โอมานอีสออซั่มมมม #๖

เมื่อถึงเวลาต้องบอกลาทะเลทราย เรามุ่งหน้ากลับสู่บ้านเงาะมาร์คแบบรวดเดียว มีแวะปั๊มกลางทางครั้งนึง เสาะหากาแฟเย็นหอมหวานที่ติดใจกันไปซะแล้ว ตอนแวะปั๊มมีเรื่องน่าเล่าอยู่เรื่องหนึ่ง แต่ไม่ใช่ของวันนี้ เป็นของวันที่เราเพิ่งออกจากแค้มปิ้งริมทะเล คือเงาะปวดฉี่มาก แต่อยู่ในชุดเสื้อกล้ามกางเกงขาสั้นสบายๆ จากชายหาดแล้วโดดขึ้นมาขับรถเลย พอถึงปั๊มจะลงรถ ก็คิดได้ว่าชุดไม่เหมาะสม ถ้าลงไปแบบนี้ชาวบ้านอาจจะไม่ชอบใจ เลยต้องเอาผ้าคุลมสองผืนให้พันตัวไปเข้าห้องน้ำ แต่ละครั้งที่เราซื้อของที่ปั๊มก็จะเจอรีแอคสองแบบ แบบหนึ่งคือเหยียดเลยตรงๆ ไม่เก็บอาการ อีชะนีผมยาว เอาเงินมาแล้วรีบไปซะมึง ชิ้วๆ อีกแบบคือบริการปกติ เพิ่มเติมคือมองมากเป็นพิเศษนิดหน่อยไม่น่าเกลียดอะไร อย่างหลังนี่เดาว่าเป็นพวก Expat เข้ามาทำงาน และพนักงานที่ปั๊มที่เจอก็ล้วนแต่เป็นผู้ชาย ไม่มีผู้หญิงเลย

สองข้างทางค่อยๆ แปรสภาพจากทะเลทรายกลายเป็นพื้นที่แห้งแล้ง ภูเขาหินสลับซับซ้อน และพอใกล้เมือง สีเขียวของต้นไม้ต้นไร่ก็เริ่มแต่งแต้มทิวทัศน์ของเราอีกครั้ง ฝ่ารถติดเล็กน้อยที่มัสกัต ถ้าเข้าใจไม่ผิด เราเจอเข้ากับขบวนเสด็จของสุลต่านด้วย ราวๆ เที่ยงวัน พระอาทิตย์กำลังขยันทำงานเต็มกำลัง เราก็ถึงบ้าน

ทุกคนช่วยกันเอาของลงจากรถ แขก (ดอย) อย่างพวกเราทำได้แค่ช่วยยกเข้าบ้าน แต่เรื่องจัดเข้าที่คงต้องเหนื่อยเจ้าบ้านแล้ว ทุกคนอาจจะกำลังมึนแดด ตอนกำลังมุดหัวเช็คของจากประตูท้ายของรถขาว มุ้ยบอกด้วยความเป็นห่วงว่า แอ้ระวังมือนะ เราหันไปถามว่า แกห่วงอะไรมือชั้น หัวชั้นนี่มุดอยู่ทั้งหัว กลายเป็นมุกประจำกลุ่มกันไป

หลังจากนั้นทุกคนก็แยกย้ายกันไปพักผ่อนคนละมุม มุ้ยเอารองเท้าอับชื้นมาล้างอย่างสะอาดแล้วปิ้งแดดที่แรงระดับที่ว่า ถ้ามีไอน้ำลอยขึ้นต่อหน้าต่อตาจะไม่แปลกใจ เราทำตามบ้าง แต่ไม่ล้างสะอาดเท่ามุ้ย กรรมเข้าภายหลังคือกลับมาแล้วรองเท้าเหม็นอยู่ ๓ เดือน ใส่ไม่ได้เลย ซักไปไม่รู้กี่รอบกว่ากลิ่นจะหาย ในขณะที่คนอื่นพักผ่อน เราต้องหาอะไรเล่นอีกเช่นเคย ด้วยความคึก และความประทับใจในรถแดง เลยเอาอุปกรณ์ออกมานั่งวาดรูปรถแดงนอกบ้าน เสียงคอมแอร์ครางต่ำๆ ได้ยินเหมือนมันกำลังพูดว่า เข้ามาตากแอร์ เข้ามาตากแอร์

ก่อนสีโมงเย็นเล็กน้อย แดดลดกำลังลงนิดหน่อย ท้องฟ้าเริ่มมีสีสวย มาร์คสลัดคราบสิงห์ทะเลทรายทิ้งไว้ที่ประตูบ้าน และใช้เวลาลุงๆ หน้าทีวี เงาะพาเราสามคนออกไปเที่ยวตลาดมัทรายามเย็น ซึ่งเป็นเวลาที่เจ้าถิ่นแนะนำว่าจะไม่ร้อนจนทรมานมากนัก

ตอนไปถึง พวกเราก็พบว่าที่จอดรถมันเป็นแบบออโต้ หยอดเงินรับการ์ดอะไรสักอย่าง ซึ่งโคตรงงเลย ต้องสะกดรอยดูว่าชาวบ้านเขาทำกันยังไง กว่าจะจอดรถได้ แดดก็กลายเป็นสีทองสวยพอดิบพอดี เราจอดรถบริเวณที่เป็นเวิ้งอ่าวที่เรือสุลต่านจอดอยู่ นกหลายตัวบินฉวัดเฉวียนใกล้ผิวน้ำ มันคงชวนเพื่อนมากินมื้อเย็นกัน ฟุตปาธตรงนี้กว้างและสวย มีคนเดินไปมาขวักไขว่ ทั้งคนท้องถิ่นและนักท่องเที่ยว เวลาถ่ายรูปต้องพยายามหลบๆ ผู้คนท้องถิ่นโดยเฉพาะผู้หญิง ไม่อยากจะมีเรื่อง

ระหว่างเดินไปยังตลาดมัทรา ทอดสายตาเลยไปนิดหน่อยจะเห็นมัทราฟอร์ทเด่นเป็นสง่าอยูบนยอดเขา ฟอร์ทนี้มีอายุเก่าแก่ถึงสี่ร้อยกว่าปี สร้างขึ้นโดยชาวโปรตุเกสเพื่อต้านทานการรุกรานของออตโตมัน สมัยที่จักรวรรดิออตโตมันกำลังรุ่งเรืองและขยายอาณาเขต พระจันทร์ใจร้อนรีบขึ้นมาพ้นขอบฟ้า โผล่หลังฟอร์ทเหมือนเรียกร้องว่า ถ่ายรูปฉันสิ

ที่ตลาดมัทรา คนเดินด้านหน้าปากทางเข้ากันขวักไขว่ เงาะบอกให้ระวังพวกคนโอมานแก่ๆ ที่ดูรวยๆ ถือไม้ตะพด บางทีไม่ชอบใจใครก็เอาไม้ฟาดดื้อๆ โดยเฉพาะผู้หญิง นี่คิดนะว่าถ้ามึงเงื้อมา กูคว้าอีกปลายละฟาดกลับแน่ๆ ฟาดมาฟาดกลับไม่โกง สัญญาเลย ดีที่ไม่มีใครเปิดก่อน เลยได้เดินตลาดอย่างสงบสุข

ร้านรวงในตลาดเปิดแผงหน้าร้านกว้างกว่าจตุจักร ข้าวของเยอะ สวยๆ แปลกตาทั้งนั้น แต่เรางกเลยช้อปมาแค่ไม่กี่อย่าง สิ่งที่พุ่งเข้าใส่เป็นอย่างแรกคือผ้าคลุมผืนใหญ่ จับแล้วรู้สึกดีว่ะ ไม่เหมือนผืนละร้อยสองร้อยที่ใช้อยู่ หลังจากต่อราคากันอย่างเมามัน ก็ดีลในที่สุด ทุกวันนี้ผ้าผืนนี้ก็ยังเป็นผืนโปรด ไปไหนมาไหนด้วยกันมาหลายทริปแล้ว นอกจากผ้า เราซื้อโปสการ์ดมาปึกหนึ่ง แล้วเห็นคนขายท่าทางใจดี เลยถามว่าเขียนภาษาโอมาน (Omani Arabic) ได้ไหม แกบอกแกเขียนไม่ได้เพราะไม่ใช่คนโอมาน แต่แกเรียกลุงท่าทางใจดีอีกคนนึงมาเขียนให้ บอกว่าลุงเนี่ยเขียนได้ เราออกเสียงชื่อตัวเองให้แกฟังสามสี่ครั้ง แกบอกเขียนให้ตรงเป๊ะๆ ภาษาโอมานไม่มีนะหมวย เลยสะกดชื่อเราออกมาคล้ายๆ ภาษาญี่ปุ่น พิทิปุ เรามีความสนใจในตัวหนังสือภาษาต่างๆ อย่างสม่ำเสมอ และปิ๊งภาษาอาหรับมาก เราว่าโคตรเท่ห์เลย พอได้ตัวสะกดชื่อตัวเองมา กลับมาก็มากูเกิ้ลดูพวก Arabic for dummies จนสะกดชื่อเพื่อนๆ ได้หมดทุกคนเลย (ที่รู้เพราะผสมอักษรแล้วเอาไปให้กูเกิ้ลอ่าน มันอ่านออกมาได้ใกล้เคียงมาก) นอกจากนั้นก็ได้หมึกเขียนเฮนน่ามาเล่น แต่สุดท้ายลองนิดหน่อยแล้วล้างไม่ค่อยออก เลยไม่กล้าเล่นเลยจ้า กลัวต้องไปเลเซอร์ลบรอยสักปานแดงปานดำ

พวกเราใช้เวลากันพอสมควรในตลาดมัทรา ถ้าเป็นคนถ่ายรูปเก่งๆ เราว่าถ่ายรูปสนุกเลยแหละ ตอนเดินกลับฟ้าก็มืดหมดแล้ว เพื่อนๆ โดนป้าร้านอินทผาลัมตกอย่างจัง ช้อปป้าไม่พอ ยังไปช้อปห้างต่ออีกคนละถังใหญ่ๆ อินทผาลัมหรือ Date บ้านเราก็ปลูกได้ แต่แปลก บ้านเราน้ำมากกว่า ลูกมันกลับไม่หวานหอมเหมือนของปลูกทะเลทรายแท้ๆ พอออกจากตลาด เราสี่คนก็เลยมุ่งหน้าไปห้างสำหรับมื้อเย็น และสำรวจซุปเปอร์มาร์เก็ตก่อนกลับ รีวิวแบบเร็วๆ เลยนะ อาหารญี่ปุ่นไม่อร่อย อินทผาลัมถูก และชีสต่างๆ ราคาถูกมาก

ด้วยความกระหายอาหารญี่ปุ่นเลยลองไปจัดดูซักหน่อย ปรากฏว่าสวยแต่รูปว่ะ ความอร่อยไม่สมราคาเท่าไหร่ แต่ก็แก้ขัดพอได้

เช้าวันถัดมา เราตื่นแต่เช้าเฝ้าตะวันขึ้นบนดาดฟ้าตามปกติ จากนั้นก็แพ็คกระเป๋าอย่างยากลำบากเพราะต้องหาที่ยัดชีสกับอินทผาลัมถังย่อมๆ เนื่องจากสายวันนั้นเราจะไปชมแกรนด์มอสก์ ซึ่งเราขอแปลเองว่ามัสยิดหลวงก็แล้วกัน ในมัสยิดย่อมจะมีเดรสโค้ด ซึ่งก็ไม่ยากแค่ปิดแขนขาและผม ชุดเราเตรียมมาแล้ว ผ้ามี แต่โพกผ้าไม่เป็นเลยเปิดยูทูปทำตาม ซ้อมอยู่หลายรอบกว่าจะโพกให้แน่นได้ แต่ออกมาแล้วดูไม่จืดเลย การโพกผ้าฺฮิญาบน่าจะเหมาะกับคนที่หน้าคมๆ ตาโตๆ เพราะสีเข้มของผ้าจะไม่สามารถกลบเครื่องหน้าได้ แต่อีป้าตาตี่แบบเรา แม่งขนมเข่งมากๆ อะ แก้มมันล้นออกมาแล้วตาเป็นขีดๆ บัดซบ

มาถึงตรงนี้ เราเสียใจที่จะต้องเล่าตามตรงว่า เราไปถึงลานจอดรถของมัสยิดหลวงซึ่งค่อนข้างกว้างและอยู่ด้านหลัง ต้องอ้อมประมาณนึงถึงจะเจอทางเข้าตอนเวลา ๑๐:๔๐ ด้านในสุดของมัสยิดเปิดให้ชมถึง ๑๑:๐๐ โดยเวลาที่เหลือเดินภายนอกได้อีกนิดหน่อยก่อนถูกกวาดต้อนออก โอ๊ย.. รีบมาก ลนลานที่สุด เสียดายที่ไม่ได้ใช้เวลาชมช้าๆ คนไม่เยอะเท่าไหร่ มัสยิดหลวงสวยงามและโอ่โถงมากๆ แดดแจ่มจ้ายามสายซอกซอนเข้าไปทุกอณูที่จะเข้าได้

เขียนยังไม่เสร็จ ไปนอนละ พรุ่งนี้ต้องตื่นเช้า เดี๋ยวมาแก้วันหลัง บั๊ย..