ในเวลาต่อมา..
ไม่ว่าจะนอนดึกแสนดึกยังไง เช้าวันต่อมา ตีห้าปลายๆ (แปดโมงปลายๆ บ้านเรา) ก็ตื่นละ มันลากต่อไม่ไหวจริงๆ ตื่นแล้วทีนี้ก็หิว เราเล่าข้ามเรื่องเงินไปนิดหน่อย จริงๆ ไม่อยากจะดีเทล แต่กูเขียนอะไรอยู่วะเนี่ย ทำไมมันยิบๆ
คือเรายังไม่ได้แลกเงินเรียลเลย เราซื้อซิมด้วยเงินมาร์ค ๕ เรียล จากนั้นตอนจะจ่ายเงินค่าโรงแรม เอ้าไม่มีเรียลอีก มาร์คเลยรับ USD เราไป จริงๆ แกอยากได้บาทไทยมากกว่า แต่พวกเราแลกเงินบาทไปเกลี้ยงตัวแล้ว เราขอแลกเรียลมาร์คมาแค่พอจ่ายค่าโรงแรม และคืนค่าซิมให้แก หลังเดินไปซื้อน้ำและขนม ซึ่งไม่แพงเลย เราก็เลยเหลือเงินเรียลอยู่แค่สามเรียลห้าสิบ เป็นเงินไทยก็คูณไปซักไม่เกิน ๘๕ คือเหลืออยู่สามร้อยสำหรับสามคนว่างั้นเถอะ
นาฬิกาชีวภาพบอกเวลาเก้าโมงเช้า อีนี่ก็หิวสุดๆ (ได้ข่าวว่าเมื่อคืนมึงกินไอติมในเวลาตีสองไทย) อีกห้องมีเสียงกุกกัก สองคนนั่นก็ตื่นแล้วและหิวสุดๆ เช่นกัน เมนูเดลิเวอรี่ที่ทางโรงแรมวางไว้ มีบางเมนูที่พอซื้อมาแบ่งกันกินได้ เช่นเบอร์เกอร์ ๑.๕ เรียล อะไรแบบนี้ แต่มันยังไม่หกโมงเช้าโอมานเลย เราก็โทร.เองไม่ได้ด้วย เลยอาสาเพื่อนเดินลงไปข้างล่าง ซอมเบิ่งดูพนักงานโรงแรมและบรรยากาศรอบนอก
ตอนมาถึงมืดๆ เลยไม่เห็นว่า แค่รอบๆ โรงแรมนี่ก็มีเนินสีน้ำตาลให้เห็นแล้ว รู้สึกตื่นตาตืนใจ อากาศตอนเช้าดีมาก แต่แดดแรงระดับความเข้มสูงเหลือเกิน ความจริงถ้าวัดแค่อุณหภูมิ ที่โอมานตลอดจนบริเวณทะเลทรายนี่ ร้อนเท่าๆ กับกรุงเทพฯ เลย แต่พอรวมแดดเข้าไปแล้ว เราก็หย่อนๆ ว่าเขาหน่อยนึง (เว้นแต่บางวันแดดแข็งๆ กทม.ก็ชนะทุกสถาบันได้)
แล้วเราก็พบร้านอาหารเช้าที่เปิดอยู่ เพราะอีตาคนนึงหิ้วอาหารพะรุงพะรังเดินมาส่งที่ตึกเรานี่แหละ เรายืนรอจนแกเดินกลับออกมา เราเลยถามว่า เดลิเวอรี่เหรอ เปิดแล้วใช่มั้ย งั้นชั้นตามไปสั่งที่ร้านเลยนะ ตาแกบอกโอเคแล้วเดินนำเรา นึกว่าจะไปไกล แค่ข้ามถนนเงียบๆ ไปอีกฟาก ร้านน้อยๆ นิ่งสงบ ดูด้านนอกแล้วจะนึกไม่ออกเลยว่าข้างในเริ่มทำอาหารอินเดียกันละ หนุ่มๆ ไม่อินเดียก็ปากี เปิดหม้อนู้น คนหม้อนี้ หั่นนั่นสับนี่กันโป๊กเป๊ก
เราสั่งอาหารมังสวิรัติไปสองอย่าง เพราะพร้อมขายอยู่แค่นั้น ทุกคนตื่นเต้นกิ๊วก๊าวแต่พองามที่มีลูกค้าผู้หญิงมานั่งรอในร้าน เราเพิ่งมารู้ทีหลังว่า นอกจากนักท่องเที่ยวแล้ว ผู้หญิงประเทศนี้เขาไม่ออกมาเดินถนนกัน มันเป็นของแปลกประหลาด แต่ทุกคนก็เฟรนด์ลี่ดีนะ น่ารักดี
และนี่ก็คือโฉมหน้าอาหารเช้าของเรา อร่อยดี แต่ไม่ค่อยมีเทกซ์เจอร์อะไรให้เคี้ยว ซึ่งเราชอบกินมื้อเช้าแบบจริงจัง เลยรู้สึกว่าขาดๆ เกินๆ
แต่ของงี้มันเสริมได้ เรามีหมูอร่อยจาก อตก. มากินแนม แล้วก็ยังมีทูน่ากับแครกเกอร์ อาหารกันตายของโปรดที่เราพกไปประเทศแปลกๆ ด้วยตลอด แต่เพื่อนเราสองคนนี้ดันไม่ชอบว่ะ ปกติพกไปทริปไหนก็ไม่พอกิน ให้ต่างชาติกินยังชอบ ทริปนี้ ดันไม่มีใครกินทูน่าเลย ตูก็แบกไปกินมันไปคนเดียว เหลือบาน
หลังกินเสร็จก็อาบน้ำเตรียมตัว พอได้เวลาตามนัด คุณเพื่อนก็มารับ พร้อมออกเที่ยววันแรกกันเลย
โปรแกรมแรกของเราคือ ไปนั่งเรือชมโลมากัน เราสามคนเป็นห่วงเรื่องแลกเงินมาก เพราะว่าเงินเรียลเราหมดเกลี้ยงอีกแล้ว แต่เงาะบอกว่าไม่เป็นไร เที่ยวไปก่อน วันนี้เป็นวันศุกร์ อะไรๆ ก็ปิด เราฟังสองผัวเมียพูดเรื่องนี้อยู่สองรอบ ยังงงๆ จนตัดสินใจถามสาเหตุ ถึงได้พบว่า เขาหยุดประจำสัปดาห์ในวันพฤหัสและวันศุกร์กัน ความกบในกะลา เราคิดมาตลอดว่าวันเสาร์อาทิตย์คือวันหยุดของทั้งโลกว่ะ แบบนี้ก็ดีเหมือนกันเนาะ จะได้ไม่ต้องบ่นว่าอยากให้ถึงเสาร์อาทิตย์เร็วๆ เพราะถึงปั๊บทำงานปุ๊บเลยนะเว้ย
เราจะลัดไปเล่าตอนจบของทริปชมโลมาเลยนะ ว่าอิทธิฤทธิ์นังแอ้หรือยังไงก็ไม่รู้ ไม่ได้เห็นโลมา ปลาซิวปลาสร้อยก็ไม่ได้เห็น แต่ทัวร์ดี๊ดี เรือก็ดี บรรยากาศดีเสียแต่แดดแรงเหลือเกิน เอาตาออกนอกแว่นกันแดดไม่ได้เลย ก่อนลงเรือเราพบกับเพื่อนอีกสองคนของเงาะมาร์ค เป็นสามีภรรยาชาวอังกฤษ ที่มาอยู่โอมานนานเกินสิบปี สามีชื่อไรวะ จำไม่ได้แล้วคุยกันทีเดียวตอนขึ้นจากเรือมาแล้ว แกว่าแกซื้อทัวร์ดูโลมามาราว ๑๕ ครั้งได้ มีครั้งนี้ครั้งเดียวที่ไม่เห็นโลมา ซัสสส มันต้องเป็นเพราะกูแน่ๆ ฝ่ายภรรยาชื่อนิคกี้ ทันทีที่ปล่อยเธอเข้าฝูง เราก็เม้าท์กันไม่หยุด นิคกี้คุยเก่ง พูดชัด แล้วก็เป็นมนุษย์แบบเดินทางท่องโลก แต่ยังไม่เคยมาไทย แกถามว่าไทยช่วงไหนเที่ยวดี เราก็บอกว่าวินเทอร์สิ นิคกี้ว่าหนาวแค่ไหนวินเทอร์ยู
เราบอก ต่ำกว่า ๒๐ องศาซีเราก็ขุดผ้าพันคอ สเวตเตอร์มาใส่กันแล้ว ฝรั่งตกใจปนฮา บอกว่าแถวบ้าน ๑๕ องศานี่กูยังเสื้อยืดตัวเดียวอยู่เลย
ท่าเรือที่เราใช้บริการหรูหราได้มาตรฐานสะอาดสะอ้านขาวโพลนไปหมด หรืออาจจะเป็นเพราะตาสู้แสงไม่ไหวก็เป็นได้ เรือที่พาเราชมโล.. โน.. ชมทะเล ดูก็รู้ว่าเป็นเรือราคาถูกสุดในพอร์ตนั้น แต่ก็สภาพดีฟังก์ชั่นดีมาก เขารับลูกค้าแค่พอนั่งสบายๆ ไม่ได้ให้ยัดทะนานลงไปจนต้องชมบรรยากาศไปสวดมนต์ไป เหมือนเรือท่องเที่ยวบ้านเราที่กูเกลียดความยัดนี้มากจนเสียเงินเหมาแม่งเลยมาหลายทีละ
ฝรั่งทั้งสามบอกว่า สงสัยไม่เห็นปลาเพราะเรามาสายไปหน่อย มันอิ่ม มันไปกันหมดละ
ที่ว่าอิ่มนี่ก็คือมันหาอาหารเช้าตามธรรมชาติของมัน ทัวร์เขาไม่ได้ให้อาหารล่อปลาแต่อย่างใด
เรือแล่นให้เราชมบรรยากาศอ่าวโอมาน พร้อมภูมิประเทศชายฝั่งที่เป็นภูเขาหินสีน้ำตาลเข้ม บริเวณที่เป็นชายหาดยาวๆ มีโรงแรมหรูมายึดครอง ทะเลเรียบมาก มีคลื่นเล็กๆ พอให้ประกายแดดสะท้อนน้ำระยิบระยับ เหมือนใครทำผงกากเพชรร่วงไปในทะเล นกทะเลหลายตัวบินโฉบตัดหน้าเรือบ้าง บินขนานไปกับเรือบ้าง คงเป็นบริการปลอบใจสำหรับคนไม่ได้ดูโลมา ช่วงแรกๆ ที่ยังมีความหวัง คนขับขับเรือแบบตามหาสัญญาณใดๆ ที่จะทำให้แกรู้ว่ามีโลมา (เช่นมีนกบินวนข้างบนหลายตัว รอกินปลาที่กระโดดหนีโลมา – อันนี้ดูมาจากสารคดี BBC) แต่ตอนหลังพอตัดใจแล้วว่าไม่เจอแน่ แกก็ขับพาไปชมวิวเกาะแก่งกลางอ่าว ที่รูปลักษณ์สีสันสวยประหลาด ผ่อนเครื่องเรือแล้วบอกให้ลูกทัวร์มาล้วงเอาน้ำเย็นๆ ที่แช่ในถังไปกินกัน มีน้ำหวานน้ำอัดลมให้เลือกมากมาย
ปิดท้ายก่อนกลับเข้าท่าเรือด้วยการขับมุดรูหน้าผา ซึ่งแหม่มันเหมือนจะเป็นแบบอันซีนโอมานนะ แต่ฟังไม่ได้ยิน ค้นหาชื่อก็ไม่เจอ เอาพิกัดไปคุ้ยกูเกิ้ลดูละกันนะฮะ 23.555138, 58.659148
กลับสู่ท่าเรือ นักท่องเที่ยวกระปลกกระเปลี้ยเฉาแดด เดินตามก้นกันเป็นแถวๆ ตอนนั้นเป็นเวลาที่ท้องร้องหาอาหารเที่ยงมาพักนึงแล้วสำหรับผู้อาศัยในโอมาน แต่สำหรับชาวไทยสามคน มันคือเวลาที่กระเพาะเคยคุ้นว่า กูกำลังจะได้รับอาหารเย็น โซนเวลาของโอมาน และกลุ่มตะวันออกกลาง เป็นโซนเวลาที่เหนื่อยสำหรับเราน่าดู การที่มันช้ากว่าเรา ๓ ชม. ทำให้รู้สึกว่า เฮ้ย ก็ต่างไม่มาก ใช้ชีวิตมันไปตะ แต่ความจริงมัน ..
[เขียนมาถึงจุดนี้ หยุดไปพักหนึ่ง เพราะหาคำมาอธิบายไม่ได้ หาได้คำหนึ่งก็ดันเป็นภาษาโคราช ถ้าเขียนไปจะเข้าใจกันไหม]
แต่ความจริงมันกะเทิน มันก้ำกึ่ง ครึ่งๆ กลางๆ ตื่นเจ็ดโมงโอ้เอ้จนแปดโมง ก็กลายเป็นแค่ตีห้า อาหารไม่มี แต่กูหิวหน้ามืดแล้ว เป็นทริปที่เหนื่อยตลอดเวลากับเรื่องความต่างของเวลา เหนื่อยแบบไม่หายซักที ตั้งแต่วันแรกยันวันกลับ กินข้าวเที่ยงเลท เลทไปเที่ยงครึ่งเอง แต่กระเพาะมันร้องว่า นี่มันจะห้าโมงเย็นแล้วโว้ย
เหลื่อม ๓ ชม. เป็นอะไรที่ลักลั่น ประหลาดจริง ตั้งแต่เดินทางมา
แต่ยังไม่เคยเจอเหลื่อม ๔-๕ ชม. มันจะรู้สึกยังไงกันนะ
ตอนนั้นเหล่าฝรั่งชวนกินข้าวมันซะที่ท่าเรือ ร้านหรูเชียว พวกเราโอเคไม่มีปัญหา เปิดเมนูละก็ถอนหายใจปื้ดนึง (อิ่มละ ๕๐๐ บาท+ นี่ยังไม่ถึงขั้นจัดเต็ม แต่ก็ไม่ถูกง่ะ) อาหารดูดีและอร่อยสมราคาเลยแหละ ขนมปังเรียกน้ำย่อย อบมาร้อนๆ ชิ้นเล็กๆ มีหลายแบบให้เลือกกิน ใส่ไว้ในตะกร้าเดียว ทุกคนเวียนส่งเวียนรับตะกร้าขนมปังนั่นกันจนปากมัน
มื้อนั้นผ่านไปอย่างเรียบร้อย อิ่มและอร่อยดี แต่หลังจากนั้นพอแยกกันแล้ว นิคกี้ส่งข่าวมาว่า สามีเธอเกิดอาหารภูมิแพ้อย่างหนัก ถึงกับต้องเข้าโรงพยาบาล เดาว่าน่าจะแพ้ทูน่าที่แกสั่ง
ยิ่งตอกย้ำเรื่องทูน่าสเปรดอาหารกันตายของเราเข้าไปกันใหญ่
ระหว่างกินข้าวสองผัวเมียเงาะมาร์ค กับเพื่อนฝรั่งเจ้าถิ่น ออกความเห็นถึงแพลนในวันนี้ของพวกเรา แต่ดูเหมือนกับว่ากิจกรรมย่อยต่างๆ ก็ไม่ค่อยเหมาะไปซะหมด เช่นตลาดมัทราตอนนี้ร้อนมาก ถ้ากลับบ้านก่อนแล้วมาตอนเย็นก็จะอ้อมไปอ้อมมา หลายๆ ที่ก็ปิดเพราะเป็นวันหยุด อีกอย่างเจ้าบ้านอยากให้ฝั่งเราผู้มาเยือนได้พักปรับเวลาอีกนิด ซึ่งส่วนตัวเราเสียดายอยากเที่ยวเยอะๆ แต่หนิงกับมุ้ยเห็นว่าได้พักซักหน่อยก็จะดีเหมือนกัน และนี่คือสิ่งที่ได้เรียนรู้ ว่าต้องฟังเสียงข้างมาก กลับบ้านนอนก็กลับบ้านนอน ไม่ว่ากัน
บ่ายสองเวลาโอมาน เรามุ่งหน้ากลับบ้านเพื่อนเพื่อพักผ่อนยามบ่าย รถเราแล่นปราดผ่ากลางเมืองมัสกัต ท่ามกลางอากาศร้อนระดับแผดเผา เหมือนกรรมที่เคยกินหมูกะทะมาเยอะมันตามมาเอาคืน เมืองหลวงสะอาดเรียบร้อย ดูเงียบเชียบแทบจะไร้ชีวิตชีวา ก่อนเดินทางไปโอมานเราคิดว่าบ๊ายบายต้นไม้เหอะห้าวันนี้คงมีแต่สีน้ำตาลครบทุกเฉด แต่มัสกัตมีต้นไม้ข้างทางเป็นทิวแถว พร้อมสวนสาธารณะที่ปกคลุมด้วยหญ้าเขียวที่ตัดแต่งซะเรียบกริบท่ามกลางเปลวแดด เงาะบอกว่าเงินถึงป่าก็มา จะแล้งแค่ไหนก็เขียวได้ แต่ถึงอย่างนั้น เขียวต้นไม้ที่สรรสร้างโดยมนุษย์ก็ยังเป็นเขียวอ่อนบาง หรี่ตามองแล้วเหมือนติดสีน้ำตาลนิดๆ ทำให้นึกขึ้นมาได้ว่า ป่าไม้บ้านเราส่วนมากใบเป็นสีเขียวเข้มลึก เขียวแบบที่เรารู้ว่ามันสะสมซึมซับน้ำไว้ทุกอณู ก็สวยกันไปคนละแบบ
บ้านเพื่อนอยู่ละแวกชานเมือง แต่ด้วยความที่เมืองไม่ใหญ่ ชานเมืองก็เลยเหมือนออกจากเมืองมานิดหน่อยเหมือนลาดพร้าวรัชโยไรงี้ บ้านเช่าหลังใหญ่เป็นสไตล์โอมานี่แท้ๆ ล้อมกำแพงทึบสูง ประตูรั้วไฟฟ้าเป็นแผ่นเหล็กไม่มีลายฉลุ พอเข้าบ้านปิดประตูแล้วก็เป็นโลกส่วนตัว บ้านเพื่อนเลี้ยงหมาตัวใหญ่หน้าตาซื่อๆ อ่อนโยนสองตัว ขนยาวของพวกมันยุ่งเหยิงและเหนียวพิกล เงาะบอกว่าแทบไม่อาบน้ำหมาเลยแหละ เพราะน้ำเป็นของพึงสงวนของที่นี่ แต่เจ้าสองหมา หลุยส์ กับบ๊อบก็ไม่ได้สกปรกอะไรมาก เพราะเป็นหมาเลี้ยงในรั้วบ้าน พื้นที่นอนก็ปูคอนกรีต มันมีโซนของมันเองที่กว้างสบาย กั้นด้วยประตูเหล็กดัด ทำให้มันหมดโอกาสที่จะกระโจนเข้าใส่เจ้านายและแขกเหรื่อ
เราเดาว่าบ้านชาวโอมานแท้ถูกสร้างตามหลักศาสนา นั่นก็คือผู้ชายมีเมียได้แม็กซิมั่ม ๔ คน ตราบเท่าที่เลี้ยงดูเหล่าภรรยาอย่างเท่าเทียมกัน เราซักถามเรื่องนี้เพิ่มจากเพื่อนภายหลังเดี๋ยวค่อยเล่าให้ฟัง แต่ตอนนี้สำหรับเรื่องความเท่าเทียมนั้น เราสังเกตว่ามันน่าจะสะท้อนถึงการวางผังในบ้านที่น่าสนใจ ด้วยภายนอกบ้านที่เป็นสี่เหลี่ยมจัตุรัส แต่ภายในตัดมุม ทำให้เมื่ออยู่ข้างในรู้สึกเหมือนอยู่ในรูปทรงแปดเหลี่ยม ที่ทำให้ความเป็นไปได้ในการจัดผังห้องมีมากมายนับไม่ถ้วน เมื่อเปิดประตูหน้าเข้าไป ห้องนั่งเล่นใหญ่ในบ้านกว้างมาก มีทีวีและชุดโซฟา กับโต๊ะกินข้าวขนาดใหญ่อีก ๑ ชุด เฟอร์นิเจอร์ตกแต่งต่างๆ ดูมีเอกลักษณ์มากๆ ในบ้านมีกลิ่นหอมอ่อนๆ อวลอยู่ รู้ทีหลังว่าที่นี่เขาชอบจุดเทียนหอมกันรวมถึงคุณเพื่อนเราด้วย โดยวิธีคือจุดให้กลิ่นออก แล้วดับไฟ ปล่อยให้ควันเทียนค่อยๆ ลอยเอื่อยๆ อยู่ทั่วห้อง ก่อนกลับก็ซื้อมาด้วยกระปุกหนึ่ง ทุกวันนี้ยังจุดอยู่เลย
มาร์คที่ตอนอยู่นอกบ้านดูเฟี้ยวมากๆ พอตูดแปะโซฟาก็กลายร่างเป็นลุงทันที เพื่อนจัดไฟในบ้านค่อนข้างมืด รู้สึกเหมาะแก่การนอนตลอดเวลา (หรืออาจจะเป็นเพราะเราปรับสายตาจากแดดจ้าทันทียังไม่ได้) เราชอบผังบ้านแบบครอบครัวใหญ่แบบนี้จริงๆ ยกเว้นแต่ว่าถ้าการครองคู่มันจะต้องมีเกินว่าชายหนึ่งหญิงหนึ่ง ก็ขอเป็นจำนวนผู้ชายนะที่เพิ่ม หุหุ
จากห้องนั่งเล่นใหญ่ สิ่งที่โดดเด่นมีเอกลักษณ์คือซุ้มประตูโค้งสู่ห้องนั่งเล่นเล็กอีกห้อง เงาะมีทีวีตรงนี้อีกเครื่อง เอาไว้เวลาดูละครไทยตบจูบคนเดียว ถัดไปเป็นห้องนอนแขกพร้อมห้องน้ำในตัวที่ยกให้มุ้ยกับหนิง จากนั้นเป็นทางเดินกลางบ้าน มุ่งตรงไปยังประตูเปิดออกสู่ภายนอก ห้องที่ประจันหน้ากันกับห้องแขก ๑ ก็จะเป็นห้องที่เรานอน เป็นห้องแขก ๒ มีห้องน้ำพร้อม แต่มาร์คใช้ห้องนี้เป็นห้องออกกำลังกาย มีสารพัดเครื่อง ทั้งลู่วิ่ง ทั้งอีที่ดึงๆ อีที่นอนแล้วซิตอัพ อีอันที่คล้องพุงแล้วมันสั่นๆ อีที่ขึ้นไปเดินลอยๆ (จะรู้ชื่อซักอันไหมเนี่ย) ฯลฯ และห้องนี้ก็มีเตียงหนานุ่มหนึ่งเตียง ที่จะเป็นที่พำนักของเรา อีกด้านของห้องนั่งเล่นใหญ่ก็จะเป็นห้องนอนของเงาะมาร์ค ตรงกลางผนัง ด้านหนึ่งของห้องนั่งเล่นใหญ่จะเป็นบันไดทอดขึ้นดาดฟ้า ซึ่งถ้าใครซักคนเดินลงมาด้วยหางกระโปรงยาวๆ ก็จะดูเหมือนบันไดเปิดตัวเจ้าหญิงยังไงยังงั้น
กลับมาที่ประตูหลังที่เปิดสู่ภายนอก ถ้าเปิดออกไปก็จะมีช่วงเอาท์ดอร์คั่น เป็นจุดที่แมวสองตัวนอนเหยียดยาว ขวามือมีเจ้าหมาสองตัวมาเกาะประตูรั้ว ส่ายตูดดุ๊กดิ๊ก ตรงไปข้างหน้ามีประตูเปิดเข้าโซนครัว ซึ่งเป็นอีกอาคารแยกโครงสร้างต่างหาก ครัวมีพรีครัวชั้นหนึ่งด้วย เป็นบริเวณที่เก็บอาหารหมา ตั้งตู้เย็นใหญ่ ตั้งถังขยะ เปิดประตูซ้ายมือเข้าไปอีก เป็นครัวจริง ครัวผัดฉู่ฉ่าที่โคซี่มาก ดูอบอุ่น เห็นแล้วหิวและรู้สึกว่าจะมีทุกอย่างที่เติมเต็มความหิวนี้ได้โดยพลัน
ทั้งหมดที่ว่ามานี้ ส่วนที่เป็นอินดอร์ ติดแอร์ทั้งหมด (ยกเว้นพรีครัว) หนิงถึงกับออกปากว่า ถ้าครัวติดแอร์เย็นฉ่ำขนาดนี้ ให้ทำครัวเยอะแค่ไหนก็ไหว แต่เรากับมุ้ยถึงกับซักไซ้เรื่องค่าน้ำค่าไฟกันใหญ่ คือมันดูเปลืองตังค์มาก สรุปได้ว่า การทำงานอยู่โอมาน โอเคเงินเดือนเยอะมากกว่าไทยเยอะ แต่ถ้าอยากได้วิถีชีวิตดีๆ คุณภาพชีวิตดีๆ หักค่าใช้จ่ายพวกนี้ไป ก็เหลือไม่มากนะ มันก็แพงมากอยู่
หลังจากทุกคนเริ่มเข้าสู่ภาวะจำศีลระยะสั้น เราเป็นคนไม่นอนบ่าย แถมยังตื่นเต้นกับผังบ้านที่ซับซ้อนก็จัดการข้าวของ และออกสำรวจบ้านเพื่อนและบรรยากาศโดยรอบ บนดาดฟ้าร้อนฉ่าแต่ลมยังดี เป็นทำเลดีสำหรับการสอดส่องรอบทิศทาง ซึ่งแทบไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ รถยังมานานๆ คัน
อีเด็กนี่เป็นสิ่งมีชีวิตเดียวเท่าที่มองเห็น (นอกจากเรา) ที่อยู่นอกชายคา วิ่งเล่นในทุ่งร้างๆ นั่นคนเดียว ฝุ่นฟุ้งไปหมดตามแต่ละก้าวที่ย่ำไป บางทีก็นึกเป็นห่วงว่า มันเล่นหรือมันวิ่งหนีอะไรอยู่รึเปล่าวะ
บ่ายนั้น ทั้งแขกทั้งเจ้าบ้านจำศีลกันอย่างเงียบเชียบ เราไม่นอนเลย ทำนู่นทำนี่ พอตกกลางคืนโคตรเพลียแทบสลบ แต่คนอื่นเขาหลับตุนกัน เขาก็แจ่มใสกันดี เย็นนั้นเงาะพาพวกเราไปห้างใกล้บ้านเพื่อสองวัตถุประสงค์ คือมื้อเย็นวันนั้น และอาหารสำหรับแค้มปิ้ง มาร์คไม่ได้ไปด้วย พอไปถึงห้างคาร์ฟูร์ แลกเงินเสร็จ ก็รู้สึกเป็นอิสระทางการเงินอย่างมาก เนื่องจากการจัดการด้านอาหารไม่ใช่สาขาที่เราถนัด แต่ถนัดจัดการให้มันหายไปมากกว่า เราจึงขอให้เพื่อนๆ แม่บ้านทั้งสองโปรดลีดหนทางของการผลิตอาหารได้ตามสบายเลย ตอนแรกมีความเข้าใจไม่ตรงกันเล็กน้อย เนื่องจากมัสกัตอยู่ติดชายทะเล ทำให้นักท่องเที่ยวมีอิมเมจในใจว่าอาหารทะเลจะต้องโดดเด่นเลยล่ะ ปรากฏว่า ไม่แฮะ เพื่อนอยากลองเอาปลาหมึกอ๊อคโทปุ๊ซไปปิ้งย่าง แต่มันดูแฉะมากจนน่าประหลาดใจเลยเอาไปนิดเดียวพอ และด้วยความที่ไม่มีเนื้อหมู ทำให้เกิดความขลุกขลักในด้านการคิดเมนูพอสมควร แต่สุดท้ายก็จัดการกันจนลงตัวด้วยการแบ่งซื้ออย่างละนิดอย่างละหน่อย ทั้งไก่ ทั้งแกะ เนื้อวัวและผองเพื่อน แล้วก็เอาผักผลไม้ไปตัดอารมณ์ อาหารต่างๆ ที่ซื้อไป ได้นำมากินอย่างเหมาะสม ไม่มากไม่น้อยเกิน ยกเว้นอีอ๊อคโทปุ๊ซนั่น แม่งกินไม่ได้เลยแม้แต่นิดเดียวปิ้งปุ๊บยุ่ยและย่อยสลายเกาะติดตะแกรงปิ้ง เหมือนซากตุ่มตอตะโก และในที่สุด ทุกคนก็เห็นตรงกันว่า มันเกือบจะเน่าแล้วจริงๆ ตอนเราซื้อมา
เราหนิงและมุ้ย ไปเดินหาซื้อกล่องข้าวกันคนละใบด้วย เพราะวันรุ่งขึ้นจะมีการห่อข้าวไปกินระหว่างทาง บ้านเงาะอาจจะไม่มีกล่องสำรองพอสำหรับทุกคน แต่พวกเราก็สนุกกับการได้ช้อปแผนกเครื่องครัวที่ต่างประเทศ โดยเฉพาะการซื้อภาชนะนี่ของโปรดเลย (บอกสิว่าคุณก็เป็น) ทุกวันนี้ก็ยังใช้ไปเวลาไปซื้อข้าวนอกบ้านกินอยู่เลย ของเค้าดีจริงๆ นะ
ทุ่มครึ่งเวลาโอมาน เราเดินทางกลับบ้านเงาะกันโดยไม่แวะที่ไหนอีก เพื่อนๆ ซื้ออาหารสำเร็จมาสองสามอย่าง แล้วเงาะก็จะทำเพิ่มอีกหน่อยสำหรับมื้อเย็น อยู่ๆ ฝนเม็ดบางๆ ก็ตก เป็นเม็ดฝนที่เล็กมาก ไม่เหมือนฝนปรอยบ้านเรา บอกไม่ถูกแต่มีความยูนีคจริงๆ เงาะบอกว่าปกติฝนตกปีละ ๕ วันเท่านั้นที่โอมาน เริ่มกังวลว่านี่กูเป็นมิวแต๊นท์ตัวดูดพายุจริงๆ เหรอวะ
ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง คงต้องขอยืม Quote ของสตรีผู้หนึ่งที่เคยกล่าวไว้ว่า Mutant and proud
ชมแบบภาพเคลื่อนไหวพร้อมเสียง commentary จ้ะ
https://web.facebook.com/PlaceInPeaceByAppopo/videos/3343318425685748/