงที่ลอนทรายกลางผืนน้ำเวิ้งว้าง เราลุกขึ้น หันหลังกลับไปมองเห็นพื้นหัวเรือเปียกเหงื่อเป็นรูปต้าวอ้วนขนาดใหญ่ นี่ถ้าเอาชอล์คมาขีดคงทำให้จินตนาการกว้างไกลไปอีก

ทะเลแหวกตอนนั้น เป็นฤดูที่แมงกะพรุนถล่มทะเลไทยพอดี หาดทรายไม่ได้กว้างมากมาย เราเดินไปสุดแล้วเดินกลับมากันได้ในเวลาแค่ 5-10 นาที กลับเต็มไปด้วยซากแมงกะพรุนตัวใสขนาดใหญ่ พูนอยู่ตรงนั้นตรงนี้ แอบคิดว่านี่มันเครื่องสุกี้ฟรีไม่ใช่เหรอครับเนี่ย ดีนะแค่คิด ไม่ได้ลองพกน้องกลับมาต้มด้วยจริงๆ

เราเดินทางกลับมาถึงชุมชนบ้านน้ำราบในเวลารวมสามชั่วโมงนิดๆ อากาศตอนเย็นกำลังดี แต่น้ำลงมากซะจนเราต้องไปขึ้นจากเรืออีกจุดเพราะจุดที่ลงไม่สามารถเข้าถึงได้แล้ว เพื่อนบอกเหงื่อแห้งแล้วเดี๋ยวขึ้นรถเปิดแอร์ก็จะหิวข้าว ส่วนเราที่เปียกเหมือนลูกหมูตกหม้อ ขออาบน้ำไวๆ หนึ่งรอบก่อนเดินทางกันต่อไป

ทริปนี้เป็นการตะลอนๆ แบบไม่ค่อยวางแผนแต่ดันได้ดูของดีเยอะไปหมด เอาไว้ครั้งต่อไปจะมาเล่าเรื่องที่เที่ยวอื่นๆ ที่ได้เจอได้ว้าวในการเดินทางครั้งนี้ก็แล้วกันนะ

อ่าวไข่ – ฮาร์ดีพ – โรงโขนโรงหนัง

ช่วงปลายปี อากาศดีๆ แม้เศรษฐกิจส่วนตัวอาจจะรุ่งริ่งซักนิด ถึงยังไงการปะทะน้ำเองก็ต้องมี เพื่อสันทนาการ เพื่อเลี้ยงสกิล สำคัญที่สุดก็คือหล่อเลี้ยงจิตวิญญาณที่แห้งเหี่ยวให้กลับมากระชุ่มกระชวยอีกครั้ง One day dive ที่เป็นไปได้ ก็คือแหล่งชลบุรีระยองบ้านเรานี่แหละ คิวนี้ยัยปิ่นจองไว้หลายเดือนแล้ว เวลาไม่ตรงกับสมาชิกคนอื่นไม่เป็นไร ไปกันสองคนก่อน แต่เราสองคนจับคู่กันแล้วมันวินาศมาหลายต่อหลายทริปทะเล ไปคราวนี้ก็เลยไม่เช็ค ไม่สน ไม่คาดหวังอะไรกับสภาพอากาศเลย ถ้าเรือออกได้มันต้องมีฉันติดสอยห้อยไปด้วยดั่งเพรียงดื้อด้านที่เกาะก้นเรือแน่น

ละแวกชลบุรีระยองนี้ ร้านหรือโรงเรียนดำน้ำแต่ละแห่งต่างก็มีคอนแทคต์กับเรือบางลำหรือหลายลำ เราติดต่อ Fundive TED ที่ดีลมาได้เรือ The Shark ซึ่งมีท่าเรือเป็นของตัวเองที่จอดรถได้ตรงนั้นเลย มีคาเฟ่น่ารักๆ ด้วย เสียดายไม่มีเวลาไปนั่งแหมะ การจัดการในเรือ The Shark ดีเลย ถึงจะเป็นเรือขนาดไม่ต่างกับเจ้าอื่นๆ แต่เห็นได้ว่ามีการแก้ปัญหาที่ Pain point หลายอย่างไว้แล้ว ที่เราชอบมากคือ โต๊ะมีมากพอ โต๊ะมีช่องหลุมหัวท้าย สบายใจดีไม่ต้องกลัวพวกมือถือหล่นเวลาเรือโคลงเคลง ที่ชั้นล่างก่อนแต่งตัวลงน้ำ มีชั้นที่เต็มไปด้วยช่องเล็กๆ แปะป้ายชื่อของเราด้วยเทปกาว มีผ้าขนหนูแบบบางให้คนละผืน และช่องนั้นเราสามารถใส่ของเล็กๆ น้อยๆ ได้ (ก่อนดำน้ำมันจะมีของที่ติดมือมา เช่นกิ๊บติดผม ขวดซันบล็อก หรือน้ำยาฟิล์มแว่นเป็นต้น ถ้าไม่มีช่องใส่ อาจจะต้องวิ่งกลับไปเก็บชั้นบนหรือไม่ก็กองๆ ไว้แล้วของก็หายไปในที่สุด) เราปลื้มใจช่องนี้มาก

อีกอย่างที่ชอบคือ บนเรือจะมีน้องแอดมินน้อยคนนึง ที่มันคอยเช็คชื่อคนลงน้ำกับขึ้นจากน้ำ พร้อมถามอากาศในถัง ก่อนและหลังการดำ เรามองว่ามันดีว่ะ มันเป็น Safety อีกชั้น ที่เราจะมั่นใจได้ว่าเรือจะไม่กลับไปโดยที่เรายังอยู่ก้นทะเล แล้วการถามอากาศมันทำให้เราต้องทวนตัวเองว่า ตะกี้เปิดถังยังนะ แต่แอบบ่นตอนขาขึ้นนิดเดียวว่า น้องมันไม่ยอมให้เรากลับ (เอาถัง) ลงหลุมก่อนจะตอบว่าอากาศเหลือเท่าไหร่ ไม่ว่าเราจะไต่ขึ้นบันไดมาในสภาพไหน มันจะยืนขวางพร้อมปากกาจรดบอร์ดในมือ เราต้องทนขาสั่นดิ๊กๆ ดูเกจแล้วตอบอากาศมันก่อน ไม่งั้นมันไม่ยอมให้กลับลงหลุมจริงๆ

สิ่งที่ไม่ชอบคือ เรือ The Shark ยังให้กินน้ำขวดพลาสติกอยู่แฮะ ไม่มีถังกดน้ำให้ อันนี้ครูเราก็แอบบ่นเหมือนกัน หวังว่าวันหน้า The Shark จะค่อยๆ ปรับแก้ต่อไป

50th Dive

ไดฟ์ที่ 50 มาถึงแบบไม่รู้เนื้อรู้ตัว ไดฟ์แรกเช็คไดฟ์กันเบาๆ ที่ไดฟ์ไซต์อ่าวไข่ ครูของเราวันนี้ชื่อครูเก่ง โดยลูกทีมมีแค่เราสองคนเท่านั้น ครูให้ประกอบอุปกรณ์เองตั้งแต่ยังแห้งๆ ออกมาจากกระเป๋าที่ครูหิ้วมาวางแหมะ ระหว่างนั้นก็เก็บเกี่ยวความรู้เพิ่มเติมที่ไม่เคยรู้มาก่อนเช่นเคยในทุกครั้งที่ได้เจอครูคนใหม่ๆ เช่น คนไม่มีอุปกรณ์ของตัวเองอย่างเรา ควรเช็คชุด BCD เช่าทุกครั้งสำหรับแต่ละรุ่นที่มันต่างกันไป เช่น Dump valve อยู่ตรงไหนบ้าง รุ่นที่เราได้ใช้วันนี้ สามารถดึงสาย Inflator แรงๆ เพื่อให้มันทำตัวเป็น Dump Valve ได้ด้วยว่ะ ตอนลองเรกูเลเตอร์ พบว่าเหมือนลิ้นวาล์วข้างในมันบัง ทุกครั้งที่หายใจเข้ามันต้องออกแรงต้านมากเป็นพิเศษ ครูบอกมันแห้งน่ะ ลงน้ำไปคงหาย

พอลงน้ำจริงๆ สรุปไม่หาย ครูเลยบอกให้คาบ Alternate Air Source สายสีเหลืองแทน ไดฟ์ที่ 50 ของอิฉันก็เลยได้มีความพิเศษเช่นนี้

ไดฟ์ไซต์อ่าวไข่ มีลักษณะเป็นลานทรายกว้างๆ ไม่ค่อยมีอุปสรรคมากนัก แต่ถึงแม้อากาศข้างบนจะสดใสเป็นบ้า แต่โลกใต้น้ำมีกระแสพอสมควร มองตะกอนฟุ้งๆ ลอยผ่านเพื่อน ทำให้รู้สึกเหมือนมีเอฟเฟคต์ลวงตาว่าเรากำลังพุ่งไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว ทันทีที่ลงไปและปรับตัวได้ ครูเก่งก็เริ่มหาตัวเล็กให้ดูทันที ใครบอกงมเข็มในมหาสมุทรเป็นเรื่องยาก อยากบอกให้ลองมาหานูดี้ดูนะ

แม้แลนด์สเคปจะเวิ้งว้าง แต่เราก็ได้เจอตัวเล็กตัวน้อยหลายตัวด้วยฝีมือการหาสัตว์ของครู ใครที่ชอบค้นในเน็ต อาจจะเจอรูป Sea Slug เจ้าทากทะเลหน้าตาแปลกประหลาด สีสดสวยมากๆ อยู่เต็มไปหมด อยากจะบอกว่ามันถ่ายโคตรยากเลยโว้ย เพราะพวกมันตัวเล็กมากๆ เราที่เคยเกาะจอดูรูปน้องแกะของคนอื่น พอมาวันนี้เจอน้องแกะของจริง คือมันมองดีเทลด้วยตาเปล่าไม่เห็นค่ะ น้องเป็นแค่ก้อนตุ่มสีเขียวๆ ที่อยู่บนใบสาหร่ายเขียวแหว่งเว้าที่เติบโตโดดเดี่ยวอยู่ที่พื้นทะเลย ใครจะคิดว่าเปิดโหมดมาโคร (แล้วกระเสือกกระสนทำให้ตัวนิ่งที่สุด เพื่อแลนดิ้งไปใกล้ๆ ใบสาหร่ายแล้วกดชัตเตอร์มันไปเยอะๆ มันจะติดบ้างแหละซักรูป) แล้วจะเห็นว่าน้องน่าตาน่ารักขนาดนี้

Costasiella spp.
น้องแกะ หรือ Nudibranch Costasiella spp.

Zebra Crab หรือ Zebrida adamsii ที่อาศัยอยู่ร่วมกับหอยเม่นแบบหนามสั้นๆ

ประมาณ Slug worm, Marine worms อะไรทำนองนี้แหละ ตัวเล็กมากๆ

น้องกระต่าย Sea bunny หรือ Jorunna parva

ทริปนี้เราเจอน้องกระต่ายหลายตัว แต่ถ่ายโฟกัสไม่เข้าซักตัว เสียดายความน่ารักปุ๊กปิ๊กของน้องจริงๆ แต่ทากทะเลถึงจะน่ารักยังไง อย่าได้คิดเอามาเป็นสัตว์เลี้ยงนะ มันเลี้ยงไม่ได้ ท้ายๆ ไดฟ์เวลาที่ Air ในถังเริ่มน้อยลง ถังจะเบาแล้วเราจะทำให้ตัวจมได้ยากขึ้น ครูแว้บเอาตะกั่วที่เผื่อมาเติมใส่กระเป๋าขวาให้ทำให้จมตัวได้ดีขึ้นทันที แต่ก็ปวดหลังทันทีเช่นกัน (อันนี้คือออฟฟิศซินโดรมเรื้อรังน่ะนะ) หลังจากไดฟ์นี้ ขึ้นมาก็บอกครูว่า ขอไม่เติมแล้ว จะพยายามจมเองให้ได้ดีกว่า

ไดฟ์นี้คนลงน้อย บรรยากาศดี ไม่พบเจอใครทั้งนั้น ดำกันอยู่สามคนจนขึ้นเลย

51st Dive

ไดฟ์ไซต์เรือจมสุทธาทิพย์ หรือ Hardeep เอาล่ะ ทีนี้หนังชีวิตละแหละ ฮาร์ดีพเป็นเรือกลไฟที่โดนระเบิดจมตะแคงตั้งแต่สมัยสงครามโลกครั้งที่สอง เกือบๆ จะร้อยปีแล้ว และเป็นตัวท้อปของย่านนี้ ลงได้เฉพาะ Advance Open Water ขึ้นไป เรารู้อยู่ก่อนแล้วว่าจะลำบากลำบน แต่ของอย่างนี้ ไม่โดนกับตัวไม่รู้สึก ก็ว่าทำไมพวกร้านดำน้ำถึงได้ต้องเช็คตารางน้ำขึ้นน้ำลงกันขนาดนั้นสำหรับจะแพลนการลงไซต์นี้

เราขอเปลี่ยน Octopus เพราะใช้สายเหลืองแล้วมันเหนื่อยคาบมาก มันไม่ได้อยู่ในตำแหน่งที่จะคาบสบายเลยกัดซะแน่นเลย พอได้อันใหม่ก็ใช้สายดำได้ตามปกติ

ครูเก่งบอกว่า เราจะขึ้นและลงด้วยเชือกทุ่นเส้นเดิมนะ ครูบรีฟว่า กระแสน้ำที่นี่โดยมากมันก็จะแรงแบบนี้ทั้งปี แล้วเดี๋ยวเราจะดำกันแบบไม่ติดดีคอม ถ้าเกิดเหตุการณ์ฉุกเฉินสามารถขึ้นสู่ผิวน้ำได้เลยโดยไม่ต้อง Safety Stop ถึงจะดำมาเกินครึ่งร้อย เราก็ยังไม่เข้าใจหรอกว่า มันคืออะไร

ทุ่นลอยเป็นวัตถุโปร่งเบารวมๆ เอาตาข่ายคลุมแล้วรวบเป็นก้อนขนาดใหญ่ลอยตุ๊บป่องอยู่เหนือผิวน้ำ เชือกทุ่นเป็นเชือกขนาดหนาเกือบเท่าข้อมือ ทันทีที่ลงน้ำและเกาะเชือก ครูก็ทำสัญญาณให้ไต่เชือกลงไป

แหมอยากจะถ่ายรูปตอนนั้น แต่ถ่ายไม่ได้ ฟองอากาศจำนวนมหาศาลของคนด้านล่างที่เกาะอยู่ที่เชือกเส้นเดียวกัน ตีหน้าเราอย่างรุนแรงจนน้ำเข้าหน้ากาก แล้วก็สำลักเยอะมาก เราพยายามเบี่ยงตัวออกจากกลุ่มฟองอากาศ แต่ก็เป็นไปไม่ได้ เพราะคนที่เกาะอยู่ด้านล่างมีจำนวนเยอะมากๆ เรางงว่า ก็แล้วทำไมไม่ลงไปล่ะวะ ไอ้ปิ่นที่เกาะอยู่ข้างๆ รู้ตัวก่อนหรือมีคนลากมันไปก็ไม่รู้ มันเลยข้ามฝูงคนพวกนั้นแล้วไต่เชือกลงไป เราเลยไต่ตาม แล้วก็นึกได้ว่า อ๋ออออ พวกนั้นคือคนที่ทำ Safety Stop ตอนกำลังขึ้นนั่นเอง

ความฮอตของไดฟ์ไซต์นี้ และความที่ทุกคนดูตารางน้ำจากแอพเดียวกันเพื่อเลือกเวลาที่กระแสน้ำแรงน้อยที่สุด ทำให้มีเรือหลายลำพานักดำน้ำมารวมตัวกันที่นี่ พอไต่เชือกพ้นมวลมหาประชาชีได้ ทุกอย่างก็สงบลงอย่างที่มันควรจะเป็น เราเคลียร์หน้ากาก ปรับจิตใจซะใหม่ เพราะตอนสำลักน้ำไปอึกสองอึกเริ่มรู้สึกไม่โอเคขึ้นมา เชือกทุ่นทอดตัวยาวถึงก้นทะเล แล้วยึดโยงไว้กับเหล็กผุพังส่วนหนึ่งของท้ายเรือ แล้วครูเก่งก็พาเราดำด้านหนึ่งของเรือที่ใช้ตัวเรือบังกระแสน้ำไว้

น้ำขุ่นและเราลงลึกมากจนวิสัยทัศน์ไม่ค่อยดี เราร่อนตัวเลียบโครงเรือด้านนอกอย่างใกล้ชิดจนไม่ได้ถอยออกมามองดูว่ามันใหญ่โตขนาดไหน ครูเริ่มต้นฉายไฟหาตัวเล็ก ไฟฉายที่เติมสีแดง สาดไปตรงไหนก็สร้างความสดใสตรงนั้น ปกติเราไม่เปิดไฟฉาย เพราะรุงรังกล้องอยู่แล้ว แต่ถ้าไดฟ์ไซต์ที่มืดๆ มัวๆ แบบนี้ เราจะเปิดไฟฉายแล้วห้อยไว้เผื่อใช้ และเพื่อให้บั๊ดดี้และครูมองเห็นชัดๆ ด้วย

ครูพาเรามุดเข้าไปด้านในเล็กน้อย นักดำน้ำมากมายว่ายเฉียดกันไปมา ครูเลยพามุดออกแล้วดำเลียบอีกด้าน ลอยตัวขึ้นเหนือซากเรือเพื่อชมสิ่งมีชีวิตตัวเล็กตัวน้อยที่ไปเติบโตอยู่บนพื้นผิวที่เต็มไปด้วยสนิมหนาเขรอะๆ มีนักดำน้ำหญิงเดี่ยวหนึ่งท่าน มาป้วนเปี้ยนอยู่กับกลุ่มเรา เราไม่ค่อยชอบบรรยากาศแบบนี้เท่าไหร่เพราะมันสับสน ปกติแล้วถ้าไม่ได้เรียนถึงขั้นสูงจริงๆ นักดำน้ำจะไม่ได้รับอนุญาตให้ดำคนเดียว ยังไงต้องมีครู และต้องมีกลุ่ม แต่ถ้ามีใครดำเดี่ยวแล้วมาแจมกลุ่มเราเนี่ย เป็นไปได้ว่าเขาหลง เราจะคิดสับสนว่า เขาจะอยากได้ความช่วยเหลือไหม หรือเขาแค่ไม่แคร์กลุ่มของตัวเองแล้วฉีกออกมาดูอะไรตามใจชอบคนเดียว ใดๆ ก็ตาม เหตุการณ์ลักษณะนี้จะทำให้เราเสียสมาธิ วอกแวกพอสมควรเลย

จากนั้นไม่นานครูก็ทำสัญญาณมือว่าจะพาขึ้นไปทำ Safety Stop ตอนที่เวลาเพิ่งผ่านไปครึ่งชั่วโมงเอง ปกติเราจะเสียดมเสียดาย เพราะอยากอยู่นานๆ แต่สำหรับไดฟ์ไซต์นี้ รู้สึกว่า ขึ้นก็ได้วะ เหนื่อยอยู่เหมือนกัน แล้วครูก็ดูเข็มทิศแล้วมุ่งหน้าดำดิ่งลงไปในความลึก น้ำที่ขุ่นและแรงมากทำให้เรากับปิ่นตีขาตามครูไม่ทัน ทันทีที่ครูพ้นสายตาไปในความเวิ้งว้างของท้องทะเล เราก็จับแขนไอ้ปิ่นไว้ก่อน เพราะว่าหลงกับครูแล้วหนึ่ง อย่าให้ต้องหลงกับบั๊ดดี้

เราสองคนหยุดว่ายน้ำ แล้วเราก็เริ่มเอาไฟฉายมาแกว่งวาบๆๆ สาดไปในน้ำ ถ้าครูหันมาจะเห็นเลยว่า ไอ้สองตัวนี่หลงแล้ว แต่ครูก็ไม่กลับมาซะที บุยยันซีกับทิศทางของเราก็ไม่ได้ดีขนาดจะอยู่กับที่รอครูได้ เราเหลียวซ้ายแลขวา หันไปเห็นเชือกทุ่นเส้นดีเส้นเดิม ดู Dive comp พบว่าเราอยู่ที่ระดับ 14 ม. เราเลยลากแขนไอ้ปิ่นไปเกาะเชือกทุ่นรอครูกันดีกว่า เพราะคิดว่าครูจะต้องไปเริ่มต้นที่เชือกทุ่นด้านล่างนี่แหละ เกาะรอไว้นิ่งๆ ก็คงโอเคแล้ว

อยู่ๆ มีกระทาชายเสื้อเหลืองท่านนึง ดูเหมือนจิตอาสา ช่วยลากแขนไอ้ปิ่นกับเราไปเกาะเชือกทุ่นในลักษณะส่งขึ้นสู่ความสูง เราสบตาเขา ส่งสายตาแบบว่าสถานการณ์ไม่ปกติไป เขาเหมือนพยักหน้าเล็กน้อยแล้วหันหัวดิ่งลงไปตามสายเชือก เราเข้าใจว่าเขาน่าจะอยู่เรือลำเดียวกับเรา รู้ว่าทีมเรามีครูอีกคน เราเชื่อว่าเขาจะไปตามครูให้ จากที่คิดว่าจะเกาะเชือกทุ่นอยู่นิ่งๆ มันยังไงไม่รู้สาวขึ้นไปอีกเล็กน้อย ก็ไปเจอความชุลมุนขนาดใหญ่ที่จุด Safety Stop

คราวนี้ ไอ้ปิ่นหาซอกที่เอานิ้วหนีบได้ที่ระดับนึง แล้วก็ก้มหน้าดูไดฟ์คอมพ์ของตัวเอง ส่วนเราหาที่เกาะไม่ได้ บวกกับถูกมหาชนผลักไปมาก็ลอยสูงขึ้นเรื่อยๆ เสียงถังกระทบกันก๊องแก๊ง สุดท้ายเราขึ้นสู่ผิวน้ำโดยไม่ได้ทำ Safety Stop แล้วภาพสุดท้ายก่อนขึ้นจากน้ำเห็นแต่ไอ้ปิ่นแล้วก็ยังไม่เห็นครูด้วย ตอนนี้คือกังวลมากว่าครูจะตามหาอย่างยากลำบากขนาดไหนนะ ที่ก้อนทุ่น นักดำน้ำอีกสี่ห้าคนพุ่งตัวขึ้นมาตามหลังเรา เขามาจากเรือลำอื่น และเป็นกลุ่มเดียวกัน เขาไล่เราออกจากทุ่น “ออกไปครับ ออกไป” เราบอกว่ารอเพื่อนค่ะ เพื่อนยังไม่ขึ้นมา เขาก็ตะคอกอีก “ออกไป ออกไปจากทุ่น”

เราโดนตะคอกแบบจริงจังเลยลอยตัวออกมา แต่สายตายังมองกลับไปแถวๆ ทุ่นรอเพื่อน แล้วคนดีกลุ่มนั้นก็จับตัวรวมกันอยู่แถวๆ ทุ่นที่ไล่เราออกมาแล้วคุยกันว่าพวกเขาก็รอเพื่อนอีกคนนึง โอเค คนทุกประเภทก็มีอยู่ทุกวงการจริงๆ อะเนอะ

จนไอ้ปิ่นขึ้นมา เราสองคนเกาะเชือกเรือดิงกี้ที่เซอร์วิสลากนักดำน้ำไปส่งเรือใหญ่ (ตรงนี้เป็นอะไรที่ทุ่นแรงได้ดีมาก) เรายังตกใจอยู่เพราะครูไม่ขึ้นมาซักที ไอ้ปิ่นบอกว่ามันเห็นครูแล้ว แต่น้ำเข้าหน้ากากอยู่เลยไม่สามารถเรียกครูได้ เราขึ้นมาปลดอุปกรณ์นั่งรอ ครูตามขึ้นมาในซักหนึ่งถึงสองนาที เรานี่ยกมือไหว้ขอโทษครู ที่กลายเป็นว่าเราหาครูไม่เจอเลยลากเพื่อนขึ้นมาซะเฉยๆ ครูเล่าว่าว่ายกลับไปหาถึงที่เรือตั้งสองรอบ แต่ครูบอกว่าไม่เป็นไรๆ แล้วก็ไม่ต้องเป็นห่วงครู ครูรอดอยู่แล้ว อันนั้นเข้าใจ แต่ครูจะตกใจแค่ไหนเวลาลูกทีมหาย อันนี้ต่างหากที่เป็นห่วง

ไดฟ์ไซต์นี้นอกจากจะมีวีรกรรมแล้ว ยังทำลายสถิติความลึกที่เราเคยลงมาด้วย ไดฟ์คอมพ์แจ้งว่าเราลงไป Max สุดที่ 27.4 ม.

52nd Dive

ปิดท้ายวันด้วยไดฟ์ไซต์โรงโขนโรงหนัง กลับสู่ความชิวๆ อีกครั้งกับไดฟ์ไซต์ไถทรายหาตัวเล็ก บวกกองหินกับปะการังอีกนิดหน่อย มือที่ได้รับบาดแผลจากความชุลมุนที่เชือกทุ่น แสบจี๊ดจ๊าดตอนกลับลงทะเลอีกรอบ น้ำขุ่นและมีกระแสเหมือนอ่าวไข่ บั๊ดดี้ปิ่นที่ลอยตัวชิวๆ ครูที่ฉายไฟอย่างพินิจพิเคราะห์ตามกิ่งก้านของพืชแปลกๆ ใต้น้ำ เราหาตัวอะไรไม่ค่อยจะเป็น เลยฝึกบุยไปพลางๆ แล้วก็คิดว่า สามไดฟ์มันน้อยไป ถึงจะเหนื่อย ถึงจะปวดหลัง และถึงจะแสบแผล แต่ก็อยากดำอีก โชคดีที่อาทิตย์หน้าเราจะไปหินเพิงอีกรอบแบบ One day dive อีกเช่นกัน คิดแบบนี้แล้ว ก็ไม่ต้องเศร้าจนเกินไป แค่ต้องขับรถสู้ชีวิตก็แค่นั้น

ผลงานของไดฟ์นี้

ทากหนามม่วง หรือ Flabellina rubrolineata
Painted Hypselodoris น้องเกาะได้สวยอำนวยความสะดวกให้ช่างภาพมือใหม่ไร้การทรงตัวมากๆ
(หาชื่อน้องไม่เจอ ติดไว้ก่อน เจอเมื่อไหร่ไว้มาแก้ทีหลัง)
ทากเปลือยปุ่มส้ม หรือ Ocellate Phyllidia
Hypselodoris pulchella หรือ Goniobranchus aureopurpureus?
(ไม่แน่ใจ หน้าตามันเหมือนตัวนั้นติดตัวนี้หน่อย)
อีนี่ไม่รู้เลยว่าคือตัวอะไร ครูให้ถ่ายก็ถ่าย ตัวมันน่าจะแข็งๆ ตัวเล็กมากๆ เกาะแน่นเลย
ตัวนี้ตัวเดียวที่ไม่ได้ถ่ายเอง เพราะดูไม่ออกว่าไหนทาก นึกว่าเป็นเงาดำซะอีก
นี่ก็หาชื่อไม่เจอ ยอม.
ปิดท้ายด้วยน้องกระเบน อันเป็นสัตว์ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดที่เราได้เจอในทริปนี้แล้ว
(และดูน้ำขุ่นๆ นั่นสิ)

ในที่สุดก็ถึงเวลาต้องขึ้นจากน้ำ ถังออกซิเจนที่ถูกใช้ไปเกินครึ่งเริ่มเบา ทั้งเราทั้งไอ้ปิ่นลอยตุ๊บป่องแซงซอสเสจขึ้นไปสู่ผิวน้ำแต่พยายามไต่ตามสายซอสเสจกลับลงมาทำ Safety Stop ปรากฏว่าครูดึงไม่ไหวเลยขึ้นมันหมดทั้งสามคน โอ๊ย ชั้นจะบ้าตาย ครูบอกว่า เป็นไรกันอะ ไดฟ์สุดท้ายลอยตุ๊บป่องกันหมดเลย เราหัวเราะคริๆ สงสัยจะกินเข้าไปเยอะ

เรือ The Shark ลอยตัวอยู่ห่างไปเล็กน้อย ขับมารับเราแล้วมุ่งหน้ากลับฝั่งโดยทำเวลาได้ดีมาก เราอาบน้ำสระผมทำตัวแห้งๆ หอมๆ เตรียมกินอาหารเย็น ครูเก่งแนะนำมาร้านนึง แต่มันไม่ติดทะเล แล้วบรรยากาศวันนั้นมันดีมาก เลยเลือกร้านที่อยู่ละแวกเดียวกันแต่มีบรรยากาศติดสะพานและพระอาทิตย์ตกยามเย็นให้เสพไปพร้อมๆ กับมื้อค่ำ อากาศดีแสนสบาย แต่อาหารทุกอย่างเด่นเปรี้ยวหมด เราสองคนก็พึมพำกันว่า เราปากเค็มมากไปหรือมันเป็นสไตล์ของร้านนี้กันแน่ฟระ พออิ่มหนำ เติมคาเฟอีนซักแก้วแล้วก็บึ่งกลับ กทม. กันเลย ถึงเวลาน้อยก็ลอยคอในน้ำได้ถ้าใจสู้ และคอลลาเจนข้อเท้ายังไหวนะจ๊ะ

Diving Data

25 Nov 23

การเดินทางของเมอร์เมด

ข้อดีของการมีชีวิตอยู่ยาวนาน (หรือเรียกแบบไม่ปรานีก็เรียกว่า “แก่”) คือเรื่องเล่ามันจะเชื่อมโยงพาดไปมาและลึกซึ้งด้วยกาลเวลาที่หมักบ่ม คนเราเปลี่ยนแปลงเสมอ แต่ก็มีบางอย่างคงเดิมเสมอด้วยเช่นกัน วันนี้จะมาเล่าเรื่องราวความสัมพันธ์ระหว่างเรา กับการดำน้ำลึก หรือ Scuba Diving ซึ่งเดินทางกันมายาวนานอย่างกระท่อนกระแท่นเดี๋ยวเบาเดี๋ยวผ่อน สิบกว่าปีผ่านไป จนมาถึงวันนี้ วันที่นึกอยากติดหางที่ปลายขา แลกมาด้วยการงดส่งเสียงและเงินพอสมควร ก็จะพุ่งตัวลงน้ำได้ตามอัธยาศัย แต่สปอยล์ไว้ก่อนว่าเรื่องนี้ไม่มีเจ้าชายนะ

สิบกว่าปีก่อน โดนพี่เจนป้ายยาหลังจากไปสนอร์คเกิลลิ่งที่หมู่เกาะสุรินทร์ว่า ต้องเรียนสกูบ้านะ มันจะดีกว่านี้อีก ตอนนั้นโดนป้ายพร้อมกันกับนังปิ่นเพื่อนวิศวะ คำว่าสกูบ้ามันก็เลยวนๆ อยู่ในหัว สุดท้ายเราสองคนก็ไปหาโรงเรียน เรียนกันไปจริงๆ แต่ตอนนั้นเราเลือกเรียนในกรุงเทพฯ (สมัยสาวๆ บ้างาน ไม่ยอมลางานทีละหลายวัน) ทำให้การเรียนในห้องเรียนสัปดาห์ละ 1 ชม. มันทอดตัวเนิ่นนาน ทฤษฎีแน่นโคตรที่ส่งผลชนิดไม่ดีต่อการปฏิบัติภาคสนาม เริ่มมาก็รู้เลยว่า กูห่วยในวิชานี้แน่นอนค่ะซิส

อาการแพนิคเริ่มตั้งแต่ลงสระว่ายน้ำ และกว่าจะเรียนแต่ละสกิลผ่านมาได้ก็แสนจะขลุกขลัก กลัวมันไปหมดทุกอย่าง ตอนสอบ เราไปสอบที่แสมสาร โอ้โห.. ศูนย์รวมความบรรลัยเลยวันนั้น น้ำขุ่น ทะเลมีคลื่น ไม่มีสัตว์ให้ดูยกเว้นดงหอยเม่น เจ็ตสกีวิ่งว่อนที่ผิวน้ำ กว่าจะจมตัวลงไปได้ หนังชีวิตมากๆ พอลงไปแล้ว ทัศนวิสัยต่ำเตี้ยมองเห็นแค่บั๊ดดี้นังปิ่นที่หนาวตัวสั่น ครูสั่งให้รอ ครูจะไปสอบนักเรียนคนอื่นก่อน ซึ่งจริงๆ คงไม่ไกลแหละ แต่น้ำมันขุ่นมาก มองไม่เห็น ได้แต่ยืนจับเชือกมองหน้ากันอยู่สองคน นังปิ่นหนาวสั่นจนจับเชือกเขย่าแมกนิจูดเกือบครึ่งเมตร (อยู่ในน้ำทุกอย่างขยาย 30% แหละ) เราถามตัวเองซ้ำๆ ว่า เราจะได้เห็นแสงตะวันอันอบอุ่นอีกครั้งก่อนตายไหม อันนี้คือความรู้สึกจริงๆ ไม่ได้เอาฮานะ มันกลัวขนาดนั้นเลย

1st-4th Dive

สี่ไดฟ์ทั้งสอบทั้งว่ายเล่นชมดงหอยเม่น เรามีอภินิหารหมดสติใต้น้ำไปหนึ่งครั้ง โดนครูกด reg ใส่หน้าไปที รู้สึกตัวขึ้นมาตาใส การลอยตัวห่วยมากจนตกใส่ดงหอยเม่นไปรอบนึงในท่าคว่ำ โดนปักเต็มข้อเท้า น้ำตาไหลในหน้ากากคนเดียวเงียบๆ จากวีรกรรมทั้งหลายในที่สุดเราก็ได้บัตร Open water ของ PADI มา แต่ครูบอกอย่าไปดำกับคนอื่นนะ เดี๋ยวตาย ให้กลับมาฝึกกับครูก่อน จนมาถึงวันนี้ เราคิดว่าเราพื้นฐานอาจจะห่วยจริง แต่ส่วนหนึ่งเป็นเพราะครูไม่คลิกด้วย ใดๆ คือขณะนั้นก็เชื่อตามที่ครูบอก ซึ่งในความหมายที่เราแปลได้คือ มึงไม่ต้องดำน้ำ มึงหยุดไว้แค่นั้นเลย ได้บัตรมาก็เลยเก็บใส่ลิ้นชักไว้เฉยๆ แถมเก็บบัตรเพื่อนเอาไว้ด้วย ชั่วไปอีก

เก้าปีผ่านไป

ย้ายบ้านแล้วหนึ่งครั้ง กับข้าวของมหาศาล บัตร PADI ทั้งสองใบก็ยังไม่หาย นังเพื่อนปิ่นก็ชิวซะจนแทบไม่ทวงถามเลยว่า มึงหลอกกูไปเรียนทำไม ถ้าเรียนแล้วมึงจะไม่กลับไปดำน้ำอีก เก้าปีผ่านไป มีอะไรเกิดขึ้นในชีวิตเยอะมาก ผ่านเหตุการณ์เฉียดตายมาหลายรอบ เขาบอกว่าคนเรายิ่งแก่ยิ่งกลัว แต่ข้อสันนิษฐานนี้ใช้ไม่ได้กับเรา เรายิ่งอยู่นานยิ่งรู้สึกกลัวน้อยลงเรื่อยๆ วันนึงก็เกิดคิดถึงการดำน้ำลึกขึ้นมาเฉยๆ พอไปเจอแพ็คเกจสู้โควิด (ตอนนั้นเพิ่งหมดซีซั่นแรก) ที่มนต์ทะเล เกาะเต่า ราคางดงามมาก รวมที่พักและดำน้ำแบบ Discover Scuba Diving (DSD) เลย ก็เลยกลับไปถามเพื่อนว่า เรามาหวนคืนท้องทะเลลึกกันไหม

DSD คือโปรแกรมสำหรับคนที่ยังไม่เคยเรียนจบมาก่อน จริงๆ เราควรจะไป Refresh แล้วก็ Fun Dive ต่อได้เลย แต่เราไม่อยากวนกลับไปทำสกิลต่างๆ อีกแล้ว (เกลียดสุดคือถอดหน้ากากออกที่ก้นทะเลแล้วใส่กลับไปใหม่ พร้อมเคลียร์หน้ากากไล่น้ำออก) เราเลยลองเลือกไป DSD แทน อยากรู้ความรู้สึกว่าหายกลัวไปบ้างรึยัง

ตอนไป DSD น่าจะเป็นช่วงเปิดสู่โลกหลังล็อคดาวน์รอบแรก เราอ้วนสุด maximum ของชาตินี้แล้ว แม่งไม่จม ถ่วงตะกั่วไป 11 ก้อนจนแทบไม่มีที่ร้อยกับเข็มขัด ด้วยปริมาณตะกั่วขนาดนี้ เรียกว่ากลับมาทบทวนชีวิตเลยล่ะ ช่วงนั้นเคยประกาศไว้ว่า ถ้าวันใดเกิดเหตุการณ์ฉันเสียชีวิตเพราะจมน้ำ ขอให้มั่นใจว่าเป็นการฆาตรกรรม เพราะฉันไม่จมโว้ย โปรแกรมนี้หลังจากเซ็นใบ disclaimer แล้ว คุยทฤษฎีกันนิดหน่อยแล้วทดลองลอยตัวในสระ อย่าว่าแต่วิธีประกอบอุปกรณ์เลย แม้แต่ชื่อเรียกอุปกรณ์ยังจำไม่ได้ แต่สิ่งที่ได้พบคือความกลัวมันหายไปเยอะมาก เรารู้สึกสบายๆ กับการฝึก ถึงตอนนั้นจะอ้วนมากซึ่งส่งผลกับ Buoyancy แต่ก็ยังพอไหว เพราะได้มาเจอคนที่ปลดล็อคความกังวลในใจให้เป็นคนแรก คือครูยูกิ

ครูยูกิเป็นหนุ่มน้อยที่รักการดำน้ำจนมาทำงานอยู่เกาะเต่า ผ่านโควิดมาอีกหลายซีซั่น ตอนนี้ครูยูกิไม่อยู่ที่มนต์ทะเลแล้ว ไม่ว่าวันนี้ครูยูกิจะอยู่ไหน อยากจะขอบคุณคำพูดที่ปลดล็อคคำนั้น ครูยูกิบอกแทบจะคำแรกๆ ของการบรีฟว่า ตอนลงไปในน้ำมันจะอึดอัดหน่อยเพราะเราไม่เคยชิน แต่อย่าลืมว่า เรายังขึ้นมาได้เสมอ ขอให้อดทนอีกแค่นิดเดียว อย่าเพิ่งพุ่งขึ้นมา คำว่า เรายังขึ้นมาได้เสมอ มันตอบคำถามเมื่อเก้าปีก่อนที่เราเฝ้าถามตัวเองว่า เราจะได้กลับมาเห็นแสงอาทิตย์อันอบอุ่นอีกไหม เหมือนครูยูกิขึ้นไทม์แมชชีนไปบอก นังแอ้ในเก้าปีก่อนว่า ได้สิ ได้เสมอ ไม่ต้องกลัว จากนั้นเราก็รู้ตัวเลยว่า เราไม่กลัวน้ำลึกอีกต่อไปแล้ว

2 ไดฟ์ DSD

เราโดนหิ้วเป็นหมากระเป๋า เพราะลอยตัวเองได้ห่วยมาก ในขณะที่นังปิ่นลอยตัวสบายๆ เหมือนเก้าปีที่ผ่านมาได้ไปดำน้ำมาบ่อยๆ งั้นแหละ นางแกร่งจริง ต้องยอมนางเลย หลังจากยัดตะกั่วไปรอบตัวจนเสียสมดุลไปหมด ครูเจมส์ก็จับหลังเสื้อ BCD เรา ลากไถไปมาเหมือนเด็กเล่นรถของเล่น พอมีอะไรน่าสนใจก็จับเราไปชูตรงหน้าสิ่งนั้นๆ (และจับให้เราเผชิญหน้ากับปลาปักเป้าตัวใหญ่นานเกินไปมาก อยากบอกว่าใกล้ไปแล้ว เสียวโว้ย แต่ไม่รู้ภาษามือต้องทำท่ายังไงเลยขึงตาใส่ปลาปักเป้าพยายามส่งกระแสจิตบอกว่า กูก็ไม่ได้อยากจ้องมึงนานขนาดนี้ แต่กูก็โดนจับลากเป็นตุ๊กตามิชลินหน้ารถสิบล้ออยู่ เข้าใจกูด้วย) เราอยากบอกให้เจมส์ปล่อย อยากลองว่ายเอง เราว่าให้ลองหน่อยเดี๋ยวก็ทำได้ แต่ครูเจมส์ลากเราเหมือนเป็นกระเป๋าใบโตๆ ตลอด 2 ไดฟ์ เล่นเอาต่อมอยากเรียนต่อสั่นพั่บๆๆๆ พอขึ้นมาจากน้ำเลยถามว่า ชั้นควรทำไงถึงจะดำเก่ง ชั้นควร Refresh หรือเรียน Open water ใหม่อีกรอบมั้ย ครูทั้งสองบอกว่า ยูควรเรียน Advance Open water ไปเลย

เรากังขามาก ระดับอนุบาลยังไม่ได้เลย จะให้ไป Advance เลยเหรอฟระ แต่ก็เก็บไอเดียนี้ไว้ในใจจนเจอโปรโมชั่นพร้อมที่พักของมนต์ทะเลอีกครั้ง เราก็ป้ายยานังปิ่นจนจองไปพร้อมกันสองคน (มีเพื่อนหลอกง่ายนี่ก็สะดวกไปอย่าง)

แล้วโควิดระลอกใหม่ก็โจมตีแบบแรงมาก แพ็คเกจนั้นเลยถูกต่อเวลาซ้ำแล้วซ้ำเล่ามาเป็นแรมปี

5th-7th Dive

ปลายปี 2021 เราไปภูเก็ตกับนังทูน ไม่สนว่าสกิลไม่ได้พัฒนา ไม่ได้ศึกษาต่อ ด้วยความไม่กลัวอีกต่อไปแล้ว ก็ซื้อทัวร์ Fun Dive one day ดำน้ำเกาะราชามันซะเลย ส่วนประวัติการศึกษาวิชาสกูบ้าศาสตร์ของนังทูน ก็ไม่มีอะไรมาก โดนเราป้ายยาไปมนต์ทะเลจนจบ Open Water มาก่อนหน้านั้นนิดหน่อย กิจการร้านรวงคะ มาจ้างดิฉันเป็นแบรนด์แอมบ๊าสสิเด้อได้นะคะ เรื่องอะไรอาจจะไม่เก่งในชีวิตนี้ แต่เรื่องป้ายยาอันนี้สายแข็ง

เราใช้แพ็คเกจของบางเทาไดฟ์เซ็นเตอร์ ซึ่งราคาแพ็คเกจดำน้ำที่ภูเก็ตแทบจะเหมือนๆ กันทุกเจ้า ถ้าเทียบกับเกาะเต่าก็ดูราคาสูงหน่อย ได้ดำวันละ 3 ไดฟ์ แต่เรือหรู อาหารทำสดใหม่บนเรือ และมีบริการถ่ายภาพให้ด้วย สวยเวอร์วังไปอีก ส่วนข้อเสียคือ พวกที่ซื้อทัวร์ดำน้ำอันดามันส่วนมากเป็นพวกสายแข็ง (อันนี้มารู้ทีหลัง) บรรยากาศการลงน้ำมันจะวอร์ๆ นิดนึง ไม่มีเวลาให้ยืนทำใจหรือชักช้าอะไรเท่าไหร่ ทริปนี้เราใช้ตะกั่วประมาณ 6 กก. ซึ่งภาคภูมิใจมาก

ตอนนั้นเรากับทูนได้เพื่อนใหม่อีกคนชื่อน้องอ้อม ซึ่งน่าจะอายุเยอะกว่านังทูน แต่เราไม่เรียกนังทูนว่าน้องตูน เพราะตัวมันดูไม่น่าทะนุถนอมตรงไหน ครูต้นหนุ่มใต้ท่าทางใจดีเป็นไดฟ์ลีดดูแลเราทั้งสามคน เราบอกครูต้นก่อนว่า เราร้างลาไปนาน และสกิลแย่มากนะ หรือสโลแกนสั้นๆ ว่า มีแต่ใจไร้สกิล ครูต้นซึ่งก่อนหน้านี้ประกอบกล้องเข้ากับสโทรปครบชุด ค่อยๆ ปลดอุปกรณ์ทุกอย่างออกจากกันอย่างเงียบๆ แล้วถือแค่กล้องใส่เฮาซ์ซิ่งพาพวกเราลงไดฟ์แรก และอภินิหารของอิชั้นก็ทำให้ครูต้นซาบซึ้ง จนยกแบตแฟลชและอุปกรณ์ชิ้นอื่นให้เพื่อนๆ ยืมใช้ในอีกสองไดฟ์ที่เหลือ

การต้องไล่จับเราที่พุ่งไปมาในน้ำดุจดังเขียดตะปาดในห้องน้ำแคบๆ อาจจะสิ้นเปลืองพลังงานอยู่พอสมควร ไดฟ์สองและสาม ครูต้นก็ให้เราไปว่ายข้างๆ แล้วก็คอยคว้าไว้เวลาเราจะพุ่งขึ้นฟ้าไปอีก เรายังรักทะเลเหมือนเดิม และดำน้ำห่วยเหมือนเดิม แต่สิ่งที่เปลี่ยนไปคือ เราไม่กลัวอะไรเลยเว้ย เพราะเรายังกลับขึ้นไปหาแสงแดดได้เสมอ อย่างที่ครูยูกิบอกไว้

ไดฟ์ไซต์เกาะราชาน้อย เกาะราชาใหญ่วันนั้นสวยมาก น้ำใส แดดส่องถึงก้นทะเล ทำให้ทุกอย่างมีสีสันสวยงาม เรารู้สึกมีพลังแรงกล้า ว่าจะกลับไปเรียน Advance ที่เกาะเต่าให้จบๆ ครูต้นประมวลผลเมื่อจบสามไดฟ์ว่า (ในวงเล็บ แม้จะเริ่มต้นได้น่าสะพรึงแต่..) การลอยตัวค่อยๆ ดีขึ้นนะ ต้องฝึกบ่อยๆ จะทำได้เอง นอกจากขอบคุณครูแล้ว ต้องขอบคุณทูนกับน้องอ้อมด้วย ที่อดได้รูปสวยๆ (พอเอาสโทรปออก แสงแฟลชหัวกล้องมันจะไม่ค่อยพอ รูปก็จะไม่สวยเท่าปกติ) แต่ไม่เอือมระอาเรา โอเคนังทูนมันคงเอือมแต่ไม่มีทางเลือกไง แต่ขอบคุณน้องอ้อมมา ณ ที่นี้

8th-13th Dive

ราว 11 เดือนต่อมา (ก็บอกแล้วเรื่องมันยาว)

นังทูนแอบไปศึกษาต่อจนจบ Advance Open water มาจากมนต์ทะเล เรากับนังปิ่นบั๊ดดี้คนแรกก็ยังไม่ได้กลับไปศึกษาต่อ ด้วยสถานการณ์โควิด ด้วยคิว ด้วยงบประมาณ (อันนี้ปัญหาชั้นเอง) ฯลฯ แต่เพราะความมั่นหน้าเรากับทูนก็จะไปดำ Fun dive ที่ภูเก็ตกันอีก คราวนี้ป้ายยาให้พี่ตั้มสหายร่วมแก๊งไปเรียน Open water พร้อมกันเลย (จริงๆ ป้ายมาเป็นปีๆ ละ เพิ่งสำเร็จ) โดยดีลกับทางครูต้นขอออกทะเลพร้อมกันได้ไหม ครูต้นบอกว่าได้เลย พวกที่เรียนก็ออกไปสอบกับเรือ Fun Dive นี่แหละ จริงๆ ปูจะไปเรียนด้วยอีกคน แต่มีเหตุให้ต้องยกเลิกไปก่อน

ต้นเมษา 2022 การท่องเที่ยวภูเก็ตกลับมาแล้วตั้งแต่แซนด์บ๊อกซ์หรือจะเป็น dirt box หรืออะไรก็ตามแต่ เราเคยรู้สึกผงะกับการเปิดเผยเนื้อหนังมากมายของชาวตะวันตก แต่ตอนนั้นต้องกลั้นหายใจกับการเผยหนังหน้าของพวกเขาแทน ฝรั่งไม่ใส่หน้ากากกันแล้ว ถ้าไม่ใช่จุดบังคับจะไม่ใส่เลย คงเพราะคนที่ตัดสินใจเดินทางข้ามน้ำข้ามทะเลมาบ้านเราด้วยความอยากเที่ยว อาจจะมีฟิลลิ่ง Don’t give a shit กันแล้วมั้ง

เราใช้บริการบางเทาไดฟ์เซ็นเตอร์เช่นเดิม กลุ่มแยกออกเป็นสองกลุ่ม พี่ตั้มเรียนและสอบกับครูกี และเรากับทูนได้ดำน้ำกับน้องชายสุดทะเล้นที่ชื่อฟาร์ม ฟาร์มเป็นอีกคนที่เรายกให้เป็นประทีปส่องปัญญาสำหรับในด้านการสกูบ้า ครู/ไดฟ์ลีดแต่ละคนในโลกนี้ไม่มีใครเหมือนกัน เราชอบเรียกทุกคนว่าครูเพราะไม่ว่าทางใดทางหนึ่ง ทุกไดฟ์ที่ได้ลงไป เราได้เรียนรู้อะไรใหม่ๆ เสมอ กลุ่มเรียน และกลุ่ม Fun dive ของเราสามคนแยกกันดำตอนสอบ และพอพี่ตั้มสอบผ่านหมด เราก็มา Fun dive ด้วยกันและได้ถ่ายรูปหมู่สามคนใต้น้ำเป็นครั้งแรก เรารู้สึกเห็นภาพซ้อนทับกับบรรยากาศที่เราสามคนเคยเดินแถ่ดๆๆ อยู่ตามเซ็นทรัลด้วยกันแล้วมันรู้สึกฮึกเหิมภูมิใจเหลือเกิน

ก่อนจะเจอฟาร์มเราพัฒนาความรู้สึกมาถึงจุดที่ว่า เฮ้ยดำๆ ไปเถอะไม่ตายหรอก แต่สิ่งที่ได้จากฟาร์มคือความสบายอกสบายใจเวลาอยู่ใต้น้ำ เหมือนชั้นเป็นแอเรียล และถ้าชั้นเป็นแอเรียลชั้นคงจะไม่อยากขึ้นฝั่งเลย เพราะโลกใต้น้ำมันสวยและเย็นสบายสุดๆ ตอนว่ายน้ำตามอีฟาร์ม เราได้ยินเสียงเพลงอู้อี้เบาๆ พอขึ้นมาเราเลยไปถามฟาร์มในห้องสต๊าฟว่า แกร้องเพลงเหรอฟาร์ม ชั้นได้ยินเสียงเพลง ถ้ามันไม่ใช่แกชั้นก็ได้ยินนางเงือกล่ะวะ ฟาร์มยิ้มอายๆ บอกว่า ใช่ พร้อมเพื่อนๆ สต๊าฟหัวเราะกันใหญ่

คนเรามันต้องมีความสุขขนาดไหนถึงได้ดำน้ำไปร้องเพลงอู้อี้ๆ ไป และใช่แล้ว เราส่งเสียงในน้ำได้ แค่มันจะออกมาน้อยมาก ต้องตะโกนเป็นพยางค์สั้นๆ ถึงอย่างนั้นก็ทำได้นะ ฟาร์มพาเรากับทูน ทำอะไร First time เต็มไปหมด เราลงลึกกว่าที่ใบอนุญาตของเรายอมให้ลงไปนิดหน่อย ฟาร์มพาเรามุดซากเรือจม และมุดโถงลากูนใต้น้ำ โดยมีครูกีกับพี่ตั้มดำอยู่ด้านนอก ครูกีที่เคร่งครัดและมั่นคงในหลักการด้วยความปลอดภัยสูงสุด ยอมให้ลูกศิษย์อันตรายได้แค่ผงเหล็กจากซากเรือด้านนอกเท่านั้น ส่วนอีฟาร์มและอ้วนๆ สองตัวไม่กลัวตาย ก็มุดเข้ามุดออกกันสนุกสนาน ตอนไจแอนท์ลงน้ำในทุกๆ ไดฟ์ เราไปจ่ออยู่คนแรกๆ เสมอ เพราะอยากอยู่ในน้ำนานสุดๆ ฝรั่งนับสิบๆ ก็เช่นกัน ตอนลงน้ำแต่ละไดฟ์ บรรยากาศเหมือนเพนกวินที่ขั้วโลกแห่ลงทะเล ไดฟ์นึงเราเกือบโดนเหยียบหลังแต่รู้แกวเลยถีบตัวออกทันท่ามกลางสายตาหวาดเสียวสุดๆ ของฟาร์มกับนังทูนที่ดูอยู่

จบทริปสองวันแบบอิ่มอกอิ่มใจ และกระหายอยากเรียนต่อสุดๆ

14th-18th Dive

ในที่สุดก็ได้เวลา เรากับนังปิ่นกลับไปศึกษาต่อ Advance Open water ที่มนต์ทะเล เกาะเต่า ในเดือนถัดมา อากาศเริ่มไม่โสภาแล้ว แต่คนมันกระเหี้ยนกระหือรือ เลยโดนรับน้องไปชุดใหญ่ เกาะเต่าไม่เคยปรานีเราอย่างไรก็อย่างนั้น ช่วงพฤษภา 2022 ผู้คนเริ่มกลับสู่การเดินทาง โปรโมชั่นดำน้ำที่เกาะเต่าเคยจัดไว้อย่างมากมาย เริ่มได้รับความสนใจอีกครั้ง เราได้เรียนกับครูขวัญ ขาใหญ่แห่งมนต์ทะเล ผู้ประสิทธิ์ประสาทนักดำน้ำมานับไม่ถ้วน (ครูบอกนับไม่ถ้วนจริงๆ) ปกติครูขวัญจะเข้มงวด ขึงขัง แต่วันนั้นลูกศิษย์มีสองกลุ่ม ครูขวัญคนเดียวควงกะตั้งแต่เช้ายันค่ำ ความเข้มงวดหายไปเยอะ เห็นครูเดินซีดๆ ยังคิดว่าครูจะเป็นลมมั้ยนะ ครูได้กินข้าวบ้างยังนะ

เรียนและสอบทั้งหมด 5 ไดฟ์ใช้เวลา 2 วัน เราก็จบการศึกษาระดับ ป.2 ซะที การเรียน Advance ไม่ยากแล้ว มีแต่ความสนุกซะมากกว่า แต่ที่สาหัสคือสภาพอากาศ วันแรกน่ะดี แต่วันที่สองเจอทั้งคลื่นทั้งลม ทั้งกระแสน้ำ ไดฟ์ 2 ของวันที่ 2 ท้าทายสุดๆ อีตอนที่ขึ้นจากเรือมาสู่ท่าเรือไม่ได้ เพราะคลื่นโยนสูง ทีมงานมนต์ทะเลได้สรรสร้างวิธีการขึ้นเรือแบบทอม ครูซให้พวกเราโดยการให้ขึ้นไปบนดาดฟ้าเรือ ซึ่งจะได้ระดับสูงกว่าพื้นท่าเรือเล็กน้อย แล้วถอยรถกระบะ เปิดท้ายแบๆ มายื่นตรงหน้า ลองนึกสภาพ ว่าเรากำลังอยู่บนดาดฟ้าเรือที่โยนขึ้นลงตลอดเวลา กับรถกระบะที่เลื่อนมาจนท้ายยื่นออกจากท่าเรือ รอทีมงานให้สัญญาณ แล้วกระโจนจากดาดฟ้าเรือไปบนกระบะรถ บอกเลยอยากถ่ายทำภาพยนตร์ฉากนั้นมากกก แต่ทำไม่ได้ กลัวตายหล่าวววว

1 ปีต่อมา จนถึงวันนี้เราสะสมยอดการดำน้ำได้ 35 ไดฟ์แล้ว สกิลยังง้องแง้งแต่ไม่เป็นภาระใคร เอาตัวรอดและมีความสุขได้เมื่อได้ปะทะน้ำ ยังไม่ได้ร้องเพลงใต้น้ำแบบที่ฟาร์มเคยทำ ได้เจอไดฟ์ลีดที่น่ารักอีกมากมายหลายคน ได้ดำน้ำในที่สวยๆ เยอะแยะไปหมด ได้เจออากาศไม่ดีล้มลุกคลุกคลานก็ไม่น้อย สถานการณ์ฉลามวาฬขึ้นชุมพร ฉันอยู่ภูเก็ต พอฉันอยู่ชุมพรน้องไปขึ้นพีพี ก็มีให้ได้กลอกตา พี่ตั้มจบ Advance แล้ว ตอนนี้เราเลยมีกลุ่ม Advance ของตัวเอง 4 คนคอยป้ายยากันไปมาจนเงินเก็บชั้นร่อยหรอ เรากับพี่ตั้มมีกล้องคนละตัว ล่าสุดที่ชุมพร ดำกับครูพี่แจ้สุดชิว ที่ปล่อยพวกเราดำแบบสบายๆ ถ่ายรูปถ่ายคลิปเล่นกันใต้น้ำ เรารู้สึกเห็นภาพซ้อนทับกับบรรยากาศที่เราเดินเล่น ผลัดกันถ่ายรูปอยู่ตามสวนรถไฟด้วยกันแล้วมันรู้สึกสุขใจ

มันจะมีคำกล่าวของชาวดำน้ำอยู่ประโยคนึงที่พูดว่า หาเงินมาถมทะเล ทุกวันนี้เหนื่อยเมื่อไหร่ ไม่ว่าจะหมดใจหรือหมดแรง ก็ฮึบไว้อีกนิด แล้วคิดถึงค่าแพ็คเกจดำน้ำไว้ มันพอช่วยได้อยู่นิดนึง

รักนะไอ้ต้าวท้องทะเล

ขอบคุณภาพสวยๆ ทั้งจากไดฟ์ลีดหลายๆ คน และภาพจากพี่ตั้ม และขอบคุณตัวเองที่แม้จะบุยห่วยแค่ไหนก็หนีบกล้องไปด้วยตลอด หวังว่าวันหน้าจะถ่ายดีขึ้นเรื่อยๆ นะ

Directory
สถาบันดำน้ำต่างๆ ที่เคยได้ใช้บริการมาและประทับใจ ยังไม่เคย Liveaboard ทั้งหมดด้านล่างนี่คือใช้บริการ Day trip นอน รร. จ้ะ ที่มีบริการถ่ายรูป เฉพาะ จ.ภูเก็ตเท่านั้นนะ ที่เหลือคือถ่ายกันเองอีป๊อกอีแป๊ก

  • บางเทาไดฟ์วิ่งเซ็นเตอร์ จ. ภูเก็ต ด้วยราคาที่แพงกว่าจังหวัดอื่นนิดนึง แต่บริการทุกระดับประทับใจ อยากได้อะไรบอก คัสตอมตามใจลูกค้าสุดๆ ถ่ายรูปสวยเช้ง
  • สกูบ้าเรด จ. ภูเก็ต สเปคเดียวกับด้านบนเด๊ะๆ ครูพาดำน้ำนอกโปรแกรมด้วย สนุกตื่นเต้นมาก แต่ดันลืมกินยาแก้เมาคลื่น เลยหนุกอยู่ได้ครึ่งนึง อีกครึ่งทางคือกลั้นอ้วก
  • มนต์ทะเลรีสอร์ท เกาะเต่า ที่พักพร้อมดำน้ำ ไม่ต้องเดินทางไปไหน เรียนมันที่หน้าหาดเลย ชิวสุดๆ (แต่การเดินทางไปเกาะเต่าอันนี้สู้ชีวิตหน่อยนะ) มีแพ็คเกจราคาดีๆ ตลอดๆ มีสระว่ายน้ำสำหรับเรียนด้วย แต่เราชอบตรงที่ตัวเค็มๆ ขึ้นมาแล้วโดดสระ ดูชั่วหน่อยแต่มันสะดวกเรา
  • สตูลไดฟ์รีสอร์ท เกาะหลีเป๊ะ บรรยากาศคล้ายมนต์ทะเล นอนตรงนั้น เดินลงเรือมันตรงนั้นเลย สุดชิว ไดฟ์ลีด/สต๊าฟน่ารักกันเองมากๆ ให้จองตั๋วเรือ รถตู้รวมแพ็คเกจให้ได้หมด
  • ชุมพรไดฟ์วิ่งเซ็นเตอร์ จ.ชุมพร อันนี้สะดวกสุดคือนอนชุมพรคาบาน่า ไดฟ์ไซต์ชั้นเลิศ ไดฟ์ลีดดีงาม สต๊าฟกวนส้นตีน เกือบตีกันก่อนดำน้ำเพราะสต๊าฟภาคบกห่วย

ดิ่งพสุธาแบบหมากระเป๋า

โลกมีแรงโน้มถ่วง (Gravity) = 9.807 ม./วินาที²
ในขณะที่มวลจะคงเดิมเสมอ แต่น้ำหนักจะเปลี่ยนไปตามแรงโน้มถ่วง พูดให้เข้าใจง่ายขึ้น ถ้าเราอยู่บนดวงจันทร์ที่มีแรงโน้มถ่วงน้อยกว่าโลกประมาณ 6 เท่า เราอาจจะชั่งน้ำหนักแล้วรู้สึกว่า โอ๊ยยังกินได้อีกเยอะ และสบายใจดี ตราบเท่าที่ไม่เอาไปเปรียบเทียบกับคนอื่นที่ชั่งน้ำหนักบนดวงจันทร์เหมือนกันกับเรา

คนชอบดูหนังแอคชั่นอย่างเรา ดูฉากที่เล่นกับแรงโน้มถ่วงมาเป็นร้อยๆ ครั้งแล้ว (เฉพาะของทอม ครูซ คนเดียวปาไปซักร้อยได้แล้วมั้ง) เคยสงสัยว่ามันจะรู้สึกยังไงนะ เวลาที่ดิ่งลงมาจากเครื่องบินพร้อมร่มชูชีพ นี่ไม่ต้องเอ่ยถึงฉากประเภทร่มไม่กาง, กระโดดไปทั้งๆ ที่ยังไม่ได้สะพายร่มเข้ากับหลัง หรือต้องต่อสู้กลางอากาศใดๆ เคยสงสัยแต่ไม่เคยคิดจะคลายความสงสัย จนนังทูนมันเอ่ยปากชวน พินๆ ไป Sky Dive กันมั้ย

ล็อคดาวน์รอบ 3 เป็นรอบที่เราทำดีให้กับตัวเองมากที่สุด ด้วยการลดน้ำหนักลงมาเยอะเลย ช่วงที่ได้ยินคำว่า Sky Dive หลุดจากปากเพื่อนแถมยังอยู่ในประโยคเดียวกันกับคำว่า ไปกันมั้ย ตอนนั้นน้ำหนักเราต่ำกว่า 90 เล็กน้อย เราบอกมันไปว่า ไว้ชั้นหนัก 75 ก่อนค่อยไป

แปดเดือนต่อมา ตอนเราหนัก 75 เรากับทูนไปเล่น Zipline หน้านิ่งกันที่ภูเก็ต ที่หน้านิ่งเพราะ Zipline มันยังไม่เสียวพอสำหรับคนบ้าบออย่างพวกเรา (โดยเฉพาะนังทูน หน้านิ่งเกิ๊น สงสารสต๊าฟ เสียเซลฟ์หมด) นังทูนทวงสัญญาอีกครั้ง พินๆ ไป Sky Dive กันได้รึยัง เราบอกว่า น่าจะยังอ้วนเกินอยู่ ขอลดอีกซักหน่อย จริงๆ กิจกรรมนี้รับผู้โดยสารได้หนักสุดที่ 120 กก. แต่ถ้าน้ำหนักเยอะแบบมวลกล้ามเนื้อเยอะ เวลาโดนฮาร์เนสรัดมันก็คงจะพอโอเคอยู่ ต่างจากการที่น้ำหนักเยอะแบบไขมันล้วน สายรัดใดๆ ล้วนทำให้ท่านกลายร่างเป็นแหนมได้อย่างง่ายดาย เราต่อรองทูนด้วยเรื่องน้ำหนัก แต่ในใจคือ กูก็กลัวอยู่นะเฮ้ย นี่เอ็งจะเอาจริงรึ ใจนึงหวังว่ามันจะล้อเล่นแหละ

สองสามเดือนหลังจากนั้น ด้วยวินัยอันเคร่งครัด ไอ้ต้าวก้อนไขมันน้อยๆ ได้จากเราไปอีกราวๆ 10 กก. คราวนี้ไม่มีข้ออ้างแล้ว เมื่อทูนทวงสัญญาอีกรอบรัวๆ จิกกูเป็นไก่ได้หนอนเลยทีเดียวแม่คนนี้ อย่ากระนั้นเลย มีเสียงเล็กๆ จากอีกฟากฝั่ง คือนังปูสหายแบ็คแพ็คที่ต่างคนต่างอยู่มาตลอดฤดูกาลโควิด ถ้าพี่ไป Sky Dive เรียกด้วยนะพี่ อยากโดน

คนอยากโดนสามคนก็รวมตัวกัน เลือกผู้ให้บริการที่ดูน่าไว้วางใจเพื่อแขวนชีวิตไว้บนสายรัดเส้นน้อยๆ ได้หนึ่งเจ้า เขาเพิ่งย้ายกิจการจากระยองไปอยู่ปากช่อง เราเสียดายวิวทะเลอยู่เหมือนกัน เพราะเที่ยวเขาบ่อยแล้ว คิดว่าถ้าได้โดดร่มเห็นวิวทะเลครึ่งหาดและเมืองอีกครึ่งน่าจะสวยงามตาดี แต่ไม่เป็นไรปากช่องก็สวยเหมือนกันแหละ คนอยากโดนโทร.ปรึกษา PR ที่คุยดี ให้ข้อมูลดี และตรงไปตรงมา จากนั้นเลือกซื้อ Voucher กิจกรรมที่เรียกว่า Tandem ทางช้อปปี้ มีส่วนลดอีก 1,500 บาท แต่ต้องหลังไมค์ไปขอโค้ดจากแอดมิน (ไม่รู้โปรนี้มีตลอดรึเปล่านะ) ค่าบริการรุนแรงอยู่ แต่เฮ้ย มันไม่ใช่ขอซ้อนมอไซไปปากซอย ต้องเข้าใจต้นทุนมหาศาลของเขาด้วย

Tandem คำนี้แปลตรงๆ ว่า การทำกิจกรรมใดๆ แบบสองคนต่อแถวกัน คนนึงอยู่หน้าคนนึงอยู่หลัง เช่นปั่นจักรยานแบบคู่อะไรแบบนี้ สำหรับการโดดร่ม (และกิจกรรม Extreme อีกหลายอย่าง) จะมีให้บริการสำหรับผู้ที่อยากเสียวแต่ไม่อยากเรียนเองทั้งหมด ให้กลายร่างเป็นหมากระเป๋าตัวน้อย ห้อยไปกับหน้าอกของผู้ชำนาญการ มีหน้าที่เห่า เอ้ย ชมวิวและสนุกอย่างเดียว ไม่ต้องทำอะไรอื่นอีก เอาวะ หมาเป๋าก็หมาเป๋า แค่นี้ก็ยังไม่แน่ใจว่าจะสลบ หรือหัวใจวายรึเปล่า แต่รับปากเพื่อนแล้วต้องเดินหน้าอย่างเดียว

ต้นเดือนกุมภา อากาศปกติ (ถ้าคำนี้ยังจะใช้ได้อยู่ในโลกยุคปัจจุบัน) ควรจะสดใสผ่องแผ้วทีเดียวล่ะ แต่พายุลูกน้อยๆ ดันพัดผ่านปากช่อง เราสามคนไม่พรือ ยังไงก็จะไปตามแผน ได้โดดก็โดด ไม่ได้โดดก็ค่อยว่ากัน นอกจากจะไปโดด Tandem แล้ว ยังชวนเพื่อนภาคพื้นดินไปแฮงเอาท์ด้วยอีก เพราะคิดว่าถ้าโดดเสร็จเร็ว หลังจากนั้นก็ว่างตายชัก มีคุณอุ้ยแก๊งโสด กับบ้านแบนแก๊งครอบครัวลูกสองที่ไปแจมหลังจากไม่ได้เที่ยวด้วยกันมานานมากจนหลานลืมหน้าป้าแล้ว

บ้านแบนนำไปก่อนแล้วหนึ่งคืน แก๊งโสดออกจากกรุงเทพฯ เช้าตรู่วันเสาร์ บรรจุไปด้วยว่าที่หมากระเป๋า 3 กับผู้ให้กำลังใจอีก 1 คือคุณอุ้ย ฟ้าเป็นสีขาวโพลนตลอดทางตั้งแต่กรุงเทพยันปากช่อง ยิ่งขับไปใกล้จุดหมายยิ่งดูฉ่ำ เราซึ่งเป็นพลขับรู้สึกว่า ยังไงเช้านี้ก็ไม่ได้โดดแน่ๆ แต่ตั้งใจทำเวลาตามหน้าที่ สิ่งที่ไม่ได้ทำคือ ทำใจว่าจะต้องโดด เมื่อถึงสถานที่ เห็นรถจอดอยู่ข้างหน้าหลายคัน เริ่มใจไม่ดีละ หรือว่าจะโดดได้วะ

นังทูนใส่หน้ากากแล้วพุ่งลงรถไปเจรจา แป๊บเดียวก็เดินกลับมาพร้อม ATK test 4 ชุด ให้พวกเราจิ้มหมูกกันในรถ แล้วถ่ายรูปผลไปให้เขาดู จมูกเรายังซิงเพราะไม่เคยอยู่ในพื้นที่เสี่ยงเลย เลยไม่เคยมีความจำเป็นต้องเทสต์มาก่อน แต่ดูแผนภาพการจิ้มมาเยอะแล้ว และทำตามเพื่อนบอกด้วย ก็คงจะจิ้มถูกวิธีล่ะมั้ง น้ำตาไหลเอ่อกลบลูกตาอยู่พักนึง พอจะเนียนๆ ไปกับความกลัวที่อยู่ๆ ก็จะต้องโดดในท้องฟ้าฉ่ำๆ สีขาวโพลนไปด้วยเลย

คุณอุ้ยจะไม่เข้าไปรอเราในห้องรับรอง เพราะไม่รู้ว่าจะนานกี่ชั่วโมง แต่ก่อนที่ชายจะขับรถไปตามลายแทงร้านกาแฟเด็ดที่เตรียมมาแล้ว ชายก็เรียกพวกเรายืนเรียงกันแล้วถ่ายรูป ขณะที่เราพยายามดัดรอยยิ้มเจื่อนๆ ให้กลายเป็นยิ้มหวานอยู่นั้น ตาก็มองไปที่เสื้อยืดสีชมพูสดใสของตากล้อง มีตัวหนังสือฟอนต์น่ารักสีจางๆ เขียนพาดกลางหน้าอกว่า

“We’re all gonna die.”

ชั้นกรี๊ดดดด อีอุ้ยยย แกจงใจเลือกเสื้อตัวนี้มาใช่มั้ยยย ฮะะะะ!!!

เสียงล้อรถบดกับพื้นกรวดค่อยๆ ตีวงจางหายไปเมื่อประตูปิดลง เจ้าหน้าที่สาวไทยบอกให้เราชั่งน้ำหนัก เซ็นเอกสาร ซึ่งเราแทบไม่ได้อ่านเพราะมันคือ Disclaimer – Consent ที่บอกว่าพวกมึงตัดสินใจมาเล่นอีนี่เองและรู้ว่ามันมีความเสี่ยงนะ กูไม่รับผิดชอบนะ คือถ้าซีเรียสกับการเซ็นใบพวกนี้ ไม่ต้องซื้อ Voucher มาเล่นตั้งแต่แรกเลย เพราะของมันต้องเซ็นอยู่แล้ว เราหันไปยักคิ้วหลิ่วตากับสองคู่หูที่มันสองคนเพิ่งเคยเจอกัน แต่มันต่างเจอเรามายาวนานแล้ว เฮ้ย เราเซ็นอีใบพวกนี้มาเยอะแค่ไหนแล้ววะ

นั่นสินะ.. กำปากกาแล้วเซ็นมันไปอีกใบ หวังว่าจะไม่มีใครต้องเอามาใช้นะ

นี่น่าจะเป็นกิจกรรมเกี่ยวเนื่องกับอากาศยานอย่างแรกที่เราเคยเล่น ไม่นับการขึ้นเครื่องบินตามปกติ เขามีหน้าจอแสดงเวลา Boarding ด้วย จะมีชื่อของหมากระเป๋า กับคนหิ้ว (Instructor) และตากล้องของตนเองถ้าคุณซื้อ Gold Package แสดงอยู่เป็นเซ็ต หลังขั้นตอนทางด้านเอกสารกับเจ้าหน้าที่สาวไทย เราวนเวียนเข้าห้องน้ำฉี่ไปคนละสองรอบได้ ทูนใส่คอนแทคต์เลนส์อย่างขลุกขลักเพราะปกติใส่แต่แว่น เราถักเปียสองข้างชะลอวัยแบบไม่เกรงใจหนังหน้า ปูมัดผมหางม้าจุกเดียว นั่งๆ เดินๆ ดูวีดีโอและมองดูเวลา Boarding บนจอค่อยๆ ขยับ มีชายต่างชาติตัวสูงโย่งชื่อทริสเทนเข้ามาทักทายเราด้วยภาษาอังกฤษแบบไม่เนทีฟ (คุ้นๆ ว่าแกเป็นอิตาลีมั้ง) เราเข้าใจว่าแกน่าจะเป็นเหมือน Manager แหละ

และแล้วก็ถูกเรียกเข้าไปเก็บของใส่ล็อคเกอร์ ของรุงรังใดๆ เสื้อมีปกใดๆ ห้ามติดตัวไปต้องถอดเก็บให้หมดแม้แต่ MiFit จากนั้น Instructor กับตากล้องของแต่ละคนเข้ามาทักทาย และเริ่มใส่ฮาร์เนสให้เรา ตากล้องของเราชวนเราไปเก็บภาพที่ด้านหน้า เราเดินมือเย็นเฉียบไปมา พอมายืนรวมตัวกันก็บ่นว่า ตื่นเต้นมือเย็นโว้ย จับมือซิ พลางยื่นมือไปจับมือปู เอ้า แม่งเย็นกว่ากูอีก..

พวกเราได้ใส่ฮาร์เนสเดินแกว่งไปแกว่งมาอยู่พักนึงเพราะฟ้ามันฉ่ำจัด เขาบอกว่ารอให้มันดีขึ้นอีกนิดดีกว่า จากนั้นซักพักทริสเทนก็มาบอกเราตอนสิบเอ็ดโมงครึ่งว่า อากาศมันแย่ลงแฮะ ตอนนี้ขึ้นไม่ได้แล้วเพราะพายุกำลังมาอีกลูก พูดพลางชี้ไปทางด้านนึงของท้องฟ้า แกบอกให้พวกเราถอดฮาร์เนส ไปหาข้าวเที่ยงกินแล้วกลับมาอีกทีตอนเที่ยงครึ่งเพื่อเตรียมตัวบินบ่าย จงกินอาหาร อย่าอดอาหารนะ แต่อย่ากินของเหลวเยอะ และงดกาแฟกับน้ำอัดลมไปก่อน

คนที่เราเป็นห่วงคือคุณอุ้ย มันรอมาพักนึงแล้ว และไม่รู้ต้องรออีกนานแค่ไหน เลยตกลงกันว่า ให้คุณอุ้ยขับกลับมาหา เราจะพาปูกับทูนไปปล่อยร้านอาหาร เราซึ่งฟาสต์ 16/8 – 18/6 มาเป็นปีแล้ว สามารถเพิ่มเวลาฟาสต์ได้ตามใจชอบโดยแทบไม่มีผลอะไรเลย จะอาสาขับพาคุณอุ้ยไปรวมตัวกับบ้านแบนไว้ก่อน และเอารถกลับมาอยู่กับแก๊งหมากระเป๋า เพื่อที่ว่าจะได้นั่งรอฝนหยุดได้ไม่ต้องเป็นพะวงเพื่อน คุณอุ้ยขับรถกลับมาจากร้านกาแฟที่ได้คุณภาพพึงพอใจชื่อร้านระวิด (ซึ่งเราลืมชื่อนี้และต้องไลน์ไปถามอีกทีอยู่ดี) เราเปลี่ยนเป็นพลขับ พาปูทูนไปปล่อยไว้ร้านตามสั่ง แล้วบึ่งพาคุณอุ้ยไปปล่อยร้านกาแฟแห่งที่สองที่บ้านแบนกำลังมุ่งหน้ามา

ระหว่างทาง ฝนค่อยๆ ตก จากเม็ดบางๆ ก็ค่อยๆ หนาตาขึ้น เพื่อนให้กำลังใจกันดี๊ดีว่า ไม่น่าได้โดดหรอกวันเนี้ย

มันแน่อยู่แล้ว ถ้าชุ่มโชกซะขนาดนี้ ให้โดดตูก็ไม่โดดโว้ย

เราส่งคุณอุ้ยที่ร้านกาแฟแห่งที่สอง (ลืมชื่อแล้ว) จากนั้นบึ่งกลับมาบนถนนขรุขระเป็นหลุมเป็นบ่อ แต่บอกเลย เชี่ยวชาญมาก ถึงจะทะเบียนกรุงเทพ แต่ฝีตีนนี่แซงรถท้องถิ่นสบาย เพราะถนนบ้านเราก็ผิวพระจันทร์ประมาณนี้เหมือนกัน แวะรับปูทูนซึ่งกินข้าวเสร็จแล้ว กลับไปที่สนามบิน ท่ามกลางฝนโปรยปราย

เราลงจากรถ วิ่งฝ่าฝนเข้าไปข้างในอยู่ดีเพื่อฟังสรุปสถานการณ์ เจ้าหน้าที่สาวๆ อธิบายเราเป็นภาษาไทยก่อน แต่ทริสเทนยังเป็นห่วงและคงเห็นว่าพวกเราพูดอังกฤษกันได้ ก็เลยมาคุยด้วยอีกที แกอธิบายว่า การโดดร่มเป็นกิจกรรมที่ปลอดภัยมาก ถ้าทำตามกฎ และการโดดตอนอากาศเป็นแบบนี้ คือไม่ตามกฎแล้ว มันก็จะมีความเสี่ยง สรุปเรามีทางเลือกอยู่ 3 ทางตอนนั้น คือ บ่ายสามกลับมาดูใหม่อีกที หรือ พรุ่งนี้มาใหม่แต่เช้า หรือ re-schedule ยาวไปเลย เป็นสัปดาห์หน้า หรือนานกว่านั้น ซึ่ง Voucher เก็บได้ 6 เดือน

แก๊งเราเห็นว่า บ่ายสามก็คงไม่ได้มีอะไรดีขึ้น เลยบอกว่า มาใหม่พรุ่งนี้เช้าละกัน พวกเราผิดหวังนิดหน่อยที่ไม่ได้โดด แต่เฮ้ย ก็ดูอากาศดิ เราเคยพาทูนไปติดอยู่กลางพายุในทะเลปั่นป่วนบนเรือแมงมุมบอบบางที่น่านน้ำประเทศอื่น เราเคยติดเกาะอาดังกับเพื่อนกลุ่มใหญ่และกินอาหารจนหมดเกาะ วันสุดท้ายมีแต่ไข่เจียวข้าวเปล่า เคยพาปูไปหัวหกก้นขวิดมาสารพัดไล่เท่าไหร่ก็ไม่หมด หลายอย่างโทษอากาศไม่ได้ด้วยซ้ำ เราบอกทริสเทนว่า พวกเราเป็น professional ด้าน weather problem นะ ไม่เป็นไรเลย เราเข้าใจ

จากนั้นเราก็ไปร้านกาแฟ (คุณอุ้ยร้านกาแฟนั้นชื่อไรนะ) ..ระวิด นุ้งนิ้งอยู่ในนั้นนานเพราะพ่อค้าต่อนยอนจัด แต่เค้ากี๊กด้านกาแฟจริงๆ คุณอุ้ยสั่งให้ซื้อเมล็ดกาแฟให้หน่อย โดยให้ถามว่า “สู้นมมั้ย” เราไม่เคยเจอคำถามพรรค์นี้มาก่อน นี่ถ้ามึงแพรงค์กูให้ไปพูดทะลึ่งใส่คนอื่นนะเพื่อนนะ..

จากระวิด เราแวะบาร์ไอติมก่อนเข้าที่พักซึ่งเป็นบ้านหลังใหญ่ทั้งหลัง ลดราคารุนแรงสู้โควิด ปูกับทูนกินไอติม ส่วนเรากินสเต็กเป็นอาหารมื้อแรกของวัน จากนั้นเราเข้าบ้าน พบเพื่อนๆ และแฮงเอาท์อยู่ในนั้นโดยไม่ไปไหนตลอดจนเช้า อาหารสั่งแกร็บเอา ค่าส่งแกร็บปากช่องโคตรถูก รายการละ 13-15 บาทเท่านั้น ฝนตกปรอยๆ หยุดๆ ตลอดเย็น คิดถูกแล้วที่ไม่กลับไปลุ้นโดดรอบบ่ายสาม

กิจกรรมยามเย็นค่ำหลากหลายและครบถ้วนมาก เราเริ่มด้วยการผลัดกันเล่นกีตาร์ป๊องแป๊ง จากนั้นไปเล่นบาสกับปูหลังจากที่ปูเสียลูกเทนนิสให้เพื่อนข้างบ้านไปหนึ่งลูก ทูนนั่งคุยนอนคุยกับหลานๆ เรื่องการ์ตูนเป็นจริงเป็นจังจนเปรยๆ ว่าอยากเอาดาบไยบะมาจากบ้านเพื่อดวลกับหลาน ต่อด้วยแก๊งโสดเล่นเหมียวระเบิดภาคผู้ใหญ่ที่คุณอุ้ยหยิบมา หลังกินอาหารเล่นเกมที่หลานคิดหนึ่งเกม แล้วต่อด้วยเหมียวระเบิดภาคปกติที่เราหยิบมาแบบไม่ได้นัดกัน รอบนี้เด็กๆ มาเล่นด้วย พอเด็กๆ ไปนอน ก็ได้เวลาอาร์ตแคมป์ นั่งวาดรูปสีน้ำ พร้อมด้วยเสียงกีตาร์ขับกล่อม

รู้สึกว่าใช้วันหยุดได้มีคุณภาพดีจัง ขอบคุณเพื่อนๆ มา ณ ที่นี้ด้วย

painting by อีแอน วาดดีขนาดนี้ ไม่ใช่ฝีมือชั้นแน่ๆ

เคยไหมเวลาที่นั่งรถที่ขับเร็วๆ ขึ้นแล้วลงสะพาน ถ้าสะพานนั้นสูงสักหน่อย เสาเข็มสะพานตับสุดท้ายฝังลงลึกในดิน มาต่อกับเสาเข็มถนนตับแรกที่ใช้เสาสั้น คอสะพานจะหักเล็กน้อย ถ้าถนนข้างหน้ารถไม่ติด จังหวะลงสะพานเร็วๆ จะรู้สึกวาบในท้องอยู่เสี้ยววินาที เหมือนกับความรู้สึกเวลานั่งรถไฟเหาะ, ยืนริมหน้าผาสูงๆ แล้วมีลมพัดมาซักวูบ หรือความรู้สึกเหมือนผีเสื้อกระพือปีกเวลามีใครที่เฉพาะเจาะจงคนหนึ่งเดินเข้ามาในเฟรม (หรือแค่มีคนเอ่ยถึง ถ้าอยู่ในระยะที่อาการหนักๆ น่ะนะ) เช้านั้นแก๊งเสียวสามสาวตื่นแต่เช้า อาบน้ำแต่งตัว ใส่เสื้อทีมที่ได้รับแจกมาเมื่อวาน แล้วขับรถออกไปกันเงียบๆ ด้วยกระเป๋าข้าวของของเราทั้งหมด ทิ้งให้เพื่อนๆ ตื่นสายตามสบาย เช็คเอาท์แล้วตามมาทีหลังได้เลย

สิ่งแรกที่ทำตอนตื่นมาคือพุ่งไปเช็คอากาศ มีแสง มีหมอก ไม่มีฝน เอาวะ

เช้านั้นอากาศเย็นชื้น แต่ฝนขาดเม็ดไปแล้ว เราเชื่อมั่นว่าถ้ามันจะตกมันก็คงจะตกอีกแหละ เพราะงั้นรีบไปให้เช้าที่สุด รีบโดดให้มันเสร็จๆ ก่อนแปดโมงตรงเล็กน้อย เราสามคนก็ไปนั่งหน้าแป้นอยู่ที่ออฟฟิศ คราวนี้ไม่ต้องจิ้มหมูกและทำเอกสารใดๆ แล้ว รอโดดอย่างเดียว

ทริสเทนเข้ามาทักทายเราและขอบคุณพวกเราที่รับมือกับปัญหานี้ได้อย่างคูลๆ แกบอกงี้ แกเลยจะขึ้นไปโดดด้วยแล้วถ่ายรูปแถมให้อีก 1 กล้องฟรี เป็นการขอบคุณ แต่เนื่องจากเรากับปูเลือก Golden package อยู่แล้ว ทริสเทนก็เลยจะตามทูน (สรุปนังทูนได้วีดีโอแบบไม่ตัดต่อ ดูกันยาวๆ สุดเจ๋งเลย) ความตื่นเต้นของเช้าวันที่สองไม่เหมือนวันแรก มันน้อยลงอย่างเห็นได้ชัด คือตื่นเต้นกับการโดดยังไม่มากเท่าตื่นเต้นกับการจะไม่ได้โดดเลยแม่เอ๊ย ตานี่จ้องก้อนฝนไว้เรื่อยๆ อย่ามานะเค้าขอร้อง

ในที่สุดชื่อเราก็ขึ้นจอ เราได้ขึ้นเป็นชุดแรกของเช้านั้น Instructor และตากล้องทุกคนเป็นฝรั่งที่ไม่ Native English ยังคงคุ้นๆ ว่าเป็นอิตาลี ไพล็อตเป็นหนุ่มไทย และผู้ช่วยไพล็อตเป็นสาวไทยหน้าหมวยๆ ตัวเล็กนิดนึง การบรีฟก่อนออกบินช่างเรียบง่ายสั้นกระชับ พูดง่ายๆ ว่าเหล่าหมากระเป๋าไม่ต้องใช้สมองทำอะไรซักเท่าไหร่เลยล่ะ มีแค่สามขั้นตอนเท่านั้น

  1. ที่หน้าประตูเครื่องบินก่อนโดด หงายศรีษะพิงไปที่หัวไหล่ข้างขวาของ Instructor (ที่เหลือช่างแม่ง จำไว้แค่หงายหัวพอ) เก็บมือจับฮาร์เนสที่หน้าอกตนเองไว้
  2. พอโดดแล้ว รอสัญญาณ Instructor ตบบ่า ปุ ปุ ปุ ให้กางมือออก พยายามเหยียดขา แอ่นตัวเป็นรูปกล้วย ถ้าขาชี้ไปชี้มาไม่ต้องกลัว เดี๋ยว Instructor จับรวบเอง
  3. ตอนจะแลนดิ้ง พอ Instructor ให้สัญญาณ ให้ทำตัวตั้งฉาก พับขาขึ้น เหมือนจะให้ก้นลง แต่ละลงท่าไหนแล้วแต่ Instructor นะ แค่พับขาพอ ไม่ต้องคิดไรมาก

เราขึ้นรถกอล์ฟสองคันที่จอดรออยู่พร้อมกับลูกเรือทุกคน อากาศว่าเย็นแล้ว แต่ใจเย็นยิ่งกว่าอากาศ เรานั่งไขว่ห้างแบบขายาวๆ อยู่ที่นั่งกลับด้านหันหลังท้ายรถคันแรก ทอดสายตามองเพื่อนๆ พร้อมคิดทบทวนชีวิตที่ผ่านมา ทริสเทนบอก ท่านั่งยูเอลเลแก๊นมาก ไพล็อตของเรายังเป็นไดร์เวอร์รถกอล์ฟด้วย แกคุยกันโฉงเฉงเรื่องดินมันแฉะ แต่จะอัดรถกอล์ฟขึ้นเนินตรงๆ ไปหาเครื่องบินจะได้ไม่ต้องเดินเยอะ ดูจะตื่นเต้นใส่ใจกับการขับรถกอล์ฟขึ้นเนินมากกว่าสนใจเครื่องบินน้อยๆ ปีกสีส้มสดใสที่เด่นตัดกับท้องฟ้าอยู่ตรงนั้นซะอีก เราสามคนไม่ค่อยคุยกันเยอะแล้วจุดนั้น ต่างคนต่างคงอยู่กับความคิดของตัวเอง เช่น มันจะเป็นไงน้า.. เราจะอ้วกมั้ย หรือแม้กระทั่งว่า เราอาจจะต้องถึงเวลาเลิกคบอีเพื่อนคนที่ชวนมาเล่นนี่ได้แล้วมั้ง

รถกอล์ฟไต่ขึ้นเนินได้ด้วยดี อาจเพราะเราแขม่วพุงช่วยเล็กน้อย เนื่องจากเป็นไฟลท์แรกของวัน คณะโดดร่มจึงต้องยืนรอให้ไพล็อตเข้าไปทำอะไรกุ๊กๆ กิ๊กๆ ก่อนพักนึง ทริสเทนแอบเม้าท์ว่า พวกเราไม่มีสิทธิ์ถามหรือคอมเมนต์อะไรไพล็อต เขาบอกให้รอก็ต้องรอนะ ไม่นานนักพวกเราก็โดนกวาดต้อนให้เดินขึ้นตามลำดับเป็นคู่ๆ หมากระเป๋ากับแพรีสฮิลตั้นของหล่อน คู่ปูกับทูนเข้าไปก่อน เราปิดท้ายนั่งใกล้ประตูปั๊ดติกๆ นั่น เราหันไปถามตามิคกี้ Instructor ของเราที่นั่งด้านหลังเราว่า We’re first, right? ฮีผู้พูดน้อย ยิ้มๆ แล้วพยักหน้า เยส

ฉันอยากตะโกนออกมาตรงนั้นว่า เชี่ยยยย

เครื่องบินลำน้อย แม้จะให้เล่ากี่ครั้งเราก็ยังจะเรียกมันว่า เครื่องบินกระป๋อง ก็แม่งกระป๋องมากจริ๊ง.. เป็นเครื่องบินที่ใช้โดดร่มเท่านั้น และถ้าไม่ได้มีร่มชูชีพที่ไว้วางใจติดหลัง ก็คงไม่เหมาะจะโดยสารเจ้าส้มน้อยลำนี้ไปไหน เพราะประตูน้องเป็นพลาสติกบางๆ แถมมีป้าย ห้ามล็อค! ด้วยจ้า ที่นั่งเป็นม้านั่งยาวสองแถวขนานไปกับตัวลำเครื่องบิน วิธีนั่งคือคร่อมเหมือนขี่ม้า นั่งเป็นคู่ๆ Instructor อยู่หลัง และหมากระเป๋าอยู่ข้างหน้า พอเครื่องค่อยๆ ลอยขึ้นจากรันเวย์ เราก็หันไปถามมิคกี้ อีกคำถามว่า Are we attached? นี่มึงกะกูคลิปติดกันรึยัง ทำไมมันยังรู้สึกโหวงๆ วะ ตาแกตอบว่า ยัง You are attached to the plane. พลางเอื้อมมือไปจับฮาร์เนสของเราที่ล็อคกับราวจับบนเครื่องบินให้ดู

ตาคาร์ล ตากล้องของเราที่นั่งริมประตูสุด เอาตีนค้ำประตูไว้แล้วสอดกล้องออกไปถ่ายรูปข้างนอกเก็บบรรยากาศ ส้มน้อยทะยานขึ้นสู่ความสูง 5000 ม. เหนือระดับน้ำทะเลด้วยเวลาโดยประมาณ 15 นาที หันไปมองดูเพื่อนๆ ดูสงบนิ่งกันดี นั่งยิ้มกริ่มทำหน้าแบบ ไม่โดนแคนเซิล ได้โดดแล้วโว้ยวันนี้ ส่วนเรามีแพนิคแอทแทคเล็กน้อยตอนเครื่องขึ้นไปได้ซัก 5 นาที แต่จากสิ่งบรรลัยต่างๆ ที่เจอมาในชีวิต เราสามารถทำให้ตัวเองสงบลงได้ไม่ยาก เราค่อยๆ หายใจลึกๆ ยาวๆ แล้วก็ท่องคาถาที่ทำให้รอดจากทุกอย่างมาแล้วในใจ เอาไปใช้กันได้นะ มันขลังมาก คาถาอาจารย์แอ้เอง

Fuck it. Just do it.

เรานิ่งจนตามิคกี้เริ่มเป็นห่วง ถามสองสามทีว่า Are you OK? สงสัยจะกลัวอ้วกพุ่งใส่มัน เรายิ้มอ่อน บอกว่า เออ กูโอเค เมื่อความสูงใกล้ได้ระดับโดดที่ 5000 ม. วิวด้านล่างเริ่มพร่าเลือนเพราะหมอกบัง (สูงดีจังโว้ย) ด้านหลังเรา (หรือก็คือด้านหน้าเครื่องบิน เพราะเรานั่งหันหลังอยู่) เริ่มมีการเคลื่อนไหว เหล่าตากล้องคาดกล้อง ตระเตรียมนั่นนี่กันกุกกัก ตีไม้ตีมือกันไปมา บอกเลยว่าวงการโดดร่มนี่เป็นวงการที่ไฮไฟว์กันเปลืองมาก ขยับจะทำอะไรหน่อยขอให้ได้แปะมือกัน แล้ว Instructor ก็ให้เราใส่แว่นกันลมที่เป็นเหมือนพลาสติกหรือยางใสๆ ใส่แน่นจนตาตี่ๆ ชั้นรีลีบไปหมด จากนั้นก็ปลด Harness เราออกจากราวเครื่องบิน แล้วยึดตัวเราติดกับตัวแกแบบแน่นมากๆ แน่นจนรู้สึกถึงหัวใจเต้น แล้วก็ดีใจที่ทำให้ตัวเองสงบลงแล้วไม่งั้นถ้าใจเต้นถี่ยิบจะอายหน่อยๆ เมื่อรอดมาแล้ว เพื่อนๆ ที่ได้เห็นวีรกรรมนี้ แทบทุกคนต้องมีคอมเม้นต์นึงที่บอกว่า แหมดี ได้ใกล้ชิดฝรั่งหล่อๆ บอกตรงๆ ว่าจังหวะนั้นไม่มีเรื่องนี้ในหัว เราเชื่อว่าทั้งสองฝั่งด้วยนะ เมื่อคุณกำลังจะทิ้งตัวลงมาในท้องฟ้าว่างเปล่าสูง 5 กม. จากพื้นดินข้างล่าง เราว่าเรื่อง sexual น่าจะเป็นเรื่องสุดท้ายที่จะเอามาคิดตอนนั้นเลยล่ะ

อยู่ๆ พอได้ระดับโดด ก็มีการเปลี่ยนแปลงกะทันหัน ตาทริสเทนปีนออกไปยืนเกาะนอกเครื่องชิวๆ เหมือนทอมครูซในหนังซักสิบยี่สิบเรื่อง คู่ทูนเลื่อนตัวไปหน้าประตูก่อน ตามด้วยคู่ปู เราเฝ้ามองเพื่อนๆ ห้อยต่องแต่งอยู่ที่ประตู ตากล้องหย่อนตัวหงายสู่ความเวิ้งว้าง แล้วแว้บต่อมาก็ ฟุ่บ! เพื่อนๆ หายไปทีละคน ชั้นร้องเบาๆ ทู้นนนน.. ปู๊ว์ว์.. หันมาถามอีมิคกี้ วาย? อีมิคกี้บอก การ์ดกล้องโกโปรที่ข้อมือมันเต็ม มันลืมเปลี่ยนการ์ด โว้ย.. ไพล็อตขับเครื่องวนรอมันเปลี่ยนการ์ดแป๊บนึง แต่สำหรับเรารู้สึกนานมาก เราเตรียมใจมาแล้วว่าจะโดดเมื่อนาทีที่แล้ว แต่พอมันเลื่อนออกมา เราเริ่มรู้สึกว่า อยากโดดให้มันจบๆ เพราะงั้นตอนที่อีมิคกี้เหวี่ยงเรา (เหมือนเป็นหมากระเป๋าจริงๆ น่ะแหละ) มาห้อยต่องแต่งอยู่ที่หน้าประตู และรู้แน่ชัดว่าเราได้สูญเสียการควบคุมสถานการณ์นี้ไปหมดแล้ว เพราะขาสองข้างก็พ้นพื้นเครื่องบินไปแล้วด้วย เราเลยไม่รู้สึกตื่นเต้นอะไรอีกแล้ว นอกจาก ลงไปซะทีโว้ยยย เพื่อนกูหายไปหมดแล้วเนี่ย..

ขั้นตอนที่หนึ่ง หงายคอ มือจับสายรัดที่หน้าอก

ไม่มีสัญญาณอะไรจากอีมิคกี้ และแล้วมันก็ทิ้งตัวเราทั้งสองคนลงสู่ความเวิ้งว้างอันไกลโพ้น เราต้องการจะเสพทุกประสบการณ์แบบไม่อยากพลาดอะไรเลย ก็เลยพยายามลืมตาดูทุกอย่าง ภาพแรกที่เห็นคือขาตัวเองตัดกับขอบฟ้าแบบหัวทิ่มลง ถ้าสโลว์โมชั่นเหตุการณ์ตรงนั้นแล้วพูดกับตัวเองได้ เราคงหันมาพูดใส่หน้าตัวเองว่า แม่งโคตรเด็ด บรีฟก่อนมาโดดเขาบอกว่า 60 วินาทีแรกเราจะตกลงมาแบบ Free fall (ซึ่งจุดนึงความเร็วจะคงที่แล้ว) เราจับเวลาจากวีดีโอที่ได้มา พบว่า Free fall จริงประมาณ 40 วินาที เราเคยคิดว่า มันจะวาบขนาดไหนนะ เวลาเราวาบเพราะรถลงสะพาน แค่วินาทีเดียวมันยังแว้บ.. ซะขนาดนั้น แล้วการวาบ 40 วินาทีมันจะเป็นยังไง

สรุปว่ามันไม่แว้บ เพราะลมแรงมาก ลมตีรุนแรงเหมือนขี่มอเตอร์ไซค์เร็วสุดๆ แบบไม่ใส่หมวกกันน็อค เสียงลมผ่านหูดังมากๆ ได้ยินแค่เสียงมิคกี้ถามว่า Are you OK? อีกครั้ง เราตะโกนได้แค่ว่า โอเค้.. แล้วต้องรีบหุบปาก เพราะลมตีปากกระพือผับๆๆ พอร่มน้อยอันแรกถูกดึงออก เราก็หยุดหัวทิ่มหัวตำแล้วกางแขนทำตัวโค้งเป็นกล้วยหอมจอมซน ตากล้องที่ไม่กางร่มน้อยแต่ใส่เสื้อที่มีปีกค้างคาวแทนเหินตัวเข้ามาใกล้ๆ ให้กล้องบนหัวแกได้เก็บภาพ รู้สึกได้อย่างแน่ชัดว่าหนังหน้ากระพือแบบควบคุมไม่ได้ และก็ไม่รู้จะเรียกโชคดีหรือโชคร้ายที่ได้จ่ายเงินเพื่อเก็บภาพไว้เป็นหลักฐานซะด้วย คนจริงกล้าทำมันต้องกล้าโชว์แบบนี้ รู้สึกตัวเองเป็น General Mandible ในการ์ตูนเรื่อง Antz ตลอดเวลา

เพื่อนแนะนำว่าคราวหน้าถ้าจะไปโดดอีกควรโบท็อกซ์ไปก่อน มันจะดีมั้ยหรือโบท็อกซ์มันจะไปรวมอยู่หลังหู

เมื่อเรา Free fall มาจนถึงระยะกระตุกร่ม ตามิคกี้เช็คเครื่องวัดที่ข้อมือแล้วก็กึ่งโบกมือกึ่งตะเบ๊ะให้ตากล้องจากนั้นก็กระตุกร่ม ในวีดีโอจะดูเหมือนเราพุ่งขึ้น แต่ความจริงเรายังคงตกลงไปด้วยความเร็วที่ช้ากว่าเดิม แต่เพราะตากล้องจะต้องร่วงลงไปให้ไกลกว่าถึงค่อยกระตุกร่มของเขา ทำให้ดูเหมือนเราพุ่งขึ้นแรงมากและความรู้สึกก็เป็นทำนองนั้นด้วยเช่นกัน ถ้าฮาร์เนสรัดตรงไหนไว้แน่นๆ มันจะเจ็บก็ตอนนี้ล่ะ และจากที่เราเงียบกริบมาตลอดหลังคำว่าโอเค้.. คำแรก ตอนนี้ก็เป็นเวลาที่ดีที่จะตะโกนโวยวายแล้ว

วู้ฮู้ว์ว์..

หลังร่มกางเรียบร้อย มิคกี้บอกว่า ฉันจะปลดฮาร์เนสออกนิดนึงจะได้ไม่อึดอัดนะ อั้ยย่ะ มีปลดกลางอากาศด้วยโว้ย แต่พอปรับแล้วสบายตัวขึ้นจริงๆ เราแค่ถูกหิ้วอยู่ห่างๆ ไม่ได้มัดแน่นเหมือนทีแรก แต่ตอนจะปลดตะขอ เราก็แอบกังวลนิดนึงว่ามึงอย่าปลดผิดตัวนะมึง ช่วงนี้เราจะร่อนอยู่ประมาณ 5-7 นาทีเพื่อเข้าสู่เลนที่จะแลนดิ้งตามที่มีการวางแผนไว้ พอร่มกางทุกอย่างก็เงียบสงบ มิคกี้บอกถอดแว่นได้ละ แล้วเราก็เริ่มถามนู่นนี่ตามประสาคนที่อะดรีนาลีนพุ่งแล้วพูดมาก (แถมสำเนียงเมกันมาด้วย) เราจะแลนดิ้งตรงไหนเหรอ มิคกี้บอก Right under us. เราก้มลงไปมองพื้นดินผ่านเท้าตัวเองที่ห้อยอย่างอิสระอยู่บนท้องฟ้าแล้วรู้สึกหวิวหน่อยๆ พยายามเชื่อมโยงภาพจากท้อปวิวเข้าสู่ความทรงจำก่อนจะบินขึ้นมา พบว่าสนามแลนดิ้งสีเขียวสดใสกับออฟฟิศที่ตะกี้เรานั่งอยู่ในนั้น รออยู่ด้านล่างเราจริงๆ

ในบรรดาทุกขั้นตอนที่ทำมา การเลี้ยวนี่แหละให้ความรู้สึกแว้บในท้องที่หวาดเสียวที่สุดเพราะเราจะเหวี่ยงทางคว่ำอย่างแรงและแทบจะสัมผัสได้ถึงความเวิ้งว้างเป็นกิโลเมตรที่ปลายเท้า ก่อนจะเลี้ยวแต่ละครั้งมิคกี้จะบอกว่า จะเทิร์นละนะ ตอนลงมาถึงข้างล่าง เพื่อนๆ บอกว่า เพื่อนๆ ได้ลองบังคับตอนเลี้ยวด้วย แต่เราไม่ได้ทำง่ะ อาจจะเพราะไม่มีเวลาหรืออีมิคกี้ไม่มีอารมณ์ขัน แต่เสียดาย อยากลองเลี้ยวเองมั่ง

ไม่เร็วเกินไป และไม่ช้าเกินไป ความรู้สึกคือกำลังพอดีๆ เลย ก็ได้เวลาร่อนลง มิคกี้เตี๊ยมก่อนว่า ตอนบอกอย่าลืมยกขานะ ด้วยประสบการณ์ของนาง เราค่อยๆ ร่อนลงใกล้พื้นหญ้ามากๆ แล้วไถลด้วยก้นไปบนยอดหญ้าเปียกๆ ก่อนจะหยุดนิ่ง ไม่น่ากลัวและไม่บาดเจ็บใดๆ คาร์ลซึ่งลงมาก่อน เดินเข้ามาหา ถามว่าเป็นไงบ้าง เราตอบไปว่า ชั้นเข้าใจแล้วทำไมพวกยูเลือกทำอาชีพนี้ มันสุดยอดมาก

เราแลนดิ้งตรงจุดแบบสุดๆ แค่เดินตัดสนามหญ้าไปก็ถึงประตูออฟฟิศแล้ว ปูกำลังช่วย Instructor ของนางแกะหนามกระสุนออกจากขากางเกง เพราะตกลงไปเต็มๆ กอหญ้า นังทูนหน้าระรื่น เราสามคนได้ก้าวไปสู่ชีวิตอีกพาร์ทนึงในชั่วเวลาแค่ไม่กี่นาที ในตอนนั้นอาจจะบอกได้ว่า ชีวิตมี 2 ส่วน ส่วนนึงคือก่อนโดดเครื่องบิน และส่วนที่สองคือหลังจากนั้น เราบอกสองสาวว่า จากนี้ไปเราจะไม่กลัวความเครียด ไม่กลัวความผิดหวังหรือแม้แต่อกหักแล้วแหละ ตราบใดที่หยอดกระปุกเก็บตังค์ค่าโดดเครื่องบินไว้ จากนี้ไปมันจะเป็นวิธีรีเซ็ตที่ง่ายและเร็วที่สุดสำหรับทุกๆ ความเซ็งในชีวิตเสมอ

และที่เคยตั้งใจไว้ว่า ขอทำสิ่งนี้แค่ครั้งเดียวพอในชาตินี้ สรุปตอนนี้เปลี่ยนแผนซะงั้น ทริปนี้จึงมีชื่อที่บันทึกไว้เองว่า Our first jump.

เพราะมันต้องมี Second อีกอย่างแน่นอน

พิดโลก-เขาค้อ 1st Trip after 2nd shot

ก่อนล็อคดาวน์หลังสงกรานต์ 2564 เพื่อนสองคนสุดท้ายที่เรากินข้าวด้วยคือกอล์ฟติ๊ก ตั้งแต่ต้นเมษาที่ทำงานให้เริ่มต้น Work from home 100% อีกครั้ง เราก็อาศัยอยู่คนเดียวในบรรยากาศซุปเปอร์แมกซ์มาตลอด ตัดความอยากได้ใคร่ดี อิสระเสรีภาพใดๆ เอาใส่กล่องแล้วเก็บซ่อนในห้องลึกสุดใน mind palace ล็อคกุญแจแล้วทำเป็นลืมไปว่ามันมีอยู่ นานจนจำไม่ได้ว่าลมพัดผ่านหน้ามันรู้สึกยังไง การได้ขับรถบนถนนโล่งๆ มันกระตุ้นหัวใจขนาดไหน จำเสียงสายน้ำอื่นนอกจากน้ำประปาไม่ได้ มีแค่เสียงนกร้องที่ระเบียงทุกวันที่คอยเชื่อมโยงคนนั่งทำงานพิมพ์คอมพ์ก๊อกๆ เข้ากับโลกข้างนอก ที่หยุดหมุนไปชั่วขณะ

ครึ่งปีต่อมา เมื่อหลายคนทยอยได้วัคซีนเข็มที่สอง เพื่อนๆ เริ่มชักชวนกันกลับสู่โลก เรามีธุระได้ออกข้างนอกมาแล้ว 2 ครั้ง แต่ยังไปด้วย Save mode ไม่ได้เปิดเครื่องแบบเต็มกำลังเหมือนเคย ครึ่งปีที่อยู่คนเดียวเงียบๆ เหมือนเก็บตัวเองให้อยู่ในโคม่า รอวันโควิดหมดไปถึงค่อยฟื้น เหมือนใช้ตัวตนอีกบุคลิกมาคุมเครื่องจักรระหว่างที่ตัวจริงหลับใหล หลังจากทบทวนอยู่หลายตลบ มันก็ถึงเวลาที่จะปลุกตัวเองให้คืนกลับสู่โลกได้แล้ว เจ้าโควิด เราต้องอยู่กับมันไปอีกนาน งั้นเริ่มเลยละกัน

และครอบครัวเพื่อนรักก็ยังคงเป็นมนุษย์กลุ่มแรกที่เราเที่ยวด้วยหลังสภาวะซุปเปอร์แมกซ์ สมัยก่อนมันสองคนมีลูก เราเคยหัวหกก้นขวิดกันอยู่ตามป่าเขาและอุทยานแห่งชาติต่างๆ พร้อมโอริหมาร้อยดอยที่สูงวัยไปดาวหมาแล้วหนึ่งตัว ถึงแม้งานการพวกเราจะค่อนข้างมั่นคง แต่พวกเรางกและชอบนอนเต็นท์ ครั้งนี้ถือว่าเป็นทริปแรกนำร่องหลังจากไม่ออกเดินทางมาซะนาน เลยเลือกนอนเต็นท์คืนแรก และนอนรีสอร์ทคืนที่สองจะได้ไม่ลำบากมาก เราเซ็ตเส้นทางที่ชำนาญจะได้ไม่ลุ้นเจอเซอร์ไพรส์โดยเดินทางเป็นวงกลมรอบทิวเขาเพชรบูรณ์ เริ่มต้นขึ้นจากทางด้านซ้ายและแวะนอนคืนแรกที่ ต.บ้านมุง อ.เนินมะปราง จ.พิษณุโลก

อากาศปีนี้และหลายปีก่อนหน้านี้แปรปรวนมากเนื่องจากสภาวะโลกร้อนที่มันเกินจะเยียวยาแล้ว ปีนี้ฝนตกชุกยาวนานและมีพายุติดๆ กันหลายลูก ณ ขณะนี้เองเราก็ยังลุ้นน้ำท่วมกันอยู่ ทั้งๆ ที่ลมหนาวก็แหลมหน้าพัดมาทักทาย เราเลือกจองที่พักที่เป็นกระท่อมไว้กางเต็นท์ด้านบน เผื่อฝนตกจะได้ไม่นอนชื้นมาก เพราะอุปกรณ์ที่เก็บกรุมานานยังไม่ค่อยพร้อม เนินมะปรางจะดัง จะดังมาหลายปี น่าจะเปรี้ยงปร้างไปกว่านี้แล้วถ้าไม่โดนคุณโควิดเตะสะกัดขา เราไปที่นี่มาหลายครั้งมาก เริ่มตั้งแต่เป็นที่รู้จักแรกๆ ที่จะนอนยังไม่ค่อยจะมี น่าดีใจที่ปีนี้มีที่ใหม่ๆ เกิดมาพร้อมรองรับนักท่องเที่ยวมากขึ้น ขณะเดียวกันก็มีร่องรอยของหลายกิจการที่ต้องพังพาบไปเพราะขาดรายได้นานเป็นปีๆ

วันแรก

สัปดาห์สุดท้ายของเดือนตุลาคม พวกเราลางานวันศุกร์และเดินทางโดยรถคุณเพื่อนขับมือเดียวถึงเนินมะปรางตอนบ่ายๆ ระหว่างทางเสียวน้ำท่วมเหมือนกันเพราะว่ากำลังเอ่อล้นเลยเชียว เราไม่ได้เช็คฤดูทำนาก่อนแต่โชคดีชะมัด มองไปทางไหนก็มีแต่ท้องนาสีเขียวสว่างสดใส ท่ามกลางแดดจ้า และฟ้าเป็นสีสดเหมือนตัดแปะ สมาชิกในทริปนอกจากผู้ใหญ่สามคนก็ยังมีน้องคุณหลานรักที่ไม่ได้เจอกันนานคิดถึงมาก เราจองที่พักเป็นแคมป์ไซต์ยี่ห้อ “บ้านมุงแค้มป์” หรืออีกชื่อคือ “หมาบ้าใจดี” ที่มีทำเลสวยสุดๆ ในอ้อมกอดภูเขาทั้งหน้าและหลัง แถมยังได้นอนกระท่อมหลังสูงที่วิวดีกว่าชาวบ้านแบบบวกเมตรครึ่ง เราสี่คนกรี๊ดกร๊าดกับวิวเสร็จแล้วก็ช่วยกันกางเต็นท์หลังยักษ์แบบสองห้องนอนที่เราเพิ่งมือลั่นกดช้อปปี้มาสดๆ เนื่องจากมีหลังคาสังกะสีคุ้มหัวอยู่แล้ว เลยเลือกที่จะไม่ปิดฟลายชีตด้านบน ปล่อยเปิดเป็นมุ้งโล่งๆ เพื่อระบายอากาศให้เย็นสบายยิ่งขึ้น

กิจกรรมบ่ายนั้นเรียบง่ายมากๆ เราขับรถเล่นชมวิว ไปตลาดหาของกินที่ยังขาด ซึ่งก็ไม่เยอะเพราะเตรียมมาแล้วพอสมควร แต่ตื่นเต้นกับมะนาวมาก ทั้งขายถูก ลูกใหญ่ น้ำเยอะ เป็นปลื้มที่สุด จากนั้นก็ไปนั่งรอชมค้างคาวออกหากิน ซึ่งเป็นไฮไลท์ของที่นี่ เรามาเนินมะปรางหลายครั้งแต่พลาดค้างคาวทุกครั้งด้วยสารพัดเหตุผล (ครั้งหนึ่งคือ ขับมอไซค์หลง กลับมาไม่ทัน) แดดอ่อนๆ ยามเย็นยังมีความร้อนหลงเหลือแต่ไม่มากมาย อากาศดีมาก ลมพัดเรื่อยๆ นักท่องเที่ยวหลายคนมานั่งรอชมค้างคาว เราใส่หน้ากากสองชั้นแนบหน้าจนหน้าเปียก ซื้ออาหารปลาไปโรยในบึงกับน้องคุณอย่างสนุกสนาน แม่ค้าและชาวบ้านพูดคุยแนะนำข้อมูลให้นักท่องเที่ยวกันคึกคัก เราสังเกตว่าของกินเล่น น้ำดื่ม อาหารปลาที่ขายได้ ไม่ได้มากมายอะไร แต่ดูจากท่าทางดีใจของคนขายแล้ว เขาก็คงอยู่กันแบบแห้งแล้งมานานเหลือเกิน มองภูเขาตรงหน้าที่ยอดสูงสุดเห็นธงแว้บๆ เลยเอาเลนส์ซูมดู พบว่ามีคนเดินเขากันอยู่ สนใจมากๆ กะว่าคราวหน้าต้องมาเดินเขาให้ได้เลย

ห้าโมงครึ่ง ฟ้ายังไม่มืด ค้างคาวเช็คเทียบเวลาแม่นเป๊ะแล้วเริ่มบินออกจากถ้ำ พวกมันบินเร็วจี๋เรียงหน้ากระดานต่อเนื่องเป็นสาย และตามที่คุณป้าร้านขายของบรีฟคือมันพยายามยังไม่บินสูงเพราะนกใหญ่อาจจะมาโฉบไปกินได้ กล้องเราเป็นคอมแพ็คล้วนๆ ไม่สามารถถ่ายให้ดีไปกว่าปื้นค้างคาวได้ ได้แต่ดูและพยายามเดินหามุม พอแสงค่อยๆ อ่อนลง สายธารค้างคาวก็ตวัดสูงขึ้นเหนือยอดเขาทำให้มองเห็นได้ชัดขึ้น เราดูอยู่นานมาก และพวกมันไม่มีทีท่าว่าจะหมด เมื่อได้ดูจนจุใจและหิวแล้ว เลยกลับแค้มป์กันดีกว่า

พอฟ้ามืดอากาศก็เย็นสบาย เราปิ้งย่างอะไรง่ายๆ กินกัน (การเผาผลาญที่ต่ำทำให้กินนิดหน่อยก็อิ่มแล้ว ดีจริงๆ) จากนั้นก็เข้าไปนั่งเล่นการ์ดเกมต่อในเต็นท์ยักษ์ที่ซื้อมาเพื่อการนี้ เนื่องจากแพ้ยุงหนักขึ้นทุกวันๆ ถ้าความสุขของการไปแค้มปิ้งคือการนั่งเล่นกับเพื่อนยันดึกดื่น ความทุกข์ก็คือการรักษาแผลยุงหลังจากนั้น 3-4 เดือน ห้องระเบียงมุ้งของเต็นท์ยักษ์จึงช่วยได้เป็นอย่างดี สามคนนั่งล้อมวง แถมเล่นเกมที่ใช้พื้นที่กางการ์ด ยังสบายๆ ยัดพัดลมเข้าไปได้อีกตัว แลกกับน้ำหนักที่ต้องแบก 14 กก. ถือว่าคุ้ม

อุปสรรคชีวิตนิดหน่อยตรงจิ้งจกทิ้งดิ่งลงมาเกาะเพดานเต็นท์ ไม่ว่าจะตรงมุ้งหรือตรงผ้าใบก็มองเห็นได้ชัดจากด้านล่าง มองทีไรก็ขนลุกเกรียวกราว แก๊งเรามีกันสี่คนกลัวจิ้งจกหมดทุกคน บ้าบอจริงๆ อีกอล์ฟเป็นที่พึ่งได้สุดแล้วคือมันดีดจิ้งจกได้สองตัว แมนมากเพื่อน

คืนนั้นนอนสบายๆ ไม่ดึกมาก ทริปผู้สูงอายุกับเด็กก็งี้ เสียงเต็นท์กลุ่มใหญ่ใกล้ๆ เมาและแฮปปี้เบิร์ธเดย์กันซ้ำไปซ้ำมา แต่เราหลับง่าย ฟังอยู่ไม่นานก็หลับ เพิ่งมารู้ตอนเช้าว่าเจ้าของสถานที่ไปตักเตือนแล้วสมาชิกในกลุ่มมีด่ากลับด้วยว่าให้ไปเปิดสถานปฏิบัติธรรมแทน ก็น่าน้อยใจแทนเจ้าของแค้มป์ที่พยายามสร้างสิ่งที่ดีงาม แต่ชีวิตก็เป็นแบบนี้ เราให้กำลังใจและบอกว่าประทับใจมาก และจะมาใหม่อย่างแน่นอน

วันที่สอง

เช้าตรู่ เราสี่คนตื่นขึ้นมาแล้วออกไปวิ่งรวม 3.5 กม. ลัดเลาะภูเขาไปจนถึงปากทางเข้าน้ำตกขุนห้วยเทินซึ่งเราจำชื่อไม่ได้ซักที แล้วก็วนกลับ (ที่พิมพ์อยู่นี่ก็ต้องไปกุ๊กเกิ้นชื่อมา) ที่ทางเข้าน้ำตกมีคุณยายที่ extrovert สุดๆ ท่านนึง โฆษณาให้เราเข้าไปเที่ยวที่น้ำตกให้ได้เลยนะ หยุดคุยกับแกอยู่นานเหมือนกัน บรรยากาศและอากาศช่างดีงาม สองข้างทางสวยมากๆ มีคนออกมาวิ่งกันพอสมควรเลย เราคุยกันว่า ถ้าบ้านอยู่แถวนี้ก็คงออกมาวิ่งทุกเช้าเหมือนกัน ข้างถนนช่วงแรกมีลำรางระบายน้ำเล็กๆ น้ำใสอย่างกับทางระบายน้ำในญี่ปุ่นและมีนกหากินอยู่ใกล้ๆ พอเราวิ่งเข้าไปมันก็บินหนีขึ้นฟ้า นกสีขาวตัดกับท้องนาและภูเขาสีเขียวอ่อนแก่ และดอกไม้ที่ถูกปลูกไว้ตรงนั้นตรงนี้ก็ออกดอกแข่งกันอวดความสดใส

สมาชิกหิวโซกลับมา ติดเตาทำอาหารเช้าง่ายๆ กิน ส่วนเราซึ่งยังไม่ออกจากโปรแกรมไดเอตขั้นรุนแรงที่เริ่มมาตั้งแต่ล็อคดาวน์ ทั้ง IF และคีโต จะว่าชีวิตง่ายก็ง่าย จะว่ายากก็.. นิดหน่อยนะ เราไม่กินข้าวเช้า แต่ใช้เวลาเตรียมอาหารเที่ยงไร้แป้งไร้น้ำตาลสำหรับตัวเองไว้ก่อน จากนั้นเราผลัดกันไปอาบน้ำ และกลับมาปลุกปล้ำเก็บเต็นท์ เก็บข้าวของพร้อมเดินทางกัน เต็นท์ยักษ์นี่เก็บและกางไม่ยากเท่าไหร่ แต่อย่างน้อยช่วยกันสองคนจะดี เพราะมันใหญ่มาก ถ้าทำคนเดียว กว่าจะเดินวน มีเหงื่อตกเหมือนกันแหละ อาจจะต้องวิ่งไปอาบน้ำใหม่อีกรอบ

ออกจากแค้มป์เราแวะที่น้ำตกขุนห้วยเทิน สำหรับเราแล้วที่นี่มีความพิเศษอย่างหนึ่ง คือเมื่อหลายปีก่อนเราบังเอิญมาที่นี่ตอนเขากำลังเปิดเป็นที่ท่องเที่ยวพอดี เรียกได้ว่าเป็นวันแรกๆ เลย หน้าน้ำตกชั้นล่างสุดชันประมาณ 60 องศา มีน้ำไหลแรง แต่ตอนนั้นชาวบ้านกลับเดินสวนน้ำขึ้นไปเฉยๆ พอลองเดินบ้างถึงได้รู้ว่า น้ำตกที่แทบไม่เคยมีใครมาเหยียบเลยเนี่ย มันมีพื้นผิวหินที่หยาบมาก มีแรงเสียดทานสูงมากจนไม่มีความลื่นเลย ถึงได้เดินตัวตรงๆ ขึ้นไปได้สบายๆ สำหรับการไปเยือนครั้งนี้ ลองไปเหยียบที่เดิมดูอีกครั้งพบว่าฟริคชั่นหายไปเยอะเหมือนกัน อีกไม่กี่ปีคงลื่นปื๊ดเหมือนน้ำตกท่องเที่ยวทั่วๆ ไปละแหละ

เราสี่คนเดินไต่ขึ้นไปได้ถึงชั้นสองก็วนกลับ เพราะว่าคนเยอะแล้วก็มีคนสูบบุหรี่ ถ้าไม่เจอคนเยอะแบบนี้ ที่นี่น่าไต่เล่นมาก ทางเดินสนุก น้ำแรง มีมุมให้ถ่ายรูปหรือลงเล่นน้ำหลายจุดเลย แต่วันนี้เราเอาเท่านี้พอ ใส่หน้ากากไต่ทางชัน หอบแฮ่กๆ เลยเหมือนกัน

จุดหมายต่อไปคือจุดชมวิวบ้านรักไทย ทิวทัศน์พิเศษของเนินมะปรางที่ไม่เหมือนที่ไหนคือเขาหินปูนสูงชันตัดกับท้องนาสไตล์ภาคกลาง บ้านรักไทยเป็นหมู่บ้านบนที่ราบบนเขา เพื่อนๆ ถามว่าทำไมได้ยินชื่อหมู่บ้านรักไทยบ่อยๆ ในหลายๆ ที่ เท่าที่จำได้ หมู่บ้านชื่อทำนองนี้ จะเป็นหมู่บ้านที่เคยมีปัญหาความขัดแย้งที่ถูกเรียกว่าคอมมิวนิสต์ ทำให้การปราบปรามต้องควบคู่ไปกับการพัฒนาชุมชน หรือเรียกว่าดูแลใกล้ชิดโดยทหาร ก็จะมีการตั้งชื่อหมู่บ้านที่เป็นเอกลักษณ์แบบนี้ แต่ทุกวันนี้หมู่บ้านรักไทยซึ่งฝั่งหนึ่งมีวิวอลังการ ได้กลายเป็นที่พักหลากหลายแนวและคาเฟ่กับร้านอาหาร หลังจากขับขึ้นถนนชันดิ๊กๆ และคดโค้ง ซึ่งพอเพื่อนบอกหวาดเสียว เราก็ได้ทีข่มเลยว่า เคยแว้นมอไซขึ้นมาแล้วนะ (คิดมาถึงตรงนี้ก็ตั้งคำถามกับตัวเองว่า ตอนนั้นทำไปได้ไงฟระ) เราแวะทานมื้อเที่ยงที่ร้านหนึ่งพร้อมชื่นชมวิวพานอรามา ท่ามกลางแสงแดดแผดๆ ยามเที่ยง แนวภูเขา ต้นไม้และท้องนาด้านล่างดูเหมือนโมเดลจำลองที่ทำขึ้นละเอียดยันดีเทลสีสันสดใส คนไดเอตเห็นตู้ไอติมแล้วก็ได้แต่ถอนใจ คิดถึงการเจออะไรก็กิน เจออะไรก็กิน แต่ก็เพราะทำแบบนั้นมาตลอด ทำให้ต้องมานั่งกินข้าวห่อคนเดียวเงียบๆ อย่างทุกวันนี้สินะ

เป้าหมายต่อไปเราจะไปนอนเขาค้อ ที่พักที่จองไว้จะอยู่ช่วงเขาค้อตอนบนๆ เส้นทางที่เรารู้จักคือขับอ้อมไปบนถนนสาย 12 แต่กุ๊กเกิ้นบอกว่ามันลัดไปลงอีกฝั่งได้จากบนบ้านรักไทยเลย ซึ่งจะประหยัดเส้นทางไปได้พอสมควรแต่ประหยัดเวลาได้แค่นิดหน่อยเพราะถนนมันเล็ก เราเลือกข้ามเขาบนเส้นทางใหม่กัน เพื่อความตื่นเต้น ถนนไม่แย่มาก มีถนนดินแดงโผล่มาสองสามแว้บ แว้บละไม่นาน ไม่ถึงกับใจเต้นตุ๊มๆ ต่อมๆ เหมือนบางที่ ทางลงฝั่งนี้มีความชันบ้าง แต่เทียบไม่ได้เลยกับทางขึ้นฝั่งเนินมะปรางที่เพิ่งผ่านกันมา

ที่พักคืนที่สองเป็นรีสอร์ทชื่อภูหมอกวิลเลจ บ่ายแก่ๆ พอไปถึงเราก็ตัดสินใจว่าจะไม่ออกไปไหนกันเลยเพราะมันชิลมาก รีสอร์ทเงียบสงบ มีแขกไม่กี่ห้อง ให้พื้นที่ส่วนกลางที่ดูแลจัดการดีไว้เยอะมากเทียบกับปริมาณห้องพัก เรียกง่ายๆ ว่า ถ้าจะงกเงิน อยากสร้างห้องพักอีกซักสองเท่าก็ยังไหว แต่ไม่ทำ ปล่อยไว้เป็นสวนกว้างๆ กับวิวภูเขาที่เห็นได้ทั้งสองฝั่งจากระเบียงห้องนอนทุกห้อง จากโถงทางเดิน และจากทุกซอกทุกมุมที่ดีไซน์ให้เข้าถึงแสงแดดและวิวภูเขา ช่วงที่แดดยังแข็ง เราเล่นการ์ดเกมกันอีกและเกิดเป็นมุกตลกส่วนตัว เมื่อเจ้าเด็กต้องการให้ผู้ใหญ่ใช้การ์ดช่วยให้หลุดจากการโดนแอทแทคต์แต่ทั้งพ่อแม่และอามันไม่ยอมช่วย น้องคุณเลยร้อง ช่วยด้วย ช่วยด้วยเป็นระยะ พวกเราขำกันว่าถ้าฟังจากข้างนอกอาจจะมีลุ้นโทร.แจ้งตำรวจว่าผู้ใหญ่บ้านนี้ทำร้ายเด็กกันบ้าง

พอแดดเย็นเป็นสีทอง พวกเราลงไปเดินเล่นที่สวน อากาศฝั่งนี้ของเขาค้อเย็นลงกว่าเนินมะปรางอย่างสัมผัสได้ ให้ความรู้สึกเหมือนหน้าหนาวมาแล้วอย่างรวดเร็วแต่ละมุนละไม หมาตาตี่ตัวนึงมาเล่นกับติ๊กอย่างสนิทสนมเหมือนพกมาเองจากบ้านซึ่งติ๊กเป็นด๊อกวิสเพอร์เรอร์อยู่แล้ว การที่หมาแปลกหน้าวิ่งมาศิโรราบไม่ใช่เรื่องใหม่ เจอบ่อยๆ แต่เราซึ่งวางกล้องเรี่ยราด แอบเสียวมันจะคาบโกโปรวิ่งหนีเหมือนกัน อาจจะได้ฟุตเตจสวยๆ ชุ่มน้ำลายแต่ไม่ลุ้นจะดีกว่า

นานแค่ไหนนะที่ไม่ได้นั่งบนสนามหญ้าแบบนี้ เพื่อเฝ้ารอดูแสงสุดท้ายของวันค่อยๆ หมดลง

คืนนั้นแก๊งเราหลับเร็วมาก เร็วแบบ กลัวใช้เตียงไม่คุ้มเหรอเพื่อนๆ

วันที่สาม

เนื่องจากนอนเร็วมาก ปลุกตอนเช้านี่ห้ามอิดออดแล้วนะ เราแต่งชุดวิ่งกัน แต่ขับรถไปจุดชมวิวทะเลหมอก มีคนมาเยอะมากเลย รถงี้จอดกันเพียบ แผงขายของก็คึกคัก เช้านั้นอากาศโปร่งมาก อาจจะลมแรงเกินไปเลยไม่มีหมอก ยืนชมวิวนิดหน่อยตียิมโปเกมอนแล้วก็ไปช้อปปิ้ง เจ้าเด็กน้อยใส่ชุดชาวเผ่าขายของเสียงใส เราซื้อยางรัดผมจากเด็กผู้หญิงตัวน้อยที่พูดจาฉะฉานเหมือนพิธีกรช่องเด็กในทีวี แล้วลองถามว่า นักท่องเที่ยวกลับมาแล้วหนูดีใจไหม เด็กน้อยตอบอย่างฉลาดว่า ดีใจค่ะ แต่ก็ไม่ดีใจมากเพราะโควิดก็จะกลับมาเหมือนกัน ยัยหนูพูดไปพลางก็กดเจลมาถูมือไปพลาง ในด้านของหลานชายช่างช้อปเป็น ได้ของเล่นจากจุดนี้มาสองชิ้นได้แก่กังหันลมสีสวยกับปืนไม้ยิงยางวง ส่วนผู้ใหญ่ได้ผลไม้นิดหน่อย

พอกลับถึงรีสอร์ท เพื่อนๆ ว่าจะไปกินข้าวเช้าเลย เราเลยขอลงที่ปากทางเข้ารีสอร์ทแล้ววิ่งขึ้น เป็นทางชันเล็กน้อย ระยะทางรวม 1 กม. ทำได้ดีกว่าสมัยก่อนเยอะ หวังว่าสุขภาพที่ดีขึ้นจะนำเราไปสู่การผจญภัยใหม่ๆ ที่สนุกขึ้นอีกในอนาคตนะ (ฉันจะไม่ยอมแก่ง่ายๆ เหอๆๆ) จากนั้นก็กลับไปที่ห้องพร้อมหลานชายซึ่งอิ่มข้าวแล้ว อยากไปลองยิงปืนของเล่นชิ้นใหม่มากกว่า เราจึงนั่งทำอาหารเตรียมสำหรับมื้อเที่ยงและช่วยทำเป้าซ้อมยิงปืนไปพร้อมๆ กัน

เราเช็คเอาท์กันประมาณสิบโมง เพราะวันนี้ต้องเดินทางกลับกรุงเทพฯ จึงจะไม่แวะเยอะแยะ เราเลือกที่แวะที่น่าสนใจแค่สองจุด ที่แรกคือกังหันลม ซึ่งเป็นการแก้มือเพราะเราเคยพยายามขึ้นไปแต่ขึ้นผิดทางจนไปเจอถนนพังต้องย้อนกลับมาแล้ว ครั้งนี้ขึ้นถูกทาง แต่ข้างบนคนค่อนข้างเยอะแฮะ ระบบการจอดรถที่จะเอาตังค์อย่างเดียว ทำให้โมโหนิดหน่อย แต่อากาศเย็นสบาย ฟ้าสวยมากๆ ทำให้โมโหไม่ได้นาน หลังจากที่จอดรถ จะมีจุดให้ซื้อตั๋วรถเวียนบริการพาไปเที่ยวด้านในทุ่งกังหันลมซึ่งไม่รู้มีอะไรบ้าง พวกเราไม่ได้ไป แค่เดินเล่นรอบๆ ตรงร้านขายต้นไม้และของฝากก็ได้รูปเพียบแล้ว น้องคุณได้ของเล่นทวนไม้มาอีกอันซึ่งรักมาก ถือตลอดทางกลับเลย (แต่พอถึงบ้านอาจจะกลายเป็นที่ค้ำประตูก็เป็นได้) เขาเรียกทวนแต่เราว่ามันไม่ใช่ทวนนะ มันเป็นดาบกวนอู ใบดาบสั้น ด้ามยาว ไม่รู้เรียกว่าอะไรแน่

สันเขารับลมเต็มที่ ลมพัดแรงดีไม่มีตก ใบกังหันทุกต้นหมุนฟึ่บๆ ตลอดเวลา คงปั่นไฟได้เยอะแยะเชียว แต่คุณค่าทางการท่องเที่ยวน่าจะเยอะไม่แพ้กัน เพราะตรงจุดนี้วิวสวยมาก และคงเป็นที่เที่ยวฮอตฮิตไปตลอด

ได้เวลาอันควรเราก็เดินทางต่อ เป้าหมายต่อไปคือล่องเรือแม่น้ำเข็ก แก่งบางระจัน ซึ่งเราเคยทำสิ่งนี้กันมาแล้วเมื่อสิบกว่าปีที่แล้ว แต่เนื่องจากบริการล่องเรือทำโดยชุมชน เราพยายามหาเบอร์โทร.เช็คว่าเปิดรึเปล่าแต่หาไม่ได้เลย โทร.ไปหลายเบอร์ที่หาเจอในอินเตอร์เน็ตก็ถูกเปลี่ยนมือไปหมดแล้ว เลยตกลงกันว่า มุ่งหน้าตรงไปดูด้วยตัวเองเลย ถ้าได้ล่องเรือก็ล่อง ถ้าไม่ได้ก็อาจจะแวะไปเดินเล่นใน อช.ทุ่งแสลงหลวงแทนก็แล้วกัน

ระหว่างทางพวกเราหยุดกินอาหารเที่ยงที่ร้านอาราบิก้าเขาค้อ ส่วนเราสั่งอเมริกาโน่โนน้ำตาลหนึ่งแก้ว และกินของพกมาเองตามเคย ร้านนี้บรรยากาศดี มีสวนให้เดินเล่นย่อยอาหารที่ดูแลดีสวยงามเลยแหละ

โชคช่างเข้าข้างเรา พอไปถึงแก่งบางระจันสิ่งแรกที่เห็นคือราวไม้ที่แขวนเสื้อชูชีพสะอาดๆ สีส้มสดใสไว้เป็นตับ ชาวชุมชนสองสามคนกำลังง่วนทำงาน พอเราไปถามว่าล่องเรือไหม คำตอบที่ได้คือ เขาเปิดบริการวันนี้วันแรก และพวกเราเป็นลูกค้ากลุ่มแรกตั้งแต่ล็อคดาวน์ที่โผล่มาเอาตอนบ่ายๆ ค่าล่องเรือทั้งหมด 800 บาท จำไม่ได้ว่า คนละ 200 บาทหรือเป็นราคาเหมา ตอนนั้นได้ล่องเรือก็ดีใจลิงโลด ไม่สนอะไรละ รีบเตรียมข้าวของน้ำขนมแล้วลงเรือกัน เราคอมเมนต์ว่าลูกค้าอยากโทร.เช็คก่อนแต่หาเบอร์ไม่ได้เลยค่ะ ผู้ดำเนินการชี้ให้ดูเบอร์ใหม่ที่เขียนไว้บนผนังและบอกว่า เบอร์ที่อยู่บนป้ายไวนิลด้านบนน่ะไม่ใช้แล้ว อันนี้คืออุปสรรคของการดำเนินธุรกิจโดยชุมชนเลย คือเขาคิดว่าเขาก็อยู่ตรงนี้ตลอด แต่คนจะมาเขามาไกลและต้องการเช็คหรือจองก่อนเฟ้ย เข้าใจกันบ้างเซ่

คนพายเรือมีหัวท้าย คุณป้าด้านหน้าบรีฟอะไรให้เราฟังเรื่อยๆ ป่าที่ไม่มีคนมาเยือนนานมาก ดูเงียบสงบแต่ก็มีชีวิตชีวา ขาขึ้นพายทวนน้ำ แดดอัดหน้า เราซึ่งหดหัวอยู่ในหลังคามานานจนซีดขาว จากคนที่ผิวสีน้ำตาลตกกระ ชอบตากแดดเป็นชีวิตจิตใจ กลายเป็นกลัวแดดและแสบผิวง่ายขนาดหนักเลยต้องใส่เสื้อแขนยาวกันยูวีโผล่แต่ลูกกะตาเหมือนจะไปรับจ๊อบตัดอ้อยแล้วกลัวใบอ้อยบาด นกกระเต็นปีกสีฟ้าสดใสโผเกาะบนกิ่งไม้สูงๆ เสียงใบพายแหวกน้ำเบาๆ ตัดสลับกับเสียงลมเสียงป่า นกร้องและจั๊กจั่นกรีดปีก เราถามว่าเดี๋ยวนี้คนลักลอบตัดไม้ยังมีอยู่ไหม คุณป้าว่าไม่ค่อยมีแล้วเพราะ อช.เขาดูแลใกล้ชิด ขอให้จริงนะป้า มองไปหลังทิวไม้ริมน้ำ ดูด้านหลังโล่งๆ เห็นท้องฟ้าง่ายๆ ยังไงชอบกล

สิบกว่าปีก่อนปลายทางของการล่องเรือคือเดินเท้าเข้าป่ารกๆ ไปดูน้ำตก แต่โปรแกรมนี้เหลือแค่ถึงแก่งกลางน้ำที่มีผีเสื้อสวยๆ มากินน้ำที่เต็มไปด้วยแร่ธาตุที่พวกมันชื่นชอบแล้วก็ยูเทิร์นกลับ เราโอเคเพราะเราต้องเดินทางกันอีกไกล ไม่เสียเวลามากก็ดีแล้ว แต่สำหรับการอ้อยอิ่งถ่ายรูปผีเสื้อ เราก็เต็มที่ไปเลยจนหลานบอกพอเฮอะอาแอ้ คุณป้าบอกว่า ให้ลองเอามือจุ่มน้ำเปียกๆ แล้วสอดเข้าที่ด้านหน้าหนวดผีเสื้อช้าๆ เข้าตรงขาหน้า มันจะเกาะนิ้วเลย ลองแล้วเวิร์คจริงๆ ด้วยแหละ ผีเสื้อที่แก่งนี้สวยมาก บางลายไม่เคยเห็นมาก่อนเลยด้วยซ้ำ คุณป้าว่า นักดูผีเสื้อหรืออาจารย์ผีเสื้อเขานิยมมา และเวลานักท่องเที่ยวมาเต็มๆ เขาจะใช้น้ำปู (น่าจะเป็นน้ำปูดอง) มาราดเพื่อเรียกผีเสื้อมาเยอะๆ แน่ะ มีสูตรลับอีก ระหว่างที่อาแอ้ง่วนถ่ายรูปผีเสื้อ หลานชายก็ลุยน้ำเย็นเจี๊ยบกลับไปกลับมาเป็นที่น่าสนุกสนาน เอาจริงถ้าลงได้ทั้งตัวคงยิ่งสนุกแหละ

ขากลับเป็นการล่องตามน้ำ เลยใช้เวลาแค่แป๊บเดียวก็ถึง ติ๊กตาดี เห็นนกเงือกแล้วเรียกให้ทุกคนดู ผู้ใหญ่ได้เห็นหมดทุกคน เสียดายน้องคุณไม่เห็น เพราะเจ้านกได้ยินเสียงคนเอะอะเรียกชื่อมัน มันเลยทิ้งตัวลงแอบซ่อนในดงไม้หนาทึบแทนที่จะบินขึ้น ทำให้มองยังไงก็หามันไม่เจออีก ก่อนถึงที่หมายเล็กน้อย เราแวะวัดซื้ออาหารปลาและเลี้ยงปลาในเขตอภัยทานบนเรือลำน้อยกราบเรือต่ำของเรา ได้เปลี่ยนกางเกงก็เพราะอีตรงนี้แหละ เหล่าปลาคงไม่ได้กินอาหารเม็ดนานสินะ น้องคุณสนุกสนานมาก นั่งหน้าเลี้ยงปลา แล้วปลาผู้หิวโหยก็ยื้อแย่งพื้นที่ผิวน้ำ ดีดตัวสาดน้ำมาข้างหลังใส่อากับแม่มันซะชุ่ม เปียกไม่ว่า ดันเหม็นคาวปลากับอาหารเม็ดด้วยเนี่ยสิ แต่เด็กเมามันมาก

ออกจากแก่งบางระจัน เรายิงยาวกลับกรุงเทพฯ เลย รถติดเป็นระยะตั้งแต่ลพบุรียันปทุม ไม่ได้น่าเกลียดมากเพราะถนนกว้าง ติดแบบไหลๆ แต่ไม่ปรู๊ดปร๊าด และแล้วทริปแรกของศักราชใหม่ก็จบลงอย่างสวยงาม ถึงกทม. ไม่ดึกมาก แต่โคตรเพลีย แล้วก็ตัวรุมๆ อยู่อีก 1.5 วันหลังจากกลับ ไม่รู้ว่ารับเชื้อมาแล้วกำลังสู้อยู่รึเปล่า ถ้าเป็บแบบนั้นก็ชนะแหละ เพราะตอนนี้สบายๆ ชิวๆ และประกาศได้อย่างเป็นทางการว่า อิชั้นตัวจริงฟื้นจากโคม่าแล้วจ้าเวิล์ด..



เที่ยวปายกับทูน – นิวนอม่อน ต่อนยอนเวอชั่น

ทูนจริงๆ ไม่ได้ชื่อทูน แต่เรียกกันแบบนี้มานานแล้ว ก็ฟังดูมีความเท่ห์ มีความเก๋าความโบราณบางอย่าง ทูนเป็นรุ่นน้องอายุห่างกับเราหลายปี แต่ด้วยความปีนเกลียวมันก็ไม่ได้ทำตัวเหมือนรุ่นน้องซักเท่าไหร่ ทูนเองก็คงบอกว่า มึงก็ไม่ได้ทำตัวสมเป็นพี่เท่าไหร่ปะวะ ก็ไม่เป็นไร ไม่ต้องไปตีความมันมาก พูดจากันรู้เรื่อง เล่นมุกแล้วเข้าใจ กินอะไรคล้ายๆ กัน ไม่ได้ชอบผู้ชายคนเดียวกันเป็นอันคบกันได้

หลังปลดล็อคดาวน์ ความผวาที่เกาะกุมหัวใจมาสามสี่เดือนค่อยๆ คลายตัวลงทีละน้อย ใครจะไปคิดว่าจะอยู่มาจนเจอสงครามเชื้อโรคระดับโลก นึกถึงวันที่ยืนพิงกรอบระเบียง มองท้องฟ้าแล้วก็คิดว่า กูจะตายซะก่อนจะได้ออกเดินทาง (อีก) รึเปล่าวะ บันทึก ณ วันนี้ 20 สิงหา 63 สถานการณ์ในบ้านเรายังโอเคอยู่นะ (ได้โปรด) เราออกเดินทางแบบนิวนอร์มัลในประเทศมาสามสี่ที่แล้วตั้งแต่ปลดล็อคทีละขั้นๆ ครั้งแรกที่ได้ออกจากกรง มันเหมือนปลาถุงถูกปล่อยลงมหาสมุทร เหมือนดอกหญ้าในทุ่งที่อับลมอยู่นานกลับได้รับลมพายุแล้วปุยดอกก็หมุนขึ้นสูงไปบนฟ้า เหมือนสะพานไบฟรอสเปิด หรือยิ่งกว่านั้นเหมือนประตูสู่อาณาจักรทั้งเก้ามาเรียงตัวกัน เหมือนสาวคนนั้นที่เต้นระบำในทุ่งหญ้าใน The sound of music  เหมือน.. พอๆๆ

ตอนแรกทูนอยากเดินทางคนเดียว เราแค่แนะนำให้ทูนไปปาย ยามนี้ที่เป็นหน้าฝน ซึ่งปกติก็เป็นหน้าโลว์อยู่แล้ว ยังมาเจอสถานการณ์ที่ไม่มีจีน ไม่มีฝรั่ง มันคงจะโล่งได้ใจ คุยไปคุยมา กลายเป็นทริปสองคนเรียบร้อย ก่อนเดินทางไม่กี่วันเรายังไปบาดเจ็บมาอีก แผลที่ต่ำสุดอยู่ระดับเข่า ทำให้อดแช่น้ำร้อนและแหวกว่ายในแหล่งน้ำธรรมชาติอย่างที่ตั้งใจเลย แต่ถามว่าไปไหม ก็ไป 

วันที่หนึ่ง

ทูนไม่เคยไปปายมาก่อน กับเราที่เป็นแฟนตัวยงเป็นส่วนผสมที่ตลกๆ ดี ต้นเดือนสิงหา เราซึ่งแยกกันเดินทางนัดเจอกันที่เชียงใหม่ในเช้าวันหนึ่ง เรารับรถยนต์เช่าจากร้านในสนามบินด้วยความขลุกขลัก เพราะเกิดการเทคโอเวอร์กิจการกันขึ้น หนุ่มส่งรถในชุดสีเขียวของรถเช่ายี่ห้อหนึ่งเป็นคนรับเรื่องให้เราโดยไม่มีเคาท์เตอร์ แต่มายืนหน้าเคาท์เตอร์ของรถเช่าเจ้าสีฟ้า-ส้มที่ปิดให้บริการอยู่ ในขณะที่เราเช่ารถจากร้านสีฟ้าอ่อน น้องมีป้ายเล็กๆ ที่เขียนว่าตัวน้องเองส่งรถของยี่ห้อฟ้าอ่อน แต่กลับยืนบังป้ายซะมิดชิด

“น้องจะให้พี่รู้ได้ไงว่าต้องติดต่อน้องล่ะค้าบ”

นอกจากเรื่องกว่าเราจะหากันจนเจอมันนานแค่ไหนที่รอเธอมา.. นอกนั้นก็เรียบร้อยดีไม่มีอะไร 

การเดินทางเริ่มต้นขึ้นทันทีที่สมาชิกพร้อมบนรถ เรามุ่งหน้าสู่ปายในอากาศครึ้มๆ ของฤดูฝน เลือกใช้เส้นทางที่ตรงที่สุดคือเส้น 1095 รถราในเชียงใหม่บางตากว่าที่จำได้มากๆ แต่ก็ยังต้องใช้เวลาและความอดทนพอสมควรเช่นเคยกับการเดินทางในระยะวนรอบตัวเมืองเชียงใหม่เพื่อไปสู่แยกแม่มาลัย เพราะถนนที่ราบก่อนขึ้นเขาเส้นนี้ เป็นทางเชื่อมสู่หลายๆ เมือง ทำให้การจราจรขวักไขว่ มีรถราทุกประเภทสมรมกันอยู่ (แต่เราเที่ยวเหนือ ทำไมเราถึงใช้คำว่าสมรมล่ะ)  ถ้าเป็นเวลาปกติ ก็จะเป็นระยะที่ทำความเร็วไม่ได้เลยเชียวแหละ 

สองชั่วโมงพอดีๆ นับจากสนามบิน เราก็มาถึงจุดหมายแรกที่จะแวะระหว่างทาง คือโป่งเดือดป่าแป๋ ที่นี่เป็นแหล่งน้ำพุร้อนไกเซอร์ (หรือเกย์เซอร์ หรือกีเซอร์ก็ได้ แล้วแต่ใครจะเรียก แต่เราเรียกไกเซอร์ตามตำราวิชา สปช.ที่เคยเรียนตอนเด็กๆ) พอแวะจ่ายค่าธรรมเนียมกับเจ้าหน้าที่ก็ต้องประหลาดใจเมื่อพบว่า เราคือนักเดินทางสองคนแรกที่มาเยือน หลังการล็อคดาวน์ เขาเพิ่งเปิดวันนั้นเป็นวันแรก (1 สิงหา 63) โอ้ว ความบังเอิญ และความพรีเมียมนี้ แล้วไม่โทร.เช็คก่อนด้วยนะ ถ้ามาไวกว่านี้วันนึงก็แห้วสิครับ

เราทั้งสองคนเพิ่งเคยมาโป่งเดือดป่าแป๋เป็นครั้งแรก บริเวณให้บริการแช่น้ำร้อนทำไว้ดีมากเลย แต่ยังปิดอยู่หลายบ่อมากๆ มีเปิดแค่บ่อแช่เท้าเท่านั้น ถ้าบ่อเปิดให้บริการทั้งหมด แล้วอากาศดี แดดอ่อนสวยๆ ได้แช่ออนเซ็นในอ้อมกอดภูเขาคงจะฟินซะไม่มี เราสองคนเดินเท้าในเส้นทางศึกษาธรรมชาติไปชมตาน้ำพุร้อนก่อน เส้นทางนี้สามารถเลือกเดินได้ 2 แบบ คือจากป้อมเจ้าหน้าที่แล้วเดินเท้าเข้ามาเลย จะได้เดิน 1.55 กม. แต่แบบของเราคือขับรถเข้ามาจอดบริเวณบ่อแช่น้ำร้อน แล้วเดินเข้าไปชมตาน้ำพุ เส้นทางจะสั้นกว่า แค่ 550 ม. เท่านั้น แน่นอนเราเลือกทางสั้นเพราะว่าบาดเจ็บอยู่ ต่อให้ไม่บาดเจ็บก็ขี้เกียจเหอะ แม่คุณ จะเพราะความหน้าฝน หรือความโควิด หรือสองอย่างรวมกัน ป่าสวยจนน่าตะลึงมาก ทางเดินคอนกรีตที่ยกสูงขึ้นเหนือพื้น ปกคลุมไปด้วยมอสสีเขียวอ่อนสดใส ทูนในวัยสาวแต่งตัวได้เหมือนคุณป้าชาวญี่ปุ่นสุดๆ เราเริ่มรู้สึกว่าทูนกับซีนต่างๆ ที่ได้เจอ ชักคล้ายๆ การ์ตูนจิบลิเข้าไปทุกที

น้ำพุร้อนโป่งเดือด เดือดสมชื่อเพราะอุณหภูมิ ณ ปากบ่อสูงถึงเกือบ 100 องศาเซลเซียส ไอน้ำอวลด้วยกลิ่นกำมะถันลอยสูงขึ้นสู่ยอดไม้ เจือจางแสงสว่างยามใกล้เที่ยงให้ดูฟุ้งๆ ฝันๆ เราเดินไปอังไอน้ำพร้อมบอกทูนว่ามันเป็นเคล็ดลับความงามของชั้น (ถ้าเธอรู้จักชั้นจะรู้ว่ามันไม่เวิร์ค) แต่หลังเที่ยงแล้วไอกำมะถันมันจะร้อนเกินออกไปทางเป็นพิษแล้วจะไม่ดีต่อร่างกาย อันนี้ไปจำมาจากนู่น ตอนไปสุมาตรานู่น ไม่รู้เมืองไทยเหมือนกันรึเปล่ามั่วไปก่อน ทูนบอก เหลืออีกสองนาทีเที่ยง รีบๆ ไปอังเร้วววว

เดินโขยกเขยกออกจากบ่อน้ำพุ ก็ได้เวลาแช่ขา เราต้องแช่อย่างระมัดระวังไม่ให้บาดแผลเก่าใกล้น้ำ ทูนซึ่งเป็นพลขับในช่วงต่อไปต้องระวังไม่แช่นานเกิน เพราะการแช่น้ำร้อนจะทำให้เลือดไหลเวียนดีขึ้นแล้วมันนำไปสู่ความง่วง ไม่รู้ทำไมแหละ แต่แช่ทีไรง่วงทุกทีสิน่า

ออกจากโป่งเดือดป่าแป๋ เรากลับสู่เส้นทางเก่าได้ไม่นาน ก็แวะชมวิวที่จุดชมวิวกิ่วลมแห่ง อช. ห้วยน้ำดัง จุดชมวิวที่นี่คือสวยอลังการเสมอ แถมด้วยอากาศที่เย็นเป็นพิเศษ ไม่ว่าที่อื่นจะเป็นฤดูไหน แต่ที่นี่เหมือนอยู่ในหน้าหนาวตลอดกาล หมอกเย็นๆ ไหลข้ามสันเขาไปมา ทำให้เรารู้สึกอยากวิ่งไปหยิบเสื้อมาใส่ทับ ผู้คนน้อยแสนน้อย และที่นี่เองก็เพิ่งจะเปิดเหมือนกัน เลยไม่มีอาหารที่เรากำลังต้องการกันอย่างจริงจัง สุดท้ายเราหากาแฟเย็นกินลูบท้อง ดูวิวให้มันฝังลงในซีรีบรัมนานพอควร แล้วก็เดินทางต่อ ตั้งใจว่าจะมองหาร้านอาหารข้างทาง แต่ไม่เจอเลย สุดท้ายก็ต้องไปกินที่ปายนั่นเอง

ปายเงียบจัดๆ 

หน้าฝนปกติปายจะคนน้อยอยู่แล้ว แต่ตอนนี้คนยิ่งน้อยไปกว่านั้นอีก เราแวะกินข้าวร้านแรกที่รู้จักและเปิดให้บริการคือบุระลำปายที่สะพานประวัติศาสตร์ ซึ่งในยามนี้มีแค่เมนูง่ายๆ ให้เลือกไม่กี่เมนู แดดออกแจ่มแจ๋จนร้อน ชะเง้อมองเหมือนไม่เห็นพี่แจ๊ค สแปโรว์หัวสะพานที่เคยเจอทุกครั้งที่มาปาย ทูนซึ่งกำลังทำความรู้จักกับเมืองดังแห่งนี้ กลับสร้างความทรงจำของตัวเองแบบที่ไม่เหมือนชาวบ้านเขา

ปายนี่เป็นเมืองเงียบๆ เนอะ

เอ่อ ไม่เงียบนะทูน ปกติคนนี่แน่นไปนู่นนนน เบียดกันแย่งวิวจะตาย

จะบ้าเหรอพิน มันจะไปเยอะแบบนั้นได้ไง ดูซิเนี่ยโล่งซะ จะไปเอาคนจากไหนมาแน่น

เราก็เถียงกันแบบนี้ทั้งทริป

ท่องเที่ยวหน้าฝนเป็นเรื่องของจังหวะ เรามีที่ที่อยากไปอยู่ในลิสต์ วันแรกมาถึงฟ้ายังเปิดเราไปที่ที่ลำบากก่อนเลย เผื่อฝนตกทีหลังจะได้ไม่เสียดายเพราะเก็บไปก่อนแล้ว หลังกินอาหารเสร็จเราไปเช็คอินที่พักที่จองมาก่อนเพียงคืนเดียว เบลล์วิลล่า เป็นรีสอร์ทขนาดใหญ่ที่เราเคยมานอนช่วงหน้าโลว์มาก่อน รักการดั๊มพ์ราคาของที่นี่มาก ครั้งนี้ก็ได้ราคาแบบหน้าโลว์มาอีก เราเลือกพักบ้านเป็นหลังๆ หันหน้าเข้าหาทุ่งหญ้า ทั้งโรงแรมมีคนมาพักแค่สามห้องเท่านั้น สู้เค้านะเบลล์ เราเอาใจช่วย พักผ่อนในบ้านราวเกือบชั่วโมง ก็ได้เวลาออกไปซิ่งกันต่อเลย 

ที่แรกที่จะพาทูนไปคือสะพานไม้ไผ่โขกู้โส่ซึ่งทางขึ้นโหดเอาเรื่อง ทั้งชันทั้งแคบ มีช่วงถนนพังๆ ด้วย เราเคยจะบิดมอไซขึ้นแต่ใจไม่ถึง ต้องรอปีถัดไปเอารถยนต์ขึ้นจนได้ จนมาถึงตอนนี้ก็เรียกได้ว่าสนิทกันดี จำทางได้หมดละ เรามาจากกรุงเทพที่ฝนตกกระหน่ำมาตลอด ก็พบว่าที่ปายนี่ฝนตกน้อยไป ทำให้ทำนาได้ช้ากว่าปกติมาก ความสวยงามของสะพานโขกู้โส่คือนาข้าวเขียวๆ เบื้องล่าง แต่คราวนี้ข้าวไม่เยอะอย่างที่ควร ถึงอย่างนั้นก็แลกกันได้กับความสงบเมื่อแทบไม่มีนักท่องเที่ยวอื่นเลยนอกจากคนไทยกลุ่มเดียวที่พาลูกเล็กเด็กแดงมาวิ่งเล่นอยู่

ในเวลาปกติ สะพานนี้จะถูกดูแลซ่อมแซมอยู่เสมอ แต่ในยามโควิด สัมผัสได้ถึงความกรอบแห้งของพื้นไม้ไผ่เลยบอกทูนว่าให้เดินตามรอยตะปูนะ มันจะตอกลงตงและกระจายสู่คานรับน้ำหนัก อย่างน้อยก็ปลอดภัยไว้ก่อนชั้นหนึ่ง เล่าให้ทูนฟังว่า ฝรั่งมันเดินเท้าเบาแบบคนไทยไม่เป็นนะ ในเวลาปกติ มาที่นี่จะต้องเจอผู้คนเยอะแยะ แย่งวิวกันถ่ายรูป เนื่องจากสะพานไม่มีราวกั้น เวลาสวนกับฝรั่งทีจะหวาดเสียว เพราะมันเดินกระแทกเท้าปั้กๆๆ ลงบนพื้นไม้ไผ่สานบอบบาง ทูนหัวเราะ ไม่เชื่อว่าคนมันจะมาเบียดกันได้ซักแค่ไหนเชียว ดีว่ามีฝรั่งกลุ่มหนึ่งเพิ่งมาถึงก็ขึ้นมาเดินกระทืบเท้าโชว์เป็นตัวอย่างประกอบคำบรรยายทันทีเหมือนโทรเรียกมา

มองไกลๆ เห็นเกษตรกรยังคงไถนาเตรียมแปลง ต้นกล้าสีเขียวเข้มรวมตัวแน่นอยู่บิ้งหนึ่ง รอเวลาปักดำ อากาศฉ่ำฝนอบอ้าว เราบ่ายหน้าลงเขาอย่างสบายๆ สองข้างทางเปลี่ยนไปพอสมควรเท่าที่จำได้ ที่เนินไร่หนึ่งที่บังเอิญมีวิวสวยมาก เราเคยจอดมอเตอร์ไซค์แวะถ่ายรูปบ่อยๆ ตอนนี้มีเรือนไม้ขึ้นโครงไว้เกือบเสร็จแล้ว น่าจะกลายร่างเป็นร้านกาแฟทันทีที่นักท่องเที่ยวกลับมา ถนนเส้นตั้งแต่ปากทางหมู่บ้านแพมบกขึ้นสู่สะพานโขกู้โส่เป็นเส้นหนึ่งที่ขับยากและอันตรายมากในปาย เพราะว่าปกติจะเต็มไปด้วยมอเตอร์ไซค์ของนักท่องเที่ยวและคนท้องที่ ทั้งที่สายแว้นฟ้าประทาน ขับกันอย่างโหด แล้วก็พวกที่ขับง่อกแง่กๆ ไต่เนิน กลางทางยังมีน้ำตกแพมบก ที่ปกติฝรั่งจะลอยตัวเกลื่อนเต็มท้องน้ำ แล้วขึ้นมาขี่มอเตอร์ไซค์ต่อทั้งๆ ที่ตัวยังเปียกๆ รถล้มนี่เป็นเรื่องปกติ เคยมีอยู่ครั้งที่ออกปากเตือนว่ายูอย่าไปต่อเลย หันกลับเถอะ เขาไม่เชื่อแล้วก็ล้มกันคาตาก็เจอมาแล้ว เอาเป็นว่า ไม่แกร่งจริงโปรดใช้บริการรถรับจ้าง หรือขับรถยนต์เองจะดีที่สุด (ไม่ต้อง 4×4 ก็ขึ้นได้จ้ะ แค่ไปช้าๆ มีสมาธิหน่อย)

เรามาถึงกองแลน หรือฝรั่งรู้จักในนามปายแคนยอนก่อนหกโมงเล็กน้อย ทันเวลารอดูพระอาทิตย์ตก ซึ่งฟ้าหลัวซะจนไม่เห็นอะไร แต่กองแลนตอนคนน้อยนี่ชิวมาก กองแลนเป็นแคนยอนที่สูงมาก ทางเดินก็แหม.. มันไม่ใช่ทางให้เดิน แต่คนมันจะเดินอะนะ นึกถึงเวลาปกติ คนขึ้นมามากๆ แต่ละคนก็อยากเดินหาวิวของตัวเอง มันก็เกิดเป็นการไต่สำรวจเกิดขึ้น เราไม่รู้ว่าเคยมีอุบัติเหตุบ้างรึเปล่า แต่การจินตนาการถึงก็ไม่ใช่เรื่องยากเลย กองแลนในตอนนี้ มีผู้คนอยู่บ้าง แต่ไม่หนาแน่น วิวเด็ดชะง่อนผาที่เคยต่อคิวกันถ่ายรูปว่างโล่งๆ ฝรั่งสองสามหย่อม นั่งเก้าอี้ใต้ร่มไม้ ต่างคนต่างก้มหน้าเล่นมือถือกับบรรยากาศสบายๆ เราสองคนขี้เกียจเดินเลยหาจุดที่ลมพัดเย็นๆ ยืนชมบรรยากาศ มีสาวเอเชียสองคนไต่ทางเดินชันๆ ไปมาอย่างคล่องแคล่วด้วยรองเท้าผู้หญิงแบบสวมมีเสริมส้นตึกราวนิ้วนึงอีกต่างหาก อยากรู้ยี่ห้อรองเท้าเลย ตอนที่สองสาวอยู่บนยอดของกองดินลูกข้างๆ เราซึ่งยืนมองอยู่ พบว่ามันสวยมากซะจนออกปากขอถ่ายรูปให้ จากนั้นก็แอดไลน์แล้วส่งรูปให้พวกเธอทางไลน์ ปรากฎว่าเธอเป็นคุณครูสอนภาษาชาวเกาหลีที่อาศัยอยู่ในกรุงเทพฯ มาตลอดตั้งแต่ก่อนมีโควิด ทูนเก่งมาก พูดเกาหลีกับเขาได้ด้วย เราคิดว่าเรื่องภาษานี่ ถ้าเราสื่อสารในหัวข้อที่ต่างคนต่างสนใจ การใช้ภาษาก็จะง่ายขึ้น สรุปพวกนางคุยเรื่องโอ๊ปป้ากันจ้ะ สนใจเรื่องผู้ชายกัน นับว่าเป็นแรงกระตุ้นที่ดีในการเรียนภาษาสินะ

ยามค่ำคืนค่อยๆ คืบคลานเข้ามา เราย้ายตัวเข้าเมือง เป้าหมายคือหาอาหารเย็นและเดินถนนคนเดิน ถนนคนเดินปายที่เคยปิดถนนและหนาแน่นไปด้วยคนซื้อคนขาย ตอนนี้เปิดเพียงร้านที่มีหน้าร้านอยู่ติดถนนเท่านั้น ถนนไม่ได้ถูกปิด แต่ก็มีรถสัญจรน้อยมาก คงเป็นความเคยชินที่เขาไม่ขับรถผ่านเส้นนี้ตอนค่ำกัน เรากินอาหารเหนือที่ร้านดวง อยู่หัวมุมสี่แยก นั่งติดหน้าต่างที่ร้านวางขายมะนาวแป้นพิจิตร นั่งกินไปก็ตะโกนขายมะนาวแป้นช่วยร้านทำมาหากินไปพลาง ฝรั่งหล่อใสๆ คนหนึ่งเดินมาซื้อมะนาวแป้น “ฟอร์มายบิวตี้” ฮีบอกพลางลากปลายนิ้วจากติ่งหูมาถึงลำคอ กินอิ่มหนำแล้วก็ไปเดินเตร่ๆ บนถนนคนเดินที่เงียบเหงา พ่อค้าแม่ค้ายังยิ้มสู้ผ่านหน้ากากลายสวยๆ และบอกว่า นี่ก็เพิ่งกลับมาเปิดร้านกันค่ะ แต่ปลายถนนช่วงที่เป็นเกสต์เฮาส์ฝรั่ง สายเมาสายควันสุมรวมตัวกันอย่างไม่แคร์เชื้อโรคก็มีให้เห็นอยู่หลายร้าน 

คืนนั้นเข้านอนอย่างผาสุก ฝนเริ่มตกจากบางๆ จนเริ่มหนาเม็ดขึ้น น้ำฝนไหลผ่านผนังกระจกบริเวณที่นั่งเล่นสะท้อนแสงไฟเป็นประกาย ที่นั่งตรงนั้นสบายจนอยากแซะกลับไปติดที่บ้าน ต้นไม้ใหญ่ด้านนอกโดนน้ำจนใบเปียกโน้มลงลูบแผ่นกระจกตามแรงลมพัด นักเดินทางนอนไม่ดึก เพราะอยากตื่นไปดูพระอาทิตย์ขึ้นในวันถัดไป

วันที่สอง  

เราสองคนตื่นแต่มืด เราขับรถฝ่าหมอกบางๆ ยามเช้ามุ่งหน้าสู่หมู่บ้านสันติชล จุดชมวิวทะเลหมอกหยุนไหล เป็นจุดที่ต้องขับ (หรือเดิน) ขึ้นสูงจากหมู่บ้าน โดยระยะทางไม่ไกล แต่แคบและชัน แถมยังต้องขับผ่านบ้านของชาวสันติชลหลังแล้วหลังเล่าโดยมีทั้งแผงขายของ ผู้คนเดินเท้าและรถราน่าหวาดเสียว ปกติทุกครั้งเราจะจอดรถแถวศาลเจ้าแล้วขึ้นสองแถวของชาวบ้านขึ้นไป ครั้งนี้ด้วยความนิวนอร์มัล หาข้อมูลมาก่อนพบว่า เนื่องจากนักท่องเที่ยวมีจำนวนเล็กน้อย เขาเลยไม่มีรถสองแถวบริการ ให้ขับขึ้นไปได้เองเลย อาศัยว่าจำทางได้พอสมควรเลยไม่ต้องลังเล อัดขึ้นไปพรวดเดียวถึง ขาสั่นเล็กๆ พอเป็นการให้เกียรติดอย

ข้างบนมืดสลัว ฟ้ายังไม่สว่าง แต่ไฟทางที่เคยเปิดก็มีอยู่น้อยมาก มีคนขึ้นไปถึงก่อนเราแค่ไม่กี่คน แต่อาแปะที่เก็บค่าชม 20 บาทแกก็มาแล้ว เราสั่งโอวัลตินร้อนคนละแก้ว แล้วไปนั่งรอพระอาทิตย์ขึ้น 

เช้านั้นมองจากที่สูงเห็นเมฆหมอกปกคลุมเมืองเบื้องล่าง อากาศชื้นสุดๆ คนค่อยๆ มาสมทบเพิ่มเติม แต่ก็นับว่าบางตามากสำหรับที่นี่ซึ่งปกตินี่เบียดกันถ่ายรูปเลยนะ ความคืบหน้าจากครั้งหลังสุดที่เรามาเยือนคือ ตอนนี้เขามีบ่อปลาคาร์ฟด้วย คือก็สวยดีนะปลาสีส้มๆ ขาวๆ ฝูงโตที่ดูหิวตลอดเวลา แต่แบบ งงๆ นิดนึงว่ามีบ่อปลาคาร์ฟ อยู่ตรงยอดเขาที่ขึ้นมาชมวิวพระอาทิตย์ขึ้นนี่เหรอ มันเกี่ยวกันตรงไหนฟะ พอถ่ายรูปไปซักพักเริ่มรู้สึกว่า เออ จะว่าไปก็เข้าท่าเหมือนกัน ตากล้องเก่งๆ คงหยิบฉวยเอาฉากบ่อนี้ไปถ่ายรูปเจ๋งๆ ได้อีกเพียบ 

ลมพัดหมอกลอยข้ามเขาลูกแล้วลูกเล่า ป้ายวิวพ้อยต์ว่างเปล่า นานๆ จะมีคนเดินไปถ่ายรูปที มีคนเอาโดรนมาขับถ่ายรูปหนึ่งลำถ้วน วันนั้นลมสงบดี คงขับสบาย ก็ดีใจด้วยละกัน (จากใจคนกลัวโดรนจะตก เลยไม่เอามาขับแม่มเลย ซื้อมาใส่ตู้ไว้เฉยๆ)

เจ็ดโมงหน่อยๆ เราก็ลงจากดอย จะกลับไปกินอาหารเช้าก่อนค่อยเช็คเอาท์ เราจะอยู่ปายอีกคืนแต่ด้วยความอยากกระจายรายได้สู่ชุมชน เราเลยจะเปลี่ยนที่กินและที่นอนให้มากที่สุด ก่อนลงสู่ถนน เราแวะสำรวจที่พักอีกแห่งที่ชื่อบ้านดาหลาซึ่งอยู่ระหว่างทาง ลงจากบ้านสันติชลมาไม่ไกลมาก ถ้าอยากขึ้นยุนไหลแล้วขี้เกียจตื่นเช้า ที่นี่เหมาะมากเลย บ้านพักจะเป็นบ้านแฝดที่ไม่รู้สึกรบกวนกันมาก ระเบียงห้องหันไปหาทิศตะวันออกและท้องนาแต่ตอนนี้ที่เราไปยังไม่มีต้นข้าว แต่ถ้ามีต้นข้าวแล้วพระอาทิตย์ขึ้นตรงหน้า คิดดูจะเลิศขนาดไหน บริเวณสวนด้านในจัดไว้สวยงามเขียวขจีไปหมด แต่ทางเข้าถนนพังโหดนิดนึง ไม่ควรจะผลุบเข้าออกบ่อยๆ และไม่เหมาะกับรถโหลดนะจ๊ะ สัญญาณมือถืออ่อนด้วย ค่าที่พักหลักร้อยเท่านั้น สุดท้ายเราไม่ได้พักที่นี่ แต่หมายตาไว้ว่าคราวหน้าจะมานอนซักคืน

ที่เบลล์ เนื่องจากมีลูกค้าแค่ 3 ห้อง อาหารเช้าเลยเป็นการให้เลือกเซ็ตเมนูแล้วทำมาเสิร์ฟ จัดโต๊ะนั่งเดี่ยวหันหน้ามองทุ่งหญ้ายามเช้าจะว่าไปอีโซเชียลดิสแทนซิ่งนี่ก็ชิลไปอีกแบบนะสำหรับพวกอินโทรเวิร์ทอย่างเรา

วันนี้เป็นวันสบายๆ พอกินอาหารเช้าเสร็จ ฝนก็พรำลงมาบางๆ เราสองคนกลับไปเก็บของและงีบอีกเล็กน้อยชดเชยที่ตื่นเช้า เช็คเอาท์สิบโมง แล้วลองไปแวะ Coffee in love ร้านดังไอคอนแห่งปายที่คนแน่นตลอด ไม่เคยได้รับความสงบสุขอะไรทั้งนั้น แต่ครั้งนี้แตกต่าง ร้านโล่งๆ มีหนุ่มฝรั่งสาวไทยจับจองมุมหนึ่งอยู่ก่อน ตาฝรั่งรื่นรมย์เลยเถิดไปหน่อย ร้องเพลงหงุงหงิงไม่ยอมหยุด แต่ไม่นานก็จ่ายตังค์แล้วออกจากร้านไป เรากับทูนตอนแรกตั้งใจจะมาแวะแป๊บเดียว แต่แล้วเราก็นั่งลงที่โต๊ะมุมทำเลทองที่สุดของร้าน สั่งทั้งกาแฟและซอฟต์ครีม แล้วนั่งดูวิวอลังการนั่นแบบไม่มีใครรบกวนเป็นเวลา 1 ชม.เต็มๆ มั่นใจว่าถ้ามาที่นี่อีกหลังโควิดจบลง จ้างให้ก็ไม่ได้แบบนี้อีกแล้วแหละ

ฝนเริ่มหนาเม็ดเหมือนพยายามจะสำแดงเดชว่า พวกเอ็งมาเที่ยวหน้าฝนนะเห้ย เรารู้ดีเพราะเราตั้งใจมาเองแหละ เลยไม่ได้ยี่หระอะไรแล้วเดินทางต่อ ยังมีอยู่ที่นึงที่เราไม่เคยไปเนื่องจากหมั่นไส้ที่ฝรั่งมันจับจองลอยฟ่องกันตลอดเวลา คือโป่งน้ำร้อนไทรงาม ที่ต้องขับไปทางแม่ฮ่องสอนอีกเกือบยี่สิบ กม. ทางเข้าเป็นถนนสายน้อยๆ พุ่งลึกเข้าไปในป่าที่เต็มไปด้วยต้นไม้ร่มครึ้ม ตอนเราไปถึงฝนยังตกอยู่ แต่ต้นไม้สูงใหญ่ใบหนาซะจนเหมือนจะบังฝนให้เราไปครึ่งค่อนได้

ในบ่อและลำธารน้ำอุ่นไม่มีฝรั่ง แต่มีคนมาก่อนแค่แก๊งหนุ่มๆ หัวเกรียนแก๊งเดียวกำลังแช่น้ำอุณหภูมิอุ่นพอเหมาะ น้ำใสปิ๊งอย่างสบายอารมณ์ เสียดายที่สุดที่เข่าดันเป็นแผล ไม่งั้นเรานี่แหละจะไปแหวกว่ายอยู่ในนั้นอีกคน โป่งน้ำร้อนนี้เจ๋งมากจริงๆ น้ำไหลเวียนตลอดเวลา ทำให้สะอาดใส และมีความอุ่นที่กำลังสบาย เหมือนได้แช่สระว่ายน้ำปรับอุณหภูมิพร้อมกับอากาศเย็นๆ รอบๆ ทูนนั่งกางร่มแกว่งขาเตะน้ำ ไม่มีอะไรจะเหมือนคุณป้าญี่ปุ่นในการ์ตูนจิบลิเท่านี้แล้ว เรานั่งเล่นและเดินเล่นรอบๆ จนฝนเริ่มตกหนักขึ้นทะลุใบไม้ลงมาปุปะๆ พร้อมกันกับความหิว ก็เลยออกเดินทางกันต่อ

สำหรับคนอื่นแบ่งปายยังไงไม่รู้ แต่สำหรับเราจะแบ่งปายเป็นโซนๆ ตามประสบการณ์ที่เคยร่อนเร่ไปเจอมา

  1. ปากทาง เข้ามาถึงเจอก่อนเลยคือสะพานประวัติศาสตร์ น้ำพุร้อนท่าปาย ปางช้าง ร้านอาหารกลุ่มบุระลำปาย ที่ขายของฝากเสื้อย่งเสื้อยืด บริเวณนี้มีที่พักหลายแห่ง เป็นที่ลุ่ม จุดเด่นคือใกล้แหล่งน้ำร้อน บางที่พักกาลักเอาน้ำร้อนเข้าไปให้แช่กันถึงห้องด้วย ที่พักไฮโซอยู่แถวนี้ก็เยอะ เดินทางต่ออีกหน่อยก็จะเจอกองแลน
  2. ขึ้นเขาเข้าป่าที่แพมๆ เลี้ยวออกจากถนนใหญ่ เดินทางบนถนนเส้นน้อยผุพังเป็นระยะ จะเจอกับแผ่นดินแยก (สวนที่เกิดแผ่นดินแยกจนทำสวนต่อไม่คุ้ม เลยเปิดเป็นที่ท่องเที่ยวซะเลย) น้ำตกแพมบก สะพานไม้ไผ่โขกู้โส่ ของกินร้านกาแฟมีบ้างประปราย ที่พักในเส้นนี้น่าจะยังมีน้อย
  3. ใจกลาง จริงๆ Coffee in love ไม่ได้อยู่ในเมืองนะ แต่อยู่บนเนิน ก่อนเข้าเมืองไม่นาน ความรู้สึกก็อยากจะรวมร้านนี้เข้าไปกับกลุ่มใจกลางเมืองด้วย บริเวณใจกลางก็จะเต็มไปด้วยที่พัก และร้านรวง มีถนนคนเดิน มีแม่น้ำปายไหลผ่าน วิวแม่น้ำสวยๆ มีทั่วไปหมด มีวินรถตู้ ร้านเช่ามอไซ ฯลฯ มีทุกอย่างยกเว้นที่จอดรถที่ดี ไฟแดงเยอะเวอร์ด้วย  
  4. ทางไปพระธาตุแม่เย็น ออกจากเมืองมุ่งหน้าไปทางตะวันออกเฉียงใต้ อีกฝั่งของแม่น้ำ ด้านนี้จะเป็นเขาสูง มีร้านอาหาร มีที่พักแนวฝรั่งๆ ราคาถูกๆ เยอะ มีท้องนาสวยด้วย ถ้าเป็นเวลาปกติขับรถมาทางนี้ต้องระวังมากๆ เพราะฝรั่งจะเดินเท้าบนถนนไม่มีไหล่ทางกันเป็นปกติ
  5. ขึ้นเหนือเลียบแม่น้ำปาย ถ้าไปทางเดียวกับพระธาตุแต่เลี้ยวซ้ายก่อน จะเป็นเส้นที่เลียบแม่น้ำปายขึ้นไปทางทิศเหนือ กลุ่มนี้จะคนน้อยกว่าบริเวณอื่น แต่ก็มีที่พักหลายแห่งกับร้านกาแฟเหมือนกัน ถ้าขับรถไปจนถึงบ้านตาลเจ็ดต้นแล้ววนซ้าย จะขับเลียบแม่น้ำปายอีกด้านกลับสู่ใจกลางเมืองผ่านด้านหลังของสนามบินด้วย เนื่องจากยังไม่มีที่พักกันสำหรับคืนนี้ เรานำเสนอบริเวณทิศเหนือของปายนี่แหละ เพราะจำได้ว่าเขามักจะทำนากันเป็นทิวสวยมาก 

คิวเราเป็นพลขับ ขับไปก็เหล่ดูที่พักไป เจอที่น่าสนใจอยู่สองสามที่เรียงกัน เรามีเงื่อนไขสำคัญอยู่แค่ข้อเดียวคือขอเตียงทวิน ยังไม่ทันได้ตัดสินใจก็หิวก่อน ตรงตีนสะพานบ้านตาลเจ็ดต้นมีป้ายร้านอาหารเห็นเด่นชัดอยู่สองร้าน เราเลือกได้ร้านหนึ่ง เพราะอีกร้านเขียนชื่อร้านด้วยตัวหนังสือแนวสยองขวัญ (ซึ่งขำกันอยู่พักนึง ขอบคุณนะที่ช่วยสร้างความขบขัน) ทำเลอยู่ริมน้ำ บรรยากาศดีมากๆ ที่นั่งเรียงรายยาวเป็นแถวมีทั้งนั่งโต๊ะ และนั่งพื้นแถมเปลยวน แต่มีลูกค้าอยู่ก่อนแค่โต๊ะเดียว ฝนยังคงพรำๆ ตลอด ช่างน่านอนซะจริงๆ เสียดายรสชาติอาหารไม่ค่อยถูกปากเท่าไหร่ ถ้าให้วิจารณ์ก็คงรู้สึกเหมือนเขาทำอาหารรสอ่อนให้ฝรั่งกินจนชิน อะไรทำนองนั้น

บ่ายนั้นเราเลือกที่พักได้สำเร็จ (ซะที) เป็นลูกค้าห้องเดียวของที่ At Pai พนักงานดูตื่นเต้นดีใจ เราแวะดูอีกที่ใกล้ๆ กันด้วยแต่ไม่ได้เลือกที่นั่น ซึ่งถ้าเราเลือกเราก็จะเป็นลูกค้าห้องเดียวของเขาเช่นกัน นี่เห็นใจมากจริงๆ นะ ยังคุยกันอยู่ว่าแยกกันนอนไหมล่ะ ช่วยอุดหนุนรีสอร์ทละห้อง แต่เราก็งกเงินที่หายากของเราเช่นกัน ก็เลยเลือกแอทปายที่ดูโปร่งตามากกว่า พอเราเข้าที่พักได้ไม่นาน ฝนที่ตกหยิมๆ มาตลอด ก็ตัดสินใจเทกระหน่ำ ทำให้เราปิดทริปของวันที่สองไว้ที่ตรงนี้เลย นอนยาวยันเย็น

ก่อนค่ำเราเพิ่งรู้ตัวว่าลืมที่ชาร์จมือถือไว้ที่เบลล์เลยขับรถกลับไปเอา แล้วขับกลับมารับทูนไปหาอาหารเย็น ฝนไม่เบาบางลง สงสารร้านค้าที่ถนนคนเดิน คงต้องนั่งเหงาไปอีกวัน ค่ำนี้เรากินมื้อเย็นกันที่ร้านอาหารบ้านปาย ซึ่งดูคึกคักกว่าร้านอื่น มีลูกค้าหลายโต๊ะเลยทีเดียว อาหารก็ใช้ได้ แต่จิ้งจกกัดกันดุเดือดมากที่ริมกำแพง นี่กินไปสะดุ้งไปกลัวน้องโดดทแยงมุมมาใส่ ขนลุก

ฝนตกตลอด และไม่มีทีท่าจะบางลง กินอิ่มกลับรีสอร์ท นอน

วันที่สาม

ถึงขามาจะแยกกันเดินทาง แต่เพื่อความสะดวกเราจองไฟลท์กลับไฟลท์เดียวกัน 

บินกี่โมงนะทูน สี่ทุ่มใช่มั้ย

อือ ทูนตอบมา

เนื่องจากฝนตกไม่ยอมหยุดทั้งคืน ตอนเช้ายิ่งหนักเข้าไปกว่าวันวาน เราตัดสินใจลงจากปายกันแต่เช้าเลย ไปลุ้นแดดเอาข้างหน้าก็ได้วะ เจ้าหน้าที่ของแอทปายฝ่าฝนไปหาอาหารเช้าที่รวมอยู่ในค่าที่พักหลักร้อยให้เรากินหลายอย่าง อร่อยด้วย กินจนอิ่มแปล้เลย แล้วเราก็เดินทางกันต่อโดยที่พี่ๆ เขายืนส่ง และอวยพรให้เดินทางโดยปลอดภัย

เราเป็นพลขับผลัดแรก ยิงยาวๆ ลงดอยท่ามกลางสายฝน ถนนมันเลื่อมและลื่นๆ ต้องอาศัยขับลงมาด้วยความชราจึงจะปลอดภัย แวะพักหนึ่งครั้งที่ร้านกาแฟ Coffee We / Witch’s House ซึ่งเห็นทุกครั้งที่เดินทางผ่านเพราะโดดเด่นมากด้วยรูปปั้นธีมแม่มดสีสันสดใส แต่ปกติรถบนถนนจะเยอะ ถ้าไม่ได้วางแผนว่าจะแวะไว้ก่อน จะเลี้ยวจอดไม่ทัน เพราะอยู่ตรงโค้งขณะกำลังลงเขาเลย แต่คราวนี้ถนนโล่งๆ เลยลองแวะดู เป็นที่พักระหว่างทางที่ใช้ได้เลย (แต่ห้องน้ำเดินลำบากนิดนึง อันนี้ความเห็นส่วนตัวจากคนขาเดี้ยง (ที่ขับรถได้) นะ)

เนื่องจากเราสองคนไม่ได้มีแผนอะไรสำหรับวันนี้เลย มีแค่จะพาทูนไปปล่อยกาดวโรรสซื้อแคบหมูกับไปเก็บตกวัดที่ทูนอยากไป เลยลองนำเสนอทูนว่า มีอยู่ที่นึง ปกติต่อคิวกันนานเลยไม่เคยได้เล่น จังหวะนี้แหละวะ เวลาของเรา ไปเล่นจังเกิลโคสเตอร์ที่แม่ริมกันไหม ทูนโอเค นิวนอร์มัลเช็คกิ้งแล้วพบว่ายังเปิดอยู่ ไปก็ไปวะ

ระหว่างทางฝนยังตกอยู่เรื่อยๆ ตลอดเวลา แต่พอถึงแม่ริม มันบางลงหน่อย เจ้าหน้าที่บอกเล่นได้ แต่ถ้าตกเยอะกว่านี้จะไม่ให้เล่น เราสองคนซื้อตั๋วคนละ 150 บาท แล้วก็เดินอาดๆ ไปขึ้นเครื่องเล่นได้เลย ไม่มีคิว ไม่มีลูกค้าอื่นอีก ใช้เวลาทั้งหมดประมาณ 2 นาทีถ้วน สนุกใช้ได้เลย ได้หวีดเบาๆ ไปเหมือนกัน เสียดายฝนตก หน้าเหน้อหัวเหอนี้เปียกไปหมด ทูนอยากเล่นซิปไลน์ด้วย แต่ตัดสินใจไม่เล่นเพราะกลัวจะเปียกไปมากกว่านี้ ได้แต่หมายตาว่าวันหลังจะกลับมาล้างแค้นเล่นให้ครบ แต่แบบไม่มีคิวคงไม่มีอีกแล้วนะเราว่า

เรากินมื้อเที่ยงเลทนิดๆ กันที่ร้านโปรดของเรา โป่งแยงแอ่งดอย หลังจากที่พยายามหาร้านโลคอลเล็กๆ เพื่อจะช่วยอุดหนุน แต่สายป่านคงยาวไม่พอจะลากทะลุฤดูโควิดอันยาวนาน พากันปิดหมด ที่โป่งแยงแอ่งดอยมีลูกค้าหลายโต๊ะ แต่เทียบกับขนาดร้านที่ทำมาเพื่อรองรับลูกค้าจำนวนมากกว่านี้สิบกว่าเท่าแล้วก็รู้สึกว่าคนน้อยมาก เราเลือกนั่งโต๊ะที่มีวิวลำธารกับสะพานข้ามน้ำ น้ำป่าเกิดจากฝนที่ตกต่อเนื่องกลายเป็นสีชานมเย็นไหลแรงโครมคราม นั่งมองพลางก็คิดว่ามันจะจู่ๆ โครมลงมาแล้วลากเอาตูไปด้วยไหมวะ

อิ่มหนำแล้ว คิวทูนขับพาเรามุ่งหน้าไปพระธาตุดอยคำ ซึ่งสำหรับตัวเราเองสักการะวัดวาด้วยกล้องและเลนส์ซะมากกว่า ท่ามกลางฝนปรอยๆ ถ่ายรูปไปก็ไม่สวย เลยตั้งหน้าตั้งตาตียิมโปเกมอนบนวัดพระธาตุดอยคำ ปล่อยให้น้องไหว้พระไป ตัวพี่ก็ทำร้ายสัตว์อย่างเมามัน ตีมันแล้วขังมันไว้ในบอลของเรา ยึดยิมมันด้วย ให้เหลืองไปทั้งดอย ฮ่าๆๆ 


เวลามีพอ เลยได้แวะวัดพระธาตุดอยสุเทพอีกแห่ง ระหว่างทางมีคนปั่นจักรยานขึ้น มีคนเดินขึ้นด้วย เราประหลาดใจ แต่ดูแล้วเหมือนเป็นสิ่งปกติของคนแถวนี้ เราเคยมาที่นี่แล้วตอนที่คนแน่นขนัด มาครั้งนี้ถึงกับลืมจับโปเกมอนไปเลย เพราะว่าวัดพระธาตุดอยสุเทพในวันที่หมอกลงจัด และมีผู้คนมาเยือนน้อยนิด ช่างสวยงามและสงบอย่างเหลือเชื่อ เป็นประสบการณ์พิเศษที่ขอบคุณตัวเองจริงๆ ที่ได้มาเห็น และขอบคุณทูนด้วยเพราะทูนเป็นคนที่อยากมา เจ้าหน้าที่หนุ่มน้อย เอาไม้ม็อบรีดน้ำค่อยๆ ดันน้ำออกจากพื้นอย่างเป็นจังหวะ ผู้มาสักการะเดินประทักษิณารอบๆ องค์เจดีย์ดูเลือนลางในหมอก ซึ่งยังทำให้เสียงกระดิ่งระฆังที่แหวกความเงียบนานๆ ครั้ง บางเบาลงกว่าปกติ ฝนยังคงโปรยเม็ดบางๆ และทุกอย่างเปียกชื้นไปหมด แต่กลับรู้สึกสบายๆ ออกจากองค์เจดีย์ เดินรอบๆ บนพื้นที่ลื่นมาก ต้องใช้ความระวังเต็มที่ วิวเมืองที่เคยยืนมองแน่นอนว่าขาวโพลนไปหมดแล้ว ถึงเวลาเย็นย่ำมากแล้วก็ต้องลงดอย แต่วันนั้นยังไม่อยากเลยจริงๆ  

ขาลงเราสลับมาขับ เพราะไม่อยากซื้อของอะไรกลับ เลยจะปล่อยทูนที่กาดวโรรส แล้วไปวนหาที่จอด นี่เป็นโปรโตคอลที่ดีในยามปกติ แต่ลืมไปว่าช่วงนี้อะไรๆ ก็กลับด้านกันหมด กาดจวนปิดแล้วตอนเราไปถึง และที่จอดก็หาไม่ยาก เลยจากจุดที่ปล่อยทูนลงนิดเดียวก็มีช่องให้จอด ที่ที่เคยคึกคักกลายเป็นเงียบเหงาชวนให้อ่อนใจอยู่เหมือนกัน เราชอบกาดวโรรส รักเอเนอร์จี้ของที่นี่ นอกจากอาหารดีๆ แล้ว เราชอบที่เราซอกแซกจนรู้ว่าก้นตลาดมีร้านขายดอกไม้ไฟเจ๋งๆ อยู่หลายร้าน ชอบร้านดอกไม้ด้านติดถนนฝั่งแม่น้ำที่คงเจอนักท่องเที่ยวมาเป็นล้านๆ คนแล้ว ก็เลยโกรธและโวยวายถ้าเราไปถ่ายรูปดอกไม้เขาโดยไม่ซื้อ ชอบร้านกาแฟวาวีริมปิงและไปรษณีย์ที่อาศัยจอดรถได้ (20 บาท) ยามที่กาดคึกคัก ก่อนมาเอารถแวะไปซื้อสแตมป์ได้อีก ตอนนี้ทุกอย่างเงียบสงบหมด เงียบจนอินโทรเวิร์ทต้องออกปากว่าเหงาจัง

ทวนกันแล้วว่าไฟลท์สี่ทุ่ม เราสองคนกะไปถึงสนามบินสองทุ่มสวยๆ เลยไปนั่งกินข้าวรอเวลาที่ร้านสวนผัก ซึ่งแน่นอนว่าโล่งๆ บรรยากาศเงียบสงบ กินไปนั่งคุยกันไปจนได้เวลาก็เดินทางไปสนามบิน เติมน้ำมันพร้อมคืนรถอย่างราบรื่น ยะทุกสิ่งแบบต่อนยอนๆ สมกับสถานที่ จนพบว่า แค่สองทุ่มต้นๆ เอง เคาท์เตอร์เช็คอินก็ขึ้นว่าปิดว่ะ ทำไมวะ

เราสองคนก้มหน้ามองมือถือของใครของมันพร้อมกัน ไถๆๆๆ ไปดูตารางบิน

ชิบหาย จำเวลาผิดพร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย ของจริงบินสามทุ่ม!

หลังจากหายตกใจแล้วก็ขำยาวๆ ขำมากๆ ขำไปเดินไปช่องขายตั๋วของเวียดเจ็ตที่มีไฟลท์ดึกเหลืออยู่ไฟลท์นึง พบว่า ซื้อหน้าเคาท์เตอร์ราคาแพงกว่ารถทัวร์นิดเดียว แล้วก็เพิ่งรู้ว่า คนเราเดินมาซื้อตั๋วเครื่องบินแล้วก็บินเลยได้ด้วยว่ะ 

จากนั้นเราก็ต่อนยอนๆ ไปนั่งรอหน้าเกตด้วยตัวเปียกชื้น บินกลับมาช้ากว่าแผนเดิม 1 ชั่วโมง โดยไฟลท์ที่ขึ้นนี้ บินเร็วกว่าตารางครึ่งชั่วโมงด้วยกัน (ซิ่งจุง) และนี่คือบันทึกความโล่งของการท่องเที่ยวในยุคโควิด สบายดีเหมือนกัน แต่จะให้ดีกลับมาเป็นแบบเดิมเร็วๆ ก็จะดีมาก สงสารคนทำมาหากินจะแย่แล้ว

สู้ๆ นะทุกคน เราจะผ่านมันไปให้ได้นะ

มองโกเลีย – ทะเลทรายโกบี #๒

เช้าวันต่อมา เราตื่นราวหกโมงครึ่ง นอกหน้าต่างยังขาวโพลน แต่หิมะหยุดตกแล้ว หิมะตอนเช้าหลังชีวิตผู้คนเริ่มต้นสัญจร ตรงกลางถนนละลายกลายเป็นโคลนแหยะๆ แต่บริเวณรอบๆ ยังขาวสวยดูนุ่มฟูอยู่ ต้นไม้พญาไร้ใบรอบๆ โดนหิมะตกปกคลุมกลายเป็นช่อขาวๆ เหมือนแตกดอกออกใบชั่วข้ามคืน
เราบอกปูว่า ขอวิ่งออกไป Circle K ซักหน่อย อยากซื้ออะไรเพิ่มนิด และจะดูอาหารเช้าด้วย คืนนั้นก่อนเรานอนอากาศลดถึง -๑๑ องศา และลงต่ำไปถึง -๑๔ องศาในกลางดึก ตอนเช้าอุณหภูมิวิ่งไปมาระหว่าง -๑ ถึง ๑ องศา ตรงโถงบันไดทางลงตึก มีคนจรจัดนอนหลบหนาวอยู่ จะเรียกว่ารอดตายไปอีกคืนเพราะมีคนเปิดประตูทิ้งไว้ก็คงไม่ผิด คือก่อนนอนตอนเราวิ่งลงไปถ่ายรูปเล่นรอบสุดท้าย ประตูเหล็กถูกเอาก้อนหินดันให้เปิดค้างไว้ เราสองคนไม่กล้าปิดเพราะคิดว่าคนที่ตั้งใจเปิดไว้อาจจะมีเหตุผล เข้าตึกไม่ได้สำหรับบ้านเราอาจจะแค่หงุดหงิด แต่สำหรับค่ำคืนที่หิมะกระหน่ำเหมือนในนิทานเด็กน้อยขายไม้ขีดที่ตายอนาถตอนจบ อาจจะมีคนเดือดร้อนจริงๆ ก็ได้


ตอนแรกเกิดลังเลไม่กล้าเดินผ่านคนจรจัด เพราะชานบันไดมันแคบ เขาตื่นมาเห็นเลยขดตัวให้เล็กลงอีกแล้วโบกมือให้เดินผ่านไป

เมื่อเปิดประตูเหล็กบานหนาออก ก็พบกับลมที่พัดแรง ลากเอาละอองหิมะฟุ้งกระจาย สูดลมหายใจเข้าไปมันเยือกเย็นลงไปในอกจนต้องยกปกเสื้อขึ้นปิดจมูก หิมะเกาะกิ่งก้านแห้งๆ ของต้นไม้ ดูเป็นปุ้มๆ เหมือนทำขนมสายไหมแล้วลืมใส่สี หรือไม่ก็ใครซักคนตีฟองผงซักฟอกมากเกินไป เห็นแล้วอยากเอานิ้วจิ้มให้มันแตก วีดีโอคอลหาเพื่อน กรี๊ดกร๊าดได้นิดหน่อย เพราะว่าทางเท้ามันกลายเป็นโคลนเมือกๆ กรี๊ดมากถ้าร่วงไปกองจะลำบากไปทั้งทริป เพราะมีโค้ทอยู่กับเขาตัวเดียว

ใน Circle K ผู้คนเยอะแยะตั้งแต่เช้า เราสำรวจอาหารแล้วโทร.ไลน์หาปูว่าจะซื้ออาหารเช้าอะไรไปฝากดี ปกติปูไม่กินเนื้อวัว และที่เรากั๊กไว้ยังไม่เล่าคือ มองโกเลียเป็นประเทศที่กินเนื้อหนักมาก กินทุกเนื้อ กินเอาอิ่ม กินต่างข้าว และในทางกลับกัน ไม่ค่อยมีหมูกิน ไก่ก็เป็นของแรร์ หายาก
เรารู้ว่าตอนไปอยู่ทะเลทราย ปูคงต้องโดนเนื้อเข้าบ้าง แต่ก็พยายามลดความน่าจะเป็นให้มันน้อยที่สุด ส่วนของอีนี่ไม่มีกฎเกณฑ์อะไรในชีวิต เลยจัดฮอตด็อกเนื้อ Circle K เป็นอาหารเช้า (ติดเค็มไปนิดแต่อร่อยมาก) ส่วนของปูหาได้แค่แซนวิชทูน่าอย่างเดียวเท่านั้นที่ไม่เนื้อ เราสองคนเก็บอาหารไว้กินบนรถตอนออกเดินทาง

เราผลัดกันอาบน้ำสระผมอย่างสะอาดเพราะรู้ชะตาว่าเราจะไม่ได้ข้องแวะกับน้ำอื่นใดนอกจากน้ำดื่มสักพัก เก้าโมง หอบร่างไปที่สำนักงาน ยังคงไม่มีใครรับเงินค่าทัวร์เรา และคุณผู้จัดการทัวร์ก็ยังไม่อยู่ แต่เราก็ได้พบกับอีไกด์ของเรา กับตาคนขับรถในตอนนั้น ผู้ชายสองคนที่จะใช้ชีวิตอยู่กับเราตลอดเป็นเวลา ๕ วัน ไกด์เป็นผู้ชายตัวโต สูงและตัวอวบๆ หนาๆ หน่อย ฮีแนะนำตัวด้วยภาษาอังกฤษสำเนียงอเมริกันอย่างเลิศ ว่าชื่อบิล ส่วนคนขับรถพูดอังกฤษแทบไม่ได้เลย หน้าตายิ้มแย้ม บิลบอกเราว่าเขาชื่อโลยา (ออกเสียงคล้ายๆ ลอว์เยอร์ เราเลยจำชื่อเขาได้ทันที) สมาชิกในเกสต์เฮาส์ ยิ้มแย้มส่งเรา บิลกับโลยาตุ้มๆ เอากระเป๋าเราสองคน ลงบันไดไป
คนจรที่นอนชานบันไดหายไปแล้ว

รถที่จอดรอเราอยู่เป็นรถตู้รัสเซียคันโตหน้าตาอินดี๊อินดี้ ล้อสูงกว่าเข่าตูอีก (รถสูงมากเหรอ อ๋อเปล่า อีนี่เตี้ย) เห็นแล้วรู้เลยว่า ยกเว้นบินกับดำน้ำ อีรถคันนี้ต้องไปได้หมดเกือบทุกหนแห่งแถมยังถ่ายรูปขึ้นสุดๆ แต่ถึงกระนั้นตอนนั้นก็ยังนึกถึงแสนยานุภาพของรถคันนี้ไม่ออก
เราเดินอุ้ยอ้ายฝ่าลมแรงที่พัดเอาหัวกระเจิงเปิดเปิง พร้อมก้อนหิมะที่กระจุยกระจายจนกะไม่ถูกว่าฝนตกลงมาอีก หรือว่าละอองน้ำอะไรวะ กระเป๋าถูกเก็บไว้ท้ายรถ แล้วเราก็ถูกต้อนขึ้นไปบนรถที่จะเป็นเคหะสถานคุ้มกะลาหัว พร้อมทั้งย้ายตูดเราไปทุกที่เท่าที่อีตาสองคนนั่นจะพาเราไป

โลยาประจำที่พวงมาลัยซ้าย บิลนั่งหน้าขวา
เบาะที่นั่งแถวละ ๔ ที่สำหรับลูกค้ามีสองแถวหันหน้าเข้าหากัน แต่ชีวิตจริงถ้านั่ง ๔+๔ คงจะแน่นมาก ไหนจะไหล่เกยกัน ไหนจะเสื้อโค้ทรองเท้าบู๊ทอีก เรากับปู นั่งคนละเบาะหันหน้าไปทางเดียวกับคนขับ ที่นั่ง ๒ ที่ที่หันหลังชนกับคนขับมีกระเป๋ากับถุงนอนกองสุมอยู่ พอล้อหมุน เราก็เริ่มแกะอาหารเช้าออกมากิน
แล้วรถก็.. ขยับไป.. ได้ช้ามาก แม่ง.. รถโคตรติด

เราตื่นตาตื่นใจกับการจราจรเช้าวันเสาร์ที่หิมะปกคลุมอูลานบาตาร์จนขาวโพลน เจ้าของรถยนต์หลายๆ คันคงแงะหิมะออกจากรถพอให้เห็นทางข้างหน้าโดยไม่แยแสกระจกหลัง ถึงได้ขับกันมาทั้งๆ ที่โดนหุ้มด้วยหิมะเกือบทั้งคัน ตาบิลบอกว่า เดี๋ยวเราแวะซื้อของที่ตลาดแป๊บ เป็นเสบียงห้าวันของพวกเรา ใช้เวลาซักครึ่งชั่วโมงได้ กับการแค่ขับไปตรงๆ ไม่มีซอกซอยเป็นระยะทางไม่เกิน ๙ กม. เราก็ถึงตลาด


เราสองคนลงจากรถเดินตามบิลกับโลยาเข้าประตูเล็กๆ หนักๆ ไปสู่ด้านในอาคารที่อบอุ่น ร้านขายของด้านในเป็นร้านเอกชนต่างคนต่างขาย มีขอบเขตร้านชัดเจน หน้าร้านส่วนมากเป็นกระจกหรือไม่ก็เปิดโล่ง โดยรวมสะอาดเรียบร้อยมากๆ สุดๆ ในความเงียบสงัด เสียงผู้คนพูดคุยซื้อขายกันอย่างเบาๆ ท่อเหล็กเดินรอบๆ ปล่อยความอบอุ่นจางๆ ออกมา ตาบิลบอกเราว่าจะซื้อขนมอะไรไปกินเองก็จัดไปนะ เราสองคนซื้อน้ำหวาน น้ำอัดลมนิดหน่อย


อยู่ๆ ตาบิลก็เดินถือถาดไข่สดถาดใหญ่มา แล้วยัดใส่มือปู บอกว่าช่วยถือหน่อยนะ เรารู้สึกจิ๊ดนึงนะ แบบว่ามึงเป็นไกด์ ใช้ลูกทัวร์ถือของได้ด้วย? แต่ก็ไม่ติดใจอะไรเลย คิดว่าดีออกทัวร์กันเอง เหมือนเที่ยวกับเพื่อนไง มีอะไรก็ช่วยๆ กัน หลังจากนั้นเราไปซื้อส้ม ที่ไม่เจอที่ไหนอีกเลยตลอดการเดินทาง ตาบิลค่อยๆ เข้าร้านนั้นออกร้านนี้ พิจารณาเลือกซื้อเสบียงอย่างถี่ถ้วนสุดๆ เราพบโลยากำลังเดินไปห้องน้ำด้านหลังตลาด ซึ่งเราก็กำลังวนเวียนหาอยู่ เลยตามไป ห้องน้ำมีค่าเข้านิดหน่อย ท่อเหล็กร้อนเดินตามผนังทำให้ในห้องน้ำรู้สึกอบอุ่นเป็นพิเศษ ตอนนั้นเราเข้าห้องน้ำกันไปด้วยความต้องการตามธรรมชาติ แต่ไม่ได้สำนึกรู้เลยว่า กว่าจะได้เจอห้องน้ำปกติธรรมดาแบบนี้อีก มันนานขนาดไหน

Road Trip

เราพบว่าการเดินทางถ้าจะให้ดีมันต้องมีแผ่นแปะ ไอ้อาการปวดหลังออฟฟิศซินโดรมนี่มันกัดกินนักเดินทางมาหลายปีละ เพราะนักเดินทางนั่งทำงานออฟฟิศมากว่าทศวรรษ การเดินทางครั้งนี้ รับประกันความชิว เพราะว่านักเดินทางเอาแผ่นร้อนตราเสือขนาดใหญ่สุดมาเพียบเลย เยอะกว่าจำนวนวันซะอีก สำหรับโร้ดทริปวันแรกก็แปะแผ่นก่อนออกมาแล้ว อุ่นสบาย แถมยังสามารถไถแผ่นหลังไปบดเบียดกับพนักพิงเพื่อเร่งความร้อนของแผ่นแปะได้ตามสั่งอีกด้วย

พอล้อหมุนของจริงได้ไม่นาน การจราจรก็บางตาลงเรื่อยๆ เมื่อเราเลี้ยวหนึ่งครั้ง ออกจากชานเมืองได้สำเร็จ ถนนก็เริ่มมีรถไม่มากนัก ไม่ว่าจะทางเดียวกับเราหรือสวนทาง หรืออาจจะเป็นเพราะว่าลมหิมะมันพัดตึงๆ จนมองอะไรไม่เห็นก็เป็นได้ เราเพ่งมอง เห็นรถที่สวนมาแค่ไฟหน้าที่เปิดจ้า นอกนั้นก็แทบมองไม่เห็น เราสองคนแทนที่จะกลัวหรือกังวล หรืออะไรก็ตามที่จะเป็นการให้เกียรติพลังธรรมชาติหน่อย แม่งไม่มีอะ ตื่นเต้น กินไปถ่ายรูปไป เดี๋ยวขึ้นเบาะเดี๋ยวลงเบาะ (อันนี้ตูเป็นอยู่คนเดียว รถทหารแบบนี้โขยกเขยกหนักมาก ถ้าอยากถ่ายรูปดีๆ บางทีต้องลงไปคุกเข่ากับพื้นรถจะช่วยได้นิดหน่อย)

ธรรมชาตินี่ช่างงดงามและทรงพลัง ภูเขาถูกฉาบด้วยสีขาว ม้าฝูงเริ่มมีให้เห็น มันยืนนิ่งๆ คงรอให้ยามลำบากนี้ผ่านไป นักเดินทางปลื้มถนนช่วงนี้ ชอบมากๆ ทั้งสวยทั้งน่าหวาดเสียวถนนขี้เป๊อะลื่นแป๊ด รถแต่ละคันประคองตัวไปกันอย่างช้าๆ มีไฟหน้าเท่าไหร่เปิดเต็มที่ เพราะต่างคนต่างก็มองอะไรไม่ค่อยจะเห็น อย่างน้อยให้คนอื่นเห็นเราก็ยังดี

เราเห็นรถตกข้างทาง ๒ เคส มีรถลากมีเจ้าหน้าที่ฝ่าแรงหิมะออกมาดูแลกันแล้ว จากนั้นราวหนึ่งชั่วโมงหลังล้อหมุน ฟ้าด้านบนเริ่มเป็นสีฟ้า ไม่รู้ลมกับหิมะที่โปรยปรายสลายหายไปไหน เราเริ่มเห็นทางข้างหน้าชัดขึ้น เช่นเดียวกันกับสองข้างทางอันเวิ้งว้าง สุดลูกหูลูกตา

ทิวทัศน์ต่อมาเป็นช่วงสั้นๆ ที่เราโปรดปรานสุดๆ คือเป็นช่วงที่ไม่มีหิมะก้อนๆ ปลิวว่อนแล้ว มีแต่ภูเขาราดไอซิ่งขาวๆ แดดบด และฟ้าสีฟ้าผลุบโผล่อยู่ข้างหลังเมฆเลือนๆ มันเป็นส่วนผสมที่ประหลาดสุดๆ มองดูแล้วเหมือนไม่ได้อยู่บนดาวโลก

ก่อนฟ้าจะเปิด เหมือนกำลังอยู่ตรงปลายๆ ของก้อนลมและหิมะ เราก็แวะจอดที่หัวโค้งหนึ่ง ซึ่งมีระดับสูงขึ้นกว่าถนนโดยรวมนิดหน่อย จะเรียกว่าเป็นโค้งและเนินน้อยๆ ก็คงจะได้ ลมแรงมากที่สุด ทั้งทริปไม่เจอตรงไหนอีกแล้วที่ลมแรงและหนาวหนักขนาดจุดนี้ ตาบิลบอกว่า เป็นจุดพักรถของนักเดินทาง แต่เราก็ยังไม่ได้ออกเรี่ยวออกแรงอะไรถึงจะต้องได้สิทธิ์พัก แต่ได้ลงไปวิ่งเล่นก็ดีใจ เรามีถุงมือดีๆ นะ แต่วันแรกๆ ยังลืมหยิบตลอด มือไร้ถุงมือมีชีวิตอยู่นอกกระเป๋าโค้ทได้แค่ไม่กี่วิ ต้องรีบกดชัตเตอร์แล้วซุกเข้ากระเป๋าทันที ปูวิ่งลงมาแล้ววิ่งกลับไปเอาถุงมือบนรถอีกรอบ
ตาบิลตะโกนแข่งเสียงลมอธิบายเรื่องหินนักเดินทางก่อนเดินวนรอบกองหินสามรอบ กองหินนี้นักเดินทางจะหยิบก้อนหินจากพื้นที่ด้านนอก มาสามก้อน แล้วเดินวนกองหินสามรอบ ไม่แน่ใจว่าบังคับด้านวนเหมือนเวลาเราประทักษิณาเวียนเทียนรึเปล่า แต่ละรอบจะโยนหินที่เราถืออยู่เข้าไปในกองหนึ่งก้อน เป็นการขอพรให้การเดินทางราบรื่นปลอดภัย
เราหมายตาไว้ว่าจะทำบ้าง แต่ตรงนี้ไม่ไหว หนาวไปมากโว้ย

หมายเหตุ : รูปหมาที่ถ่ายมานี่ไม่เห็นนะว่ามีแม่หมาอยู่ด้วย เห็นแต่ลูกหมาเล่นหิมะอยู่ คือลมแรงมาก ลืมตาเต็มๆ แทบไม่ได้เลย

หน้าหนาวอันขาวโพลนกำลังจะจากไปอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว มัวแต่อินหิมะมาข้ามคืน อาจจะหลงลืมไปแล้วว่า นี่ตูมาทริปทะเลทรายนะนี่นะ คิดถึงทรายทรายก็มา จากละอองหิมะสีขาวที่ฟุ้งอยู่ในอากาศ อยู่ๆ ก็เปลี่ยนไปกลายเป็นละอองสีน้ำตาล ได้ยินเสียงแสกๆ ของเม็ดทรายที่ปะทะกระจกรถตามแรงลมจะหอบมา เรายังคงเห็นริ้วขาวๆ ของหิมะที่ตกค้างตามเนินทรายและกระจุกต้นหญ้า แต่ก็เริ่มบางตาลง เผยให้เห็นพื้นที่แท้จริงของบริเวณรอบๆ ที่เป็นดินทรายสีน้ำตาลแดง ฝุ่นทรายทำให้ท้องฟ้าที่เราเห็นกลายเป็นสีเบจ จางบ้างหนาบ้างตามแต่สายลม เราเริ่มเห็นฝูงสัตว์มากขึ้น พวกมันก้มหน้าก้มตาแทะเล็มอะไรสักอย่างบนพื้นดินแดงว่างเปล่า ในสายตาเราเหมือนมันกำลังอุปาทานหมู่เดินขยับปากอย่างไร้ความหมายกันเป็นฝูงๆ

ประเทศมองโกเลียเป็นประเทศที่กว้างใหญ่มาก ภูมิประเทศก็ช่างเวิ้งว้าง ผู้คนสัญจรด้วยยานพานะอะไรสักอย่างระหว่างรถยนต์ดีๆ กับขี่สัตว์ มอเตอร์ไซค์มีให้เห็นบางตา เราเจอคันนึงฝ่าพายุทรายอยู่อย่างทรหด ช่วงพายุทรายนี้ (เอาจริงๆ คงไม่ถึงขั้นพายุ แต่สำหรับเราก็ขอเรียกให้เวอร์ๆ ไว้ก่อน) เราไม่ค่อยชอบ มันไม่สวย และออกไปทางน่ากลัว (ทีหิมะลื่นๆ ล่ะไม่กลัว) ดูจากภาพอาจจะเหมือนว่าร้อน แต่ความจริงยังคงหนาวเหน็บไม่เปลี่ยนแปลง

คณะของเราแวะทานมื้อเที่ยงที่เลทไปมากที่เมืองแห่งหนึ่งในเวลาบ่ายสาม เพิ่งเอาพิกัดไปค้นชื่อตะกี้พบว่าเมืองชื่อ Mandalgovi ถ้าค้นใน Google map จะรู้สึกว่าเป็นเมืองใหญ่ ถึงขนาดมีสนามบินด้วยนะ เมืองนี้อยู่ห่างจากอูลานบาตอร์ ๓๐๐ กิโลเมตรเป๊ะๆ ซึ่งเราใช้เวลาเดินทางปาไป ๕ ชั่วโมง นับจากตอนแวะซื้อของสด โดยแวะแค่ที่เดียวแป๊บเดียวเท่านั้นตรงจุดพักรถ

บรรยากาศเมื่อลงจากรถ ลมแรงมาก และยังหนาวจัด ลมพัดมามีแต่ฝุ่นทราย เข้าหูเข้าตา ทุกคนรีบพุ่งเข้าไปในร้านอาหาร ผลักประตูหนักๆ ปิดไว้เบื้องหลัง ถนนหน้าร้านอาหาร ร้าง ต้องใช้คำนี้ถึงจะเหมาะ มันเงียบกริบ ไร้ซึ่งสัญญาณการมีอยู่ของผู้คน อาคารแต่ละหลังไม่มีเล่าเต๊ง บ้างวัสดุฉาบกะเทาะเผยให้เห็นเนื้อปูนข้างในเว้าๆ แหว่งๆ ต้นไม้พญาไร้ใบยืนต้นโกร๋นสู้ลม โชว์กิ่งก้านฟอร์มสวยแต่ดันทำให้บรรยากาศดูหลอนเข้าไปอีก เราคุยกับปูว่า นี่แม่งฉากหนังทริลเลอร์ชัดๆ ที่ตัวเอกหลงทางมาเจอเมืองประหลาดๆ ที่เต็มไปด้วยฆาตรกรโรคจิต ส่วนมากไอ้หนังพวกนี้ ไอ้ตัวแรดๆ กับตลกๆ มันจะตายก่อน ดีนะเราเป็นคนเงียบๆ เรียบร้อย

อาหารมื้อแรก เป็นผัดผักเนื้อแกะราดข้าว
ตอนนั้นหิวมากๆ รู้สึกว่าอร่อยมาก ข้าวก็โอเค ก่อนจะมานี่เราเคยกินแกะครั้งสองครั้ง เกลียดเข้าไส้เพราะสาบมาก ต้องกินกับไอ้ดิปปิ้งที่เหมือนยาสีฟันใกล้ชิดรุ่นโบราณนั่นน่ะ แต่แกะจานนี้ไม่สาบเลย ถึงอย่างนั้นก็กินไม่หมด เพราะเขาให้มาเยอะมาก ดูจากในรูป มันมีข้าวแค่ตรงด้านขวาเท่านั้นจริงๆ ที่พูนอยู่นั่นคือเนื้อแกะทั้งหมด ระบบการย่อยตูจะปรับตัวทันมั้ย ถาม..

ที่มองโกเลียนี่ จะกล่าวว่าปลูกข้าวไม่ได้ ก็อาจจะตีรวมไปหน่อย มันคงมีบางพื้นที่ปลูกได้
แต่บอกได้ว่าข้าวสวยคือของนำเข้า เขาจึงไม่ได้ให้เรากินเยอะแยะอะไร เนื้อสัตว์ต่างๆ ต่างหาก ที่เป็นของต้นทุนต่ำ กินกันเข้าไปสิ กินเอาอิ่ม ผักก็มีให้กินน้อยเช่นกัน เพราะพื้นที่นี้ปลูกไม่ได้ ต้องขนส่งมากจากภาคเหนือและตะวันตกเฉียงเหนือที่เขียวขจี (และทีแรกมีความคิดว่าจะไปเที่ยวโซนนั้น แต่เปลี่ยนใจมาโกบี)


ที่จริงแล้วแผนวันนั้นเราจะต้องไปนอนในทะเลทรายโกบีกันเลย แต่บิลบอกแล้วว่า เนื่องจากเสียเวลาไปมากในช่วงต้นของการเดินทาง เราจะไปไม่ถึงตามเป้าแล้วนะวันนี้ โดยจะได้นอนค้างคืนในเมืองที่ขอบทะเลทรายแทน โลยาซึ่งพูดภาษาอังกฤษไม่ได้เลย เป็นสายมวลชน แกรู้จักพนักงานทุกคนในร้านอาหารก็ไม่แปลกเพราะแกคงขับรถให้คณะทัวร์มานานแสนนาน แต่แกดันทักทายพวกคนที่เข้ามากินในร้านด้วยอย่างครึกครื้น ในขณะที่ตาบิลไกด์ของเรา ซึ่งเรามีความรู้สึกว่าแกน่ะมือใหม่ กลับเงียบขรึม ออกไปทางเก๊ก ซึ่งทริปนี้เราจะเปิดฉากการเม้าท์ตาบิลไปด้วยตลอดทาง เพราะมันเป็นสิ่งที่แยกออกจากการเดินทางของเราไม่ได้เลย

บิลบอกว่า แกไปอยู่อเมริกามาสิบเอ็ดปี แต่สำนึกรักบ้านเกิดจึงกลับมาตั้งรกราก แต่งงานมีลูกที่มองโกเลีย มิน่าภาษาอังกฤษแกเลิศ แต่ทักษะการฟัง และความเข้าใจดันไม่ค่อยดี เวลาเราพูดอะไร แน่นอนสำเนียงเราห่วย แต่เขาเป็นฝ่ายคุ้นกับภาษาอังกฤษมากๆ ควรจะฟังคนพูดเหน่อได้เข้าใจมากกว่าสิ หลายๆ ครั้ง แกตีความเราผิด และด้วยทัศนคติ บางครั้งเหมือนจะเข้าใจไปคนละทิศละทางเลย ใช้เวลาสองวันถึงจะรู้ตัวว่า คุยกับคนคนนี้ (หรือคนประเทศสังคมนิยม อันนี้ไม่กล้าเหมารวม เพราะไม่ได้คุยกับคนอื่นมากนัก) ต้องระวังตัวมากๆ ความที่เราชอบคุย ชอบถามนั่นนี่ ก็มีพลาดไปหลายช็อตเหมือนกัน

มุกแรกที่ทำให้เราสงสัยว่าบิลจะนู้บ (อย่างน้อยก็เส้นทางนี้) คือที่ผนังร้านอาหารมีแผนที่แปะอยู่ บิลพาเราสองคนไปยืนดูแล้วอธิบายว่าเรามาจากตรงนี้ ตอนนี้เราอยู่ตรงนี้ และเย็นนี้เราจะไป.. เอิ่ม หยุดไปพักนึงแล้วเอานิ้วจิ้มผนังด้านล่างใต้แผนที่ราวๆ ฟุตนึง เราฮากันเพราะว่ามันทะลุแผนที่ แต่อีนี่สะดุดแว้บ ว่าถ้าแกเดินทางเส้นนี้บ่อยๆ แกก็ต้องแวะร้านอาหารนี้บ่อยๆ และทำสิ่งนี้มาหลายครั้งแล้ว แกไม่รู้ได้ไง ว่าแผนที่มันเป็นแค่แผนที่จังหวัด ไม่ใช่แผนที่ทั้งประเทศ แอบคิดในใจ กูว่าไกด์กูนู้บชัวร์ ไว้คอยดูกัน

เราเข้าห้องน้ำแบบปกติมนุษย์อีกครั้งที่ร้านอาหาร โลยาแวะเติมน้ำมันที่ปั๊ม แล้วเราก็มุ่งหน้าไปกันต่อแบบไม่มีหยุดมีพัก เป้าหมายค่ำนี้คือเราต้องไปถึงเมือง Dalanzadgad ซึ่งห่างออกไปอีก ๓๐๐ กม.เป๊ะๆ เช่นกัน

มาถึงตอนนี้ละอองฝุ่นทรายเริ่มลดลงแล้ว ถนนมองเห็นได้ชัดถนัดตา เริ่มเห็นฝูงสัตว์ดูมีชีวิตชีวาขึ้น สวนทางกับร่องรอยการมีมนุษย์ก็ค่อยๆ จางหายไป ไม่มีรถสวนทาง ไม่มีรถอยู่ข้างหน้า และข้างหลังเป็นเวลานานๆ บิลบอกว่า จะรู้ได้ไงว่าถึงโกบีแล้ว ก็เมื่อเราเริ่มเห็นฝูงอูฐ

ฝูงอูฐแรกที่เราได้เห็นปรากฏตัวขึ้นเป็นจุดดำๆ ที่เส้นขอบเขาในเวลาห้าโมงครึ่ง ตั้งแต่ออกจากร้านอาหารมา สัญญาณอินเตอร์เน็ตเราก็ออนๆ ออฟๆ เหมือนความสัมพันธ์ของชั้นกับกรุงเทพฯ นี่ขนาดใช้ยี่ห้อที่เขาบอกว่า เหมาะกับ Country side ละนะ คือติดต่อได้ แต่ไม่ได้เดี๋ยวนั้น ต้องรอแพ้บ ซึ่งความรอแพ้บนี้มันคือกินแบตเอาเรื่องอยู่ เราใช้เวลาสักพักก็เรียนรู้ว่า พอสัญญาณเข้า จะอ่านอะไรก็อ่านๆ เข้า เสร็จแล้วก็พิมพ์ตอบไปให้หมด แล้วให้มันหมุนติ้วๆ ไป พอเราเริ่มจะลืมๆ สัญญาณก็เกิดจะเข้ามา แล้วข้อความก็ถูกส่งออกไปเองแหละ เรื่องแบตเตอรี่ของอุปกรณ์อิเล็คทรอนิกส์ก็เป็นอีกปัจจัยที่เราจะต้องละเอียดถี่ถ้วนและวางแผนให้รอบคอบ ไม่งั้นเป็นอันหมดสนุกแน่นอน

เราเริ่มสังเกตเรื่องแสงแดด อีตอนที่ดูแดดเย็นแล้วคิดว่า วันนี้พระอาทิตย์ตกน่าจะสวย เลย Google ดูว่าพระอาทิตย์ตกกี่โมง พระอาทิตย์ที่นี่ตก ทุ่มสี่สิบห้าว่ะ ไม่รู้มาก่อนเลย ตอนเช้าก็สว่างเร็ว ตอนเย็นยังมืดช้าอีก คุ้มสุดคุ้ม มีเวลาเที่ยวเยอะมาก ชอบ ฮ่าๆ เราเลยบอกบิลว่า ตอนพระอาทิตย์จะลับขอบฟ้า ขอแวะถ่ายรูปหน่อยได้มั้ย บิลบอกว่าได้ และปรึกษากับโลยาว่าจะจอดตรงไหน เรากับโลยาพูดคนละภาษาแต่พูดพร้อมๆ กันด้วยความหมายเดียวกันว่า
จอดตรงที่มันมีอูฐ

ก่อนจะถึงจุดนั้นเราได้เจอไซก้าก่อน

เราไม่รู้เลยว่ามันเป็นไซก้าจนกระทั่งกลับมาไทย บิลบอกว่า เดียร์ เอิ่ม แอนทีโลปน่ะ สัตว์ป่าฝูงแรกที่เราเจอ สองหนุ่มมีเมตตาจอดรถให้ดู พวกมันอยู่ไกลมากแล้วก็รับรู้ถึงการมาของเราแล้วก็ตั้งท่าจะวิ่งหนี เราต้องค่อยๆ ขยับช้าๆ แอบอยู่ข้างรถ แล้วพยายามถ่ายรูปมันด้วยเลนส์เทเล แต่ความถ่ายไม่ชัดนี้โทษใครไม่ได้เลยนอกจากตัวเอง ทั้งมือไม่นิ่ง (โทษลมและความหนาวได้มั้ย) ทั้งไม่เอากล้องไปให้ร้านดูซะทีว่าที่โฟกัสไม่ค่อยเข้านี่อุปกรณ์มันเริ่มบุบสลายแล้วใช่ไหม มองไกลๆ มันก็กวางนั่นแหละ แต่ที่เรามาค้นจนพบว่ามันคือไซก้า ก็เพราะเวลาซูมดูรูปแล้ว หน้ามันโหนกๆ ชอบกล นี่ถ้ารู้ตั้งแต่ตอนนั้นว่าเป็นมัน จะยิ่งตื่นเต้นจนมือไม้สั่น เพราะว่าไม่เคยคิดว่าจะได้เจอตัวจริงๆ ในธรรมชาติ

ไซก้าหรืออีกชื่อคือ กุย เป็นสัตว์เฉพาะถิ่นพบได้ในไซบีเรียและมองโกเลียเท่านั้น และใกล้สูญพันธุ์โคตรๆ มันเป็นกวางตาหวาน หน้างวงๆ หน้าตาน่ารัก แบ๊วเหมือนกระต่ายยักษ์สูงโย่ง
เคยรู้จักมันจากสารคดี และมาหาอ่านเพิ่มอีก ช่างเป็นบุญตาจริงๆ ที่ได้พบ มันอยู่ในหมวดสัตว์เสี่ยงขั้นวิกฤติต่อการสูญพันธุ์ ด้วยวิถีชีวิตของมันเองและปัจจัยคุกคามภายนอก ในวิกิบอกว่าไซก้าอาจจะอยู่กับเราอีกไม่นานแล้ว เพราะว่าวิถีชีวิตมันวอนตายมาก
๑. มันฆ่ากันเองช่วงผสมพันธุ์ ต้องสู้ถึงตาย
๒. ถูกมนุษย์ล่า (อีพวกชั่ว)
๓. มันแพ้เชื้อโรคระบาดบางอย่าง การตายหมู่เริ่มพบครั้งแรกเมื่อปี ๒๐๑๕

แม้ว่าจะลำบากขนาดไหน ขอสวดแผ่เมตตาให้น้องๆ ไซก้าทั้งหลาย ได้มีชีวิตอยู่กันต่อไป ออกลูกออกหลานกันเยอะๆ ให้ชนะการสิ้นเผ่าพันธุ์ด้วยเถอะเพี้ยง

ไซก้าผ่านเลนส์ซูมคมๆ ในอินเตอร์เน็ต ตาดำขลับแป๋วแหวว ขนดูสั้นๆ นุ่มๆ โคตรอ่อนโยนน่ารัก ส่วนไซก้าในระยะห่างไกลในธรรมชาตินั้นก็น่ารักมากไม่แพ้กัน วิ่งตูดกระดุ๊กๆ หนีเปิงเวลารถเราวิ่งผ่าน และก้มหน้าก้มตาแทะความว่างเปล่ากันงิกๆๆ เวลาคิดว่าตัวเองปลอดภัยดี

หมายเหตุ : ภาพตอนพบไซก้านี่คือเวลาหนึ่งทุ่มตรงจ้ะ แสงกำลังอุ่นๆ

และแล้วก็มาถึงเวลาที่รอคอย ฝูงอูฐย้อนแสง โลยาพบฝูงอูฐในเวลาที่พระอาทิตย์กำลังร่วงลงแตะเนินเขา ตะแกหักขวาตั้งฉากกับถนน แล้วขับออกจาถนนไปเลย

เมื่อลงจากรถที่อบอุ่นด้วยฮีตเตอร์ ข้างนอกที่ดูสงบนิ่งเมื่อมองจากอีกด้านของหน้าต่าง กลับไม่เป็นอย่างที่คิด ลมแรงมากและหนาวมากเช่นเคย แสงสีส้มของพระอาทิตย์ยังให้ความอบอุ่นได้ไม่พอ อูฐฝูงยืนชิวที่เส้นขอบฟ้า เป็นแบบให้เรา ถึงเราจะวิ่งไปวิ่งมากรี๊ดกร๊าด มันก็ไม่ค่อยจะเดือดเนื้อร้อนใจเท่าไหร่ หันมามอง เลิกคิ้วนิดนึงแล้วเล็มตอหญ้าเตี้ยๆ ต่อไป

เราถึงที่พักตอนสองทุ่มนิดๆ ฟ้ายังไม่มืด ยังมองเห็นบริเวณโดยรอบ โลยาพยายามสอนเราออกเสียงชื่อเมืองนี้ Dalanzadgad มันฟังดูคล้ายๆ ดาลันซ์ข์ซัคซ์ซ์ข์กัด พยายามออกเสียงตามจนรู้สึกว่ามันไม่น่าใช่ทางของกูละ เลยเลิก

อย่างที่เล่าไปแล้วว่า เมือง Dalanzadgad นี้อยู่ขอบทะเลทรายโกบี บ้านเรือนมีทั้งแบบบ้านสมัยใหม่ แต่หนาเตอะและปิดมิดชิด และแบบเกอ เกอทูเกอ เป็นคำที่เราจะพบได้ตามบริษัททัวร์มองโกเลีย มันหมายความว่านอนเกอทุกคืนและเปลี่ยนที่นอนไปเรื่อยๆ เกอคือที่พักแบบรื้อถอนได้อย่างหนึ่ง ซึ่งเราจะอธิบายในภายหลัง แต่สำหรับคืนแรกนั้น เรานอนเกอที่อยู่ในชุมชน เจ้าของบ้านนอนบ้านอิฐปกติ แต่สร้างเกอไว้รับแขกในบริเวณรั้วล้อมมิดชิด มีเสียงหมาตัวใหญ่เห่าจากมุมบ้าน ซึ่งบิลบอกว่าเป็นหมาข้างนอก (อีบิลมึง หมาอยู่ข้างในโว้ย)


บิลกับโลยาตุ้มเอากระเป๋าเดินทางเราเข้ามาไว้ในเกอ ก่อไฟในเตาให้ความอบอุ่น แล้วบอกว่าจะไปทำอาหารเย็นละ เขาอยู่เกอข้างๆ จะเอาอะไรก็เรียก ไดอะล็อกนี้เป็นไดอะล็อกปกติ เรารับปากว่าโอเค แต่ไม่เคยเรียกขออะไรเลยตลอดทั้งทริป

เราได้เห็นหน้าเจ้าของบ้านแว้บๆ ไม่นานฟ้าก็มืดสนิท เราผลัดกันออกไปเข้าห้องน้ำที่เป็นส้วมหลุมแห่งแรกของทริปนี้ ส้วมหลุมนี้ตั้งอยู่มุมหนึ่งของบริเวณบ้าน ชิดรั้ว เป็นส้วมนั่งราบที่ต่อเนื่องกับหลุมลึกด้านล่าง ยกเว้นเรื่องระบบส้วมแล้ว ห้องน้ำเขาเหมือนปกติบ้านเราทุกอย่าง มีทิชชู่ มีชั้นวางของจุกจิก มีสเปรย์ดับกลิ่นกระป๋องโตด้วย

ห้องน้ำนี้ความที่อยู่มุมและปิดมิดชิด กลิ่นนี่ไม่ต้องพูดถึงเลย เราสองคนเริ่มต้นปรึกษากันว่างดน้ำงดอาหารแม่ง ไม่อยากเข้าส้วม แต่คิดอีกที อย่าทำร้ายร่างกายเช่นนั้นเลย เรามาตั้งหน้าตั้งตากินแม่งทุกอย่าง แล้วก็เข้าส้วม (และไม่ส้วม) ทุกครั้งที่ต้องการกันดีกว่า มันเฮ้ลที่กว่ากันเยอะ

เกอของเราเป็นเกอสองเตียง น่าจะเป็นขนาดเล็กสุดแล้ว มีหลอดไฟหนึ่งดวง และปลั๊กเสียบกาน้ำร้อน ซึ่งก่อนมาเขาบอกว่าเกอจะชาร์จแบตไม่ได้ แต่นี่เรานอนเกอในเมืองเลยมีที่ชาร์จ ถึงการลากสายพ่วงไปมา จะดูน่าหวาดเสียวโดนไฟดูด แต่เราก็จัดเต็มทุกดีไวซ์ฮะ

ความสุขของการนอนเกอก็คือตรงกลางจะมีปล่องเหล็กต่อเนื่องจากเตาเหล็กส่งควันออกสู่ภายนอก เมื่อก่อไฟในเตาเหล็ก ความร้อนจะค่อยๆ แผ่ออกมา ทั่วเกอจะอบอุ่นสบาย ระบบของเตาคงคิดมาดีมาก ควันจะแทบไม่ออกมารบกวนในเกอเลย เว้นแต่บางเกอที่เตาไม่ค่อยจะดี
ข้อเสียคือ
๑. มันใช้ฟืน เสียดายไม้ซึ่งหาได้ยากยิ่งที่โกบีนี่
๒. พอดับแล้วโคตรหนาว มันไม่อยู่ยาวไปทั้งคืน ต้องคอยตื่นมาเติม
๓. รอยต่อระหว่างปล่องกับหลังคา หลายๆ เกอต่อไม่สนิท ลมแม่งถือโอกาสสวนเข้าตรงนั้นแหละ
๔. เห็นเสาอยู่กลางบ้านไม่ได้ ชิน ชอบเอามือไปจับ ร้อนจนร้องแว้กไปหลายที

อาหารเย็นเสร็จตอนสามทุ่มครึ่ง ดึกเวอร์ แต่ก็ไม่ค่อยเดือดร้อนเพราะขนมเยอะ เอาขนมจากชุมพรติดไปด้วย มีกล้วยฉาบกับกล้วยเล็บมือนางอบน้ำผึ้ง ขนมห่อๆ น้ำหวานก็มีที่ซื้อไว้ มาม่าพกมาถึง ๖ กระป๋อง
ตาบิลทำข้าวต้มซุปมันฝรั่งใส่เนื้อแกะบางเบา แกบอกว่าสังเกตว่าเรากินเนื้อกันได้น้อย แกเลยลองใส่น้อยๆ ดู เราก็พยายามบอกแกว่า มันอร่อยแหละ แต่มันเยอะไป และหนักไปมากสำหรับเรา ลดเนื้อลงก็ดีแล้ว นี่บางทีก็สงสัยนะว่ามีแต่บ้านเรารึเปล่าวะที่กินไม่ค่อยเยอะ (แต่กินหลากหลายและจุกจิก) เวลาไปที่ไหนๆ ก็เจอปัญหาให้อาหารเยอะไปทุกครั้งเลย

เรากินเสร็จก็วางไว้ที่โต๊ะ เพราะไม่รู้ต้องเอาไปไหนอย่างไร ตอนมาถึงเกอทีแรก เราลองเอาน้ำอัดลมขวดนึงไปวางไว้บนกรอบประตูเกอด้านนอก ก็ได้อีตู้เย็นธรรมชาตินี่ล่ะ ชั่วโมงเดียวเท่านั้น เย็นเจี๊ยบชื่นใจแบบที่ตู้เย็นบ้านเรายังทำไม่ได้เลยนะ ดื่มน้ำอัดลมอร่อยมากๆ

บิลกับเจ้าของเกอเข้ามาเติมถ่านให้อีกครั้งแล้วทุกคนก็เข้านอน เราซึ่งปรับตัวเข้ากับสิ่งต่างๆ ได้เป็นอย่างดี วนเวียนเข้าห้องน้ำมันอยู่นั่น ไม่ใช่ว่าปลื้มปริ่มหรือติดกลิ่นนะ แต่เดินทางทั้งวันไม่เป็นอิสระทางการขับถ่าย พอได้มีส้วมหลุมที่เดินไปเข้าได้ตลอด มันก็เลยต้องขอทบต้นทบดอกนิดนึง

คืนนั้นกว่าจะหลับได้ เราก็วิ่งเข้าวิ่งออกถ่ายรูปดาวเต็มฟ้า ประตูเกอจะเล็กและต้องก้มตัวเวลาเข้าออก คงเพราะป้องกันการสูญเสียความร้อนด้วย และเพราะโครงสร้างของเกอด้วย กูก้มแต่ละทีก็ปวดหลังแอ้กๆ แต่ไม่ให้วิ่งไปวิ่งมาก็ทำไม่ได้ ดาวโคตรสวย อากาศโคตรหนาว ตกกลางคืนก็อยู่ประมาณ ๖ องศา และกลางดึกมีติดลบหน่อยๆ ยังได้ยินเสียงหมาเห่าทึบๆ เหมือนว่าตัวมันใหญ่มาก นอกนั้นเงียบเหลือเกิน แทบจะได้ยินเสียงดาวกระพริบ

มองโกเลีย – ทะเลทรายโกบี #๑

เวลา : สงกรานต์ ๒๐๑๘ ลา ๓ ได้ถึง ๗
สมาชิก : ปูกะแอ้
สถานที่ : มองโกเลีย – ทริปทะเลทรายโกบี

อยากไปมองโกเลียมาตั้งนานแล้ว
ด้วยความไม่ใส่ใจในวิชาสังคมศาสตร์ มองโกเลียสำหรับเราคือที่กว้างๆ มีม้า มีอะไรที่เกี่ยว กับการยิงธนู มีอะไรที่กันดารดิบๆ เถื่อนๆ แค่นี้ก็มากพอที่จะทำให้จัดเอามองโกเลียไว้ใน Bucket List มานานแสนนาน อยากขึ้นรถไฟทรานไซบีเรีย-ทรานมองโกเลีย แวะแม่งให้พรุนทุกสถานี ฝันๆ เอาไว้แบบนี้ กะว่าเขาเลย์ออฟเมื่อไหร่ตูจัดแน่นวล

ปีนี้วันหยุดยาวไม่ได้ยาวสมใจ ตอนหาที่ลงกันกับปู เราคิดกันช้ามาก ด้วยวัยด้วยหน้าที่การงาน เราสองคนมีเวลาคิดเรื่องเที่ยวน้อยลงอย่างมีนัยยะสำคัญ ปีก่อนหน้านี้ก็พลาดไปทีนึงแล้วที่หนีสงกรานต์เมืองไทยไปพม่า ช่างไม่รู้อะไรบ้างเลย ไปโดนพี่หม่องสาดน้ำใส่กล้อง แทบไปโชว์แม่ไม้มวยไทยให้เลื่องลือ ปีนี้ไม่อยากจะพลาดอีก เมื่อเงื่อนไขเรื่องร่างกายและเวลามันจำกัด เราก็เลยลงทุนมากขึ้นอีกนิดในด้านงบประมาณ
ตั๋วไปมองโกเลีย แพงและหลากหลายจนงงเพราะมันไม่บินตรงจากไทย ฮับดีๆ หลายที่ที่น่าเวียไม่ได้เวีย ดันต้องไปเวียที่ปักกิ่งเพราะราคากับเวลาดีสุด ก่อนซื้อตั๋วกลัวพลาดอย่างหนักจนตัดสินใจใช้เอเย่นต์ซื้อให้ เอเย่นต์ก็ดี๊ดี หาราคาได้ถูกกว่าจองเองสดๆ ซะอีก แถมเซลยังน่ารัก เที่ยวกลับมาแล้วยังแชตคุยกันอยู่เลย

ในเวลาเดียวกันกับการหาตั๋วเครื่องบิน เราก็คุยกับทัวร์เอเย่นต์ของมองโกเลียพร้อมๆ กันสองสามเจ้า แล้วเลือกเอาเจ้าที่ตอบไว ตอบรู้เรื่อง ราคารับได้ เมื่อตั๋วคอนเฟิร์ม โลคอลทัวร์ก็คอนเฟิร์มไปพร้อมๆ กัน

สุดท้ายทุกอย่างก็ถูกจัดการเสร็จก่อนเวลาเดินทางราวๆ ๑ เดือน สำหรับเราคือ กระทันหันมากเหลือเกิน อากาศที่แตกต่างกับไทยของมองโกเลียก็เป็นอีกปัญหาหนึ่งที่ต้องจัดการ
เราต้องเตรียมโค้ทอย่างดี และรองเท้าบู๊ทหุ้มข้อ และยังต้องเตรียมตัวสำหรับการรอนแรมกลางทะเลทรายโกบีอีกด้วย (ซึ่งการเตรียมที่ว่านี่คือ การเตรียมจะไม่ได้อาบน้ำทุกวัน ซึ่งปกติเหมือนจะชอบอยู่แล้ว ตามประสาคนที่ “สะอาดอยู่แล้วไม่ต้องอาบน้ำก็ได้” แบบเรา)

วันที่ ๑๑ เมษา กระเสือกกระสนจัดการงานต่างๆ แล้วลาครึ่งบ่าย แจ้นไปซื้อของเพิ่มอีกนิดหน่อยที่เซ็นลาด กลับห้องไปจัดกระเป๋าที่ทำค้างไว้ครึ่งๆ กลางๆ แล้วตรงดิ่งไปยังสุวรรณภูมิ พบปูตามเวลานัด แล้วเข้าคิวยาวมหายาว ขดไปขดมาเป็นเวลานานกว่าจะได้โหลดกระเป๋าและเช็คอิน เจ้าหน้าที่กระซิบกระซาบว่า ชั้นประหยัดที่เราจองมันโอเวอร์บุ๊ค แต่ปูบินกับสายการบินในเครือ Star alliance มากพอจนได้อีโวลท์เป็นซิลเวอร์เลเวล (งานปูมันโคตรดีเลย เดินทางบ่อยมาก) เขาจึงจะอัพเกรดเราสองคนฟรีไปสู่ชั้นที่เหนือกว่าอีกหนึ่งขีด และยังคงได้นั่งด้วยกันในที่นั่งคู่สำหรับแถว ๒-๔-๒ เหมือนเดิมที่จองมา ซึ่งเราก็ดีใจริกรี้ จนกระทั่งพบในภายหลังนานแสนนานว่า เห้ย มันก็ต่างกันนิดๆ หน่อยๆ ปะวะ


ความต่างหนึ่งที่ปลื้ม ก็คือเขาแจกรองเท้าผ้าใส่เดินในบ้านด้วย ลายน่ารัก มันสบายเท้าดีจริง เมื่อได้ถอดรองเท้าคัทชูออกแล้วสวมแตะผ้าสบายๆ หลายชั่วโมงระหว่างเดินทาง ก่อนลงจากเครื่องเรากระซิบกระซาบกับปูว่า เขาให้เลยป่าววะ พี่จะเอามันไปด้วย ยังไม่ทันไรก็ได้ยินเสียงกรอบแกรบจากหนุ่มฝรั่งหล่อด้านหลังขวาที่กำลังยัดรองเท้าแตะลงถุงพลาสติก ก่อนหย่อนลงเป้เป็นลำดับถัดมา

ที่ปักกิ่ง
การ Transfer ที่น่ารำคาญได้เริ่มต้นขึ้น
ไฟลท์แรกนี่ล่ะหนักสุด เราถึงปักกิ่งกลางดึก และจะบินอีกทีแปดโมงเช้า เราต้องหาที่เอาตัวไปแปะไว้เป็นเวลาถึง ๗ ชั่วโมง ออกจากตัวเครื่องได้ เราก็เดินโผเผตามๆ เขาไปเรื่อยๆ ตามป้ายชี้สำหรับพวก Transfer เราไม่ต้องรับกระเป๋าใบที่โหลดคืนเพราะเป็นแบบ Check through สะดวกไปอย่าง แต่อีกแง่หนึ่งเราก็ต้องเตรียมสิ่งจำเป็นสำหรับค่ำคืนที่ปักกิ่งไว้ก่อนด้วย อาทิเช่น เสื้อผ้าสำหรับอากาศ ๑๐ องศาเป็นต้น

จีนตรวจเข้มกับกระเป๋าจนคิวยาวโดยไม่จำเป็น คนยืนโงนเงน ง่วงแม่งก็ง่วง ไอ้นี่ก็ตรวจมันอยู่นั่น เกร็ดการเดินทางสิ่งหนึ่งที่ได้จากเรื่องนี้คือ ถ้าจำเป็นต้อง Transfer ที่จีน ขอให้เผื่อเวลาระหว่างไฟลท์ซัก ๒ ชม. ขึ้นไป กันเหนียว แต่อีแบบ ๗ ชั่วโมงนี่ก็ถือเป็นวิบากกรรมเล็กๆ ได้เหมือนกัน


เมื่อเสร็จสิ้นกระบวนการตรวจกระเป๋าอันเข้มข้น (โดนริบไฟแช็คไปเรียบร้อย, โดรนไม่มีปัญหาอะไร, กล้องกับบรรดาแบตเตอรี่ต้องเอาออกมาสำแดงข้างนอกกระเป๋าชัดๆ แต่ไม่มีปัญหาอะไรเช่นกัน) เราก็ถูกปล่อยเข้าสู่อาคารผู้โดยสารยามดึกที่เงียบงันและหนาวเย็น ตอนนั้นเราหิวน้ำมาก เพราะเป็นระบบร่างกายที่จะต้องซัดน้ำก่อนนอน ก่อนมาชีวิตโคตรปั่นป่วน รื้อเก๊ะรวมแบงค์นานาชาติ พยายามหาเงินหยวนที่คิดว่ามีติดอยู่ ได้ใบร้อยมาใบนึง หน้าตาแปลกๆ แต่ก็ดูจีนๆ ใช้ได้ พอควักมาจ่ายค่าน้ำเท่านั้นแหละ หน้าแหกนิดนึง เค้าบอก เอ่อ อันนี้มันเงินไต้หวันฮะ สุดท้ายปูก็รูดบัตรไป

เราสองคนเดินมาหาที่นอนละแวกของเกตตัวเอง อาคารผู้โดยสาร T3-E มีพื้นที่ว่างมากมาย แล้วก็ยังดีงามตรงที่ปิดไฟเป็นส่วนๆ ไม่รู้สึกว่ามืดจนน่ากลัว แต่ก็ไม่มีแสงกวนตาจนนอนไม่ลง เก้าอี้ก็มีที่เท้าแขนทุกๆ ๓ ตัว ร่างสั้นๆ อย่างเราก็นอนยาวได้สบายๆ เหมาะแก่การซุ่มหลับซะจริงๆ

คงมีหลายคนตกอยู่ในสภาพเช่นเดียวกับเรา เมื่อเลานจ์แบบซื้อรายครั้งราคาแพงถึงเกือบพัน ชิ..นอนเคาช์ ก็ได้วะ เข้าห้องน้ำห้องท่ากันแล้ว เราก็เลือกเคาช์ที่มีที่ชาร์จแบตด้วย เสียบมือถือ ยัดมือถือไว้ใต้ไหล่แล้วก็กกกระเป๋าห่มตัวหลับไป

เราหลับไป ๒ ชั่วโมงนิดๆ ก็ตื่น ปูเก่งกว่า เพราะยังคงอยู่ในนิทราได้นานกว่า คนตื่นแล้วก็เริ่มเดินไปเดินมา หนึ่งคือมันหนาว เลยวนเวียนไปฉี่ที่ห้องน้ำซึ่งอยู่ห่างพอสมควร สองคือเดินหา wifi ใช้ และก็แอบสำรวจโลกไปด้วยในเวลาเดียวกัน มนุษย์ยังไม่ตื่นนอนเรียงกันอย่างกะผู้ลี้ภัยในค่ายกักกัน

สนามบินปักกิ่งหากค้นข้อมูลทางอินเตอร์เน็ต มันจะบอกเลยว่า มีฟรีไวไฟ มีวิธีการรับรหัสสะดวกสบายหลายวิธีให้เลือก แต่นอกเวลาทำการมีแต่ตู้จ่ายรหัสอัตโนมัติเท่านั้นที่เราหวังได้ สองตู้ที่เจอ ตู้หนึ่งอยู่ใกล้ๆ อีกตู้เราบากบั่นเดินไปอีกปีกตึก กลับพบว่าใช้การไม่ได้แบบไร้เหตุผล เวิ้งว้างดุจกล้องจราจรดัมมี่ของเมืองหลวงประเทศสมมติแห่งหนึ่ง ความที่รู้สึกว่ามันมีอยู่ แต่เราเชื่อมต่อกับมันไม่ได้ มันช่างน่าหงุดหงิดรำคาญใจไม่ต่างอะไรกับการควานหาเนื้อคู่ในโลกปัจจุบันอันสับสน บอกไม่มีแม่งซะยังจะดีกว่า

แปดโมงกว่าๆ ตรงตามเวลา เราก็ได้ฤกษ์บอกลาปักกิ่งอันขมุกขมัว เหิรฟ้าสู่อูลานบาตาร์ เมืองหลวงแห่งประเทศมองโกเลียกันซักที

A Bumpy flight

ที่จริงลืมตาฟากขึ้นมา เราจะหิวทันทีเป็นธรรมชาติของเด็กสมบูรณ์ แต่ความงก รอกินฟรีบนเครื่องก็ได้วะ อาหารบนไฟลท์อร่อยใช้ได้ เสิร์ฟทันหิว แต่ก็ช้าไปกว่าปกติสักหน่อยเพราะพอเครื่องเชิดหน้าขึ้นฟ้าได้ ก็เจอเข้ากับอากาศแปรปรวน (Turbulence) ติดๆ กัน เมื่อผ่านม่านฝุ่นขุ่นมัวของปักกิ่งได้ไม่นานนัก ภูมิทัศน์ด้านล่างก็ยิ่งเป็นภูเขาแล้ง แห้ง มองลงไปเบื้องล่างมีแต่ภูเขาหินสันฐานซับซ้อนสวยเหมือนคลื่นทะเลสีเข้มที่ถูกพลังเอลซ่าสาบให้จับเป็นก้อนแข็ง ชุมชนน้อยๆ พอมีให้เห็นประปราย

เราสองคนนั่งแยกกันเพื่อครอบครองคนละหน้าต่าง ที่นั่งซึ่งจองล่วงหน้าโดยเลือกสรรอย่างดีว่าเราจะต้องได้วิวสวยๆ มีแสงเช้าส่องถูกด้านให้เกิดเป็นสีสันสดใส แต่ชีวิตจริงวิวของเราเป็นหมอกและฝุ่นอยู่บ่อยๆ ช่วงที่เราบินข้ามรอยต่อระหว่างประเทศ เกิดเทอร์บูเลนซ์ต่อเนื่องไม่หยุดหย่อน ถ้าหลับตาล่ะเป็นคิดว่านั่งรถทัวร์หวานเย็นบนถนนลูกรังแน่นอน มองแอร์สาวหมวยไฟลท์เช้า แต่ละคนกัดฟันทำหน้าที่ของตัวเอง ยิ้มอ่อนแรงขณะเข็นรถต้านแรงสั่นระรัวของเครื่อง ความที่ลูกเรือไม่ได้หยุดทำงานทำให้พอจะเข้าใจได้ว่า นี่ไม่ใช่เรื่องแปลกประหลาดของเส้นทางนี้หรอก เราเลยรีบกินและหุบอุปกรณ์มื้อเช้าของเราอย่างเร็วๆ เพื่อให้สาวๆ ทำงานเสร็จไวอีกนิด ลึกๆ ในใจ เราเองก็ไม่อยากเปิดถาดหน้าที่นั่งเอาไว้ในขณะเครื่องสั่นๆ จับพลัดจับผลูมีตกหลุมอากาศขึ้นมาเป็นได้ทิ่มหน้าแหก หน้าเราสวยเราต้องป้องกันไว้อย่างดี

ขุนเขาเปลี่ยนรูปร่างและสีไปเมื่อเข้าสู่เขตมองโกเลีย ฝั่งจีนภูเขามีสีเข้มกว่าเหมือนเป็นหินแข็ง ฝั่งมองโกเลียทิวทัศน์ออกสีน้ำตาลอย่างกะกำลังจะแลนดิ้งเหนือดาวแททูอิน เมืองน้อยๆ อาคารหลังน้อยห่างๆ กัน เริ่มปรากฏให้เห็นเรื่อยๆ ก่อนจะถึงอูลานบาตาร์ มีริ้วขาวๆ ตามซอกภูเขา เห็นแล้วก็สงสัยว่า นั่นมันหิมะมั้ยนะ คงไม่ล่ะมั้ง มันจะหนาวปั่นหนั่นเลยบ๊อ (แล้วจะสำเนียงโคราชทำไม)

เครื่องแลนดิ้งอย่างราบรื่นในเวลาเที่ยงวันที่เร็วกว่าบ้านเรา ๑ ชม. ภาพแรกที่เห็นเมื่อเครื่องแท็กซี่ตั้งฉากมุ่งเข้าสู่อาคารสนามบิน คือรันเวย์ทอดยาวนำสายตาไปสู่ทิวทัศน์เวิ้งว้าง นอกจากภูเขาสีน้ำตาลเกลี้ยงเกลาแล้ว แทบไม่มีสิ่งก่อสร้างอะไรจะสูงขึ้นมาจากดินเกินอาคาร ๑ ชั้น ฝุ่นที่เพิ่งกระเจิงขึ้นมายิ่งกลบทุกสีจนเหลือแค่วิวสี Yellow Ochre เจ้าหน้าที่สนามบินโบกให้สัญญาณเครื่องเทียบงวงช้างแล้ว ก็วิ่งเหยาะๆ ไปอีกทาง ดูจากชุดและภาษากาย บอกได้เลยว่าข้างนอกแม่งต้องหนาวสัสๆ

หมายเหตุ : Air China แม่งไม่เข้มงวดอะไรเล้ย ประกาศเลยว่าให้เปิดมือถือเป็นไฟลท์โหมด แล้วจะทำไรก็ทำไป เพราะงั้นก็ถ่ายรูปรัวๆ ได้ทุกเวลาไม่ว่าจะเชิดขึ้น ปักหัวลงใดๆ แลนด้งแลนดิ้งมีคลิปพร้อม รักมาก บริการต่างๆ สมเป็น Full services จริงๆ ดีกว่า China Eastern ที่เคยประสบแบบคนละเรื่อง อันนั้น Full services เสิ่นเจิ้น

กระบวนการผ่าน ตม.ตลอดจนรับกระเป๋าเสร็จสิ้นได้ในครึ่งชั่วโมง นับว่าเลิศ พาสปอร์ตเราเพิ่งไปทำมาใหม่เอี่ยมว่างทุกหน้าให้เลือกสรร คุณพี่ ตม. แต๊มลงหน้าสุดท้ายเหมือน ตม.เวียดนามเลยว่ะ

ชายหนุ่มขาวผอมสูงหน้าตาใจดียืนถือป้ายชื่อปูรอรับอยู่ เจอผอมสูงขาวเข้าไปคิดว่าหล่อล่ะสิ อ่อไม่อะ แล้วก็ไม่ต้องหวังไรมากขอสปอยล์ทีเดียวทั้งเรื่อง ตลอดทริปไม่เจอคนหล่อ จบนะ

ทริปนี้จำต้องมีชุดเยอะ พร็อพแยะ เราเลยไปถอยกระเป๋าลากใบโตมา ส่วนปูยังแขวนอีแบ็คแพ็คใบเก่าแก่ที่เราใช้เดินทางด้วยกันมานับทศวรรษไว้บนหลัง แต่เป็นยังไงไม่รู้ คนจะช่วยถือกี่คนกี่คนนี่มันพุ่งมาที่เราก่อนเลย ซึ่ง กูลากไง มึงไปช่วยไอ้คนแบกกระแด๊กๆ โน่นมั้ยล่ะ
หรือว่าความชราของชั้นมันจะฉายชัด โอ๊วววว ม่ายยยยย

ชาวมองโกเลียใช้ภาษาที่ฟังคล้ายรัสเซียมากๆ แต่ก็แอบมีบางท่วงทำนองคล้ายญี่ปุ่นซะงั้น แต่ยืนยันโดยตาไกด์ของเราที่จะพบเจอในวันรุ่งขึ้นว่า ไม่เหมือนกันเลยนะจ๊ะ ฟังคล้ายเฉยๆ ตัวหนังสือที่ใช้เหมือนรัสเซียทั้งหมด ๓๓ ตัว กับบวกเพิ่มอักษรพิเศษไปอีก ๓ ตัว ทำให้สามารถสะกดและอ่านออกเสียงซึ่งกันและกันได้แต่ไม่เข้าใจความหมาย ชื่อคนและชื่อสถานที่ในมองโกเลีย ออกเสียงยากมากกกกก มันไม่ใช่เหมือนเราสอนฝรั่งออกเสียงคำว่า พัทยา แล้วได้ความออกมาว่า ป๊า ตา ยา น่าเอ็นดู ไม่ถูกต้องแต่ฟังเข้าใจ ภาษามองโกเลียมีเสียง เขอะ เขอออ เสอะ ซึดดดดด แทรกอยู่ระหว่างพยางค์เยอะมากเหมือนลมกรรโชกผ่านช่องเขา ให้พูดตามคำต่อคำ ยังพูดไม่เหมือน ตอนเด็กครูเคยสอนให้ภาคภูมิใจในภาษาไทยเพราะยากสัส เอ๊ยยากสุด แต่ไม่อะ ภาษาไทยไม่ยากเท่ามองโกเลียแน่นอนอันนี้ยอม อีไกด์เราบอกในค่ำคืนหนึ่งในเกอน้อยๆ ใต้แสงดาวว่า คนมองโกเลียนี่เรียนภาษาอะไรก็ง่าย เพราะว่าภาษาเขาออกเสียงยุ่งยากสุดแล้ว

เพราะงั้นเราจะตั้งชื่อเล่นให้ทุกคน เพราะชื่อแม่งยาก แนะนำตัวมากูก็ลืม ตาคนแรกที่มารับเรานี่ ก็ชื่อตาคนแรกไปละกันนะ ง่ายดี

ตาคนแรกพาเราเดินออกนอกอาคาร รถจอดไม่ไกลเลย ดีแล้วที่ไม่ไกล เราปรับตัวไม่ทัน แม่งหนาวมาก ลมแรงสุดๆ ผมที่ไม่ได้มัดปลิวสะบัดรู้สึกว่าทำให้หัวหนักขึ้น เดินเหนื่อยเพิ่มขึ้นอีกนิด

ในรถอบอุ่นขึ้นมากเมื่อกันสายลมโหมกระหน่ำไว้ข้างนอกประตูได้ รถเก่าๆ ได้กลิ่นบุหรี่จางๆ เรานั่งหลังให้ปูนั่งหน้าคู่กับตาคนแรก ซึ่งอ้อมแอ้มว่าพูดภาษาอังกฤษไม่ค่อยได้นะ แต่ไม่จริงอะ ภาษาแกใช้ได้เลย แต่แกดูถล่มตัวเขินอาย เราคิดว่าแกจะเป็นไกด์ของเรา ซึ่งแกดูใจดีมากอะ แต่ไม่ใช่ ถามอะไรเกี่ยวกับการเดินทางแกก็บอกว่า ไว้ยูคุยกับไกด์ยูพรุ่งนี้ละกัน ไอไม่บอก เอาจริงไม่ใช่สตาร์วอร์ส ไม่ต้องกลัวสปอยล์ขนาดนั้นก็ได้

อูลานบาตาร์เมื่อแรกเห็นเราประหลาดใจ อีนี่ย่อมประหลาดใจเพราะไม่ทำการบ้าน บอกตรงๆ กระซิบเบาๆ เอามือป้องปากเลยว่า เราคิดว่าประเทศนี้ยังอยู่ข้างหลังเรานะ ยังนอนกระโจม ยังเลี้ยงสัตว์กันอยู่เลยไม่ใช่เหรอ ทำไมเมืองหลวงอลังและหนาแน่นเยี่ยงนี้

จากเขตสนามบินผ่านชานเมืองมุ่งหน้าเข้าสู่ใจกลางเมืองหลวง บ้านเรือนหนาแน่นปกคลุมลาดเขา สิ่งก่อสร้างทั้งหลายสูงต่ำเบียดเสียดกันเป็นพรืดไปหมด ตรงนี้ตรงนั้นมีไซต์ก่อสร้างกำลังดำเนินการ ปล่องสูงปล่อยควันดำๆ ลอยสู่ท้องฟ้า ทำให้เรารู้ว่า อีเมืองนี้แม่งผลิตไฟฟ้าจากถ่านหินนี่หว่า แถมยังเล่นง่ายๆ เอาโรงไฟฟ้าขนาดยักษ์ยัดไว้ปริ่มๆ ชานเมืองซะเลย มิน่าฟ้าไม่ใส อากาศก็แอบขุ่นๆ อุปาทานรึเปล่าไม่รู้แหละ แต่เสียดายสิ่งนี้มาก ประเทศก็กว้าง ไม่ไปตั้งที่อื่นแล้วลากสายเอาฟะ

ยิ่งเข้าสู่ตัวเมืองรถยิ่งติดหนึบหนับ ถนนไม่กว้างนัก และที่จอดรถคงหายากสาหัสเพราะจอดมันเละละเกะกะไปหมด อีคนจะขับก็จะขับ รถติดรูเล็กรูน้อยก็มุดไป เริ่มสังเกตว่าขับรถกันโหดเหลือใจ วงเลี้ยวแบบไม่น่าจะเลี้ยวก็ยังจะม้วนเข้าไปได้ และสายตาเริ่มจดจ้องก็พบว่า รถที่นี่ไม่ค่อยมีอีโคคาร์นะ เป็นคันโตๆ ดูแพงๆ กันทั้งนั้น แต่หลายๆ คัน มีรอยชนยุบ มุมยับ
โดยเฉพาะมุมคู่หน้า กับบั้นท้าย ข้างรถบุบบู้ก็มีให้เห็น ตอนเดินเล่นตามถนน เราก็มีความพยายามอยากจะถ่ายภาพรวมซีรี่ย์คาร์ฟอร์เคลม แต่ความที่อากาศมันหนาว ปูบอก ไอ้รถที่จอดนิ่งๆ อย่าเพิ่งไปถ่ายรูปมันนะพี่ ปูเห็นมีคนนั่งอยู่ข้างใน ระแวงๆ ก็เลยแทบไม่ได้ถ่ายมา ได้แต่ดูและตื่นตาตื่นใจอย่างเดียว เป็นคนไทยคงรีบเอาไปซ่อมไม่เว้นแต่ละวัน ไอ้พวกนี้ไม่แคร์ ขับเฉย เดี๋ยวก็ชนอีกช่างแม่ม


ดูความแคบได้จากภาพด้านล่าง อีคันขวาคือจอด อีซ้ายคือเบียดไป คันเราก็เบียดตามอย่างไม่ท้อถอย

บรรยากาศตัวเมืองเมื่อแรกเห็น เท่ห์ว่ะ กลิ่นอายคอมมิวนิสต์ที่เพิ่งจางลงพร้อมกันกับสิ่งใหม่ๆ ที่เข้ามาผสมปนเป ทำให้ตึกโลว์ไรส์ถึงมีเดียมแรร์ เอ้ย มีเดียมไรส์ ดูมีหน้าตายุโร้ปยุโรป กับโทนสีน้ำตาลอ่อนครีมมี่ตัดขาวหม่นๆ ที่ดูอ้างว้างเข้ากันกับต้นพญาไร้ใบทุกๆ ต้นตลอดสองข้างทาง

กว่าจะฝ่าฟันบรรดาอุปสรรคต่างๆ ที่กล่าวมา ๔๕ นาทีเต็มๆ จากสนามบิน เราก็มาถึงเกสต์เฮาส์และทัวร์เซอร์วิสโพรไวเดอร์ที่เราได้จองไว้ก่อนหน้าแล้ว ซึ่งอยู่ห่างจากสนามบินแค่ ๑๕ กม. แม่งรถติดน้องๆ แยกรัชโยธิน

แผนของเราคือหัวท้ายอย่างละคืนในเมือง นอนที่เกสต์เฮาส์นี่ และห้าวันสี่คืนท่องทะเลทรายโกบี จัดไปให้สาสม ทั้งหมดคิดราคารวมจบหมดแล้ว จ่ายด้วย US Dollar ที่มัดจำมานิดหน่อย และเตรียมที่เหลือมา เราจึงมีความจำเป็นไม่มากนักที่จะใช้เงินมองโกเลีย และยังไม่ได้แลกไว้เลย

ตาคนแรกที่สนทนาโอภาปราศรัยกับเราอย่างดีและรื่นรมย์ตลอดการเดินทาง พาเราเข้าไปในตึกทึบๆ จากทางด้านหลังหลังจากจอดรถในตำแหน่งที่ลำบากและเสี่ยงตูดบุบเรียบร้อย ที่ข้างประตูเหล็กมีแป้นพิมพ์รหัสก่อนเข้า มารู้ทีหลังว่าไม่ใช่กรอกรหัสจะเข้าได้เลย รหัสเป็นแค่การกดออดเรียกคนข้างบนให้เปิดเท่านั้น ส่วนลูกค้าอย่างเราจะได้รับคีย์การ์ดน้อยๆ แขวนพวงกุญแจ ซึ่งมานึกได้ตอนนี้เองว่าลืมถ่ายรูปเอาไว้เป็นประจักษ์พยานความปลอดภัยอันซับซ้อนของชาวมหานครอูลานฯ แห่งนี้

ตาคนแรกพาเราขึ้นบันไดแคบๆ เหมือนทางหนีไฟซึ่งอยู่ริมสุดของตึก ชั้นล่างสุดมีประตูเหล็กแยกเข้าไปสู่ตัวอาคาร เราเดินผ่านมันไปเพราะเหมือนเป็นของเจ้าอื่น เมื่อเดินหอบหืดขึ้นถึงชานบันไดแคบๆ ที่ชั้นสองพบสองประตูเหล็กตั้งฉากกัน บานที่เปิดไปสู่ส่วนหน้าถนนเป็นสำนักงานของเกสต์เฮาส์คองเกอร์แห่งนี้ ใครมันจะไปคิดว่าประเทศที่กว้างใหญ่มีพื้นที่ ๑.๕๖๖ ล้านตารางกิโลเมตรเลยนะเห้ย ใหญ่กว่าไทยสามเท่าเด้อ มีประชากรบางเบาแค่สามล้านคน แม่งจะพากูมาเบียดกันอยู่ในโถงแคบๆ อะไรกันเนี่ย กระเป๋าอีกอะไรอีก รู้สึกย้อนแย้งสับสน

ด้านในสำนักงาน ชายหนุ่ม ชายวัยลุงสองสามคน กำลังรีโนเวทห้องกันอยู่โป้งป้าง มีวัสดุก่อสร้างวางอยู่ตรงนี้ตรงโน้น ที่หนักสุดก็คงเป็นกลิ่นสารเคมีบางอย่างที่ทำให้เรารู้สึกแสบจมูกมึนหัวคล้ายเวลาอยู่ในห้องที่เพิ่งทาสีหมาดๆ แต่กลิ่นมันต่างกัน มีผู้หญิงวัยพี่สาว (พี่สาวตูก็คือวัยป้า เข้าใจตรงกันนะ) ใส่ชุดทะมัดทะแมงสองคน คนหนึ่งเป็นทีมรีโนเวท อีกคนเข้ามาคุยกับเราว่าเป็นผู้จัดการส่วนที่พัก เราจะเรียกแกว่า พี่สาวผู้จัดการตึก แต่เนื่องจากแกไม่ใช่ผู้จัดการส่วนท่องเที่ยว จึงจะยังไม่รับเงินค่าทัวร์เราตอนนี้ แกบอกไว้ทีหลังก็ได้ ซึ่งเราผู้มีประสบการณ์การจ่ายค่าทัวร์ “ทีหลังก็ได้” แล้วก็ต้องซีดเพราะเปิดกระเป๋ามาแล้วมันไม่มีมาแล้ว ก็โคตรจะไม่อยากถือเงินไว้เลย แต่ก็จำใจต้องทำเพราะเค้าไม่ยอมเอาตังค์จริงๆ

เราได้รับพวงกุญแจมาพวงหนึ่ง กุญแจแม่งเยอะมาก ประมาณว่าเดินไปได้สองเมตรต้องไขอีกละ ความปลอดภัยมันสูงเวอร์ขนาดนั้นเหรอ เปล่าตึกมันแคบ เราได้ห้องพักที่ชั้นสาม เราจะต้องมีคีย์การ์ดไว้ตื๊ดประตูเหล็กข้างล่าง, กุญแจดอกใหญ่ฟันกุญแจรูปร่างประหลาดสุดเวอร์วังไว้ไขสำนักงานชั้นสองซึ่งมีล็อบบี้อยู่ด้วย, กุญแจโซนที่พักชั้นสาม และกุญแจห้องพักตัวเอง

เห็นห้องพักทีแรกรู้สึกว่าโดนหลอกละกู ค่าห้องพักคืนละพันกว่าบาท ทำไมให้นอนห้องรูหนูเล็กมาก เล็กสุดๆ เตียงห้าฟุตเต็มห้องพอดี เข้าไปปุ๊บ ต้องนั่งขอบเตียงเลย คือเขาพยายามบอกว่าเขารีโนเวทไม่ทัน อยู่อันนี้ไปก่อนนะไรงี้ ไอ้เราพยายามคิดนะว่า เมืองมันหนาวเหรอเลยชอบอยู่ชิดๆ กัน จะได้อิงแอบหาไออุ่นงี้เหรอ ห้องพักทุกห้องไม่มีห้องน้ำ ต้องใช้ห้องน้ำรวมที่อยู่ถัดไปสองประตู เราผลัดกันไปห้องน้ำพลางคิดว่าอีกฝ่ายที่มาด้วยกันน่าจะเป็นเพศตรงข้าม อย่างน้อยห้องแคบขนาดนี้คืนนี้แม่งมีลุ้นวะ

ระหว่างกลับจากห้องน้ำ เราเห็นประตูห้องข้างๆ เปิดไว้ เลยค่อยๆ ชะโงกหน้าเข้าไปดู เอ้าห้องติดกันนี่เป็นห้องบั๊งค์เบดเตียงสองชั้น ว่างด้วย แต่พอจะเดาได้ว่าทำไมเขาไม่ให้เราใช้ห้องนี้ คงเพราะคิดว่าเป็นห้องที่ต้องเข้าคิวรอรีโนเวท เพราะวอลล์เปเปอร์ลอกๆ พื้นไม่เรียบ หรือเตียงเก่าใดๆ ไม่สน เราสองคนลงไปขอเขาให้เปลี่ยนห้องให้ เขาก็บอก ได้ๆ แล้วกุลีกุจอไปเปลี่ยนกุญแจให้กับพวงกรุ๋งกริ๋งของเรา

ห้องใหม่ถึงจะเก่าหน่อยแต่ถูกใจมาก พื้นที่ก็กว้างกว่าเยอะ มีหน้าต่าง มองลงไปเห็นสนามบาส หนุ่มๆ เล่นบาสกันไม่กลัวหนาวซึ่งตอนนั้นก็เลขตัวเดียวแล้ว ยังมีคนใส่เสื้อยืดพอดีตัวโดดดึ๋งๆ ดั๊งค์ไปมาเพลินตาป้าจริงๆ (แต่ไม่หล่อนะ ดูไกลๆ พอเอาบรรยากาศ)

ที่ริมผนังมีท่อเหล็กทาสีหนาๆ ขดไปมา สักพักแหละถึงได้รู้ว่ามันคือเทคนิคการทำความอบอุ่นของเขา คือปล่อยน้ำร้อนเข้าไปในท่อที่เดินทั่วตึก ท่อจะปล่อยไออุ่นออกมาเรื่อยๆ สม่ำเสมอ ในส่วนของตึกนั้นไม่ว่าข้างนอกจะหนาวขนาดไหน พอเข้าข้างในแล้วก็รู้สึกสบายดีทั้งๆ ที่ไม่มีฮีตเตอร์ประจำห้อง จากการสังเกตพบว่าตึกหนามากและซีลมิดชิดหมด ไม่มีลมเข้าได้เลยแม้แต่แค่เท่ารูมด

ตอนนั่งรถมากับตาคนแรก แกบอกว่าตึกระบบเก่านี่ ดี หน้าหนาวอยู่อุ่นหน้าร้อนอยู่สบาย แต่คนยุคใหม่อยากได้ตึกกระจก เพราะเท่ห์กว่า พลางชี้ชวนดูตึกกระจกทั้งที่เสร็จแล้วและกำลังสร้าง เราทักว่า อย่างงี้ก็เปิดฮีตเตอร์กันหูตาแหกดิ ตาคนแรกบอกว่า ช่ายแล้วมันไม่อุ่นเอาซะเลย แต่มันก็เท่ห์เหลือหลาย เลือกได้ผมก็ขอแบบนี้นะ พูดพลางก็หัวเราะหึๆ

หลังจากเรื่องห้องเรียบร้อย เราเปลี่ยนเครื่องแต่งกายจากชุด ๑๐ องศาที่ปักกิ่งมาเป็นชุดเลขตัวเดียว พร้อมออกเดินเล่นยามบ่ายที่มีภารกิจดังนี้ ๑) แลกเงิน ๒) หาซิมเน็ต ๓) หาอาหารกินไปพลางเล่นเน็ตไปพลางเพราะอั้นมานาน ๔) ชมเมืองและสถานที่สำคัญในระยะเดินถึง หลังจากเห็นวิธีการขับรถในเมืองของพวกพี่ๆ เค้าแล้ว กูยอมเดิน

เราแวะปรึกษาคุณพี่สาวผู้จัดการตึกเรื่องความน่าจะเป็นที่จะได้ใช้เงินระหว่างเดินทางในทะเลทรายโกบี (น้อยมาก ไม่ค่อยมีอะไรขาย ของฝากเหรอ ลืมไปได้เลย), ร้านเน็ตน่าซื้อ (ตรงข้ามนี่เอง), ที่แลกเงิน (ห้าง เดินไปทางซ้ายมือช่วงตึกเดียว), ร้านอาหาร (ใครๆ ก็แนะนำเทรดิชั่นนอลมองโกเลียนฟู้ด แต่เรายังไม่อยากกินตอนนี้อะได้ปะ ยังต้องเจอแบบไม่มีทางเลือกอีกหลายๆ วัน ขอตุนอาหารปกติก่อนนะ – ถ้าสงสัยว่าทำไม โปรดติดตามต่อไป)

ราวบ่ายสามได้ฤกษ์ออกเดินถนน คำเตือนทั้งโดยมนุษย์, อินเตอร์เน็ตและป้ายแปะ บอกกับเราว่ามีความเสี่ยงเรื่องมิจฉาชีพล้วงกระเป๋า โดยทำทีมาพูดคุยหรือเดินเฉียดชน ก็เลยค่อนข้างระวังตัวแจ พอลงถนนเท่านั้น เฮ้ยพวกมึงมิจฉาชีพกันหมดเลยเรอะ คนมันเดินชิดกันมากอะ ไม่ว่าจะสวนจะแซงจะไปในระยะชายโค้ทตีกันปุ้กปั้ก ซึ่งมันเข้าข่ายมิจฉาชีพทั้งนั้นเลยนี่หว่า สองคนหลอนมาก เดินกอดกระเป๋าไม่กล้าถ่ายรูปไม่กล้าทำอะไรอยู่นานมากเลย ตอนหลังเริ่มสังเกตว่า คนมันเดินชิดกันอยู่แล้ว ส่วนมิจฉาชีพที่ไหนก็เหมือนๆ กัน ก็ระวังๆ เอา แต่ไม่ต้องหลอนขนาดนั้น บ้าไปแล้ว

เราแลกเงินทูกรุก (สกุลเงินมองโกเลียที่ไม่รู้เลยจนตอนจะเขียนนี่เพิ่งเปิดวิกิ) มา ๑๐๐ ดอลลาร์ กะว่าพอแล้วล่ะ จากนั้นเดินย้อนกลับมาซื้อเน็ตที่ร้าน Unitel ข้างในหรูหราเหมือนเข้าช็อปมือถือบ้านเรา เข้าไปนั่งเก้าอี้ ได้รับบริการอย่างดี เลือกซิม และเปิดใช้ตรงนั้นเลยโดยมีคุณพนักงานช่วย สนนราคาคนละ ๑๓๐ บาท ความเร็วสูงจำกัดดาต้าแต่ใช้ได้ตลอดทริป และเป็นยี่ห้อที่เขาบอกว่า เหมาะกับคันทรี่ไซต์ที่สุดแล้ว

จากนั้นเราก็หิวหน้ามืด เลยเข้าร้านอาหารอินเดียใกล้ๆ นั่นแหละ สั่งอาหารเสร็จก็ก้มหน้าเช็คโซเชียลกันอย่างโหยกระหายในข้อมูลและเรื่องราว (ที่ส่วนมากก็ไม่ค่อยมีผลอะไรกับชีวิตอะนะ) อาหารอินเดียก็คืออินเดีย จานใหญ่อลังการเหนือคาดไม่ว่าจะสั่งที่ประเทศไหนๆ ในระหว่างมื้ออาหารก็สำราญลิ้นดี อร่อยใช้ได้เลย เราสองคนสั่งแกงหนึ่งอย่าง ปลาทอดหนึ่งจาน กินกับแป้งนานชีสใหญ่เท่ากระด้ง ทุกอย่างเหลือครึ่งหนึ่งและห่อกลับไปเป็นมื้อดึกด้วย

กว่าจะออกจากร้านอินเดียปาไปสี่โมงกว่า อุณหภูมิลดต่ำลงอีกสองสามองศา รู้สึกว่ารายการสถานที่สำคัญที่อยากชมคงไปได้ไม่หมดแล้ว แต่ถึงกระนั้นเราก็ลองเดินไปดู ที่แรกคือพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์แห่งชาติมองโกเลียในระยะ ๑.๓ กม. อีตอนออกเดิน เริ่มผิดทางไปสองสามร้อยเมตร ขาดทุนไปอีก เราเจออากาศแรงๆ แบบนี้นานๆ ครั้ง รู้สึกว่าการปรับตัวในวันแรกยังไม่ไหลลื่นนัก ร่างอ้วนๆ ของป้าเมืองร้อนที่ไม่ค่อยได้แบกโค้ทบนไหล่หรือขยับตัวใต้โค้ทซึ่งมันกินแรงมากขึ้นอีกนิด ก็อ่อนล้ามาก ระหว่างเดินๆ อยู่ แอบมีวูบจะเป็นลมนิดหน่อย แต่สุดท้ายก็ไปถึงจนได้ด้วยเวลาสี่โมงสี่สิบห้า ตอนนี้ตกอยู่ในโซนหน้าหนาว เขาหยุดขายตั๋วตอนสี่โมงครึ่ง แม้ว่าพิพิธภัณฑ์จะปิดหกโมงแต่เข้าไปไม่ได้ละ เจ็บปวด เลยขอคุณเจ้าหน้าที่เข้าไปฉี่อย่างเดียว ซึ่งแกก็อนุญาต เอาวะ ไม่ได้ดู ได้เยี่ยวรดเป็นการเช็คอินก็ยังดี

ถามคุณเจ้าหน้าที่ว่าพิพิธภัณฑ์ศิลปะใกล้ๆ นี่ยังเปิดไหม ก็ได้คำตอบว่าปิดแล้วเหมือนกัน หลังจากแห้วกับมิวเซียมแล้ว บรรยากาศมันยังอึนไม่ถึงใจ ฝนก็เริ่มโปรยปรายลงมา ฝนเม็ดบางมากจนแทบจะไม่ทำให้พื้นเปียก แต่ด้วยความที่มันหนาว กันป่วยไว้ก่อน มีอะไรคลุมหัวได้ก็คลุมไป เราสองคนก็บ่ายหน้าไปยังจัตุรัสเจงกิสข่าน ซึ่งอยู่ไม่ไกลกันนัก หลังจากมีอินเตอร์เน็ตใช้ กิจกรรมโปรดของเราสองคนคือเช็คมือถือว่าอุณหภูมิลดต่ำเท่าไหร่แล้ว ซึ่งขณะนั้นอุณหภูมิเป็นเลขตัวเดียวมาสักพักแล้ว แต่ลมพัดกระพือยิ่งโคตรหนาว เดินก็เหนื่อย หยุดเดินก็หนาว โวะ..

ตอนถึงจัตุรัส ฝนหนาเม็ดขึ้นอีก ลมแรง เย็นจัด เป็นเวลาประมาณห้าโมงหน่อยๆ ผู้คนชาวมองโกเลียใช้ชีวิตปกติในสายลมเม็ดฝน คนนั่งคุยกันที่ม้านั่ง ก็ไม่มีทีท่าจะหนีไปไหน อาซิ่มจูงหลานมาเดินเล่น ก็ยังคงเดินเล่นอยู่ บนฟ้ากลายเป็นสีเทา เห็นม่านฝนกระเจิงฟุ้งมาจากทางขุนเขา เราสองคนหนาวจนหงิก พอเหยียบเข้าไปในลานจัตุรัส ก็ถูกหญิงวัยพี่สาวท่านหนึ่งเข้าชาร์จทันที

ความกังวลก็รวบกระเป๋าอยู่อีกพักหนึ่งจนพบว่าเธอพุ่งเข้ามาขายภาพเขียนสีน้ำบ้าง สีน้ำมันบ้าง ส่วนมากเป็นภาพแลนด์สเคป มีภาพสไตล์โบราณด้วย วาดบนกระดาษก็มี วาดบนหนังก็มา ตอนแรกเราไม่คิดจะช้อปหรอก แต่ของเค้าสวยจริง ยิ่งดูยิ่งเคลิบเคลิ้ม คิดเพ้อไปว่าถ้ามันไปอยู่บนผนังห้องเรามันจะงามซักแค่ไหนเนาะ แหม่.. สักพักมีตาหนุ่มอีกคนเข้ามาโชว์สินค้าของตัวเองด้วย สวยกว่าอีเจ๊เข้าไปอีก เราสองคนสับสนมาก สองคนนั้นพรีเซ็นต์สินค้าแบบไม่เป็นปฏิปักษ์กัน มันทำให้เรารู้สึกสบายใจ สุดท้ายช็อปเบิกฤกษ์กันไปคนละหลายตังค์ จ่ายเป็นดอลลาร์ ไม่ได้แพงนะ คือละโมบซื้อรูปใหญ่กัน แล้วก็ปลื้มสิ่งที่ได้มามากๆ หอบหิ้วกันอย่างดีตลอดทางเลย

เมื่อชมอนุสาวรีย์เจงกิสข่านในความหนาวเหน็บกันแล้ว เราสองคนก็บ่ายหน้ากลับ ตอนนั้นเรามัวแต่ดูทาง และปรับตัวกับความหนาว ลืมสังเกตไปว่า เป็นเวลาเกือบหกโมงแล้ว ถ้าไม่นับว่ามีฝนนี่ฟ้ายังสว่างอยู่เลย เราเดินกลับอีกทางมี GPS จะกลัวอะไร เมื่อใกล้ถึงที่พักก็เจอคาเฟ่เล็กๆ แห่งหนึ่ง เลยชวนกันเข้าไปหาอะไรอุ่นๆ กิน ข้างในร้านอบอุ่นมากด้วยประตูสองชั้นกับผนังหนาเตอะ เรานั่งชิวกับเครื่องดื่มร้อนๆ อุ่นฝ่ามือ มองดูผู้คนชาวอูลานบาตาร์เดินกันขวักไขว่สักครู่ก็ชวนกันเดินกลับตอนที่ช็อคโกแลตร้อนยังเหลือและยังร้อน จะได้ถือจิบไปอุ่นคออุ่นมือไประหว่างทางกลับ

ตอนออกจากร้านเป็นเวลาเกือบทุ่ม ฟ้าก็ยังสว่างอยู่เลยเห้ย นี่มันอะไรกันเนี่ย

สิ่งหนึ่งที่จะไม่เล่าไม่ได้เลย คือสาวๆ ที่นี่
บอกไปแล้วนะว่าหนุ่มไม่เจอหล่อๆ เลย ปิดเคสไป ส่วนสาวๆ นั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง เราสมมติฐานเองง่อยๆ ว่าเพราะมองโกเลียเป็นดินแดนแห่งม้า คงไม่มีที่ไหนในโลกอีกแล้วที่มีประชากรม้ามากกว่าคน และเราสามารถเป็นเจ้าของม้าได้ฟรี แค่ไปจับมันมาให้ได้จากในธรรมชาติ เด็กๆ ที่นี่ถูกจับไปวางบนหลังม้าแต่เล็กแต่น้อย อันนี้อีไกด์ซึ่งเรายังไม่กล่าวถึงเล่าให้ฟังนะ ผนวกกับอากาศที่หนาวเย็นและแปรเปลี่ยนรุนแรง
นอกจากโค้ทสารพัดรูปแบบแล้ว สาวๆ ที่นี่แต่งท่อนล่างเหมือนชุดขี่ม้า คือใส่กางเกงเฮียะ ใครที่รู้จักเกงเฮียะแล้วก็ นั่นแหละนะฮะ ตามนั้น ส่วนใครที่ยังไม่รู้จัก คุณมีจิตใจและประสบการณ์ชีวิตที่ใสสว่างมากฮะ เราขอทำให้มันแปดเปื้อนบัดเดี๋ยวนี้ เกงเฮียะ ย่อมาจากเฮียะตึงปี๋ ใส่รัดติ้วจนชาวต่างชาติเขิน สวนมาแต่ละรายนี่ตูไม่ได้มองหน้าเลย ตูสป็อตเป้าก่อนเลย มันช่างเด่นเหลือเกิน แล้วผู้คนมองโกเลียส่วนมากตัวสูง ผู้หญิงสูงขายาว แต่งตัวสวยเท่ห์ มีอยู่ทั่วไป จะมีบางรายใส่โค้ทสั้น มันก็จะเซ็กซี่หน่อย

ก่อนกลับขึ้นห้อง เราเดินไปร้านขายของข้างๆ ก่อนเพื่อตุนขนมและมาม่าสำหรับการท่องทะเลทรายโกบี ซึ่งเพิ่งตกลงกันว่าจะเอามาม่าไปด้วย ร้านนั้นคือแฟรนชายส์ Circle K ที่ปูบอกว่ามีที่ญี่ปุ่น ร้านนี้ฮอตมากสุดๆ ของไม่เยอะเท่าเซเว่นบ้านเรา แต่เน้นของกิน มีบรรดาฮอตดอกร้อน และมีที่ให้นั่งกินด้วย ถึงอากาศจะหนาวเหน็บแต่เราก็มองซอฟต์ครีมตาละห้อย

เราขึ้นห้อง เก็บข้าวของ แล้วลงมาห้องทานอาหารเพื่ออุ่นอาหารอินเดียเหลือกินกันเป็นมื้อเย็น พนักงานในเกสต์เฮาส์อีกคน ที่เจอตลอด แต่พูดอังกฤษไม่ค่อยได้ ก็มาป้วนเปี้ยนนิดหน่อย แต่คนนี้พวกเราไม่ค่อยชอบ เราจะเรียกมันว่า ตี๋กาก เพราะมันดูกากๆ พอเสร็จมื้อเย็น เราสองคนก็กลับขึ้นห้อง ผลัดกันอาบน้ำและจัดกระเป๋าใหม่ เตรียมตัวให้พร้อมสำหรับการเดินทางวันรุ่งขึ้น

สี่ทุ่มครึ่ง รู้สึกน้ำเปล่าจะไม่พอกิน เลยลงไป Circle K อีกครั้ง อากาศหนาวเวอร์วังมาก ตอนนั้นน่าจะ ๑ องศาได้ ปูบอก เดี๋ยวได้มีหิมะตก เราไม่เคยมีประสบการณ์หิมะตกใส่ เคยแค่รู้ว่ามันตกแล้วพุ่งไปเที่ยวเล่น จึงกะไม่ถูกว่ามันจะตกจริงๆ เหรอ มันจะมายังไงของมัน จากนั้นพอกลับห้อง ก็ผลัดกันอาบน้ำ

ก่อนเราเข้าห้องน้ำ โลกยังปกติอยู่เลย พอเราอาบเสร็จออกมาทุกอย่างก็ขาวโพลน

ตื่นเต้นมากกกก หิมะโปรยปรายลงมาอย่างพัลวันเพราะลมหนุน เราสองคนมองหน้ากัน อยากนอนก็อยากนอน ตอนนั้นห้าทุ่มนิดๆ ละ แต่ประสบการณ์บางอย่าง อยู่บ้านก็ไม่มีอะนะ ทำไงได้ ธรรมชาติกำลังสำแดงพลังอีกชนิดที่เราไม่เคยคุ้น เราเลยแต่งตัวใหม่อีกรอบ อีนี่ใส่กางเกงนอนขาสั้น เกิดคึกขี้เกียจเปลี่ยนขึ้นมาเลยเอาโค้ททับใส่บู๊ทแล้วลงไปเลย ก่อนมาก็คิดว่า เออ ไอ้คนอย่างเรา ที่ออฟฟิศเปิดแอร์แรงไปหน่อย ก็หนาวจนปากเขียวละ พอมาเจอความหนาวที่ ๐ องศานี่มันยังไงนะ มันจินตนาการไม่ถูก

เอาเข้าจริงๆ มันหนาวจนชา เราต้องคอยมีสติเช็คว่าอวัยวะเรามันยังรู้สึกครบอยู่นะ บู๊ทเพิ่งซื้อมาใหม่ คนขายบอกกันน้ำ เราย่ำลงไปในปุยหิมะที่เพิ่งฝังกลบพื้นได้ไม่กี่นาที รองเท้าจมไปเป็นเซ็นต์แต่น้ำไม่เข้าเลย ผ่านโว้ย เย้ๆ เราสองคนวิ่งไปวิ่งมา พยายามถ่ายรูป พยายามทักทายคุณหิมะ ที่สวยงามและเย็นชา หน้าแข้งไร้ผ้าปิดของเราชามากขึ้นทุกที มือที่จำต้องเอาออกมากดชัตเตอร์เย็นเฉียบและเกร็งๆ และแล้วเราสองคนก็ยอมแพ้ กลับขึ้นห้องไปเก็บข้าวของต่อ ส่วนเรายังเกาะขอบหน้าต่าง ถ่ายรูปคุณหิมะอีกนานเลย

โอมานอีสออซั่มมมม #๖

เมื่อถึงเวลาต้องบอกลาทะเลทราย เรามุ่งหน้ากลับสู่บ้านเงาะมาร์คแบบรวดเดียว มีแวะปั๊มกลางทางครั้งนึง เสาะหากาแฟเย็นหอมหวานที่ติดใจกันไปซะแล้ว ตอนแวะปั๊มมีเรื่องน่าเล่าอยู่เรื่องหนึ่ง แต่ไม่ใช่ของวันนี้ เป็นของวันที่เราเพิ่งออกจากแค้มปิ้งริมทะเล คือเงาะปวดฉี่มาก แต่อยู่ในชุดเสื้อกล้ามกางเกงขาสั้นสบายๆ จากชายหาดแล้วโดดขึ้นมาขับรถเลย พอถึงปั๊มจะลงรถ ก็คิดได้ว่าชุดไม่เหมาะสม ถ้าลงไปแบบนี้ชาวบ้านอาจจะไม่ชอบใจ เลยต้องเอาผ้าคุลมสองผืนให้พันตัวไปเข้าห้องน้ำ แต่ละครั้งที่เราซื้อของที่ปั๊มก็จะเจอรีแอคสองแบบ แบบหนึ่งคือเหยียดเลยตรงๆ ไม่เก็บอาการ อีชะนีผมยาว เอาเงินมาแล้วรีบไปซะมึง ชิ้วๆ อีกแบบคือบริการปกติ เพิ่มเติมคือมองมากเป็นพิเศษนิดหน่อยไม่น่าเกลียดอะไร อย่างหลังนี่เดาว่าเป็นพวก Expat เข้ามาทำงาน และพนักงานที่ปั๊มที่เจอก็ล้วนแต่เป็นผู้ชาย ไม่มีผู้หญิงเลย

สองข้างทางค่อยๆ แปรสภาพจากทะเลทรายกลายเป็นพื้นที่แห้งแล้ง ภูเขาหินสลับซับซ้อน และพอใกล้เมือง สีเขียวของต้นไม้ต้นไร่ก็เริ่มแต่งแต้มทิวทัศน์ของเราอีกครั้ง ฝ่ารถติดเล็กน้อยที่มัสกัต ถ้าเข้าใจไม่ผิด เราเจอเข้ากับขบวนเสด็จของสุลต่านด้วย ราวๆ เที่ยงวัน พระอาทิตย์กำลังขยันทำงานเต็มกำลัง เราก็ถึงบ้าน

ทุกคนช่วยกันเอาของลงจากรถ แขก (ดอย) อย่างพวกเราทำได้แค่ช่วยยกเข้าบ้าน แต่เรื่องจัดเข้าที่คงต้องเหนื่อยเจ้าบ้านแล้ว ทุกคนอาจจะกำลังมึนแดด ตอนกำลังมุดหัวเช็คของจากประตูท้ายของรถขาว มุ้ยบอกด้วยความเป็นห่วงว่า แอ้ระวังมือนะ เราหันไปถามว่า แกห่วงอะไรมือชั้น หัวชั้นนี่มุดอยู่ทั้งหัว กลายเป็นมุกประจำกลุ่มกันไป

หลังจากนั้นทุกคนก็แยกย้ายกันไปพักผ่อนคนละมุม มุ้ยเอารองเท้าอับชื้นมาล้างอย่างสะอาดแล้วปิ้งแดดที่แรงระดับที่ว่า ถ้ามีไอน้ำลอยขึ้นต่อหน้าต่อตาจะไม่แปลกใจ เราทำตามบ้าง แต่ไม่ล้างสะอาดเท่ามุ้ย กรรมเข้าภายหลังคือกลับมาแล้วรองเท้าเหม็นอยู่ ๓ เดือน ใส่ไม่ได้เลย ซักไปไม่รู้กี่รอบกว่ากลิ่นจะหาย ในขณะที่คนอื่นพักผ่อน เราต้องหาอะไรเล่นอีกเช่นเคย ด้วยความคึก และความประทับใจในรถแดง เลยเอาอุปกรณ์ออกมานั่งวาดรูปรถแดงนอกบ้าน เสียงคอมแอร์ครางต่ำๆ ได้ยินเหมือนมันกำลังพูดว่า เข้ามาตากแอร์ เข้ามาตากแอร์

ก่อนสีโมงเย็นเล็กน้อย แดดลดกำลังลงนิดหน่อย ท้องฟ้าเริ่มมีสีสวย มาร์คสลัดคราบสิงห์ทะเลทรายทิ้งไว้ที่ประตูบ้าน และใช้เวลาลุงๆ หน้าทีวี เงาะพาเราสามคนออกไปเที่ยวตลาดมัทรายามเย็น ซึ่งเป็นเวลาที่เจ้าถิ่นแนะนำว่าจะไม่ร้อนจนทรมานมากนัก

ตอนไปถึง พวกเราก็พบว่าที่จอดรถมันเป็นแบบออโต้ หยอดเงินรับการ์ดอะไรสักอย่าง ซึ่งโคตรงงเลย ต้องสะกดรอยดูว่าชาวบ้านเขาทำกันยังไง กว่าจะจอดรถได้ แดดก็กลายเป็นสีทองสวยพอดิบพอดี เราจอดรถบริเวณที่เป็นเวิ้งอ่าวที่เรือสุลต่านจอดอยู่ นกหลายตัวบินฉวัดเฉวียนใกล้ผิวน้ำ มันคงชวนเพื่อนมากินมื้อเย็นกัน ฟุตปาธตรงนี้กว้างและสวย มีคนเดินไปมาขวักไขว่ ทั้งคนท้องถิ่นและนักท่องเที่ยว เวลาถ่ายรูปต้องพยายามหลบๆ ผู้คนท้องถิ่นโดยเฉพาะผู้หญิง ไม่อยากจะมีเรื่อง

ระหว่างเดินไปยังตลาดมัทรา ทอดสายตาเลยไปนิดหน่อยจะเห็นมัทราฟอร์ทเด่นเป็นสง่าอยูบนยอดเขา ฟอร์ทนี้มีอายุเก่าแก่ถึงสี่ร้อยกว่าปี สร้างขึ้นโดยชาวโปรตุเกสเพื่อต้านทานการรุกรานของออตโตมัน สมัยที่จักรวรรดิออตโตมันกำลังรุ่งเรืองและขยายอาณาเขต พระจันทร์ใจร้อนรีบขึ้นมาพ้นขอบฟ้า โผล่หลังฟอร์ทเหมือนเรียกร้องว่า ถ่ายรูปฉันสิ

ที่ตลาดมัทรา คนเดินด้านหน้าปากทางเข้ากันขวักไขว่ เงาะบอกให้ระวังพวกคนโอมานแก่ๆ ที่ดูรวยๆ ถือไม้ตะพด บางทีไม่ชอบใจใครก็เอาไม้ฟาดดื้อๆ โดยเฉพาะผู้หญิง นี่คิดนะว่าถ้ามึงเงื้อมา กูคว้าอีกปลายละฟาดกลับแน่ๆ ฟาดมาฟาดกลับไม่โกง สัญญาเลย ดีที่ไม่มีใครเปิดก่อน เลยได้เดินตลาดอย่างสงบสุข

ร้านรวงในตลาดเปิดแผงหน้าร้านกว้างกว่าจตุจักร ข้าวของเยอะ สวยๆ แปลกตาทั้งนั้น แต่เรางกเลยช้อปมาแค่ไม่กี่อย่าง สิ่งที่พุ่งเข้าใส่เป็นอย่างแรกคือผ้าคลุมผืนใหญ่ จับแล้วรู้สึกดีว่ะ ไม่เหมือนผืนละร้อยสองร้อยที่ใช้อยู่ หลังจากต่อราคากันอย่างเมามัน ก็ดีลในที่สุด ทุกวันนี้ผ้าผืนนี้ก็ยังเป็นผืนโปรด ไปไหนมาไหนด้วยกันมาหลายทริปแล้ว นอกจากผ้า เราซื้อโปสการ์ดมาปึกหนึ่ง แล้วเห็นคนขายท่าทางใจดี เลยถามว่าเขียนภาษาโอมาน (Omani Arabic) ได้ไหม แกบอกแกเขียนไม่ได้เพราะไม่ใช่คนโอมาน แต่แกเรียกลุงท่าทางใจดีอีกคนนึงมาเขียนให้ บอกว่าลุงเนี่ยเขียนได้ เราออกเสียงชื่อตัวเองให้แกฟังสามสี่ครั้ง แกบอกเขียนให้ตรงเป๊ะๆ ภาษาโอมานไม่มีนะหมวย เลยสะกดชื่อเราออกมาคล้ายๆ ภาษาญี่ปุ่น พิทิปุ เรามีความสนใจในตัวหนังสือภาษาต่างๆ อย่างสม่ำเสมอ และปิ๊งภาษาอาหรับมาก เราว่าโคตรเท่ห์เลย พอได้ตัวสะกดชื่อตัวเองมา กลับมาก็มากูเกิ้ลดูพวก Arabic for dummies จนสะกดชื่อเพื่อนๆ ได้หมดทุกคนเลย (ที่รู้เพราะผสมอักษรแล้วเอาไปให้กูเกิ้ลอ่าน มันอ่านออกมาได้ใกล้เคียงมาก) นอกจากนั้นก็ได้หมึกเขียนเฮนน่ามาเล่น แต่สุดท้ายลองนิดหน่อยแล้วล้างไม่ค่อยออก เลยไม่กล้าเล่นเลยจ้า กลัวต้องไปเลเซอร์ลบรอยสักปานแดงปานดำ

พวกเราใช้เวลากันพอสมควรในตลาดมัทรา ถ้าเป็นคนถ่ายรูปเก่งๆ เราว่าถ่ายรูปสนุกเลยแหละ ตอนเดินกลับฟ้าก็มืดหมดแล้ว เพื่อนๆ โดนป้าร้านอินทผาลัมตกอย่างจัง ช้อปป้าไม่พอ ยังไปช้อปห้างต่ออีกคนละถังใหญ่ๆ อินทผาลัมหรือ Date บ้านเราก็ปลูกได้ แต่แปลก บ้านเราน้ำมากกว่า ลูกมันกลับไม่หวานหอมเหมือนของปลูกทะเลทรายแท้ๆ พอออกจากตลาด เราสี่คนก็เลยมุ่งหน้าไปห้างสำหรับมื้อเย็น และสำรวจซุปเปอร์มาร์เก็ตก่อนกลับ รีวิวแบบเร็วๆ เลยนะ อาหารญี่ปุ่นไม่อร่อย อินทผาลัมถูก และชีสต่างๆ ราคาถูกมาก

ด้วยความกระหายอาหารญี่ปุ่นเลยลองไปจัดดูซักหน่อย ปรากฏว่าสวยแต่รูปว่ะ ความอร่อยไม่สมราคาเท่าไหร่ แต่ก็แก้ขัดพอได้

เช้าวันถัดมา เราตื่นแต่เช้าเฝ้าตะวันขึ้นบนดาดฟ้าตามปกติ จากนั้นก็แพ็คกระเป๋าอย่างยากลำบากเพราะต้องหาที่ยัดชีสกับอินทผาลัมถังย่อมๆ เนื่องจากสายวันนั้นเราจะไปชมแกรนด์มอสก์ ซึ่งเราขอแปลเองว่ามัสยิดหลวงก็แล้วกัน ในมัสยิดย่อมจะมีเดรสโค้ด ซึ่งก็ไม่ยากแค่ปิดแขนขาและผม ชุดเราเตรียมมาแล้ว ผ้ามี แต่โพกผ้าไม่เป็นเลยเปิดยูทูปทำตาม ซ้อมอยู่หลายรอบกว่าจะโพกให้แน่นได้ แต่ออกมาแล้วดูไม่จืดเลย การโพกผ้าฺฮิญาบน่าจะเหมาะกับคนที่หน้าคมๆ ตาโตๆ เพราะสีเข้มของผ้าจะไม่สามารถกลบเครื่องหน้าได้ แต่อีป้าตาตี่แบบเรา แม่งขนมเข่งมากๆ อะ แก้มมันล้นออกมาแล้วตาเป็นขีดๆ บัดซบ

มาถึงตรงนี้ เราเสียใจที่จะต้องเล่าตามตรงว่า เราไปถึงลานจอดรถของมัสยิดหลวงซึ่งค่อนข้างกว้างและอยู่ด้านหลัง ต้องอ้อมประมาณนึงถึงจะเจอทางเข้าตอนเวลา ๑๐:๔๐ ด้านในสุดของมัสยิดเปิดให้ชมถึง ๑๑:๐๐ โดยเวลาที่เหลือเดินภายนอกได้อีกนิดหน่อยก่อนถูกกวาดต้อนออก โอ๊ย.. รีบมาก ลนลานที่สุด เสียดายที่ไม่ได้ใช้เวลาชมช้าๆ คนไม่เยอะเท่าไหร่ มัสยิดหลวงสวยงามและโอ่โถงมากๆ แดดแจ่มจ้ายามสายซอกซอนเข้าไปทุกอณูที่จะเข้าได้

เขียนยังไม่เสร็จ ไปนอนละ พรุ่งนี้ต้องตื่นเช้า เดี๋ยวมาแก้วันหลัง บั๊ย..