มองโกเลีย – ทะเลทรายโกบี #๒

เช้าวันต่อมา เราตื่นราวหกโมงครึ่ง นอกหน้าต่างยังขาวโพลน แต่หิมะหยุดตกแล้ว หิมะตอนเช้าหลังชีวิตผู้คนเริ่มต้นสัญจร ตรงกลางถนนละลายกลายเป็นโคลนแหยะๆ แต่บริเวณรอบๆ ยังขาวสวยดูนุ่มฟูอยู่ ต้นไม้พญาไร้ใบรอบๆ โดนหิมะตกปกคลุมกลายเป็นช่อขาวๆ เหมือนแตกดอกออกใบชั่วข้ามคืน
เราบอกปูว่า ขอวิ่งออกไป Circle K ซักหน่อย อยากซื้ออะไรเพิ่มนิด และจะดูอาหารเช้าด้วย คืนนั้นก่อนเรานอนอากาศลดถึง -๑๑ องศา และลงต่ำไปถึง -๑๔ องศาในกลางดึก ตอนเช้าอุณหภูมิวิ่งไปมาระหว่าง -๑ ถึง ๑ องศา ตรงโถงบันไดทางลงตึก มีคนจรจัดนอนหลบหนาวอยู่ จะเรียกว่ารอดตายไปอีกคืนเพราะมีคนเปิดประตูทิ้งไว้ก็คงไม่ผิด คือก่อนนอนตอนเราวิ่งลงไปถ่ายรูปเล่นรอบสุดท้าย ประตูเหล็กถูกเอาก้อนหินดันให้เปิดค้างไว้ เราสองคนไม่กล้าปิดเพราะคิดว่าคนที่ตั้งใจเปิดไว้อาจจะมีเหตุผล เข้าตึกไม่ได้สำหรับบ้านเราอาจจะแค่หงุดหงิด แต่สำหรับค่ำคืนที่หิมะกระหน่ำเหมือนในนิทานเด็กน้อยขายไม้ขีดที่ตายอนาถตอนจบ อาจจะมีคนเดือดร้อนจริงๆ ก็ได้


ตอนแรกเกิดลังเลไม่กล้าเดินผ่านคนจรจัด เพราะชานบันไดมันแคบ เขาตื่นมาเห็นเลยขดตัวให้เล็กลงอีกแล้วโบกมือให้เดินผ่านไป

เมื่อเปิดประตูเหล็กบานหนาออก ก็พบกับลมที่พัดแรง ลากเอาละอองหิมะฟุ้งกระจาย สูดลมหายใจเข้าไปมันเยือกเย็นลงไปในอกจนต้องยกปกเสื้อขึ้นปิดจมูก หิมะเกาะกิ่งก้านแห้งๆ ของต้นไม้ ดูเป็นปุ้มๆ เหมือนทำขนมสายไหมแล้วลืมใส่สี หรือไม่ก็ใครซักคนตีฟองผงซักฟอกมากเกินไป เห็นแล้วอยากเอานิ้วจิ้มให้มันแตก วีดีโอคอลหาเพื่อน กรี๊ดกร๊าดได้นิดหน่อย เพราะว่าทางเท้ามันกลายเป็นโคลนเมือกๆ กรี๊ดมากถ้าร่วงไปกองจะลำบากไปทั้งทริป เพราะมีโค้ทอยู่กับเขาตัวเดียว

ใน Circle K ผู้คนเยอะแยะตั้งแต่เช้า เราสำรวจอาหารแล้วโทร.ไลน์หาปูว่าจะซื้ออาหารเช้าอะไรไปฝากดี ปกติปูไม่กินเนื้อวัว และที่เรากั๊กไว้ยังไม่เล่าคือ มองโกเลียเป็นประเทศที่กินเนื้อหนักมาก กินทุกเนื้อ กินเอาอิ่ม กินต่างข้าว และในทางกลับกัน ไม่ค่อยมีหมูกิน ไก่ก็เป็นของแรร์ หายาก
เรารู้ว่าตอนไปอยู่ทะเลทราย ปูคงต้องโดนเนื้อเข้าบ้าง แต่ก็พยายามลดความน่าจะเป็นให้มันน้อยที่สุด ส่วนของอีนี่ไม่มีกฎเกณฑ์อะไรในชีวิต เลยจัดฮอตด็อกเนื้อ Circle K เป็นอาหารเช้า (ติดเค็มไปนิดแต่อร่อยมาก) ส่วนของปูหาได้แค่แซนวิชทูน่าอย่างเดียวเท่านั้นที่ไม่เนื้อ เราสองคนเก็บอาหารไว้กินบนรถตอนออกเดินทาง

เราผลัดกันอาบน้ำสระผมอย่างสะอาดเพราะรู้ชะตาว่าเราจะไม่ได้ข้องแวะกับน้ำอื่นใดนอกจากน้ำดื่มสักพัก เก้าโมง หอบร่างไปที่สำนักงาน ยังคงไม่มีใครรับเงินค่าทัวร์เรา และคุณผู้จัดการทัวร์ก็ยังไม่อยู่ แต่เราก็ได้พบกับอีไกด์ของเรา กับตาคนขับรถในตอนนั้น ผู้ชายสองคนที่จะใช้ชีวิตอยู่กับเราตลอดเป็นเวลา ๕ วัน ไกด์เป็นผู้ชายตัวโต สูงและตัวอวบๆ หนาๆ หน่อย ฮีแนะนำตัวด้วยภาษาอังกฤษสำเนียงอเมริกันอย่างเลิศ ว่าชื่อบิล ส่วนคนขับรถพูดอังกฤษแทบไม่ได้เลย หน้าตายิ้มแย้ม บิลบอกเราว่าเขาชื่อโลยา (ออกเสียงคล้ายๆ ลอว์เยอร์ เราเลยจำชื่อเขาได้ทันที) สมาชิกในเกสต์เฮาส์ ยิ้มแย้มส่งเรา บิลกับโลยาตุ้มๆ เอากระเป๋าเราสองคน ลงบันไดไป
คนจรที่นอนชานบันไดหายไปแล้ว

รถที่จอดรอเราอยู่เป็นรถตู้รัสเซียคันโตหน้าตาอินดี๊อินดี้ ล้อสูงกว่าเข่าตูอีก (รถสูงมากเหรอ อ๋อเปล่า อีนี่เตี้ย) เห็นแล้วรู้เลยว่า ยกเว้นบินกับดำน้ำ อีรถคันนี้ต้องไปได้หมดเกือบทุกหนแห่งแถมยังถ่ายรูปขึ้นสุดๆ แต่ถึงกระนั้นตอนนั้นก็ยังนึกถึงแสนยานุภาพของรถคันนี้ไม่ออก
เราเดินอุ้ยอ้ายฝ่าลมแรงที่พัดเอาหัวกระเจิงเปิดเปิง พร้อมก้อนหิมะที่กระจุยกระจายจนกะไม่ถูกว่าฝนตกลงมาอีก หรือว่าละอองน้ำอะไรวะ กระเป๋าถูกเก็บไว้ท้ายรถ แล้วเราก็ถูกต้อนขึ้นไปบนรถที่จะเป็นเคหะสถานคุ้มกะลาหัว พร้อมทั้งย้ายตูดเราไปทุกที่เท่าที่อีตาสองคนนั่นจะพาเราไป

โลยาประจำที่พวงมาลัยซ้าย บิลนั่งหน้าขวา
เบาะที่นั่งแถวละ ๔ ที่สำหรับลูกค้ามีสองแถวหันหน้าเข้าหากัน แต่ชีวิตจริงถ้านั่ง ๔+๔ คงจะแน่นมาก ไหนจะไหล่เกยกัน ไหนจะเสื้อโค้ทรองเท้าบู๊ทอีก เรากับปู นั่งคนละเบาะหันหน้าไปทางเดียวกับคนขับ ที่นั่ง ๒ ที่ที่หันหลังชนกับคนขับมีกระเป๋ากับถุงนอนกองสุมอยู่ พอล้อหมุน เราก็เริ่มแกะอาหารเช้าออกมากิน
แล้วรถก็.. ขยับไป.. ได้ช้ามาก แม่ง.. รถโคตรติด

เราตื่นตาตื่นใจกับการจราจรเช้าวันเสาร์ที่หิมะปกคลุมอูลานบาตาร์จนขาวโพลน เจ้าของรถยนต์หลายๆ คันคงแงะหิมะออกจากรถพอให้เห็นทางข้างหน้าโดยไม่แยแสกระจกหลัง ถึงได้ขับกันมาทั้งๆ ที่โดนหุ้มด้วยหิมะเกือบทั้งคัน ตาบิลบอกว่า เดี๋ยวเราแวะซื้อของที่ตลาดแป๊บ เป็นเสบียงห้าวันของพวกเรา ใช้เวลาซักครึ่งชั่วโมงได้ กับการแค่ขับไปตรงๆ ไม่มีซอกซอยเป็นระยะทางไม่เกิน ๙ กม. เราก็ถึงตลาด


เราสองคนลงจากรถเดินตามบิลกับโลยาเข้าประตูเล็กๆ หนักๆ ไปสู่ด้านในอาคารที่อบอุ่น ร้านขายของด้านในเป็นร้านเอกชนต่างคนต่างขาย มีขอบเขตร้านชัดเจน หน้าร้านส่วนมากเป็นกระจกหรือไม่ก็เปิดโล่ง โดยรวมสะอาดเรียบร้อยมากๆ สุดๆ ในความเงียบสงัด เสียงผู้คนพูดคุยซื้อขายกันอย่างเบาๆ ท่อเหล็กเดินรอบๆ ปล่อยความอบอุ่นจางๆ ออกมา ตาบิลบอกเราว่าจะซื้อขนมอะไรไปกินเองก็จัดไปนะ เราสองคนซื้อน้ำหวาน น้ำอัดลมนิดหน่อย


อยู่ๆ ตาบิลก็เดินถือถาดไข่สดถาดใหญ่มา แล้วยัดใส่มือปู บอกว่าช่วยถือหน่อยนะ เรารู้สึกจิ๊ดนึงนะ แบบว่ามึงเป็นไกด์ ใช้ลูกทัวร์ถือของได้ด้วย? แต่ก็ไม่ติดใจอะไรเลย คิดว่าดีออกทัวร์กันเอง เหมือนเที่ยวกับเพื่อนไง มีอะไรก็ช่วยๆ กัน หลังจากนั้นเราไปซื้อส้ม ที่ไม่เจอที่ไหนอีกเลยตลอดการเดินทาง ตาบิลค่อยๆ เข้าร้านนั้นออกร้านนี้ พิจารณาเลือกซื้อเสบียงอย่างถี่ถ้วนสุดๆ เราพบโลยากำลังเดินไปห้องน้ำด้านหลังตลาด ซึ่งเราก็กำลังวนเวียนหาอยู่ เลยตามไป ห้องน้ำมีค่าเข้านิดหน่อย ท่อเหล็กร้อนเดินตามผนังทำให้ในห้องน้ำรู้สึกอบอุ่นเป็นพิเศษ ตอนนั้นเราเข้าห้องน้ำกันไปด้วยความต้องการตามธรรมชาติ แต่ไม่ได้สำนึกรู้เลยว่า กว่าจะได้เจอห้องน้ำปกติธรรมดาแบบนี้อีก มันนานขนาดไหน

Road Trip

เราพบว่าการเดินทางถ้าจะให้ดีมันต้องมีแผ่นแปะ ไอ้อาการปวดหลังออฟฟิศซินโดรมนี่มันกัดกินนักเดินทางมาหลายปีละ เพราะนักเดินทางนั่งทำงานออฟฟิศมากว่าทศวรรษ การเดินทางครั้งนี้ รับประกันความชิว เพราะว่านักเดินทางเอาแผ่นร้อนตราเสือขนาดใหญ่สุดมาเพียบเลย เยอะกว่าจำนวนวันซะอีก สำหรับโร้ดทริปวันแรกก็แปะแผ่นก่อนออกมาแล้ว อุ่นสบาย แถมยังสามารถไถแผ่นหลังไปบดเบียดกับพนักพิงเพื่อเร่งความร้อนของแผ่นแปะได้ตามสั่งอีกด้วย

พอล้อหมุนของจริงได้ไม่นาน การจราจรก็บางตาลงเรื่อยๆ เมื่อเราเลี้ยวหนึ่งครั้ง ออกจากชานเมืองได้สำเร็จ ถนนก็เริ่มมีรถไม่มากนัก ไม่ว่าจะทางเดียวกับเราหรือสวนทาง หรืออาจจะเป็นเพราะว่าลมหิมะมันพัดตึงๆ จนมองอะไรไม่เห็นก็เป็นได้ เราเพ่งมอง เห็นรถที่สวนมาแค่ไฟหน้าที่เปิดจ้า นอกนั้นก็แทบมองไม่เห็น เราสองคนแทนที่จะกลัวหรือกังวล หรืออะไรก็ตามที่จะเป็นการให้เกียรติพลังธรรมชาติหน่อย แม่งไม่มีอะ ตื่นเต้น กินไปถ่ายรูปไป เดี๋ยวขึ้นเบาะเดี๋ยวลงเบาะ (อันนี้ตูเป็นอยู่คนเดียว รถทหารแบบนี้โขยกเขยกหนักมาก ถ้าอยากถ่ายรูปดีๆ บางทีต้องลงไปคุกเข่ากับพื้นรถจะช่วยได้นิดหน่อย)

ธรรมชาตินี่ช่างงดงามและทรงพลัง ภูเขาถูกฉาบด้วยสีขาว ม้าฝูงเริ่มมีให้เห็น มันยืนนิ่งๆ คงรอให้ยามลำบากนี้ผ่านไป นักเดินทางปลื้มถนนช่วงนี้ ชอบมากๆ ทั้งสวยทั้งน่าหวาดเสียวถนนขี้เป๊อะลื่นแป๊ด รถแต่ละคันประคองตัวไปกันอย่างช้าๆ มีไฟหน้าเท่าไหร่เปิดเต็มที่ เพราะต่างคนต่างก็มองอะไรไม่ค่อยจะเห็น อย่างน้อยให้คนอื่นเห็นเราก็ยังดี

เราเห็นรถตกข้างทาง ๒ เคส มีรถลากมีเจ้าหน้าที่ฝ่าแรงหิมะออกมาดูแลกันแล้ว จากนั้นราวหนึ่งชั่วโมงหลังล้อหมุน ฟ้าด้านบนเริ่มเป็นสีฟ้า ไม่รู้ลมกับหิมะที่โปรยปรายสลายหายไปไหน เราเริ่มเห็นทางข้างหน้าชัดขึ้น เช่นเดียวกันกับสองข้างทางอันเวิ้งว้าง สุดลูกหูลูกตา

ทิวทัศน์ต่อมาเป็นช่วงสั้นๆ ที่เราโปรดปรานสุดๆ คือเป็นช่วงที่ไม่มีหิมะก้อนๆ ปลิวว่อนแล้ว มีแต่ภูเขาราดไอซิ่งขาวๆ แดดบด และฟ้าสีฟ้าผลุบโผล่อยู่ข้างหลังเมฆเลือนๆ มันเป็นส่วนผสมที่ประหลาดสุดๆ มองดูแล้วเหมือนไม่ได้อยู่บนดาวโลก

ก่อนฟ้าจะเปิด เหมือนกำลังอยู่ตรงปลายๆ ของก้อนลมและหิมะ เราก็แวะจอดที่หัวโค้งหนึ่ง ซึ่งมีระดับสูงขึ้นกว่าถนนโดยรวมนิดหน่อย จะเรียกว่าเป็นโค้งและเนินน้อยๆ ก็คงจะได้ ลมแรงมากที่สุด ทั้งทริปไม่เจอตรงไหนอีกแล้วที่ลมแรงและหนาวหนักขนาดจุดนี้ ตาบิลบอกว่า เป็นจุดพักรถของนักเดินทาง แต่เราก็ยังไม่ได้ออกเรี่ยวออกแรงอะไรถึงจะต้องได้สิทธิ์พัก แต่ได้ลงไปวิ่งเล่นก็ดีใจ เรามีถุงมือดีๆ นะ แต่วันแรกๆ ยังลืมหยิบตลอด มือไร้ถุงมือมีชีวิตอยู่นอกกระเป๋าโค้ทได้แค่ไม่กี่วิ ต้องรีบกดชัตเตอร์แล้วซุกเข้ากระเป๋าทันที ปูวิ่งลงมาแล้ววิ่งกลับไปเอาถุงมือบนรถอีกรอบ
ตาบิลตะโกนแข่งเสียงลมอธิบายเรื่องหินนักเดินทางก่อนเดินวนรอบกองหินสามรอบ กองหินนี้นักเดินทางจะหยิบก้อนหินจากพื้นที่ด้านนอก มาสามก้อน แล้วเดินวนกองหินสามรอบ ไม่แน่ใจว่าบังคับด้านวนเหมือนเวลาเราประทักษิณาเวียนเทียนรึเปล่า แต่ละรอบจะโยนหินที่เราถืออยู่เข้าไปในกองหนึ่งก้อน เป็นการขอพรให้การเดินทางราบรื่นปลอดภัย
เราหมายตาไว้ว่าจะทำบ้าง แต่ตรงนี้ไม่ไหว หนาวไปมากโว้ย

หมายเหตุ : รูปหมาที่ถ่ายมานี่ไม่เห็นนะว่ามีแม่หมาอยู่ด้วย เห็นแต่ลูกหมาเล่นหิมะอยู่ คือลมแรงมาก ลืมตาเต็มๆ แทบไม่ได้เลย

หน้าหนาวอันขาวโพลนกำลังจะจากไปอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว มัวแต่อินหิมะมาข้ามคืน อาจจะหลงลืมไปแล้วว่า นี่ตูมาทริปทะเลทรายนะนี่นะ คิดถึงทรายทรายก็มา จากละอองหิมะสีขาวที่ฟุ้งอยู่ในอากาศ อยู่ๆ ก็เปลี่ยนไปกลายเป็นละอองสีน้ำตาล ได้ยินเสียงแสกๆ ของเม็ดทรายที่ปะทะกระจกรถตามแรงลมจะหอบมา เรายังคงเห็นริ้วขาวๆ ของหิมะที่ตกค้างตามเนินทรายและกระจุกต้นหญ้า แต่ก็เริ่มบางตาลง เผยให้เห็นพื้นที่แท้จริงของบริเวณรอบๆ ที่เป็นดินทรายสีน้ำตาลแดง ฝุ่นทรายทำให้ท้องฟ้าที่เราเห็นกลายเป็นสีเบจ จางบ้างหนาบ้างตามแต่สายลม เราเริ่มเห็นฝูงสัตว์มากขึ้น พวกมันก้มหน้าก้มตาแทะเล็มอะไรสักอย่างบนพื้นดินแดงว่างเปล่า ในสายตาเราเหมือนมันกำลังอุปาทานหมู่เดินขยับปากอย่างไร้ความหมายกันเป็นฝูงๆ

ประเทศมองโกเลียเป็นประเทศที่กว้างใหญ่มาก ภูมิประเทศก็ช่างเวิ้งว้าง ผู้คนสัญจรด้วยยานพานะอะไรสักอย่างระหว่างรถยนต์ดีๆ กับขี่สัตว์ มอเตอร์ไซค์มีให้เห็นบางตา เราเจอคันนึงฝ่าพายุทรายอยู่อย่างทรหด ช่วงพายุทรายนี้ (เอาจริงๆ คงไม่ถึงขั้นพายุ แต่สำหรับเราก็ขอเรียกให้เวอร์ๆ ไว้ก่อน) เราไม่ค่อยชอบ มันไม่สวย และออกไปทางน่ากลัว (ทีหิมะลื่นๆ ล่ะไม่กลัว) ดูจากภาพอาจจะเหมือนว่าร้อน แต่ความจริงยังคงหนาวเหน็บไม่เปลี่ยนแปลง

คณะของเราแวะทานมื้อเที่ยงที่เลทไปมากที่เมืองแห่งหนึ่งในเวลาบ่ายสาม เพิ่งเอาพิกัดไปค้นชื่อตะกี้พบว่าเมืองชื่อ Mandalgovi ถ้าค้นใน Google map จะรู้สึกว่าเป็นเมืองใหญ่ ถึงขนาดมีสนามบินด้วยนะ เมืองนี้อยู่ห่างจากอูลานบาตอร์ ๓๐๐ กิโลเมตรเป๊ะๆ ซึ่งเราใช้เวลาเดินทางปาไป ๕ ชั่วโมง นับจากตอนแวะซื้อของสด โดยแวะแค่ที่เดียวแป๊บเดียวเท่านั้นตรงจุดพักรถ

บรรยากาศเมื่อลงจากรถ ลมแรงมาก และยังหนาวจัด ลมพัดมามีแต่ฝุ่นทราย เข้าหูเข้าตา ทุกคนรีบพุ่งเข้าไปในร้านอาหาร ผลักประตูหนักๆ ปิดไว้เบื้องหลัง ถนนหน้าร้านอาหาร ร้าง ต้องใช้คำนี้ถึงจะเหมาะ มันเงียบกริบ ไร้ซึ่งสัญญาณการมีอยู่ของผู้คน อาคารแต่ละหลังไม่มีเล่าเต๊ง บ้างวัสดุฉาบกะเทาะเผยให้เห็นเนื้อปูนข้างในเว้าๆ แหว่งๆ ต้นไม้พญาไร้ใบยืนต้นโกร๋นสู้ลม โชว์กิ่งก้านฟอร์มสวยแต่ดันทำให้บรรยากาศดูหลอนเข้าไปอีก เราคุยกับปูว่า นี่แม่งฉากหนังทริลเลอร์ชัดๆ ที่ตัวเอกหลงทางมาเจอเมืองประหลาดๆ ที่เต็มไปด้วยฆาตรกรโรคจิต ส่วนมากไอ้หนังพวกนี้ ไอ้ตัวแรดๆ กับตลกๆ มันจะตายก่อน ดีนะเราเป็นคนเงียบๆ เรียบร้อย

อาหารมื้อแรก เป็นผัดผักเนื้อแกะราดข้าว
ตอนนั้นหิวมากๆ รู้สึกว่าอร่อยมาก ข้าวก็โอเค ก่อนจะมานี่เราเคยกินแกะครั้งสองครั้ง เกลียดเข้าไส้เพราะสาบมาก ต้องกินกับไอ้ดิปปิ้งที่เหมือนยาสีฟันใกล้ชิดรุ่นโบราณนั่นน่ะ แต่แกะจานนี้ไม่สาบเลย ถึงอย่างนั้นก็กินไม่หมด เพราะเขาให้มาเยอะมาก ดูจากในรูป มันมีข้าวแค่ตรงด้านขวาเท่านั้นจริงๆ ที่พูนอยู่นั่นคือเนื้อแกะทั้งหมด ระบบการย่อยตูจะปรับตัวทันมั้ย ถาม..

ที่มองโกเลียนี่ จะกล่าวว่าปลูกข้าวไม่ได้ ก็อาจจะตีรวมไปหน่อย มันคงมีบางพื้นที่ปลูกได้
แต่บอกได้ว่าข้าวสวยคือของนำเข้า เขาจึงไม่ได้ให้เรากินเยอะแยะอะไร เนื้อสัตว์ต่างๆ ต่างหาก ที่เป็นของต้นทุนต่ำ กินกันเข้าไปสิ กินเอาอิ่ม ผักก็มีให้กินน้อยเช่นกัน เพราะพื้นที่นี้ปลูกไม่ได้ ต้องขนส่งมากจากภาคเหนือและตะวันตกเฉียงเหนือที่เขียวขจี (และทีแรกมีความคิดว่าจะไปเที่ยวโซนนั้น แต่เปลี่ยนใจมาโกบี)


ที่จริงแล้วแผนวันนั้นเราจะต้องไปนอนในทะเลทรายโกบีกันเลย แต่บิลบอกแล้วว่า เนื่องจากเสียเวลาไปมากในช่วงต้นของการเดินทาง เราจะไปไม่ถึงตามเป้าแล้วนะวันนี้ โดยจะได้นอนค้างคืนในเมืองที่ขอบทะเลทรายแทน โลยาซึ่งพูดภาษาอังกฤษไม่ได้เลย เป็นสายมวลชน แกรู้จักพนักงานทุกคนในร้านอาหารก็ไม่แปลกเพราะแกคงขับรถให้คณะทัวร์มานานแสนนาน แต่แกดันทักทายพวกคนที่เข้ามากินในร้านด้วยอย่างครึกครื้น ในขณะที่ตาบิลไกด์ของเรา ซึ่งเรามีความรู้สึกว่าแกน่ะมือใหม่ กลับเงียบขรึม ออกไปทางเก๊ก ซึ่งทริปนี้เราจะเปิดฉากการเม้าท์ตาบิลไปด้วยตลอดทาง เพราะมันเป็นสิ่งที่แยกออกจากการเดินทางของเราไม่ได้เลย

บิลบอกว่า แกไปอยู่อเมริกามาสิบเอ็ดปี แต่สำนึกรักบ้านเกิดจึงกลับมาตั้งรกราก แต่งงานมีลูกที่มองโกเลีย มิน่าภาษาอังกฤษแกเลิศ แต่ทักษะการฟัง และความเข้าใจดันไม่ค่อยดี เวลาเราพูดอะไร แน่นอนสำเนียงเราห่วย แต่เขาเป็นฝ่ายคุ้นกับภาษาอังกฤษมากๆ ควรจะฟังคนพูดเหน่อได้เข้าใจมากกว่าสิ หลายๆ ครั้ง แกตีความเราผิด และด้วยทัศนคติ บางครั้งเหมือนจะเข้าใจไปคนละทิศละทางเลย ใช้เวลาสองวันถึงจะรู้ตัวว่า คุยกับคนคนนี้ (หรือคนประเทศสังคมนิยม อันนี้ไม่กล้าเหมารวม เพราะไม่ได้คุยกับคนอื่นมากนัก) ต้องระวังตัวมากๆ ความที่เราชอบคุย ชอบถามนั่นนี่ ก็มีพลาดไปหลายช็อตเหมือนกัน

มุกแรกที่ทำให้เราสงสัยว่าบิลจะนู้บ (อย่างน้อยก็เส้นทางนี้) คือที่ผนังร้านอาหารมีแผนที่แปะอยู่ บิลพาเราสองคนไปยืนดูแล้วอธิบายว่าเรามาจากตรงนี้ ตอนนี้เราอยู่ตรงนี้ และเย็นนี้เราจะไป.. เอิ่ม หยุดไปพักนึงแล้วเอานิ้วจิ้มผนังด้านล่างใต้แผนที่ราวๆ ฟุตนึง เราฮากันเพราะว่ามันทะลุแผนที่ แต่อีนี่สะดุดแว้บ ว่าถ้าแกเดินทางเส้นนี้บ่อยๆ แกก็ต้องแวะร้านอาหารนี้บ่อยๆ และทำสิ่งนี้มาหลายครั้งแล้ว แกไม่รู้ได้ไง ว่าแผนที่มันเป็นแค่แผนที่จังหวัด ไม่ใช่แผนที่ทั้งประเทศ แอบคิดในใจ กูว่าไกด์กูนู้บชัวร์ ไว้คอยดูกัน

เราเข้าห้องน้ำแบบปกติมนุษย์อีกครั้งที่ร้านอาหาร โลยาแวะเติมน้ำมันที่ปั๊ม แล้วเราก็มุ่งหน้าไปกันต่อแบบไม่มีหยุดมีพัก เป้าหมายค่ำนี้คือเราต้องไปถึงเมือง Dalanzadgad ซึ่งห่างออกไปอีก ๓๐๐ กม.เป๊ะๆ เช่นกัน

มาถึงตอนนี้ละอองฝุ่นทรายเริ่มลดลงแล้ว ถนนมองเห็นได้ชัดถนัดตา เริ่มเห็นฝูงสัตว์ดูมีชีวิตชีวาขึ้น สวนทางกับร่องรอยการมีมนุษย์ก็ค่อยๆ จางหายไป ไม่มีรถสวนทาง ไม่มีรถอยู่ข้างหน้า และข้างหลังเป็นเวลานานๆ บิลบอกว่า จะรู้ได้ไงว่าถึงโกบีแล้ว ก็เมื่อเราเริ่มเห็นฝูงอูฐ

ฝูงอูฐแรกที่เราได้เห็นปรากฏตัวขึ้นเป็นจุดดำๆ ที่เส้นขอบเขาในเวลาห้าโมงครึ่ง ตั้งแต่ออกจากร้านอาหารมา สัญญาณอินเตอร์เน็ตเราก็ออนๆ ออฟๆ เหมือนความสัมพันธ์ของชั้นกับกรุงเทพฯ นี่ขนาดใช้ยี่ห้อที่เขาบอกว่า เหมาะกับ Country side ละนะ คือติดต่อได้ แต่ไม่ได้เดี๋ยวนั้น ต้องรอแพ้บ ซึ่งความรอแพ้บนี้มันคือกินแบตเอาเรื่องอยู่ เราใช้เวลาสักพักก็เรียนรู้ว่า พอสัญญาณเข้า จะอ่านอะไรก็อ่านๆ เข้า เสร็จแล้วก็พิมพ์ตอบไปให้หมด แล้วให้มันหมุนติ้วๆ ไป พอเราเริ่มจะลืมๆ สัญญาณก็เกิดจะเข้ามา แล้วข้อความก็ถูกส่งออกไปเองแหละ เรื่องแบตเตอรี่ของอุปกรณ์อิเล็คทรอนิกส์ก็เป็นอีกปัจจัยที่เราจะต้องละเอียดถี่ถ้วนและวางแผนให้รอบคอบ ไม่งั้นเป็นอันหมดสนุกแน่นอน

เราเริ่มสังเกตเรื่องแสงแดด อีตอนที่ดูแดดเย็นแล้วคิดว่า วันนี้พระอาทิตย์ตกน่าจะสวย เลย Google ดูว่าพระอาทิตย์ตกกี่โมง พระอาทิตย์ที่นี่ตก ทุ่มสี่สิบห้าว่ะ ไม่รู้มาก่อนเลย ตอนเช้าก็สว่างเร็ว ตอนเย็นยังมืดช้าอีก คุ้มสุดคุ้ม มีเวลาเที่ยวเยอะมาก ชอบ ฮ่าๆ เราเลยบอกบิลว่า ตอนพระอาทิตย์จะลับขอบฟ้า ขอแวะถ่ายรูปหน่อยได้มั้ย บิลบอกว่าได้ และปรึกษากับโลยาว่าจะจอดตรงไหน เรากับโลยาพูดคนละภาษาแต่พูดพร้อมๆ กันด้วยความหมายเดียวกันว่า
จอดตรงที่มันมีอูฐ

ก่อนจะถึงจุดนั้นเราได้เจอไซก้าก่อน

เราไม่รู้เลยว่ามันเป็นไซก้าจนกระทั่งกลับมาไทย บิลบอกว่า เดียร์ เอิ่ม แอนทีโลปน่ะ สัตว์ป่าฝูงแรกที่เราเจอ สองหนุ่มมีเมตตาจอดรถให้ดู พวกมันอยู่ไกลมากแล้วก็รับรู้ถึงการมาของเราแล้วก็ตั้งท่าจะวิ่งหนี เราต้องค่อยๆ ขยับช้าๆ แอบอยู่ข้างรถ แล้วพยายามถ่ายรูปมันด้วยเลนส์เทเล แต่ความถ่ายไม่ชัดนี้โทษใครไม่ได้เลยนอกจากตัวเอง ทั้งมือไม่นิ่ง (โทษลมและความหนาวได้มั้ย) ทั้งไม่เอากล้องไปให้ร้านดูซะทีว่าที่โฟกัสไม่ค่อยเข้านี่อุปกรณ์มันเริ่มบุบสลายแล้วใช่ไหม มองไกลๆ มันก็กวางนั่นแหละ แต่ที่เรามาค้นจนพบว่ามันคือไซก้า ก็เพราะเวลาซูมดูรูปแล้ว หน้ามันโหนกๆ ชอบกล นี่ถ้ารู้ตั้งแต่ตอนนั้นว่าเป็นมัน จะยิ่งตื่นเต้นจนมือไม้สั่น เพราะว่าไม่เคยคิดว่าจะได้เจอตัวจริงๆ ในธรรมชาติ

ไซก้าหรืออีกชื่อคือ กุย เป็นสัตว์เฉพาะถิ่นพบได้ในไซบีเรียและมองโกเลียเท่านั้น และใกล้สูญพันธุ์โคตรๆ มันเป็นกวางตาหวาน หน้างวงๆ หน้าตาน่ารัก แบ๊วเหมือนกระต่ายยักษ์สูงโย่ง
เคยรู้จักมันจากสารคดี และมาหาอ่านเพิ่มอีก ช่างเป็นบุญตาจริงๆ ที่ได้พบ มันอยู่ในหมวดสัตว์เสี่ยงขั้นวิกฤติต่อการสูญพันธุ์ ด้วยวิถีชีวิตของมันเองและปัจจัยคุกคามภายนอก ในวิกิบอกว่าไซก้าอาจจะอยู่กับเราอีกไม่นานแล้ว เพราะว่าวิถีชีวิตมันวอนตายมาก
๑. มันฆ่ากันเองช่วงผสมพันธุ์ ต้องสู้ถึงตาย
๒. ถูกมนุษย์ล่า (อีพวกชั่ว)
๓. มันแพ้เชื้อโรคระบาดบางอย่าง การตายหมู่เริ่มพบครั้งแรกเมื่อปี ๒๐๑๕

แม้ว่าจะลำบากขนาดไหน ขอสวดแผ่เมตตาให้น้องๆ ไซก้าทั้งหลาย ได้มีชีวิตอยู่กันต่อไป ออกลูกออกหลานกันเยอะๆ ให้ชนะการสิ้นเผ่าพันธุ์ด้วยเถอะเพี้ยง

ไซก้าผ่านเลนส์ซูมคมๆ ในอินเตอร์เน็ต ตาดำขลับแป๋วแหวว ขนดูสั้นๆ นุ่มๆ โคตรอ่อนโยนน่ารัก ส่วนไซก้าในระยะห่างไกลในธรรมชาตินั้นก็น่ารักมากไม่แพ้กัน วิ่งตูดกระดุ๊กๆ หนีเปิงเวลารถเราวิ่งผ่าน และก้มหน้าก้มตาแทะความว่างเปล่ากันงิกๆๆ เวลาคิดว่าตัวเองปลอดภัยดี

หมายเหตุ : ภาพตอนพบไซก้านี่คือเวลาหนึ่งทุ่มตรงจ้ะ แสงกำลังอุ่นๆ

และแล้วก็มาถึงเวลาที่รอคอย ฝูงอูฐย้อนแสง โลยาพบฝูงอูฐในเวลาที่พระอาทิตย์กำลังร่วงลงแตะเนินเขา ตะแกหักขวาตั้งฉากกับถนน แล้วขับออกจาถนนไปเลย

เมื่อลงจากรถที่อบอุ่นด้วยฮีตเตอร์ ข้างนอกที่ดูสงบนิ่งเมื่อมองจากอีกด้านของหน้าต่าง กลับไม่เป็นอย่างที่คิด ลมแรงมากและหนาวมากเช่นเคย แสงสีส้มของพระอาทิตย์ยังให้ความอบอุ่นได้ไม่พอ อูฐฝูงยืนชิวที่เส้นขอบฟ้า เป็นแบบให้เรา ถึงเราจะวิ่งไปวิ่งมากรี๊ดกร๊าด มันก็ไม่ค่อยจะเดือดเนื้อร้อนใจเท่าไหร่ หันมามอง เลิกคิ้วนิดนึงแล้วเล็มตอหญ้าเตี้ยๆ ต่อไป

เราถึงที่พักตอนสองทุ่มนิดๆ ฟ้ายังไม่มืด ยังมองเห็นบริเวณโดยรอบ โลยาพยายามสอนเราออกเสียงชื่อเมืองนี้ Dalanzadgad มันฟังดูคล้ายๆ ดาลันซ์ข์ซัคซ์ซ์ข์กัด พยายามออกเสียงตามจนรู้สึกว่ามันไม่น่าใช่ทางของกูละ เลยเลิก

อย่างที่เล่าไปแล้วว่า เมือง Dalanzadgad นี้อยู่ขอบทะเลทรายโกบี บ้านเรือนมีทั้งแบบบ้านสมัยใหม่ แต่หนาเตอะและปิดมิดชิด และแบบเกอ เกอทูเกอ เป็นคำที่เราจะพบได้ตามบริษัททัวร์มองโกเลีย มันหมายความว่านอนเกอทุกคืนและเปลี่ยนที่นอนไปเรื่อยๆ เกอคือที่พักแบบรื้อถอนได้อย่างหนึ่ง ซึ่งเราจะอธิบายในภายหลัง แต่สำหรับคืนแรกนั้น เรานอนเกอที่อยู่ในชุมชน เจ้าของบ้านนอนบ้านอิฐปกติ แต่สร้างเกอไว้รับแขกในบริเวณรั้วล้อมมิดชิด มีเสียงหมาตัวใหญ่เห่าจากมุมบ้าน ซึ่งบิลบอกว่าเป็นหมาข้างนอก (อีบิลมึง หมาอยู่ข้างในโว้ย)


บิลกับโลยาตุ้มเอากระเป๋าเดินทางเราเข้ามาไว้ในเกอ ก่อไฟในเตาให้ความอบอุ่น แล้วบอกว่าจะไปทำอาหารเย็นละ เขาอยู่เกอข้างๆ จะเอาอะไรก็เรียก ไดอะล็อกนี้เป็นไดอะล็อกปกติ เรารับปากว่าโอเค แต่ไม่เคยเรียกขออะไรเลยตลอดทั้งทริป

เราได้เห็นหน้าเจ้าของบ้านแว้บๆ ไม่นานฟ้าก็มืดสนิท เราผลัดกันออกไปเข้าห้องน้ำที่เป็นส้วมหลุมแห่งแรกของทริปนี้ ส้วมหลุมนี้ตั้งอยู่มุมหนึ่งของบริเวณบ้าน ชิดรั้ว เป็นส้วมนั่งราบที่ต่อเนื่องกับหลุมลึกด้านล่าง ยกเว้นเรื่องระบบส้วมแล้ว ห้องน้ำเขาเหมือนปกติบ้านเราทุกอย่าง มีทิชชู่ มีชั้นวางของจุกจิก มีสเปรย์ดับกลิ่นกระป๋องโตด้วย

ห้องน้ำนี้ความที่อยู่มุมและปิดมิดชิด กลิ่นนี่ไม่ต้องพูดถึงเลย เราสองคนเริ่มต้นปรึกษากันว่างดน้ำงดอาหารแม่ง ไม่อยากเข้าส้วม แต่คิดอีกที อย่าทำร้ายร่างกายเช่นนั้นเลย เรามาตั้งหน้าตั้งตากินแม่งทุกอย่าง แล้วก็เข้าส้วม (และไม่ส้วม) ทุกครั้งที่ต้องการกันดีกว่า มันเฮ้ลที่กว่ากันเยอะ

เกอของเราเป็นเกอสองเตียง น่าจะเป็นขนาดเล็กสุดแล้ว มีหลอดไฟหนึ่งดวง และปลั๊กเสียบกาน้ำร้อน ซึ่งก่อนมาเขาบอกว่าเกอจะชาร์จแบตไม่ได้ แต่นี่เรานอนเกอในเมืองเลยมีที่ชาร์จ ถึงการลากสายพ่วงไปมา จะดูน่าหวาดเสียวโดนไฟดูด แต่เราก็จัดเต็มทุกดีไวซ์ฮะ

ความสุขของการนอนเกอก็คือตรงกลางจะมีปล่องเหล็กต่อเนื่องจากเตาเหล็กส่งควันออกสู่ภายนอก เมื่อก่อไฟในเตาเหล็ก ความร้อนจะค่อยๆ แผ่ออกมา ทั่วเกอจะอบอุ่นสบาย ระบบของเตาคงคิดมาดีมาก ควันจะแทบไม่ออกมารบกวนในเกอเลย เว้นแต่บางเกอที่เตาไม่ค่อยจะดี
ข้อเสียคือ
๑. มันใช้ฟืน เสียดายไม้ซึ่งหาได้ยากยิ่งที่โกบีนี่
๒. พอดับแล้วโคตรหนาว มันไม่อยู่ยาวไปทั้งคืน ต้องคอยตื่นมาเติม
๓. รอยต่อระหว่างปล่องกับหลังคา หลายๆ เกอต่อไม่สนิท ลมแม่งถือโอกาสสวนเข้าตรงนั้นแหละ
๔. เห็นเสาอยู่กลางบ้านไม่ได้ ชิน ชอบเอามือไปจับ ร้อนจนร้องแว้กไปหลายที

อาหารเย็นเสร็จตอนสามทุ่มครึ่ง ดึกเวอร์ แต่ก็ไม่ค่อยเดือดร้อนเพราะขนมเยอะ เอาขนมจากชุมพรติดไปด้วย มีกล้วยฉาบกับกล้วยเล็บมือนางอบน้ำผึ้ง ขนมห่อๆ น้ำหวานก็มีที่ซื้อไว้ มาม่าพกมาถึง ๖ กระป๋อง
ตาบิลทำข้าวต้มซุปมันฝรั่งใส่เนื้อแกะบางเบา แกบอกว่าสังเกตว่าเรากินเนื้อกันได้น้อย แกเลยลองใส่น้อยๆ ดู เราก็พยายามบอกแกว่า มันอร่อยแหละ แต่มันเยอะไป และหนักไปมากสำหรับเรา ลดเนื้อลงก็ดีแล้ว นี่บางทีก็สงสัยนะว่ามีแต่บ้านเรารึเปล่าวะที่กินไม่ค่อยเยอะ (แต่กินหลากหลายและจุกจิก) เวลาไปที่ไหนๆ ก็เจอปัญหาให้อาหารเยอะไปทุกครั้งเลย

เรากินเสร็จก็วางไว้ที่โต๊ะ เพราะไม่รู้ต้องเอาไปไหนอย่างไร ตอนมาถึงเกอทีแรก เราลองเอาน้ำอัดลมขวดนึงไปวางไว้บนกรอบประตูเกอด้านนอก ก็ได้อีตู้เย็นธรรมชาตินี่ล่ะ ชั่วโมงเดียวเท่านั้น เย็นเจี๊ยบชื่นใจแบบที่ตู้เย็นบ้านเรายังทำไม่ได้เลยนะ ดื่มน้ำอัดลมอร่อยมากๆ

บิลกับเจ้าของเกอเข้ามาเติมถ่านให้อีกครั้งแล้วทุกคนก็เข้านอน เราซึ่งปรับตัวเข้ากับสิ่งต่างๆ ได้เป็นอย่างดี วนเวียนเข้าห้องน้ำมันอยู่นั่น ไม่ใช่ว่าปลื้มปริ่มหรือติดกลิ่นนะ แต่เดินทางทั้งวันไม่เป็นอิสระทางการขับถ่าย พอได้มีส้วมหลุมที่เดินไปเข้าได้ตลอด มันก็เลยต้องขอทบต้นทบดอกนิดนึง

คืนนั้นกว่าจะหลับได้ เราก็วิ่งเข้าวิ่งออกถ่ายรูปดาวเต็มฟ้า ประตูเกอจะเล็กและต้องก้มตัวเวลาเข้าออก คงเพราะป้องกันการสูญเสียความร้อนด้วย และเพราะโครงสร้างของเกอด้วย กูก้มแต่ละทีก็ปวดหลังแอ้กๆ แต่ไม่ให้วิ่งไปวิ่งมาก็ทำไม่ได้ ดาวโคตรสวย อากาศโคตรหนาว ตกกลางคืนก็อยู่ประมาณ ๖ องศา และกลางดึกมีติดลบหน่อยๆ ยังได้ยินเสียงหมาเห่าทึบๆ เหมือนว่าตัวมันใหญ่มาก นอกนั้นเงียบเหลือเกิน แทบจะได้ยินเสียงดาวกระพริบ

มองโกเลีย – ทะเลทรายโกบี #๑

เวลา : สงกรานต์ ๒๐๑๘ ลา ๓ ได้ถึง ๗
สมาชิก : ปูกะแอ้
สถานที่ : มองโกเลีย – ทริปทะเลทรายโกบี

อยากไปมองโกเลียมาตั้งนานแล้ว
ด้วยความไม่ใส่ใจในวิชาสังคมศาสตร์ มองโกเลียสำหรับเราคือที่กว้างๆ มีม้า มีอะไรที่เกี่ยว กับการยิงธนู มีอะไรที่กันดารดิบๆ เถื่อนๆ แค่นี้ก็มากพอที่จะทำให้จัดเอามองโกเลียไว้ใน Bucket List มานานแสนนาน อยากขึ้นรถไฟทรานไซบีเรีย-ทรานมองโกเลีย แวะแม่งให้พรุนทุกสถานี ฝันๆ เอาไว้แบบนี้ กะว่าเขาเลย์ออฟเมื่อไหร่ตูจัดแน่นวล

ปีนี้วันหยุดยาวไม่ได้ยาวสมใจ ตอนหาที่ลงกันกับปู เราคิดกันช้ามาก ด้วยวัยด้วยหน้าที่การงาน เราสองคนมีเวลาคิดเรื่องเที่ยวน้อยลงอย่างมีนัยยะสำคัญ ปีก่อนหน้านี้ก็พลาดไปทีนึงแล้วที่หนีสงกรานต์เมืองไทยไปพม่า ช่างไม่รู้อะไรบ้างเลย ไปโดนพี่หม่องสาดน้ำใส่กล้อง แทบไปโชว์แม่ไม้มวยไทยให้เลื่องลือ ปีนี้ไม่อยากจะพลาดอีก เมื่อเงื่อนไขเรื่องร่างกายและเวลามันจำกัด เราก็เลยลงทุนมากขึ้นอีกนิดในด้านงบประมาณ
ตั๋วไปมองโกเลีย แพงและหลากหลายจนงงเพราะมันไม่บินตรงจากไทย ฮับดีๆ หลายที่ที่น่าเวียไม่ได้เวีย ดันต้องไปเวียที่ปักกิ่งเพราะราคากับเวลาดีสุด ก่อนซื้อตั๋วกลัวพลาดอย่างหนักจนตัดสินใจใช้เอเย่นต์ซื้อให้ เอเย่นต์ก็ดี๊ดี หาราคาได้ถูกกว่าจองเองสดๆ ซะอีก แถมเซลยังน่ารัก เที่ยวกลับมาแล้วยังแชตคุยกันอยู่เลย

ในเวลาเดียวกันกับการหาตั๋วเครื่องบิน เราก็คุยกับทัวร์เอเย่นต์ของมองโกเลียพร้อมๆ กันสองสามเจ้า แล้วเลือกเอาเจ้าที่ตอบไว ตอบรู้เรื่อง ราคารับได้ เมื่อตั๋วคอนเฟิร์ม โลคอลทัวร์ก็คอนเฟิร์มไปพร้อมๆ กัน

สุดท้ายทุกอย่างก็ถูกจัดการเสร็จก่อนเวลาเดินทางราวๆ ๑ เดือน สำหรับเราคือ กระทันหันมากเหลือเกิน อากาศที่แตกต่างกับไทยของมองโกเลียก็เป็นอีกปัญหาหนึ่งที่ต้องจัดการ
เราต้องเตรียมโค้ทอย่างดี และรองเท้าบู๊ทหุ้มข้อ และยังต้องเตรียมตัวสำหรับการรอนแรมกลางทะเลทรายโกบีอีกด้วย (ซึ่งการเตรียมที่ว่านี่คือ การเตรียมจะไม่ได้อาบน้ำทุกวัน ซึ่งปกติเหมือนจะชอบอยู่แล้ว ตามประสาคนที่ “สะอาดอยู่แล้วไม่ต้องอาบน้ำก็ได้” แบบเรา)

วันที่ ๑๑ เมษา กระเสือกกระสนจัดการงานต่างๆ แล้วลาครึ่งบ่าย แจ้นไปซื้อของเพิ่มอีกนิดหน่อยที่เซ็นลาด กลับห้องไปจัดกระเป๋าที่ทำค้างไว้ครึ่งๆ กลางๆ แล้วตรงดิ่งไปยังสุวรรณภูมิ พบปูตามเวลานัด แล้วเข้าคิวยาวมหายาว ขดไปขดมาเป็นเวลานานกว่าจะได้โหลดกระเป๋าและเช็คอิน เจ้าหน้าที่กระซิบกระซาบว่า ชั้นประหยัดที่เราจองมันโอเวอร์บุ๊ค แต่ปูบินกับสายการบินในเครือ Star alliance มากพอจนได้อีโวลท์เป็นซิลเวอร์เลเวล (งานปูมันโคตรดีเลย เดินทางบ่อยมาก) เขาจึงจะอัพเกรดเราสองคนฟรีไปสู่ชั้นที่เหนือกว่าอีกหนึ่งขีด และยังคงได้นั่งด้วยกันในที่นั่งคู่สำหรับแถว ๒-๔-๒ เหมือนเดิมที่จองมา ซึ่งเราก็ดีใจริกรี้ จนกระทั่งพบในภายหลังนานแสนนานว่า เห้ย มันก็ต่างกันนิดๆ หน่อยๆ ปะวะ


ความต่างหนึ่งที่ปลื้ม ก็คือเขาแจกรองเท้าผ้าใส่เดินในบ้านด้วย ลายน่ารัก มันสบายเท้าดีจริง เมื่อได้ถอดรองเท้าคัทชูออกแล้วสวมแตะผ้าสบายๆ หลายชั่วโมงระหว่างเดินทาง ก่อนลงจากเครื่องเรากระซิบกระซาบกับปูว่า เขาให้เลยป่าววะ พี่จะเอามันไปด้วย ยังไม่ทันไรก็ได้ยินเสียงกรอบแกรบจากหนุ่มฝรั่งหล่อด้านหลังขวาที่กำลังยัดรองเท้าแตะลงถุงพลาสติก ก่อนหย่อนลงเป้เป็นลำดับถัดมา

ที่ปักกิ่ง
การ Transfer ที่น่ารำคาญได้เริ่มต้นขึ้น
ไฟลท์แรกนี่ล่ะหนักสุด เราถึงปักกิ่งกลางดึก และจะบินอีกทีแปดโมงเช้า เราต้องหาที่เอาตัวไปแปะไว้เป็นเวลาถึง ๗ ชั่วโมง ออกจากตัวเครื่องได้ เราก็เดินโผเผตามๆ เขาไปเรื่อยๆ ตามป้ายชี้สำหรับพวก Transfer เราไม่ต้องรับกระเป๋าใบที่โหลดคืนเพราะเป็นแบบ Check through สะดวกไปอย่าง แต่อีกแง่หนึ่งเราก็ต้องเตรียมสิ่งจำเป็นสำหรับค่ำคืนที่ปักกิ่งไว้ก่อนด้วย อาทิเช่น เสื้อผ้าสำหรับอากาศ ๑๐ องศาเป็นต้น

จีนตรวจเข้มกับกระเป๋าจนคิวยาวโดยไม่จำเป็น คนยืนโงนเงน ง่วงแม่งก็ง่วง ไอ้นี่ก็ตรวจมันอยู่นั่น เกร็ดการเดินทางสิ่งหนึ่งที่ได้จากเรื่องนี้คือ ถ้าจำเป็นต้อง Transfer ที่จีน ขอให้เผื่อเวลาระหว่างไฟลท์ซัก ๒ ชม. ขึ้นไป กันเหนียว แต่อีแบบ ๗ ชั่วโมงนี่ก็ถือเป็นวิบากกรรมเล็กๆ ได้เหมือนกัน


เมื่อเสร็จสิ้นกระบวนการตรวจกระเป๋าอันเข้มข้น (โดนริบไฟแช็คไปเรียบร้อย, โดรนไม่มีปัญหาอะไร, กล้องกับบรรดาแบตเตอรี่ต้องเอาออกมาสำแดงข้างนอกกระเป๋าชัดๆ แต่ไม่มีปัญหาอะไรเช่นกัน) เราก็ถูกปล่อยเข้าสู่อาคารผู้โดยสารยามดึกที่เงียบงันและหนาวเย็น ตอนนั้นเราหิวน้ำมาก เพราะเป็นระบบร่างกายที่จะต้องซัดน้ำก่อนนอน ก่อนมาชีวิตโคตรปั่นป่วน รื้อเก๊ะรวมแบงค์นานาชาติ พยายามหาเงินหยวนที่คิดว่ามีติดอยู่ ได้ใบร้อยมาใบนึง หน้าตาแปลกๆ แต่ก็ดูจีนๆ ใช้ได้ พอควักมาจ่ายค่าน้ำเท่านั้นแหละ หน้าแหกนิดนึง เค้าบอก เอ่อ อันนี้มันเงินไต้หวันฮะ สุดท้ายปูก็รูดบัตรไป

เราสองคนเดินมาหาที่นอนละแวกของเกตตัวเอง อาคารผู้โดยสาร T3-E มีพื้นที่ว่างมากมาย แล้วก็ยังดีงามตรงที่ปิดไฟเป็นส่วนๆ ไม่รู้สึกว่ามืดจนน่ากลัว แต่ก็ไม่มีแสงกวนตาจนนอนไม่ลง เก้าอี้ก็มีที่เท้าแขนทุกๆ ๓ ตัว ร่างสั้นๆ อย่างเราก็นอนยาวได้สบายๆ เหมาะแก่การซุ่มหลับซะจริงๆ

คงมีหลายคนตกอยู่ในสภาพเช่นเดียวกับเรา เมื่อเลานจ์แบบซื้อรายครั้งราคาแพงถึงเกือบพัน ชิ..นอนเคาช์ ก็ได้วะ เข้าห้องน้ำห้องท่ากันแล้ว เราก็เลือกเคาช์ที่มีที่ชาร์จแบตด้วย เสียบมือถือ ยัดมือถือไว้ใต้ไหล่แล้วก็กกกระเป๋าห่มตัวหลับไป

เราหลับไป ๒ ชั่วโมงนิดๆ ก็ตื่น ปูเก่งกว่า เพราะยังคงอยู่ในนิทราได้นานกว่า คนตื่นแล้วก็เริ่มเดินไปเดินมา หนึ่งคือมันหนาว เลยวนเวียนไปฉี่ที่ห้องน้ำซึ่งอยู่ห่างพอสมควร สองคือเดินหา wifi ใช้ และก็แอบสำรวจโลกไปด้วยในเวลาเดียวกัน มนุษย์ยังไม่ตื่นนอนเรียงกันอย่างกะผู้ลี้ภัยในค่ายกักกัน

สนามบินปักกิ่งหากค้นข้อมูลทางอินเตอร์เน็ต มันจะบอกเลยว่า มีฟรีไวไฟ มีวิธีการรับรหัสสะดวกสบายหลายวิธีให้เลือก แต่นอกเวลาทำการมีแต่ตู้จ่ายรหัสอัตโนมัติเท่านั้นที่เราหวังได้ สองตู้ที่เจอ ตู้หนึ่งอยู่ใกล้ๆ อีกตู้เราบากบั่นเดินไปอีกปีกตึก กลับพบว่าใช้การไม่ได้แบบไร้เหตุผล เวิ้งว้างดุจกล้องจราจรดัมมี่ของเมืองหลวงประเทศสมมติแห่งหนึ่ง ความที่รู้สึกว่ามันมีอยู่ แต่เราเชื่อมต่อกับมันไม่ได้ มันช่างน่าหงุดหงิดรำคาญใจไม่ต่างอะไรกับการควานหาเนื้อคู่ในโลกปัจจุบันอันสับสน บอกไม่มีแม่งซะยังจะดีกว่า

แปดโมงกว่าๆ ตรงตามเวลา เราก็ได้ฤกษ์บอกลาปักกิ่งอันขมุกขมัว เหิรฟ้าสู่อูลานบาตาร์ เมืองหลวงแห่งประเทศมองโกเลียกันซักที

A Bumpy flight

ที่จริงลืมตาฟากขึ้นมา เราจะหิวทันทีเป็นธรรมชาติของเด็กสมบูรณ์ แต่ความงก รอกินฟรีบนเครื่องก็ได้วะ อาหารบนไฟลท์อร่อยใช้ได้ เสิร์ฟทันหิว แต่ก็ช้าไปกว่าปกติสักหน่อยเพราะพอเครื่องเชิดหน้าขึ้นฟ้าได้ ก็เจอเข้ากับอากาศแปรปรวน (Turbulence) ติดๆ กัน เมื่อผ่านม่านฝุ่นขุ่นมัวของปักกิ่งได้ไม่นานนัก ภูมิทัศน์ด้านล่างก็ยิ่งเป็นภูเขาแล้ง แห้ง มองลงไปเบื้องล่างมีแต่ภูเขาหินสันฐานซับซ้อนสวยเหมือนคลื่นทะเลสีเข้มที่ถูกพลังเอลซ่าสาบให้จับเป็นก้อนแข็ง ชุมชนน้อยๆ พอมีให้เห็นประปราย

เราสองคนนั่งแยกกันเพื่อครอบครองคนละหน้าต่าง ที่นั่งซึ่งจองล่วงหน้าโดยเลือกสรรอย่างดีว่าเราจะต้องได้วิวสวยๆ มีแสงเช้าส่องถูกด้านให้เกิดเป็นสีสันสดใส แต่ชีวิตจริงวิวของเราเป็นหมอกและฝุ่นอยู่บ่อยๆ ช่วงที่เราบินข้ามรอยต่อระหว่างประเทศ เกิดเทอร์บูเลนซ์ต่อเนื่องไม่หยุดหย่อน ถ้าหลับตาล่ะเป็นคิดว่านั่งรถทัวร์หวานเย็นบนถนนลูกรังแน่นอน มองแอร์สาวหมวยไฟลท์เช้า แต่ละคนกัดฟันทำหน้าที่ของตัวเอง ยิ้มอ่อนแรงขณะเข็นรถต้านแรงสั่นระรัวของเครื่อง ความที่ลูกเรือไม่ได้หยุดทำงานทำให้พอจะเข้าใจได้ว่า นี่ไม่ใช่เรื่องแปลกประหลาดของเส้นทางนี้หรอก เราเลยรีบกินและหุบอุปกรณ์มื้อเช้าของเราอย่างเร็วๆ เพื่อให้สาวๆ ทำงานเสร็จไวอีกนิด ลึกๆ ในใจ เราเองก็ไม่อยากเปิดถาดหน้าที่นั่งเอาไว้ในขณะเครื่องสั่นๆ จับพลัดจับผลูมีตกหลุมอากาศขึ้นมาเป็นได้ทิ่มหน้าแหก หน้าเราสวยเราต้องป้องกันไว้อย่างดี

ขุนเขาเปลี่ยนรูปร่างและสีไปเมื่อเข้าสู่เขตมองโกเลีย ฝั่งจีนภูเขามีสีเข้มกว่าเหมือนเป็นหินแข็ง ฝั่งมองโกเลียทิวทัศน์ออกสีน้ำตาลอย่างกะกำลังจะแลนดิ้งเหนือดาวแททูอิน เมืองน้อยๆ อาคารหลังน้อยห่างๆ กัน เริ่มปรากฏให้เห็นเรื่อยๆ ก่อนจะถึงอูลานบาตาร์ มีริ้วขาวๆ ตามซอกภูเขา เห็นแล้วก็สงสัยว่า นั่นมันหิมะมั้ยนะ คงไม่ล่ะมั้ง มันจะหนาวปั่นหนั่นเลยบ๊อ (แล้วจะสำเนียงโคราชทำไม)

เครื่องแลนดิ้งอย่างราบรื่นในเวลาเที่ยงวันที่เร็วกว่าบ้านเรา ๑ ชม. ภาพแรกที่เห็นเมื่อเครื่องแท็กซี่ตั้งฉากมุ่งเข้าสู่อาคารสนามบิน คือรันเวย์ทอดยาวนำสายตาไปสู่ทิวทัศน์เวิ้งว้าง นอกจากภูเขาสีน้ำตาลเกลี้ยงเกลาแล้ว แทบไม่มีสิ่งก่อสร้างอะไรจะสูงขึ้นมาจากดินเกินอาคาร ๑ ชั้น ฝุ่นที่เพิ่งกระเจิงขึ้นมายิ่งกลบทุกสีจนเหลือแค่วิวสี Yellow Ochre เจ้าหน้าที่สนามบินโบกให้สัญญาณเครื่องเทียบงวงช้างแล้ว ก็วิ่งเหยาะๆ ไปอีกทาง ดูจากชุดและภาษากาย บอกได้เลยว่าข้างนอกแม่งต้องหนาวสัสๆ

หมายเหตุ : Air China แม่งไม่เข้มงวดอะไรเล้ย ประกาศเลยว่าให้เปิดมือถือเป็นไฟลท์โหมด แล้วจะทำไรก็ทำไป เพราะงั้นก็ถ่ายรูปรัวๆ ได้ทุกเวลาไม่ว่าจะเชิดขึ้น ปักหัวลงใดๆ แลนด้งแลนดิ้งมีคลิปพร้อม รักมาก บริการต่างๆ สมเป็น Full services จริงๆ ดีกว่า China Eastern ที่เคยประสบแบบคนละเรื่อง อันนั้น Full services เสิ่นเจิ้น

กระบวนการผ่าน ตม.ตลอดจนรับกระเป๋าเสร็จสิ้นได้ในครึ่งชั่วโมง นับว่าเลิศ พาสปอร์ตเราเพิ่งไปทำมาใหม่เอี่ยมว่างทุกหน้าให้เลือกสรร คุณพี่ ตม. แต๊มลงหน้าสุดท้ายเหมือน ตม.เวียดนามเลยว่ะ

ชายหนุ่มขาวผอมสูงหน้าตาใจดียืนถือป้ายชื่อปูรอรับอยู่ เจอผอมสูงขาวเข้าไปคิดว่าหล่อล่ะสิ อ่อไม่อะ แล้วก็ไม่ต้องหวังไรมากขอสปอยล์ทีเดียวทั้งเรื่อง ตลอดทริปไม่เจอคนหล่อ จบนะ

ทริปนี้จำต้องมีชุดเยอะ พร็อพแยะ เราเลยไปถอยกระเป๋าลากใบโตมา ส่วนปูยังแขวนอีแบ็คแพ็คใบเก่าแก่ที่เราใช้เดินทางด้วยกันมานับทศวรรษไว้บนหลัง แต่เป็นยังไงไม่รู้ คนจะช่วยถือกี่คนกี่คนนี่มันพุ่งมาที่เราก่อนเลย ซึ่ง กูลากไง มึงไปช่วยไอ้คนแบกกระแด๊กๆ โน่นมั้ยล่ะ
หรือว่าความชราของชั้นมันจะฉายชัด โอ๊วววว ม่ายยยยย

ชาวมองโกเลียใช้ภาษาที่ฟังคล้ายรัสเซียมากๆ แต่ก็แอบมีบางท่วงทำนองคล้ายญี่ปุ่นซะงั้น แต่ยืนยันโดยตาไกด์ของเราที่จะพบเจอในวันรุ่งขึ้นว่า ไม่เหมือนกันเลยนะจ๊ะ ฟังคล้ายเฉยๆ ตัวหนังสือที่ใช้เหมือนรัสเซียทั้งหมด ๓๓ ตัว กับบวกเพิ่มอักษรพิเศษไปอีก ๓ ตัว ทำให้สามารถสะกดและอ่านออกเสียงซึ่งกันและกันได้แต่ไม่เข้าใจความหมาย ชื่อคนและชื่อสถานที่ในมองโกเลีย ออกเสียงยากมากกกกก มันไม่ใช่เหมือนเราสอนฝรั่งออกเสียงคำว่า พัทยา แล้วได้ความออกมาว่า ป๊า ตา ยา น่าเอ็นดู ไม่ถูกต้องแต่ฟังเข้าใจ ภาษามองโกเลียมีเสียง เขอะ เขอออ เสอะ ซึดดดดด แทรกอยู่ระหว่างพยางค์เยอะมากเหมือนลมกรรโชกผ่านช่องเขา ให้พูดตามคำต่อคำ ยังพูดไม่เหมือน ตอนเด็กครูเคยสอนให้ภาคภูมิใจในภาษาไทยเพราะยากสัส เอ๊ยยากสุด แต่ไม่อะ ภาษาไทยไม่ยากเท่ามองโกเลียแน่นอนอันนี้ยอม อีไกด์เราบอกในค่ำคืนหนึ่งในเกอน้อยๆ ใต้แสงดาวว่า คนมองโกเลียนี่เรียนภาษาอะไรก็ง่าย เพราะว่าภาษาเขาออกเสียงยุ่งยากสุดแล้ว

เพราะงั้นเราจะตั้งชื่อเล่นให้ทุกคน เพราะชื่อแม่งยาก แนะนำตัวมากูก็ลืม ตาคนแรกที่มารับเรานี่ ก็ชื่อตาคนแรกไปละกันนะ ง่ายดี

ตาคนแรกพาเราเดินออกนอกอาคาร รถจอดไม่ไกลเลย ดีแล้วที่ไม่ไกล เราปรับตัวไม่ทัน แม่งหนาวมาก ลมแรงสุดๆ ผมที่ไม่ได้มัดปลิวสะบัดรู้สึกว่าทำให้หัวหนักขึ้น เดินเหนื่อยเพิ่มขึ้นอีกนิด

ในรถอบอุ่นขึ้นมากเมื่อกันสายลมโหมกระหน่ำไว้ข้างนอกประตูได้ รถเก่าๆ ได้กลิ่นบุหรี่จางๆ เรานั่งหลังให้ปูนั่งหน้าคู่กับตาคนแรก ซึ่งอ้อมแอ้มว่าพูดภาษาอังกฤษไม่ค่อยได้นะ แต่ไม่จริงอะ ภาษาแกใช้ได้เลย แต่แกดูถล่มตัวเขินอาย เราคิดว่าแกจะเป็นไกด์ของเรา ซึ่งแกดูใจดีมากอะ แต่ไม่ใช่ ถามอะไรเกี่ยวกับการเดินทางแกก็บอกว่า ไว้ยูคุยกับไกด์ยูพรุ่งนี้ละกัน ไอไม่บอก เอาจริงไม่ใช่สตาร์วอร์ส ไม่ต้องกลัวสปอยล์ขนาดนั้นก็ได้

อูลานบาตาร์เมื่อแรกเห็นเราประหลาดใจ อีนี่ย่อมประหลาดใจเพราะไม่ทำการบ้าน บอกตรงๆ กระซิบเบาๆ เอามือป้องปากเลยว่า เราคิดว่าประเทศนี้ยังอยู่ข้างหลังเรานะ ยังนอนกระโจม ยังเลี้ยงสัตว์กันอยู่เลยไม่ใช่เหรอ ทำไมเมืองหลวงอลังและหนาแน่นเยี่ยงนี้

จากเขตสนามบินผ่านชานเมืองมุ่งหน้าเข้าสู่ใจกลางเมืองหลวง บ้านเรือนหนาแน่นปกคลุมลาดเขา สิ่งก่อสร้างทั้งหลายสูงต่ำเบียดเสียดกันเป็นพรืดไปหมด ตรงนี้ตรงนั้นมีไซต์ก่อสร้างกำลังดำเนินการ ปล่องสูงปล่อยควันดำๆ ลอยสู่ท้องฟ้า ทำให้เรารู้ว่า อีเมืองนี้แม่งผลิตไฟฟ้าจากถ่านหินนี่หว่า แถมยังเล่นง่ายๆ เอาโรงไฟฟ้าขนาดยักษ์ยัดไว้ปริ่มๆ ชานเมืองซะเลย มิน่าฟ้าไม่ใส อากาศก็แอบขุ่นๆ อุปาทานรึเปล่าไม่รู้แหละ แต่เสียดายสิ่งนี้มาก ประเทศก็กว้าง ไม่ไปตั้งที่อื่นแล้วลากสายเอาฟะ

ยิ่งเข้าสู่ตัวเมืองรถยิ่งติดหนึบหนับ ถนนไม่กว้างนัก และที่จอดรถคงหายากสาหัสเพราะจอดมันเละละเกะกะไปหมด อีคนจะขับก็จะขับ รถติดรูเล็กรูน้อยก็มุดไป เริ่มสังเกตว่าขับรถกันโหดเหลือใจ วงเลี้ยวแบบไม่น่าจะเลี้ยวก็ยังจะม้วนเข้าไปได้ และสายตาเริ่มจดจ้องก็พบว่า รถที่นี่ไม่ค่อยมีอีโคคาร์นะ เป็นคันโตๆ ดูแพงๆ กันทั้งนั้น แต่หลายๆ คัน มีรอยชนยุบ มุมยับ
โดยเฉพาะมุมคู่หน้า กับบั้นท้าย ข้างรถบุบบู้ก็มีให้เห็น ตอนเดินเล่นตามถนน เราก็มีความพยายามอยากจะถ่ายภาพรวมซีรี่ย์คาร์ฟอร์เคลม แต่ความที่อากาศมันหนาว ปูบอก ไอ้รถที่จอดนิ่งๆ อย่าเพิ่งไปถ่ายรูปมันนะพี่ ปูเห็นมีคนนั่งอยู่ข้างใน ระแวงๆ ก็เลยแทบไม่ได้ถ่ายมา ได้แต่ดูและตื่นตาตื่นใจอย่างเดียว เป็นคนไทยคงรีบเอาไปซ่อมไม่เว้นแต่ละวัน ไอ้พวกนี้ไม่แคร์ ขับเฉย เดี๋ยวก็ชนอีกช่างแม่ม


ดูความแคบได้จากภาพด้านล่าง อีคันขวาคือจอด อีซ้ายคือเบียดไป คันเราก็เบียดตามอย่างไม่ท้อถอย

บรรยากาศตัวเมืองเมื่อแรกเห็น เท่ห์ว่ะ กลิ่นอายคอมมิวนิสต์ที่เพิ่งจางลงพร้อมกันกับสิ่งใหม่ๆ ที่เข้ามาผสมปนเป ทำให้ตึกโลว์ไรส์ถึงมีเดียมแรร์ เอ้ย มีเดียมไรส์ ดูมีหน้าตายุโร้ปยุโรป กับโทนสีน้ำตาลอ่อนครีมมี่ตัดขาวหม่นๆ ที่ดูอ้างว้างเข้ากันกับต้นพญาไร้ใบทุกๆ ต้นตลอดสองข้างทาง

กว่าจะฝ่าฟันบรรดาอุปสรรคต่างๆ ที่กล่าวมา ๔๕ นาทีเต็มๆ จากสนามบิน เราก็มาถึงเกสต์เฮาส์และทัวร์เซอร์วิสโพรไวเดอร์ที่เราได้จองไว้ก่อนหน้าแล้ว ซึ่งอยู่ห่างจากสนามบินแค่ ๑๕ กม. แม่งรถติดน้องๆ แยกรัชโยธิน

แผนของเราคือหัวท้ายอย่างละคืนในเมือง นอนที่เกสต์เฮาส์นี่ และห้าวันสี่คืนท่องทะเลทรายโกบี จัดไปให้สาสม ทั้งหมดคิดราคารวมจบหมดแล้ว จ่ายด้วย US Dollar ที่มัดจำมานิดหน่อย และเตรียมที่เหลือมา เราจึงมีความจำเป็นไม่มากนักที่จะใช้เงินมองโกเลีย และยังไม่ได้แลกไว้เลย

ตาคนแรกที่สนทนาโอภาปราศรัยกับเราอย่างดีและรื่นรมย์ตลอดการเดินทาง พาเราเข้าไปในตึกทึบๆ จากทางด้านหลังหลังจากจอดรถในตำแหน่งที่ลำบากและเสี่ยงตูดบุบเรียบร้อย ที่ข้างประตูเหล็กมีแป้นพิมพ์รหัสก่อนเข้า มารู้ทีหลังว่าไม่ใช่กรอกรหัสจะเข้าได้เลย รหัสเป็นแค่การกดออดเรียกคนข้างบนให้เปิดเท่านั้น ส่วนลูกค้าอย่างเราจะได้รับคีย์การ์ดน้อยๆ แขวนพวงกุญแจ ซึ่งมานึกได้ตอนนี้เองว่าลืมถ่ายรูปเอาไว้เป็นประจักษ์พยานความปลอดภัยอันซับซ้อนของชาวมหานครอูลานฯ แห่งนี้

ตาคนแรกพาเราขึ้นบันไดแคบๆ เหมือนทางหนีไฟซึ่งอยู่ริมสุดของตึก ชั้นล่างสุดมีประตูเหล็กแยกเข้าไปสู่ตัวอาคาร เราเดินผ่านมันไปเพราะเหมือนเป็นของเจ้าอื่น เมื่อเดินหอบหืดขึ้นถึงชานบันไดแคบๆ ที่ชั้นสองพบสองประตูเหล็กตั้งฉากกัน บานที่เปิดไปสู่ส่วนหน้าถนนเป็นสำนักงานของเกสต์เฮาส์คองเกอร์แห่งนี้ ใครมันจะไปคิดว่าประเทศที่กว้างใหญ่มีพื้นที่ ๑.๕๖๖ ล้านตารางกิโลเมตรเลยนะเห้ย ใหญ่กว่าไทยสามเท่าเด้อ มีประชากรบางเบาแค่สามล้านคน แม่งจะพากูมาเบียดกันอยู่ในโถงแคบๆ อะไรกันเนี่ย กระเป๋าอีกอะไรอีก รู้สึกย้อนแย้งสับสน

ด้านในสำนักงาน ชายหนุ่ม ชายวัยลุงสองสามคน กำลังรีโนเวทห้องกันอยู่โป้งป้าง มีวัสดุก่อสร้างวางอยู่ตรงนี้ตรงโน้น ที่หนักสุดก็คงเป็นกลิ่นสารเคมีบางอย่างที่ทำให้เรารู้สึกแสบจมูกมึนหัวคล้ายเวลาอยู่ในห้องที่เพิ่งทาสีหมาดๆ แต่กลิ่นมันต่างกัน มีผู้หญิงวัยพี่สาว (พี่สาวตูก็คือวัยป้า เข้าใจตรงกันนะ) ใส่ชุดทะมัดทะแมงสองคน คนหนึ่งเป็นทีมรีโนเวท อีกคนเข้ามาคุยกับเราว่าเป็นผู้จัดการส่วนที่พัก เราจะเรียกแกว่า พี่สาวผู้จัดการตึก แต่เนื่องจากแกไม่ใช่ผู้จัดการส่วนท่องเที่ยว จึงจะยังไม่รับเงินค่าทัวร์เราตอนนี้ แกบอกไว้ทีหลังก็ได้ ซึ่งเราผู้มีประสบการณ์การจ่ายค่าทัวร์ “ทีหลังก็ได้” แล้วก็ต้องซีดเพราะเปิดกระเป๋ามาแล้วมันไม่มีมาแล้ว ก็โคตรจะไม่อยากถือเงินไว้เลย แต่ก็จำใจต้องทำเพราะเค้าไม่ยอมเอาตังค์จริงๆ

เราได้รับพวงกุญแจมาพวงหนึ่ง กุญแจแม่งเยอะมาก ประมาณว่าเดินไปได้สองเมตรต้องไขอีกละ ความปลอดภัยมันสูงเวอร์ขนาดนั้นเหรอ เปล่าตึกมันแคบ เราได้ห้องพักที่ชั้นสาม เราจะต้องมีคีย์การ์ดไว้ตื๊ดประตูเหล็กข้างล่าง, กุญแจดอกใหญ่ฟันกุญแจรูปร่างประหลาดสุดเวอร์วังไว้ไขสำนักงานชั้นสองซึ่งมีล็อบบี้อยู่ด้วย, กุญแจโซนที่พักชั้นสาม และกุญแจห้องพักตัวเอง

เห็นห้องพักทีแรกรู้สึกว่าโดนหลอกละกู ค่าห้องพักคืนละพันกว่าบาท ทำไมให้นอนห้องรูหนูเล็กมาก เล็กสุดๆ เตียงห้าฟุตเต็มห้องพอดี เข้าไปปุ๊บ ต้องนั่งขอบเตียงเลย คือเขาพยายามบอกว่าเขารีโนเวทไม่ทัน อยู่อันนี้ไปก่อนนะไรงี้ ไอ้เราพยายามคิดนะว่า เมืองมันหนาวเหรอเลยชอบอยู่ชิดๆ กัน จะได้อิงแอบหาไออุ่นงี้เหรอ ห้องพักทุกห้องไม่มีห้องน้ำ ต้องใช้ห้องน้ำรวมที่อยู่ถัดไปสองประตู เราผลัดกันไปห้องน้ำพลางคิดว่าอีกฝ่ายที่มาด้วยกันน่าจะเป็นเพศตรงข้าม อย่างน้อยห้องแคบขนาดนี้คืนนี้แม่งมีลุ้นวะ

ระหว่างกลับจากห้องน้ำ เราเห็นประตูห้องข้างๆ เปิดไว้ เลยค่อยๆ ชะโงกหน้าเข้าไปดู เอ้าห้องติดกันนี่เป็นห้องบั๊งค์เบดเตียงสองชั้น ว่างด้วย แต่พอจะเดาได้ว่าทำไมเขาไม่ให้เราใช้ห้องนี้ คงเพราะคิดว่าเป็นห้องที่ต้องเข้าคิวรอรีโนเวท เพราะวอลล์เปเปอร์ลอกๆ พื้นไม่เรียบ หรือเตียงเก่าใดๆ ไม่สน เราสองคนลงไปขอเขาให้เปลี่ยนห้องให้ เขาก็บอก ได้ๆ แล้วกุลีกุจอไปเปลี่ยนกุญแจให้กับพวงกรุ๋งกริ๋งของเรา

ห้องใหม่ถึงจะเก่าหน่อยแต่ถูกใจมาก พื้นที่ก็กว้างกว่าเยอะ มีหน้าต่าง มองลงไปเห็นสนามบาส หนุ่มๆ เล่นบาสกันไม่กลัวหนาวซึ่งตอนนั้นก็เลขตัวเดียวแล้ว ยังมีคนใส่เสื้อยืดพอดีตัวโดดดึ๋งๆ ดั๊งค์ไปมาเพลินตาป้าจริงๆ (แต่ไม่หล่อนะ ดูไกลๆ พอเอาบรรยากาศ)

ที่ริมผนังมีท่อเหล็กทาสีหนาๆ ขดไปมา สักพักแหละถึงได้รู้ว่ามันคือเทคนิคการทำความอบอุ่นของเขา คือปล่อยน้ำร้อนเข้าไปในท่อที่เดินทั่วตึก ท่อจะปล่อยไออุ่นออกมาเรื่อยๆ สม่ำเสมอ ในส่วนของตึกนั้นไม่ว่าข้างนอกจะหนาวขนาดไหน พอเข้าข้างในแล้วก็รู้สึกสบายดีทั้งๆ ที่ไม่มีฮีตเตอร์ประจำห้อง จากการสังเกตพบว่าตึกหนามากและซีลมิดชิดหมด ไม่มีลมเข้าได้เลยแม้แต่แค่เท่ารูมด

ตอนนั่งรถมากับตาคนแรก แกบอกว่าตึกระบบเก่านี่ ดี หน้าหนาวอยู่อุ่นหน้าร้อนอยู่สบาย แต่คนยุคใหม่อยากได้ตึกกระจก เพราะเท่ห์กว่า พลางชี้ชวนดูตึกกระจกทั้งที่เสร็จแล้วและกำลังสร้าง เราทักว่า อย่างงี้ก็เปิดฮีตเตอร์กันหูตาแหกดิ ตาคนแรกบอกว่า ช่ายแล้วมันไม่อุ่นเอาซะเลย แต่มันก็เท่ห์เหลือหลาย เลือกได้ผมก็ขอแบบนี้นะ พูดพลางก็หัวเราะหึๆ

หลังจากเรื่องห้องเรียบร้อย เราเปลี่ยนเครื่องแต่งกายจากชุด ๑๐ องศาที่ปักกิ่งมาเป็นชุดเลขตัวเดียว พร้อมออกเดินเล่นยามบ่ายที่มีภารกิจดังนี้ ๑) แลกเงิน ๒) หาซิมเน็ต ๓) หาอาหารกินไปพลางเล่นเน็ตไปพลางเพราะอั้นมานาน ๔) ชมเมืองและสถานที่สำคัญในระยะเดินถึง หลังจากเห็นวิธีการขับรถในเมืองของพวกพี่ๆ เค้าแล้ว กูยอมเดิน

เราแวะปรึกษาคุณพี่สาวผู้จัดการตึกเรื่องความน่าจะเป็นที่จะได้ใช้เงินระหว่างเดินทางในทะเลทรายโกบี (น้อยมาก ไม่ค่อยมีอะไรขาย ของฝากเหรอ ลืมไปได้เลย), ร้านเน็ตน่าซื้อ (ตรงข้ามนี่เอง), ที่แลกเงิน (ห้าง เดินไปทางซ้ายมือช่วงตึกเดียว), ร้านอาหาร (ใครๆ ก็แนะนำเทรดิชั่นนอลมองโกเลียนฟู้ด แต่เรายังไม่อยากกินตอนนี้อะได้ปะ ยังต้องเจอแบบไม่มีทางเลือกอีกหลายๆ วัน ขอตุนอาหารปกติก่อนนะ – ถ้าสงสัยว่าทำไม โปรดติดตามต่อไป)

ราวบ่ายสามได้ฤกษ์ออกเดินถนน คำเตือนทั้งโดยมนุษย์, อินเตอร์เน็ตและป้ายแปะ บอกกับเราว่ามีความเสี่ยงเรื่องมิจฉาชีพล้วงกระเป๋า โดยทำทีมาพูดคุยหรือเดินเฉียดชน ก็เลยค่อนข้างระวังตัวแจ พอลงถนนเท่านั้น เฮ้ยพวกมึงมิจฉาชีพกันหมดเลยเรอะ คนมันเดินชิดกันมากอะ ไม่ว่าจะสวนจะแซงจะไปในระยะชายโค้ทตีกันปุ้กปั้ก ซึ่งมันเข้าข่ายมิจฉาชีพทั้งนั้นเลยนี่หว่า สองคนหลอนมาก เดินกอดกระเป๋าไม่กล้าถ่ายรูปไม่กล้าทำอะไรอยู่นานมากเลย ตอนหลังเริ่มสังเกตว่า คนมันเดินชิดกันอยู่แล้ว ส่วนมิจฉาชีพที่ไหนก็เหมือนๆ กัน ก็ระวังๆ เอา แต่ไม่ต้องหลอนขนาดนั้น บ้าไปแล้ว

เราแลกเงินทูกรุก (สกุลเงินมองโกเลียที่ไม่รู้เลยจนตอนจะเขียนนี่เพิ่งเปิดวิกิ) มา ๑๐๐ ดอลลาร์ กะว่าพอแล้วล่ะ จากนั้นเดินย้อนกลับมาซื้อเน็ตที่ร้าน Unitel ข้างในหรูหราเหมือนเข้าช็อปมือถือบ้านเรา เข้าไปนั่งเก้าอี้ ได้รับบริการอย่างดี เลือกซิม และเปิดใช้ตรงนั้นเลยโดยมีคุณพนักงานช่วย สนนราคาคนละ ๑๓๐ บาท ความเร็วสูงจำกัดดาต้าแต่ใช้ได้ตลอดทริป และเป็นยี่ห้อที่เขาบอกว่า เหมาะกับคันทรี่ไซต์ที่สุดแล้ว

จากนั้นเราก็หิวหน้ามืด เลยเข้าร้านอาหารอินเดียใกล้ๆ นั่นแหละ สั่งอาหารเสร็จก็ก้มหน้าเช็คโซเชียลกันอย่างโหยกระหายในข้อมูลและเรื่องราว (ที่ส่วนมากก็ไม่ค่อยมีผลอะไรกับชีวิตอะนะ) อาหารอินเดียก็คืออินเดีย จานใหญ่อลังการเหนือคาดไม่ว่าจะสั่งที่ประเทศไหนๆ ในระหว่างมื้ออาหารก็สำราญลิ้นดี อร่อยใช้ได้เลย เราสองคนสั่งแกงหนึ่งอย่าง ปลาทอดหนึ่งจาน กินกับแป้งนานชีสใหญ่เท่ากระด้ง ทุกอย่างเหลือครึ่งหนึ่งและห่อกลับไปเป็นมื้อดึกด้วย

กว่าจะออกจากร้านอินเดียปาไปสี่โมงกว่า อุณหภูมิลดต่ำลงอีกสองสามองศา รู้สึกว่ารายการสถานที่สำคัญที่อยากชมคงไปได้ไม่หมดแล้ว แต่ถึงกระนั้นเราก็ลองเดินไปดู ที่แรกคือพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์แห่งชาติมองโกเลียในระยะ ๑.๓ กม. อีตอนออกเดิน เริ่มผิดทางไปสองสามร้อยเมตร ขาดทุนไปอีก เราเจออากาศแรงๆ แบบนี้นานๆ ครั้ง รู้สึกว่าการปรับตัวในวันแรกยังไม่ไหลลื่นนัก ร่างอ้วนๆ ของป้าเมืองร้อนที่ไม่ค่อยได้แบกโค้ทบนไหล่หรือขยับตัวใต้โค้ทซึ่งมันกินแรงมากขึ้นอีกนิด ก็อ่อนล้ามาก ระหว่างเดินๆ อยู่ แอบมีวูบจะเป็นลมนิดหน่อย แต่สุดท้ายก็ไปถึงจนได้ด้วยเวลาสี่โมงสี่สิบห้า ตอนนี้ตกอยู่ในโซนหน้าหนาว เขาหยุดขายตั๋วตอนสี่โมงครึ่ง แม้ว่าพิพิธภัณฑ์จะปิดหกโมงแต่เข้าไปไม่ได้ละ เจ็บปวด เลยขอคุณเจ้าหน้าที่เข้าไปฉี่อย่างเดียว ซึ่งแกก็อนุญาต เอาวะ ไม่ได้ดู ได้เยี่ยวรดเป็นการเช็คอินก็ยังดี

ถามคุณเจ้าหน้าที่ว่าพิพิธภัณฑ์ศิลปะใกล้ๆ นี่ยังเปิดไหม ก็ได้คำตอบว่าปิดแล้วเหมือนกัน หลังจากแห้วกับมิวเซียมแล้ว บรรยากาศมันยังอึนไม่ถึงใจ ฝนก็เริ่มโปรยปรายลงมา ฝนเม็ดบางมากจนแทบจะไม่ทำให้พื้นเปียก แต่ด้วยความที่มันหนาว กันป่วยไว้ก่อน มีอะไรคลุมหัวได้ก็คลุมไป เราสองคนก็บ่ายหน้าไปยังจัตุรัสเจงกิสข่าน ซึ่งอยู่ไม่ไกลกันนัก หลังจากมีอินเตอร์เน็ตใช้ กิจกรรมโปรดของเราสองคนคือเช็คมือถือว่าอุณหภูมิลดต่ำเท่าไหร่แล้ว ซึ่งขณะนั้นอุณหภูมิเป็นเลขตัวเดียวมาสักพักแล้ว แต่ลมพัดกระพือยิ่งโคตรหนาว เดินก็เหนื่อย หยุดเดินก็หนาว โวะ..

ตอนถึงจัตุรัส ฝนหนาเม็ดขึ้นอีก ลมแรง เย็นจัด เป็นเวลาประมาณห้าโมงหน่อยๆ ผู้คนชาวมองโกเลียใช้ชีวิตปกติในสายลมเม็ดฝน คนนั่งคุยกันที่ม้านั่ง ก็ไม่มีทีท่าจะหนีไปไหน อาซิ่มจูงหลานมาเดินเล่น ก็ยังคงเดินเล่นอยู่ บนฟ้ากลายเป็นสีเทา เห็นม่านฝนกระเจิงฟุ้งมาจากทางขุนเขา เราสองคนหนาวจนหงิก พอเหยียบเข้าไปในลานจัตุรัส ก็ถูกหญิงวัยพี่สาวท่านหนึ่งเข้าชาร์จทันที

ความกังวลก็รวบกระเป๋าอยู่อีกพักหนึ่งจนพบว่าเธอพุ่งเข้ามาขายภาพเขียนสีน้ำบ้าง สีน้ำมันบ้าง ส่วนมากเป็นภาพแลนด์สเคป มีภาพสไตล์โบราณด้วย วาดบนกระดาษก็มี วาดบนหนังก็มา ตอนแรกเราไม่คิดจะช้อปหรอก แต่ของเค้าสวยจริง ยิ่งดูยิ่งเคลิบเคลิ้ม คิดเพ้อไปว่าถ้ามันไปอยู่บนผนังห้องเรามันจะงามซักแค่ไหนเนาะ แหม่.. สักพักมีตาหนุ่มอีกคนเข้ามาโชว์สินค้าของตัวเองด้วย สวยกว่าอีเจ๊เข้าไปอีก เราสองคนสับสนมาก สองคนนั้นพรีเซ็นต์สินค้าแบบไม่เป็นปฏิปักษ์กัน มันทำให้เรารู้สึกสบายใจ สุดท้ายช็อปเบิกฤกษ์กันไปคนละหลายตังค์ จ่ายเป็นดอลลาร์ ไม่ได้แพงนะ คือละโมบซื้อรูปใหญ่กัน แล้วก็ปลื้มสิ่งที่ได้มามากๆ หอบหิ้วกันอย่างดีตลอดทางเลย

เมื่อชมอนุสาวรีย์เจงกิสข่านในความหนาวเหน็บกันแล้ว เราสองคนก็บ่ายหน้ากลับ ตอนนั้นเรามัวแต่ดูทาง และปรับตัวกับความหนาว ลืมสังเกตไปว่า เป็นเวลาเกือบหกโมงแล้ว ถ้าไม่นับว่ามีฝนนี่ฟ้ายังสว่างอยู่เลย เราเดินกลับอีกทางมี GPS จะกลัวอะไร เมื่อใกล้ถึงที่พักก็เจอคาเฟ่เล็กๆ แห่งหนึ่ง เลยชวนกันเข้าไปหาอะไรอุ่นๆ กิน ข้างในร้านอบอุ่นมากด้วยประตูสองชั้นกับผนังหนาเตอะ เรานั่งชิวกับเครื่องดื่มร้อนๆ อุ่นฝ่ามือ มองดูผู้คนชาวอูลานบาตาร์เดินกันขวักไขว่สักครู่ก็ชวนกันเดินกลับตอนที่ช็อคโกแลตร้อนยังเหลือและยังร้อน จะได้ถือจิบไปอุ่นคออุ่นมือไประหว่างทางกลับ

ตอนออกจากร้านเป็นเวลาเกือบทุ่ม ฟ้าก็ยังสว่างอยู่เลยเห้ย นี่มันอะไรกันเนี่ย

สิ่งหนึ่งที่จะไม่เล่าไม่ได้เลย คือสาวๆ ที่นี่
บอกไปแล้วนะว่าหนุ่มไม่เจอหล่อๆ เลย ปิดเคสไป ส่วนสาวๆ นั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง เราสมมติฐานเองง่อยๆ ว่าเพราะมองโกเลียเป็นดินแดนแห่งม้า คงไม่มีที่ไหนในโลกอีกแล้วที่มีประชากรม้ามากกว่าคน และเราสามารถเป็นเจ้าของม้าได้ฟรี แค่ไปจับมันมาให้ได้จากในธรรมชาติ เด็กๆ ที่นี่ถูกจับไปวางบนหลังม้าแต่เล็กแต่น้อย อันนี้อีไกด์ซึ่งเรายังไม่กล่าวถึงเล่าให้ฟังนะ ผนวกกับอากาศที่หนาวเย็นและแปรเปลี่ยนรุนแรง
นอกจากโค้ทสารพัดรูปแบบแล้ว สาวๆ ที่นี่แต่งท่อนล่างเหมือนชุดขี่ม้า คือใส่กางเกงเฮียะ ใครที่รู้จักเกงเฮียะแล้วก็ นั่นแหละนะฮะ ตามนั้น ส่วนใครที่ยังไม่รู้จัก คุณมีจิตใจและประสบการณ์ชีวิตที่ใสสว่างมากฮะ เราขอทำให้มันแปดเปื้อนบัดเดี๋ยวนี้ เกงเฮียะ ย่อมาจากเฮียะตึงปี๋ ใส่รัดติ้วจนชาวต่างชาติเขิน สวนมาแต่ละรายนี่ตูไม่ได้มองหน้าเลย ตูสป็อตเป้าก่อนเลย มันช่างเด่นเหลือเกิน แล้วผู้คนมองโกเลียส่วนมากตัวสูง ผู้หญิงสูงขายาว แต่งตัวสวยเท่ห์ มีอยู่ทั่วไป จะมีบางรายใส่โค้ทสั้น มันก็จะเซ็กซี่หน่อย

ก่อนกลับขึ้นห้อง เราเดินไปร้านขายของข้างๆ ก่อนเพื่อตุนขนมและมาม่าสำหรับการท่องทะเลทรายโกบี ซึ่งเพิ่งตกลงกันว่าจะเอามาม่าไปด้วย ร้านนั้นคือแฟรนชายส์ Circle K ที่ปูบอกว่ามีที่ญี่ปุ่น ร้านนี้ฮอตมากสุดๆ ของไม่เยอะเท่าเซเว่นบ้านเรา แต่เน้นของกิน มีบรรดาฮอตดอกร้อน และมีที่ให้นั่งกินด้วย ถึงอากาศจะหนาวเหน็บแต่เราก็มองซอฟต์ครีมตาละห้อย

เราขึ้นห้อง เก็บข้าวของ แล้วลงมาห้องทานอาหารเพื่ออุ่นอาหารอินเดียเหลือกินกันเป็นมื้อเย็น พนักงานในเกสต์เฮาส์อีกคน ที่เจอตลอด แต่พูดอังกฤษไม่ค่อยได้ ก็มาป้วนเปี้ยนนิดหน่อย แต่คนนี้พวกเราไม่ค่อยชอบ เราจะเรียกมันว่า ตี๋กาก เพราะมันดูกากๆ พอเสร็จมื้อเย็น เราสองคนก็กลับขึ้นห้อง ผลัดกันอาบน้ำและจัดกระเป๋าใหม่ เตรียมตัวให้พร้อมสำหรับการเดินทางวันรุ่งขึ้น

สี่ทุ่มครึ่ง รู้สึกน้ำเปล่าจะไม่พอกิน เลยลงไป Circle K อีกครั้ง อากาศหนาวเวอร์วังมาก ตอนนั้นน่าจะ ๑ องศาได้ ปูบอก เดี๋ยวได้มีหิมะตก เราไม่เคยมีประสบการณ์หิมะตกใส่ เคยแค่รู้ว่ามันตกแล้วพุ่งไปเที่ยวเล่น จึงกะไม่ถูกว่ามันจะตกจริงๆ เหรอ มันจะมายังไงของมัน จากนั้นพอกลับห้อง ก็ผลัดกันอาบน้ำ

ก่อนเราเข้าห้องน้ำ โลกยังปกติอยู่เลย พอเราอาบเสร็จออกมาทุกอย่างก็ขาวโพลน

ตื่นเต้นมากกกก หิมะโปรยปรายลงมาอย่างพัลวันเพราะลมหนุน เราสองคนมองหน้ากัน อยากนอนก็อยากนอน ตอนนั้นห้าทุ่มนิดๆ ละ แต่ประสบการณ์บางอย่าง อยู่บ้านก็ไม่มีอะนะ ทำไงได้ ธรรมชาติกำลังสำแดงพลังอีกชนิดที่เราไม่เคยคุ้น เราเลยแต่งตัวใหม่อีกรอบ อีนี่ใส่กางเกงนอนขาสั้น เกิดคึกขี้เกียจเปลี่ยนขึ้นมาเลยเอาโค้ททับใส่บู๊ทแล้วลงไปเลย ก่อนมาก็คิดว่า เออ ไอ้คนอย่างเรา ที่ออฟฟิศเปิดแอร์แรงไปหน่อย ก็หนาวจนปากเขียวละ พอมาเจอความหนาวที่ ๐ องศานี่มันยังไงนะ มันจินตนาการไม่ถูก

เอาเข้าจริงๆ มันหนาวจนชา เราต้องคอยมีสติเช็คว่าอวัยวะเรามันยังรู้สึกครบอยู่นะ บู๊ทเพิ่งซื้อมาใหม่ คนขายบอกกันน้ำ เราย่ำลงไปในปุยหิมะที่เพิ่งฝังกลบพื้นได้ไม่กี่นาที รองเท้าจมไปเป็นเซ็นต์แต่น้ำไม่เข้าเลย ผ่านโว้ย เย้ๆ เราสองคนวิ่งไปวิ่งมา พยายามถ่ายรูป พยายามทักทายคุณหิมะ ที่สวยงามและเย็นชา หน้าแข้งไร้ผ้าปิดของเราชามากขึ้นทุกที มือที่จำต้องเอาออกมากดชัตเตอร์เย็นเฉียบและเกร็งๆ และแล้วเราสองคนก็ยอมแพ้ กลับขึ้นห้องไปเก็บข้าวของต่อ ส่วนเรายังเกาะขอบหน้าต่าง ถ่ายรูปคุณหิมะอีกนานเลย