โอมานอีสออซั่มมมม #๕

หลังจากมื้ออาหารริมชายหาดอันสวยงาม เราก็หันหลังให้ทะเลน้ำ และมุ่งหน้าเข้าสู่ทะเลทราย ด้วยสภาพที่เพลียเพราะเดินตากแดดกันมาก่อนต่อด้วยกินอิ่มเป็นงูหลามย่อมๆ ก็ห่วงเงาะว่าจะขับรถไหวไหม อย่างที่เกริ่นไว้ทีแรกว่าเราถือใบขับขี่สากล ซึ่งเงาะบอกว่าขับรถส่วนบุคคลที่โอมานไม่ได้ ตุ๊กตาหน้ารถทำอะไรมากไม่ได้เลยชวนเม้าท์รัวๆ ถ้าจะปลอดภัยเรื่องดาราเซเล็บที่เผือกๆ ไว้ก็ได้เวลางัดมาใช้กันล่ะ เป็นเซฟท็อปปิคที่ตาสว่างดีเหมือนกัน ทั้งๆ ที่ใครได้กับใครมันก็ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเราซักหน่อยนี่หว่า

ตอนมาถึงเมือง Bidiyah ปราการด่านสุดท้ายก่อนเข้าทะเลทรายเงาะก็โดนตำรวจเรียกไปทีนึง ดูเหมือนว่าเรียกเพราะเหยียดความเป็นผู้หญิงไม่คลุมผม และพอดูเอกสารพบว่าเป็นต่างชาติก็ตั้งท่าจะเล่นใหญ่ เงาะมีเอกสารครบหมดทุกอย่าง แต่หมาต๋าก็ลีลาอยู่นาน รู้สึกเหมือนพยายามถ่วงเวลาหาเรื่อง จะยังไงก็ไม่รู้แหละ ถึงมาร์คมุ้ยจะนำหน้าไปก่อนแล้ว แต่ถ้าหันหลังมาเห็นว่าไม่ตามคงย้อนกลับมาดู รู้อย่างนี้ก็อุ่นใจว่ายังไงก็มีแบ็คอัพ ถ้าไปคันเดียวผู้เป็นหญิงล้วนในประเทศที่ผู้หญิงควรเสงี่ยมเจียมตัวอยู่แต่ในรั้วบ้านก็คงเสียวๆ เหมือนกัน ชีวิตคู่ก็คงแบบนี้มะ รู้สึกมีแบ็คอัพ?

อันนี้ก็ไม่รู้สินะ ไม่มี ฮ่าๆๆ

ที่บิดิยาห์ ออกเสียงถูกรึเปล่าไม่รู้เหอะ เราเปิดกูเกิ้ลแม็พเดินทางตามปกติ แล้วก็ค้นเจอชื่อที่พักของเราซึ่งอยู่ลึกเข้าไปในทะเลทรายประมาณ ๒๐ กม. แต่การนำทางของกูเกิ้ลมันหายไป เพราะไม่มีถนนแล้ว เงาะมาร์คจอดรถปรึกษากันว่าจะเลี้ยวเข้าทะเลทรายตรงไหนดี เราอยากแสดงความเห็นว่าไปตามรอยทรายที่ดูจากแม็พแบบภาพดาวเทียมดีไหม แต่ก็ไม่มีข้อมูลอะไรมาแบ็คอัพ รอยทรายนั้นมันคืออะไรยังไม่รู้เลย สุดท้ายขบวนของเราก็มุ่งหน้าเข้าสู่ทะเลทรายด้วยเส้นทางเก่าที่เงาะมาร์คเคยมาเที่ยวก่อนหน้านี้

สองข้างทางสวยอลังการมาก ซึ่งแน่อยู่แล้วล่ะมันครั้งแรก มันต้องอู้อ้า น่าตื่นเต้นไปหมด แต่แถมพิเศษไปกว่านั้นอีกด้วยแสงเย็นสีทองที่เป็นฟิลเตอร์ฉาบทุกสิ่งทุกอย่าง ตั้งแต่หมู่บ้านน้อยๆ ชิดเนินทราย ต้นไม้ห่างๆ นานๆ ต้นที่ยืนหยัดอยู่ท่ามกลางความแห้งแล้งได้อย่างน่าประหลาด อูฐกลุ่มละสามสี่ตัวที่เดินเนิบๆ ไม่มีถนนที่มนุษย์สร้างแล้ว ยานพาหนะของเราเคลื่อนตัวไปตามรอยล้อที่ประทับบนผืนทรายของรถคันอื่นๆ ก่อนหน้า ช่วงแรกๆ ทรายนุ่มๆ หายไปจากผิวเป็นระยะทางไกล เผยให้สัมผัสถึงผิวดินแน่นๆ ด้านล่าง ที่อัดตัวเป็นคลื่นขนาดแลมบ์ดา ๐.๕ – ๑ เมตร รถเราสั่นกระพือทุกครั้งที่ขับไปบนลอนคลื่นพวกนี้จนหัวสั่นหัวคลอนไปหมด รถแดงของมาร์คขับนำหน้าไปไกล บางจุดเรางงว่าตะกี้รถพ่อบ้านเขาลงเนินไปทางซ้ายหรือขวาวะ ต้องเดาๆ ตามรอยฝุ่นกันไป รถขาวคันนี้เป็น SUV แม่บ้านที่มีระบบขับเคลื่อนสี่ล้อด้วย มาร์คอธิบายทีหลังว่า รถธรรมดาที่ไม่ได้แต่งมาเพื่อขับในทะเลทราย สามารถปล่อยลมยางออกเยอะๆ ได้เพื่อช่วยให้ล้อมันไม่จมจนติดทราย แต่แกบอกว่ารอบนี้ไม่ได้ให้ปล่อยลม เพราะขี้เกียจไปหาที่เติมลมตอนออกจากทะเลทราย ตรงจุดที่ทรายนุ่มๆ หนาๆ จึงต้องขับด้วยสกิลแทน ซึ่งจะเล่าเป็นลำดับถัดไป

ก่อนหน้าที่เราจะมา พวกเราหาข้อมูลและเจอคนไทยรีวิวการท่องเที่ยวทะเลทรายโอมานที่มีภาพประกอบทำให้เข้าใจได้ว่า พวกเขาเดินทางด้วยการขับรถเช่าคันน้อยๆ ไปเที่ยวที่ต่างๆ ตลอดจนไปนอนแค้มป์ทะเลทราย เราว่าการรีวิวแบบนี้ ไม่โอเคนะ มันอาจจะน้อยครั้งมากที่มีใครออกเดินทางอ้างอิงจากข้อมูลของเราจริงๆ แต่ถ้าเกิดมีขึ้นมา ข้อมูลแบบนั้นอาจจะเป็นอันตรายกับคนอื่นได้ โปรดฟังอีกครั้งหนึ่ง

รถ ธรรมดา ขับ เข้า ทะ เล ทราย ไม่ ได้ นะ

แม้แต่ผู้ชำนาญการยังมีพลาด เรารู้ตัวตอนที่ตำแหน่งในกูเกิ้ลมันขยับจนเรามาถึงบริเวณที่ควรจะเป็นแค้มป์แล้ว แต่ไม่เห็นแค้มป์ เพราะแค้มป์อยู่อีกฝั่งของเนินทรายสูงๆ ที่ถ้าเรามาด้วยคันแดงคันเดียว มาร์คคงพาไต่ข้ามไปละ แต่มีรถขาวด้วยเลยได้แต่มองตาปริบๆ พระอาทิตย์กำลังลับหายไปที่หลังเนินทรายอีกด้าน และความมืดมิดค่อยๆ โรยตัวลงมา ถ้ายังเร้าใจไม่พอ น้ำมันรถทั้งสองคันก็พร่องไปเยอะด้วยโดยเฉพาะคันขาวเพราะถังเล็กกว่า ตั้งแต่ออกมายังไม่ได้เติมเลย เราพยายามหาจุดที่โทรศัพท์มีคลื่น แล้วโทร.ถามที่พัก เขาบอกต้องมาเช็คอินกับเขาที่เมืองบิดิยาห์ก่อน ถึงจะนำทางเข้ามาได้ โอ้วมายก้อด พวกเราโวยวายกันใหญ่ว่าทำไมเพิ่งมาบอกวะ ก่อนจะพบว่า เขาเขียนไว้ในคอนดิชั่นตอนที่จองแล้วแหละ อ่านไม่ถึงเอง วั้ยยยย ขาเข้ามา เราชิวๆ ชมอูฐชมวิว ใช้เวลาเกือบชั่วโมง มาถึงจุดที่ต้องเลี้ยวกลับ มาร์คขับนำแบบเร็วขึ้นมาก เงาะก็เลยขับเร็วตาม แปลกมากที่พอใช้ความเร็วสองเท่าแล้ว ตอนผ่านพื้นที่เป็นคลื่นๆ นั่นมันไม่กระแทกอีกเลย เหมือนลอยผ่านไปเฉยๆ เลย ใช้เวลา ๒๐ นาทีก็กลับถึงตัวเมือง ไวจุง

หลังจากเติมน้ำมันแล้ว เราก็ไปเช็คอินที่ส่วนต้อนรับ ซึ่งเป็นชั้นสองของอาคารพาณิชย์แห่งหนึ่ง โถงนั้นตีโล่งตลอดไม่มีกั้นห้อง มีโต๊ะพนักงานต้อนรับกับชุดรับแขก ทั้งหมดตกแต่งในสไตล์สากลปนอาหรับดูแปลกตาดี เจ้าหน้าที่ให้เรานั่งพัก ดื่มน้ำ และค่อยๆ ทำตามขั้นตอนต่างๆ อย่างสโลว์โมชั่นสุดๆ แต่เราก็ไม่มีอะไรจะรีบแล้วตอนนั้น ก็เลยปล่อยให้พ่อคุณได้ละเมียดละไมไป เราต้องกรอกข้อมูล ยื่นเอกสาร และจ่ายเงินที่นั่น และรออีกพักใหญ่รถขับนำจึงมาถึง

ก่อนหนึ่งทุ่มเล็กน้อย ท่ามกลางความมืดสนิท รถสามคันขับตามกันมุ่งหน้าเข้าสู่ทะเลทรายเวิ้งว้าง เห็นแค่ไฟท้ายของคันหน้าที่วับแวมปรากฏขึ้นและหายไปตรงเนินลูกนั้นลูกนี้ หลังผ่านพื้นดินแน่นๆ มาได้ไม่นานก็ถึงจุดที่ทรายนุ่มหนา พอต้องขึ้นเนินทรายเนินแรก รถขาวก็ติดทรายทันที ยิ่งเดินหน้าล้อยิ่งปั่นจมลงไปในทราย เงาะต้องถอยหลังยาวมาตั้งต้นใหม่ สองคันหน้าวนกลับมาและแนะนำว่าให้ขับไปเลยโดยไม่หยุดไม่ชะลอ ถ้าความเร็วตก ล้อมันจะจมทรายทันที คราวนี้ยิ่งเร่งยิ่งจม พยายามอยู่พักหนึ่ง มาร์คก็มีวิธีที่ดีกว่า คือสลับคันกันขับ เพราะรถแดงแค่เหยียบคันเร่งมันก็ไปได้หมดอยู่แล้ว ส่วนแกจะมาขับคันขาว มุ้ยกับหนิงย้ายตามเงาะไปคันแดง แต่เราขออยู่คันขาวเพราะอยากดูโปรขับแบบริงไซต์

โอ้โห โปรก็คือโปร มาร์คขับรถแม่บ้านจับพวงมาลัยมือเดียว ไต่ขึ้นเนินทรายสูงๆ หนานุ่มด้วยการเลี้ยงพวงมาลัยซ้ายขวาๆ ทีละน้อยด้วยความเร็วพอสมควรและสม่ำเสมอ ทำให้รู้สึกว่ารถกำลังเลื้อยขึ้นเนินเหมือนงู ลื่นไหลเหมือนกำลังเซิร์ฟอยู่บนคลื่นทราย เป็นอะไรที่โคตรเจ๋งมาก อยากหัดขับแบบนี้บ้าง เราทักว่า นี่มันยังไม่ท้าทายพอ ยูขับวันแฮนด์เลยเหรอ มาร์คปล่อยมือทันที โนแฮนด์ก็ได้นะ แว้กกกกก

มาร์คบอกว่า เมื่อกี้ตอนหลงทางแล้วต้องขับกลับ ภาคภูมิใจภรรยามาก พอคับขันขึ้นมาก็ขับรถเร็วเป็นด้วยแฮะ เราบอกว่า ขาเข้ามัวแต่กรี๊ดกร๊าดกันไง มันเลยช้า แกตะโกนว่า ยูก็ต้องหยุดพูดบ้างเซ่ ฮ่าๆๆ

เรามาถึง Safari Desert Camp ในที่สุด พอลงรถก็พบว่าอากาศเย็นและรู้สึกเบาสบาย บ้านพักแต่ละหลังเป็นบ้านดินสีน้ำตาลเหมือนทะเลทราย กระจายตัวกันในบริเวณรั้วเตี้ยๆ แผ่กว้างบนที่ราบใกล้เนินทราย แต่ละจุดสว่างเรืองๆ ด้วยแสงไฟโซลาร์เซลล์ สำหรับคนที่ยังไม่เคยมีประสบการณ์อยู่ในพื้นที่กันดารที่สร้างแสงสว่างยามค่ำคืนด้วยไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ ต้องขออธิบายให้เห็นภาพว่า มันไม่ได้สว่างเหมือนหลอดไฟบ้าน ถ้าใช้หลอดสีเหลืองมันก็จะสว่างเหมือนแสงจันทร์ดวงน้อยๆ ที่เอามาเปิดต่อๆ กัน หลอดสีขาวอาจจะสว่างกว่าเล็กน้อย แต่ก็จะอ่อนแสงลงเรื่อยๆ เมื่อไฟเริ่มพร่องจากหม้อแบต เจ้าหน้าที่ต้อนรับพวกเราและพาพวกเราไปส่งบ้านพัก ซึ่งได้อยู่กันคนละฟากแค้มป์ เราจะเก็บข้าวของและออกมากินอาหารเย็นซึ่งรวมอยู่ในแพ็คเกจ ทางเดินน้อยๆ เชื่อมแต่ละบ้านเข้าหากัน ถึงจะไม่มีอะไรบดบังสายตาเลย แต่มันมีทางแยกเยอะ และบ้านแต่ละหลังก็เหมือนกันไปหมดจนดูงงมากๆ ในแสงสลัวๆ เราจึงท่องจำเส้นทางเดินกลับมายังห้องอาหารเอาไว้ “ขวา ถึงสามแยกแล้วซ้าย เจออีกแยกตรงไป เห็นเสาไฟเตี้ยๆ เดินเลยเสาไป เลี้ยวขวา เจอต้นไม้ หลังที่สองถัดจากต้นไม้ ฯลฯ”

เรามุ้ยหนิงนอนห้อง ๓ คน ด้วยกัน เป็นห้องที่เหมาะกับความต้องการด้วยเตียงควีนไซส์ ๒ เตียงและเตียงเดี่ยวปกติอีก ๑ เตียง มีหน้าต่างสองด้าน ห้องน้ำอยู่ด้านนอกและไม่มีหลังคา สามารถแหงนหน้าชมพระจันทร์ได้พร้อมๆ กับอาบน้ำด้วยเรนชาวเวอร์ ซึ่งความแรงของน้ำปกติจนน่าประหลาดใจ เพราะมองไม่เห็นทาวเวอร์เก็บน้ำอยู่ในระยะใกล้ๆ เลย และไม่ได้ยินเสียงปั๊มน้ำด้วย เลยเป็นปริศนาที่เพื่อนๆ อาจจะไม่สนใจ แต่เราหมกมุ่นอยู่นาน (สุดท้ายเราสมมติเอาเองว่า ถ้าเราเป็นคนออกแบบที่นี่ อยากให้น้ำแรง แต่ไม่อยากใช้ปั๊มออโต้ให้เกิดเสียงรบกวน ทางที่ดีที่สุดคือใช้แรงโน้มถ่วงสร้างแรงดันน้ำ แต่ไม่อยากตั้งทาวเวอร์ทำลายความสวยงามของทิวทัศน์ เราอาจจะเอาแทงค์น้ำไปฝังบนยอดสูงสุดของเนินทรายแล้วเดินท่อมายังจุดจ่าย ก็อาจจะเป็นไปได้..)

ในห้องอาหารที่มีแสงสว่างไม่เพียงพอ ถาดอาหารเรียงอยู่ด้านหนึ่ง ที่นั่งส่วนมากเป็นโต๊ะเก้าอี้ แต่ด้านริมสุดมีที่นั่งแบบเทรดดิชั่นนอล เป็นเหมือนโซฟาไม้ยาวๆ ชิดผนัง ประดับด้วยพรมหนาๆ ทั้งบนที่นั่งและที่พื้น มีผู้ชายอาหรับสามสี่คนนั่งชันเข่าคุยกันเบาๆ ปรายตามองนักท่องเที่ยวแบบเหยียดๆ ตามที่เกริ่นไว้ตอนต้นๆ ว่าคนโอมานแท้มีจำนวนน้อยมากจนต้องเอาท์ซอร์สต่างชาติเข้ามาทำงานมากมาย สำหรับคนจากแดนไกลอย่างเรา ตอนแรกๆ ก็ดูไม่ออกว่าใครเป็นคนโอมานใครเป็นต่างชาติ แต่หลายวันผ่านไป เริ่มบอกได้ว่าผู้ชายชุดขาวพันผ้าบนหัวที่มองคนอื่นเหยียดๆ เป็นไปได้มากว่าเป็นคนโอมานแท้

โต๊ะวางถาดอาหารอยู่ในจุดที่แสงไฟอ่อนมาก เรามะงุมมะงาหราสุ่มๆ ตักอาหารกันในความมืด พนักงานสาวภาษาอังกฤษคล่องแคล่วคนหนึ่งเข้ามาคุยด้วยและถามว่าเราต้องการขี่อูฐไปดูพระอาทิตย์ขึ้นตอนเช้าไหม เรา หนิงและมุ้ย ตกลงจองขี่อูฐซึ่งต้องตื่นตั้งแต่ตีห้า (ไม่ได้ลำบากอะไรนี่ นาฬิกาชีวภาพคือแปดโมงเช้า) ส่วนเงาะกับมาร์คเคยทำสิ่งนี้มาแล้ว เลยขอตัวนอนให้เต็มอิ่ม

หลังกินข้าวเย็นเสร็จ (อาหารอาหรับอร่อยมาก ขนาดมองไม่ค่อยเห็นว่ากินอะไรไปบ้าง แต่ก็เอนจอยสุดๆ) เราเดินเล่นรอบๆ มีเต็นท์กระโจมเปิดโล่งที่กางไว้ให้บรรดาผู้ชายไปนั่งดูดบารากู่แล้วพูดคุยกัน มาร์คไปนั่งก่อน พวกเราก็เลยตามไป เขาเอาพรมปูลงไปบนทราย แล้วมีหมอนอิงวางไว้หลายใบ เรานั่งเอนหลังตรงส่วนที่อยู่นอกหลังคาเต็นท์ หูฟังบทสนทนา ตาก็แหงนมองฟ้าที่ปราศจากแสงรบกวน ตาวเต็มฟ้า อากาศเย็นและแห้งกำลังสบายพร้อมลมพัดเบาๆ เมื่อได้เวลาพอสมควร เราก็แยกย้ายกันกลับบ้านพัก เราหนิงและมุ้ยยังลากเก้าอี้นั่งเล่นไปกลางลานหน้าบ้าน แล้วนั่งดูดาวกันอยู่อีกพักใหญ่ เนื่องจากบ้านพักไม่มีแอร์ ถึงอากาศจะกำลังสบายแต่ก็ต้องนอนเปิดหน้าต่างอยู่ดี ไม่งั้นจะเริ่มไม่เย็นสบายละ มาร์คบอกว่าให้สังเกตทิศทางลมที่พัด ให้ปิดหน้าต่างด้านที่ลมจะเข้า แล้วเปิดด้านที่อยู่ปลายลมแทน เพราะเวลาลมมันพัดมันจะหอบทรายเข้ามาด้วยตลอดเวลา

เช้าวันต่อมา เราตื่นก่อนเวลานัดเล็กน้อย เตรียมตัวไปขี่อูฐด้วยเสื้อผ้าที่กระชับ และรองเท้าผ้าใบที่ยังไม่แห้งสนิทดีจากวาดี้ชาบแต่จำเป็นแล้วล่ะ ใส่ๆ มันไป สำหรับตัวเราเอง มีประสบการณ์อยู่บ้างนิดหน่อย เคยฝึกขี่ม้าเล่นๆ มาก่อน แล้วก็เคยนั่งอูฐระหว่างไปเที่ยวมาแล้วหนึ่งครั้ง กับความคุ้นเคยในสัตว์กีบเพราะที่บ้านมีอยู่ฝูงใหญ่ ทำให้พอจะรู้ว่าต้องเตรียมอะไรไปบ้าง แต่สิ่งที่ทำให้กังวลใจคือ ตอนตีห้าครึ่งทุกอย่างยังมืดสนิท เราเดินงมทางกลับไปทางอาคารห้องอาหาร ระหว่างทางเจอซุ้ม ที่นั่งตะคุ่มในความมืดคือผู้ชายแต่งชุดขาวชาวโอมาน เขาบอกว่าเขาคือคนที่จะมาพาขี่อูฐ ตอนเดินตามเขาผ่านซุ้ม ออกนอกรั้วของแค้มป์ไป รู้สึกหวาดๆ ว่านี่ถ้าหลอกไปทิ้งกลางทะเลทรายจะทำไงวะเนี่ย

คณะน้อยๆ ของเรามีอูฐสามตัวรออยู่แล้ว เราได้ขึ้นคนแรกตัวหน้า อาจจะเพราะกล้ากว่าเพื่อนๆ หรือไม่ก็อ้วนสุด เพราะโดยมากคนจูงจะจูงเฉพาะตัวหน้า แล้วเอาเชือกผูกตัวหลังๆ ไว้กับตัวหน้าอีกที สัมภาระหนักสุดก็อาจจะเหมาะที่เอาไว้กับตัวที่เป็นผู้นำฝูง เป็นข้อดีที่ทำให้เราถ่ายรูปสวยๆ ได้ทันทีที่จับจังหวะเดินของน้องอูฐได้แล้วก็กล้าปล่อยมือ และยังหันหลังกลับไปถ่ายรูปเพื่อนๆ ได้อีกด้วย

อูฐนี่เวลาจะนั่งมันจะคุกเข่าเอาขาหน้าลงก่อน และเวลาจะลุกจะเอาขาหน้าขึ้นทีหลังเสมอ เพราะฉะนั้นช่วงเวลาน่ากลัวของเราก็จะเป็นเวลาลุกนั่งของน้องๆ นั่นเอง ตอนน้องอูฐเหยียดขาหลังขึ้นก่อน เราก็จะหน้าคะมำอย่างแรง ส่วนตอนคุกเข่าลงนั่งก็จะหัวทิ่มแรงกว่าอีกประมาณ ๒๐% ขาน้องผอมๆ แต่แข็งแรงมาก ส่วนเท้าทั้งสี่บานออกเป็นปุ้มๆ ใต้ฝ่าเท้าเป็นเนื้อนูนท่าทางจะนุ่ม เวลาเดินแล้วเกาะทรายดีเยี่ยม เห็นอูฐที่โอมานแล้วรู้สึกว่าอย่างน้อยก็ปฏิบัติกับพวกมันดีพอสมควร ไม่แทงจมูกสนตะพาย แต่ใช้วิธีผูกขุมแทน เราตั้งชื่ออูฐของพวกเราว่า อูฐหนึ่ง อูฐสอง และอูฐสาม

ทันทีที่พร้อม อูฐทั้งสามนำด้วยการเดินจูงของชายชุดขาวก็พาเราฝ่าความมืดสู่เนินทราย คนจูงอูฐสุภาพและพูดภาษาอังกฤษได้นิดหน่อย แนะนำตัวว่าเขาเป็นชาวปากีสถาน ที่มาทำงานอยู่ที่นี่ (มิน่าล่ะ ถึงได้ดูอ่อนโยนใจดี) เส้นทางการเดินก็จะไต่ระดับขึ้นไปเรื่อยๆ บางจุดที่ชันน้องๆ ก็จะเดินเลียบพื้นที่ลาดเอียงอย่างมั่นคง ถึงอย่างนั้นก็มีสไลด์เหมือนกัน เสียวมากแต่เรากับเพื่อนๆ ก็เป็นพวกไม่ส่งเสียง ยิ่งตกใจยิ่งเงียบกริบ พอแสงสว่างค่อยๆ เพิ่มมากขึ้น เราก็มองเห็นริ้วสีขาวที่ถมตรงกลางระหว่างเนินทรายสูงๆ ถึงกับตะลึงไปเลยว่า อยู่ๆ ได้ดูทะเลหมอกด้วยว่ะเฮ้ย

พอเดินมาถึงเนินทรายที่สูงสุดในละแวกนั้น ขบวนของเราก็จอดให้ลงไปนั่งรอดูพระอาทิตย์ขึ้น มีนักท่องเที่ยวเป็นฝรั่งอีก ๑ ครอบครัวที่มีเด็กด้วย แต่วิวกว้างใหญ่ระดับนี้ ต่างคนต่างก็จับจองที่ยืนที่นั่งห่างๆ กัน ทรายที่ผ่านค่ำคืนมาหยกๆ เย็นเจี๊ยบและนุ่มมากๆ ไม่เหมือนทรายทะเลโดยสิ้นเชิง ทุกๆ ก้าวของเราเป็นการประทับรอยเท้าก้าวแรกของเช้านั้น เวลาต้องเดินไปบนริ้วลายของทรายที่เป็นคลื่น ทั้งรู้สึกว่าเราทำลายความงามตามธรรมชาติ แล้วก็รู้สึกฟินไปพร้อมๆ กัน เราวางกระเป๋าลง แล้วนั่งลงบนทรายนุ่มๆ เพื่อเสพบรรยากาศ จนกลับถึงไทยแล้วถึงได้เจอว่าทรายบนยอดเนินมันไหลเข้ากระเป๋าเยอะพอสมควร ดีใจมาก รีบเทใส่ถุงเก็บไว้ ไว้เอามือล้วงบี้เล่นๆ เวลาคิดถึง

พระอาทิตย์ขึ้นแล้ว ทุกอย่างมีฟิลเตอร์สีทองมาครอบอีกครั้ง ขบวนของพวกเราออกเดินลงเขากันพร้อมๆ กับแดดที่ค่อยๆ เผาให้หมอกจางหายไป อูฐสองที่หนิงขี่ ยื่นหัวมาเสมอไหล่ของอูฐหนึ่ง แล้วหันหัวมาดูเราบ่อยๆ หันดูไม่พอ เอาตัวมาสีขาดีฉันเลยค่ะ เราจับหัวมันเล่น มันไม่ว่าอะไรด้วย เหมือนเป็นเพื่อนกันเลย แต่หนิงบอกเสียวมาก เพราะหัวมันมาเล่นกับเรา แล้วตัวมันก็เบียดอูฐหนึ่งไปด้วย เวลาเบียดกันตรงทางลาดเอียงก็น่าหวาดเสียวซะเหลือเกิน ส่วนมุ้ยบ่นว่าอูฐสองเดินไปขี้ไปตลอดเวลา

เบื้องล่างที่ซาฟารีแค้มป์ หมอกบางๆ ยังลอยปกคลุมเฉพาะบริเวณแค้มป์ ทำให้ดูสวยอย่างประหลาด หิวก็แสนจะหิวแต่เราก็วิ่งเล่นถ่ายรูปไปมาก่อนที่แสงนวลตาของยามเช้าจะจากไป

ที่ห้องอาหาร มีแสงสว่างและมองเห็นแต่ละเมนูแล้ว ทำให้พวกเรากินกันอิ่มแปล้เลย เรากับมุ้ยน่าจะวนไปตักฮัมมูสกันคนละสามรอบได้ ตั้งแต่กลับมายังไม่ได้กินอีกเลย อยากกินว้อยยยย

พนักงานสาวที่ต้อนรับเราเมื่อคืนมาทักทายว่าขี่อูฐเป็นไงบ้าง เรากำลังตื่นเต้นเลยโม้กับน้องแบบรัวๆ ว่ามันสุดยอดขนาดไหน ถึงกับวิ่งไปเอากล้องมาเปิดรูปโชว์ น้องคุยกับเราไม่หยุดเหมือนกัน แล้วก็เริ่มขอจับผม น้องบอกว่าเจ๊ (แปลเป็นไทยให้เลย น้องน่าจะเรียกเจ๊นี่แหละ) ผมเจ๊สวยจังค่ะ ยาวมากด้วย

เรามองหน้าคมๆ ของน้องซึ่งเป็นสาวโอมานแท้ โพกผ้าฮิญาบหลวมๆ มีปอยผมโผล่ออกจากผ้าโพกตรงนั้นนิดตรงนี้หน่อย แสดงว่าน้องต้องเฟี้ยวพอสมควร เลยเติมเชื้อให้ซะหน่อย “เจ๊เชื่อว่าผมหมวยก็ต้องสวยเหมือนกัน แต่หมวยต้องซ่อนมันไว้ใช่ไหมล่ะ”

เราตกลงเวลาออกเดินทางกันไม่เกินสิบโมง หลังเก็บกระเป๋าเช็คเอาท์เรียบร้อย มองเห็นรถแดงไต่เนินเล่นอยู่ไกลลิบๆ พอเราถามมาร์คว่า ทำไรน่ะ มาร์คก็อัญเชิญเราสามคนขึ้นรถทันทีเป็นการแสดงพิเศษแถมท้าย ส่วนเงาะขอยืนดูข้างล่างดีกว่า รถแดงแรงฤทธิ์ไต่เนินสูงที่เป็นทรายนิ่มๆ ขึ้นไปหน้าตาเฉย มองลงมาเห็นซาฟารีแคมป์เป็นจุดเล็กๆ หลังจากไต่ขอบตรงนั้นตรงนี้โหมโรงได้พอสมควรแล้วก็มาถึงไฮไลท์ มาร์คขับรถทิ่มลงเนินชันๆ ไปตรงๆ เลยจ้า ท่ามกลางเสียงอึกอักของผู้โดยสารที่ควรจะกรี๊ดแหละ แต่ดันเป็นพวกตกใจเงียบกัน ขณะที่รถไหลลงมาตามทางลาดชัน มันค่อนข้างไปด้วยแรงโน้มถ่วงแล้ว แต่สังเกตว่ามาร์คจะบังคับพวงมาลัยเหมือนงูเลื้อยเล็กๆ อีก คล้ายกับว่าเฉียงล้อเพื่อเพิ่มแรงต้านทานไม่ให้มันพรวดลงเร็วจนรถพลิก

รูปนี้เงาะถ่าย ไม่ใช่แค่โชว์ไต่ขอบ แต่ตอนจบดิ่งลงมาตรงๆ เลย

จะอย่างไรก็เถอะ อีนี่หนุกมากกกก มันส์มาก โอ๊ยชอบ อยากลองขับเองด้วยซ้ำ ตอนลงมาจอดหน้าแค้มป์ได้สำเร็จ เห็นครอบครัวฝรั่งครอบครัวหนึ่งยืนอึ้งอยู่ คงสงสัยว่าบริการของรีสอร์ทรึเปล่า ราคาเท่าไหร่นะ

การเดินทางกลับไม่ต้องมีคนนำแล้ว เพราะว่าสว่างมองเห็นทาง มาร์คมาขับรถขาวนำ เงาะขับรถแดงตาม ผู้โดยสารนั่งเหมือนขามา รู้สึกเหมือนได้เล่นโรเลอร์โคสเตอร์น้อยๆ แถมท้ายอีก ๒๐ กม. โคตรมันเลยท่านผู้ชม

โอมานอีสออซั่มมมม #๒

ในเวลาต่อมา..

ไม่ว่าจะนอนดึกแสนดึกยังไง เช้าวันต่อมา ตีห้าปลายๆ (แปดโมงปลายๆ บ้านเรา) ก็ตื่นละ มันลากต่อไม่ไหวจริงๆ ตื่นแล้วทีนี้ก็หิว เราเล่าข้ามเรื่องเงินไปนิดหน่อย จริงๆ ไม่อยากจะดีเทล แต่กูเขียนอะไรอยู่วะเนี่ย ทำไมมันยิบๆ
คือเรายังไม่ได้แลกเงินเรียลเลย เราซื้อซิมด้วยเงินมาร์ค ๕ เรียล จากนั้นตอนจะจ่ายเงินค่าโรงแรม เอ้าไม่มีเรียลอีก มาร์คเลยรับ USD เราไป จริงๆ แกอยากได้บาทไทยมากกว่า แต่พวกเราแลกเงินบาทไปเกลี้ยงตัวแล้ว เราขอแลกเรียลมาร์คมาแค่พอจ่ายค่าโรงแรม และคืนค่าซิมให้แก หลังเดินไปซื้อน้ำและขนม ซึ่งไม่แพงเลย เราก็เลยเหลือเงินเรียลอยู่แค่สามเรียลห้าสิบ เป็นเงินไทยก็คูณไปซักไม่เกิน ๘๕ คือเหลืออยู่สามร้อยสำหรับสามคนว่างั้นเถอะ

นาฬิกาชีวภาพบอกเวลาเก้าโมงเช้า อีนี่ก็หิวสุดๆ (ได้ข่าวว่าเมื่อคืนมึงกินไอติมในเวลาตีสองไทย) อีกห้องมีเสียงกุกกัก สองคนนั่นก็ตื่นแล้วและหิวสุดๆ เช่นกัน เมนูเดลิเวอรี่ที่ทางโรงแรมวางไว้ มีบางเมนูที่พอซื้อมาแบ่งกันกินได้ เช่นเบอร์เกอร์ ๑.๕ เรียล อะไรแบบนี้ แต่มันยังไม่หกโมงเช้าโอมานเลย เราก็โทร.เองไม่ได้ด้วย เลยอาสาเพื่อนเดินลงไปข้างล่าง ซอมเบิ่งดูพนักงานโรงแรมและบรรยากาศรอบนอก

ตอนมาถึงมืดๆ เลยไม่เห็นว่า แค่รอบๆ โรงแรมนี่ก็มีเนินสีน้ำตาลให้เห็นแล้ว รู้สึกตื่นตาตืนใจ อากาศตอนเช้าดีมาก แต่แดดแรงระดับความเข้มสูงเหลือเกิน ความจริงถ้าวัดแค่อุณหภูมิ ที่โอมานตลอดจนบริเวณทะเลทรายนี่ ร้อนเท่าๆ กับกรุงเทพฯ เลย แต่พอรวมแดดเข้าไปแล้ว เราก็หย่อนๆ ว่าเขาหน่อยนึง (เว้นแต่บางวันแดดแข็งๆ กทม.ก็ชนะทุกสถาบันได้)

แล้วเราก็พบร้านอาหารเช้าที่เปิดอยู่ เพราะอีตาคนนึงหิ้วอาหารพะรุงพะรังเดินมาส่งที่ตึกเรานี่แหละ เรายืนรอจนแกเดินกลับออกมา เราเลยถามว่า เดลิเวอรี่เหรอ เปิดแล้วใช่มั้ย งั้นชั้นตามไปสั่งที่ร้านเลยนะ ตาแกบอกโอเคแล้วเดินนำเรา นึกว่าจะไปไกล แค่ข้ามถนนเงียบๆ ไปอีกฟาก ร้านน้อยๆ นิ่งสงบ ดูด้านนอกแล้วจะนึกไม่ออกเลยว่าข้างในเริ่มทำอาหารอินเดียกันละ หนุ่มๆ ไม่อินเดียก็ปากี เปิดหม้อนู้น คนหม้อนี้ หั่นนั่นสับนี่กันโป๊กเป๊ก
เราสั่งอาหารมังสวิรัติไปสองอย่าง เพราะพร้อมขายอยู่แค่นั้น ทุกคนตื่นเต้นกิ๊วก๊าวแต่พองามที่มีลูกค้าผู้หญิงมานั่งรอในร้าน เราเพิ่งมารู้ทีหลังว่า นอกจากนักท่องเที่ยวแล้ว ผู้หญิงประเทศนี้เขาไม่ออกมาเดินถนนกัน มันเป็นของแปลกประหลาด แต่ทุกคนก็เฟรนด์ลี่ดีนะ น่ารักดี

และนี่ก็คือโฉมหน้าอาหารเช้าของเรา อร่อยดี แต่ไม่ค่อยมีเทกซ์เจอร์อะไรให้เคี้ยว ซึ่งเราชอบกินมื้อเช้าแบบจริงจัง เลยรู้สึกว่าขาดๆ เกินๆ

แต่ของงี้มันเสริมได้ เรามีหมูอร่อยจาก อตก. มากินแนม แล้วก็ยังมีทูน่ากับแครกเกอร์ อาหารกันตายของโปรดที่เราพกไปประเทศแปลกๆ ด้วยตลอด แต่เพื่อนเราสองคนนี้ดันไม่ชอบว่ะ ปกติพกไปทริปไหนก็ไม่พอกิน ให้ต่างชาติกินยังชอบ ทริปนี้ ดันไม่มีใครกินทูน่าเลย ตูก็แบกไปกินมันไปคนเดียว เหลือบาน

หลังกินเสร็จก็อาบน้ำเตรียมตัว พอได้เวลาตามนัด คุณเพื่อนก็มารับ พร้อมออกเที่ยววันแรกกันเลย

โปรแกรมแรกของเราคือ ไปนั่งเรือชมโลมากัน เราสามคนเป็นห่วงเรื่องแลกเงินมาก เพราะว่าเงินเรียลเราหมดเกลี้ยงอีกแล้ว แต่เงาะบอกว่าไม่เป็นไร เที่ยวไปก่อน วันนี้เป็นวันศุกร์ อะไรๆ ก็ปิด เราฟังสองผัวเมียพูดเรื่องนี้อยู่สองรอบ ยังงงๆ จนตัดสินใจถามสาเหตุ ถึงได้พบว่า เขาหยุดประจำสัปดาห์ในวันพฤหัสและวันศุกร์กัน ความกบในกะลา เราคิดมาตลอดว่าวันเสาร์อาทิตย์คือวันหยุดของทั้งโลกว่ะ แบบนี้ก็ดีเหมือนกันเนาะ จะได้ไม่ต้องบ่นว่าอยากให้ถึงเสาร์อาทิตย์เร็วๆ เพราะถึงปั๊บทำงานปุ๊บเลยนะเว้ย

เราจะลัดไปเล่าตอนจบของทริปชมโลมาเลยนะ ว่าอิทธิฤทธิ์นังแอ้หรือยังไงก็ไม่รู้ ไม่ได้เห็นโลมา ปลาซิวปลาสร้อยก็ไม่ได้เห็น แต่ทัวร์ดี๊ดี เรือก็ดี บรรยากาศดีเสียแต่แดดแรงเหลือเกิน เอาตาออกนอกแว่นกันแดดไม่ได้เลย ก่อนลงเรือเราพบกับเพื่อนอีกสองคนของเงาะมาร์ค เป็นสามีภรรยาชาวอังกฤษ ที่มาอยู่โอมานนานเกินสิบปี สามีชื่อไรวะ จำไม่ได้แล้วคุยกันทีเดียวตอนขึ้นจากเรือมาแล้ว แกว่าแกซื้อทัวร์ดูโลมามาราว ๑๕ ครั้งได้ มีครั้งนี้ครั้งเดียวที่ไม่เห็นโลมา ซัสสส มันต้องเป็นเพราะกูแน่ๆ ฝ่ายภรรยาชื่อนิคกี้ ทันทีที่ปล่อยเธอเข้าฝูง เราก็เม้าท์กันไม่หยุด นิคกี้คุยเก่ง พูดชัด แล้วก็เป็นมนุษย์แบบเดินทางท่องโลก แต่ยังไม่เคยมาไทย แกถามว่าไทยช่วงไหนเที่ยวดี เราก็บอกว่าวินเทอร์สิ นิคกี้ว่าหนาวแค่ไหนวินเทอร์ยู
เราบอก ต่ำกว่า ๒๐ องศาซีเราก็ขุดผ้าพันคอ สเวตเตอร์มาใส่กันแล้ว ฝรั่งตกใจปนฮา บอกว่าแถวบ้าน ๑๕ องศานี่กูยังเสื้อยืดตัวเดียวอยู่เลย

ท่าเรือที่เราใช้บริการหรูหราได้มาตรฐานสะอาดสะอ้านขาวโพลนไปหมด หรืออาจจะเป็นเพราะตาสู้แสงไม่ไหวก็เป็นได้ เรือที่พาเราชมโล.. โน.. ชมทะเล ดูก็รู้ว่าเป็นเรือราคาถูกสุดในพอร์ตนั้น แต่ก็สภาพดีฟังก์ชั่นดีมาก เขารับลูกค้าแค่พอนั่งสบายๆ ไม่ได้ให้ยัดทะนานลงไปจนต้องชมบรรยากาศไปสวดมนต์ไป เหมือนเรือท่องเที่ยวบ้านเราที่กูเกลียดความยัดนี้มากจนเสียเงินเหมาแม่งเลยมาหลายทีละ
ฝรั่งทั้งสามบอกว่า สงสัยไม่เห็นปลาเพราะเรามาสายไปหน่อย มันอิ่ม มันไปกันหมดละ
ที่ว่าอิ่มนี่ก็คือมันหาอาหารเช้าตามธรรมชาติของมัน ทัวร์เขาไม่ได้ให้อาหารล่อปลาแต่อย่างใด

เรือแล่นให้เราชมบรรยากาศอ่าวโอมาน พร้อมภูมิประเทศชายฝั่งที่เป็นภูเขาหินสีน้ำตาลเข้ม บริเวณที่เป็นชายหาดยาวๆ มีโรงแรมหรูมายึดครอง ทะเลเรียบมาก มีคลื่นเล็กๆ พอให้ประกายแดดสะท้อนน้ำระยิบระยับ เหมือนใครทำผงกากเพชรร่วงไปในทะเล นกทะเลหลายตัวบินโฉบตัดหน้าเรือบ้าง บินขนานไปกับเรือบ้าง คงเป็นบริการปลอบใจสำหรับคนไม่ได้ดูโลมา ช่วงแรกๆ ที่ยังมีความหวัง คนขับขับเรือแบบตามหาสัญญาณใดๆ ที่จะทำให้แกรู้ว่ามีโลมา (เช่นมีนกบินวนข้างบนหลายตัว รอกินปลาที่กระโดดหนีโลมา – อันนี้ดูมาจากสารคดี BBC) แต่ตอนหลังพอตัดใจแล้วว่าไม่เจอแน่ แกก็ขับพาไปชมวิวเกาะแก่งกลางอ่าว ที่รูปลักษณ์สีสันสวยประหลาด ผ่อนเครื่องเรือแล้วบอกให้ลูกทัวร์มาล้วงเอาน้ำเย็นๆ ที่แช่ในถังไปกินกัน มีน้ำหวานน้ำอัดลมให้เลือกมากมาย


ปิดท้ายก่อนกลับเข้าท่าเรือด้วยการขับมุดรูหน้าผา ซึ่งแหม่มันเหมือนจะเป็นแบบอันซีนโอมานนะ แต่ฟังไม่ได้ยิน ค้นหาชื่อก็ไม่เจอ เอาพิกัดไปคุ้ยกูเกิ้ลดูละกันนะฮะ 23.555138, 58.659148

กลับสู่ท่าเรือ นักท่องเที่ยวกระปลกกระเปลี้ยเฉาแดด เดินตามก้นกันเป็นแถวๆ ตอนนั้นเป็นเวลาที่ท้องร้องหาอาหารเที่ยงมาพักนึงแล้วสำหรับผู้อาศัยในโอมาน แต่สำหรับชาวไทยสามคน มันคือเวลาที่กระเพาะเคยคุ้นว่า กูกำลังจะได้รับอาหารเย็น โซนเวลาของโอมาน และกลุ่มตะวันออกกลาง เป็นโซนเวลาที่เหนื่อยสำหรับเราน่าดู การที่มันช้ากว่าเรา ๓ ชม. ทำให้รู้สึกว่า เฮ้ย ก็ต่างไม่มาก ใช้ชีวิตมันไปตะ แต่ความจริงมัน ..

[เขียนมาถึงจุดนี้ หยุดไปพักหนึ่ง เพราะหาคำมาอธิบายไม่ได้ หาได้คำหนึ่งก็ดันเป็นภาษาโคราช ถ้าเขียนไปจะเข้าใจกันไหม]

แต่ความจริงมันกะเทิน มันก้ำกึ่ง ครึ่งๆ กลางๆ ตื่นเจ็ดโมงโอ้เอ้จนแปดโมง ก็กลายเป็นแค่ตีห้า อาหารไม่มี แต่กูหิวหน้ามืดแล้ว เป็นทริปที่เหนื่อยตลอดเวลากับเรื่องความต่างของเวลา เหนื่อยแบบไม่หายซักที ตั้งแต่วันแรกยันวันกลับ กินข้าวเที่ยงเลท เลทไปเที่ยงครึ่งเอง แต่กระเพาะมันร้องว่า นี่มันจะห้าโมงเย็นแล้วโว้ย

เหลื่อม ๓ ชม. เป็นอะไรที่ลักลั่น ประหลาดจริง ตั้งแต่เดินทางมา
แต่ยังไม่เคยเจอเหลื่อม ๔-๕ ชม. มันจะรู้สึกยังไงกันนะ

ตอนนั้นเหล่าฝรั่งชวนกินข้าวมันซะที่ท่าเรือ ร้านหรูเชียว พวกเราโอเคไม่มีปัญหา เปิดเมนูละก็ถอนหายใจปื้ดนึง (อิ่มละ ๕๐๐ บาท+ นี่ยังไม่ถึงขั้นจัดเต็ม แต่ก็ไม่ถูกง่ะ) อาหารดูดีและอร่อยสมราคาเลยแหละ ขนมปังเรียกน้ำย่อย อบมาร้อนๆ ชิ้นเล็กๆ มีหลายแบบให้เลือกกิน ใส่ไว้ในตะกร้าเดียว ทุกคนเวียนส่งเวียนรับตะกร้าขนมปังนั่นกันจนปากมัน

มื้อนั้นผ่านไปอย่างเรียบร้อย อิ่มและอร่อยดี แต่หลังจากนั้นพอแยกกันแล้ว นิคกี้ส่งข่าวมาว่า สามีเธอเกิดอาหารภูมิแพ้อย่างหนัก ถึงกับต้องเข้าโรงพยาบาล เดาว่าน่าจะแพ้ทูน่าที่แกสั่ง

ยิ่งตอกย้ำเรื่องทูน่าสเปรดอาหารกันตายของเราเข้าไปกันใหญ่

ระหว่างกินข้าวสองผัวเมียเงาะมาร์ค กับเพื่อนฝรั่งเจ้าถิ่น ออกความเห็นถึงแพลนในวันนี้ของพวกเรา แต่ดูเหมือนกับว่ากิจกรรมย่อยต่างๆ ก็ไม่ค่อยเหมาะไปซะหมด เช่นตลาดมัทราตอนนี้ร้อนมาก ถ้ากลับบ้านก่อนแล้วมาตอนเย็นก็จะอ้อมไปอ้อมมา หลายๆ ที่ก็ปิดเพราะเป็นวันหยุด อีกอย่างเจ้าบ้านอยากให้ฝั่งเราผู้มาเยือนได้พักปรับเวลาอีกนิด ซึ่งส่วนตัวเราเสียดายอยากเที่ยวเยอะๆ แต่หนิงกับมุ้ยเห็นว่าได้พักซักหน่อยก็จะดีเหมือนกัน และนี่คือสิ่งที่ได้เรียนรู้ ว่าต้องฟังเสียงข้างมาก กลับบ้านนอนก็กลับบ้านนอน ไม่ว่ากัน

บ่ายสองเวลาโอมาน เรามุ่งหน้ากลับบ้านเพื่อนเพื่อพักผ่อนยามบ่าย รถเราแล่นปราดผ่ากลางเมืองมัสกัต ท่ามกลางอากาศร้อนระดับแผดเผา เหมือนกรรมที่เคยกินหมูกะทะมาเยอะมันตามมาเอาคืน เมืองหลวงสะอาดเรียบร้อย ดูเงียบเชียบแทบจะไร้ชีวิตชีวา ก่อนเดินทางไปโอมานเราคิดว่าบ๊ายบายต้นไม้เหอะห้าวันนี้คงมีแต่สีน้ำตาลครบทุกเฉด แต่มัสกัตมีต้นไม้ข้างทางเป็นทิวแถว พร้อมสวนสาธารณะที่ปกคลุมด้วยหญ้าเขียวที่ตัดแต่งซะเรียบกริบท่ามกลางเปลวแดด เงาะบอกว่าเงินถึงป่าก็มา จะแล้งแค่ไหนก็เขียวได้ แต่ถึงอย่างนั้น เขียวต้นไม้ที่สรรสร้างโดยมนุษย์ก็ยังเป็นเขียวอ่อนบาง หรี่ตามองแล้วเหมือนติดสีน้ำตาลนิดๆ ทำให้นึกขึ้นมาได้ว่า ป่าไม้บ้านเราส่วนมากใบเป็นสีเขียวเข้มลึก เขียวแบบที่เรารู้ว่ามันสะสมซึมซับน้ำไว้ทุกอณู ก็สวยกันไปคนละแบบ

บ้านเพื่อนอยู่ละแวกชานเมือง แต่ด้วยความที่เมืองไม่ใหญ่ ชานเมืองก็เลยเหมือนออกจากเมืองมานิดหน่อยเหมือนลาดพร้าวรัชโยไรงี้ บ้านเช่าหลังใหญ่เป็นสไตล์โอมานี่แท้ๆ ล้อมกำแพงทึบสูง ประตูรั้วไฟฟ้าเป็นแผ่นเหล็กไม่มีลายฉลุ พอเข้าบ้านปิดประตูแล้วก็เป็นโลกส่วนตัว บ้านเพื่อนเลี้ยงหมาตัวใหญ่หน้าตาซื่อๆ อ่อนโยนสองตัว ขนยาวของพวกมันยุ่งเหยิงและเหนียวพิกล เงาะบอกว่าแทบไม่อาบน้ำหมาเลยแหละ เพราะน้ำเป็นของพึงสงวนของที่นี่ แต่เจ้าสองหมา หลุยส์ กับบ๊อบก็ไม่ได้สกปรกอะไรมาก เพราะเป็นหมาเลี้ยงในรั้วบ้าน พื้นที่นอนก็ปูคอนกรีต มันมีโซนของมันเองที่กว้างสบาย กั้นด้วยประตูเหล็กดัด ทำให้มันหมดโอกาสที่จะกระโจนเข้าใส่เจ้านายและแขกเหรื่อ

เราเดาว่าบ้านชาวโอมานแท้ถูกสร้างตามหลักศาสนา นั่นก็คือผู้ชายมีเมียได้แม็กซิมั่ม ๔ คน ตราบเท่าที่เลี้ยงดูเหล่าภรรยาอย่างเท่าเทียมกัน เราซักถามเรื่องนี้เพิ่มจากเพื่อนภายหลังเดี๋ยวค่อยเล่าให้ฟัง แต่ตอนนี้สำหรับเรื่องความเท่าเทียมนั้น เราสังเกตว่ามันน่าจะสะท้อนถึงการวางผังในบ้านที่น่าสนใจ ด้วยภายนอกบ้านที่เป็นสี่เหลี่ยมจัตุรัส แต่ภายในตัดมุม ทำให้เมื่ออยู่ข้างในรู้สึกเหมือนอยู่ในรูปทรงแปดเหลี่ยม ที่ทำให้ความเป็นไปได้ในการจัดผังห้องมีมากมายนับไม่ถ้วน เมื่อเปิดประตูหน้าเข้าไป ห้องนั่งเล่นใหญ่ในบ้านกว้างมาก มีทีวีและชุดโซฟา กับโต๊ะกินข้าวขนาดใหญ่อีก ๑ ชุด เฟอร์นิเจอร์ตกแต่งต่างๆ ดูมีเอกลักษณ์มากๆ ในบ้านมีกลิ่นหอมอ่อนๆ อวลอยู่ รู้ทีหลังว่าที่นี่เขาชอบจุดเทียนหอมกันรวมถึงคุณเพื่อนเราด้วย โดยวิธีคือจุดให้กลิ่นออก แล้วดับไฟ ปล่อยให้ควันเทียนค่อยๆ ลอยเอื่อยๆ อยู่ทั่วห้อง ก่อนกลับก็ซื้อมาด้วยกระปุกหนึ่ง ทุกวันนี้ยังจุดอยู่เลย

มาร์คที่ตอนอยู่นอกบ้านดูเฟี้ยวมากๆ พอตูดแปะโซฟาก็กลายร่างเป็นลุงทันที เพื่อนจัดไฟในบ้านค่อนข้างมืด รู้สึกเหมาะแก่การนอนตลอดเวลา (หรืออาจจะเป็นเพราะเราปรับสายตาจากแดดจ้าทันทียังไม่ได้) เราชอบผังบ้านแบบครอบครัวใหญ่แบบนี้จริงๆ ยกเว้นแต่ว่าถ้าการครองคู่มันจะต้องมีเกินว่าชายหนึ่งหญิงหนึ่ง ก็ขอเป็นจำนวนผู้ชายนะที่เพิ่ม หุหุ

จากห้องนั่งเล่นใหญ่ สิ่งที่โดดเด่นมีเอกลักษณ์คือซุ้มประตูโค้งสู่ห้องนั่งเล่นเล็กอีกห้อง เงาะมีทีวีตรงนี้อีกเครื่อง เอาไว้เวลาดูละครไทยตบจูบคนเดียว ถัดไปเป็นห้องนอนแขกพร้อมห้องน้ำในตัวที่ยกให้มุ้ยกับหนิง จากนั้นเป็นทางเดินกลางบ้าน มุ่งตรงไปยังประตูเปิดออกสู่ภายนอก ห้องที่ประจันหน้ากันกับห้องแขก ๑ ก็จะเป็นห้องที่เรานอน เป็นห้องแขก ๒ มีห้องน้ำพร้อม แต่มาร์คใช้ห้องนี้เป็นห้องออกกำลังกาย มีสารพัดเครื่อง ทั้งลู่วิ่ง ทั้งอีที่ดึงๆ อีที่นอนแล้วซิตอัพ อีอันที่คล้องพุงแล้วมันสั่นๆ อีที่ขึ้นไปเดินลอยๆ (จะรู้ชื่อซักอันไหมเนี่ย) ฯลฯ และห้องนี้ก็มีเตียงหนานุ่มหนึ่งเตียง ที่จะเป็นที่พำนักของเรา อีกด้านของห้องนั่งเล่นใหญ่ก็จะเป็นห้องนอนของเงาะมาร์ค ตรงกลางผนัง ด้านหนึ่งของห้องนั่งเล่นใหญ่จะเป็นบันไดทอดขึ้นดาดฟ้า ซึ่งถ้าใครซักคนเดินลงมาด้วยหางกระโปรงยาวๆ ก็จะดูเหมือนบันไดเปิดตัวเจ้าหญิงยังไงยังงั้น

กลับมาที่ประตูหลังที่เปิดสู่ภายนอก ถ้าเปิดออกไปก็จะมีช่วงเอาท์ดอร์คั่น เป็นจุดที่แมวสองตัวนอนเหยียดยาว ขวามือมีเจ้าหมาสองตัวมาเกาะประตูรั้ว ส่ายตูดดุ๊กดิ๊ก ตรงไปข้างหน้ามีประตูเปิดเข้าโซนครัว ซึ่งเป็นอีกอาคารแยกโครงสร้างต่างหาก ครัวมีพรีครัวชั้นหนึ่งด้วย เป็นบริเวณที่เก็บอาหารหมา ตั้งตู้เย็นใหญ่ ตั้งถังขยะ เปิดประตูซ้ายมือเข้าไปอีก เป็นครัวจริง ครัวผัดฉู่ฉ่าที่โคซี่มาก ดูอบอุ่น เห็นแล้วหิวและรู้สึกว่าจะมีทุกอย่างที่เติมเต็มความหิวนี้ได้โดยพลัน

ทั้งหมดที่ว่ามานี้ ส่วนที่เป็นอินดอร์ ติดแอร์ทั้งหมด (ยกเว้นพรีครัว) หนิงถึงกับออกปากว่า ถ้าครัวติดแอร์เย็นฉ่ำขนาดนี้ ให้ทำครัวเยอะแค่ไหนก็ไหว แต่เรากับมุ้ยถึงกับซักไซ้เรื่องค่าน้ำค่าไฟกันใหญ่ คือมันดูเปลืองตังค์มาก สรุปได้ว่า การทำงานอยู่โอมาน โอเคเงินเดือนเยอะมากกว่าไทยเยอะ แต่ถ้าอยากได้วิถีชีวิตดีๆ คุณภาพชีวิตดีๆ หักค่าใช้จ่ายพวกนี้ไป ก็เหลือไม่มากนะ มันก็แพงมากอยู่

หลังจากทุกคนเริ่มเข้าสู่ภาวะจำศีลระยะสั้น เราเป็นคนไม่นอนบ่าย แถมยังตื่นเต้นกับผังบ้านที่ซับซ้อนก็จัดการข้าวของ และออกสำรวจบ้านเพื่อนและบรรยากาศโดยรอบ บนดาดฟ้าร้อนฉ่าแต่ลมยังดี เป็นทำเลดีสำหรับการสอดส่องรอบทิศทาง ซึ่งแทบไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ รถยังมานานๆ คัน

อีเด็กนี่เป็นสิ่งมีชีวิตเดียวเท่าที่มองเห็น (นอกจากเรา) ที่อยู่นอกชายคา วิ่งเล่นในทุ่งร้างๆ นั่นคนเดียว ฝุ่นฟุ้งไปหมดตามแต่ละก้าวที่ย่ำไป บางทีก็นึกเป็นห่วงว่า มันเล่นหรือมันวิ่งหนีอะไรอยู่รึเปล่าวะ

บ่ายนั้น ทั้งแขกทั้งเจ้าบ้านจำศีลกันอย่างเงียบเชียบ เราไม่นอนเลย ทำนู่นทำนี่ พอตกกลางคืนโคตรเพลียแทบสลบ แต่คนอื่นเขาหลับตุนกัน เขาก็แจ่มใสกันดี เย็นนั้นเงาะพาพวกเราไปห้างใกล้บ้านเพื่อสองวัตถุประสงค์ คือมื้อเย็นวันนั้น และอาหารสำหรับแค้มปิ้ง มาร์คไม่ได้ไปด้วย พอไปถึงห้างคาร์ฟูร์ แลกเงินเสร็จ ก็รู้สึกเป็นอิสระทางการเงินอย่างมาก เนื่องจากการจัดการด้านอาหารไม่ใช่สาขาที่เราถนัด แต่ถนัดจัดการให้มันหายไปมากกว่า เราจึงขอให้เพื่อนๆ แม่บ้านทั้งสองโปรดลีดหนทางของการผลิตอาหารได้ตามสบายเลย ตอนแรกมีความเข้าใจไม่ตรงกันเล็กน้อย เนื่องจากมัสกัตอยู่ติดชายทะเล ทำให้นักท่องเที่ยวมีอิมเมจในใจว่าอาหารทะเลจะต้องโดดเด่นเลยล่ะ ปรากฏว่า ไม่แฮะ เพื่อนอยากลองเอาปลาหมึกอ๊อคโทปุ๊ซไปปิ้งย่าง แต่มันดูแฉะมากจนน่าประหลาดใจเลยเอาไปนิดเดียวพอ และด้วยความที่ไม่มีเนื้อหมู ทำให้เกิดความขลุกขลักในด้านการคิดเมนูพอสมควร แต่สุดท้ายก็จัดการกันจนลงตัวด้วยการแบ่งซื้ออย่างละนิดอย่างละหน่อย ทั้งไก่ ทั้งแกะ เนื้อวัวและผองเพื่อน แล้วก็เอาผักผลไม้ไปตัดอารมณ์ อาหารต่างๆ ที่ซื้อไป ได้นำมากินอย่างเหมาะสม ไม่มากไม่น้อยเกิน ยกเว้นอีอ๊อคโทปุ๊ซนั่น แม่งกินไม่ได้เลยแม้แต่นิดเดียวปิ้งปุ๊บยุ่ยและย่อยสลายเกาะติดตะแกรงปิ้ง เหมือนซากตุ่มตอตะโก และในที่สุด ทุกคนก็เห็นตรงกันว่า มันเกือบจะเน่าแล้วจริงๆ ตอนเราซื้อมา

เราหนิงและมุ้ย ไปเดินหาซื้อกล่องข้าวกันคนละใบด้วย เพราะวันรุ่งขึ้นจะมีการห่อข้าวไปกินระหว่างทาง บ้านเงาะอาจจะไม่มีกล่องสำรองพอสำหรับทุกคน แต่พวกเราก็สนุกกับการได้ช้อปแผนกเครื่องครัวที่ต่างประเทศ โดยเฉพาะการซื้อภาชนะนี่ของโปรดเลย (บอกสิว่าคุณก็เป็น) ทุกวันนี้ก็ยังใช้ไปเวลาไปซื้อข้าวนอกบ้านกินอยู่เลย ของเค้าดีจริงๆ นะ

ทุ่มครึ่งเวลาโอมาน เราเดินทางกลับบ้านเงาะกันโดยไม่แวะที่ไหนอีก เพื่อนๆ ซื้ออาหารสำเร็จมาสองสามอย่าง แล้วเงาะก็จะทำเพิ่มอีกหน่อยสำหรับมื้อเย็น อยู่ๆ ฝนเม็ดบางๆ ก็ตก เป็นเม็ดฝนที่เล็กมาก ไม่เหมือนฝนปรอยบ้านเรา บอกไม่ถูกแต่มีความยูนีคจริงๆ เงาะบอกว่าปกติฝนตกปีละ ๕ วันเท่านั้นที่โอมาน เริ่มกังวลว่านี่กูเป็นมิวแต๊นท์ตัวดูดพายุจริงๆ เหรอวะ

ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง คงต้องขอยืม Quote ของสตรีผู้หนึ่งที่เคยกล่าวไว้ว่า Mutant and proud

ชมแบบภาพเคลื่อนไหวพร้อมเสียง commentary จ้ะ
https://web.facebook.com/PlaceInPeaceByAppopo/videos/3343318425685748/

โอมานอีสออซั่มมมม #๑

ปฐมบท

ไม่เคยคิดจะไปเลย โอมาน
คือรู้จักคำนี้ว่าเป็นนามสกุลอุปโลกน์ของดาราก่อนที่จะรู้ว่าเป็นชื่อประเทศซะอีก รู้สึกว่ามันถูกใช้จนแปดเปื้อนไปแล้ว ไอ้เราเองก็มีที่อยากเที่ยวมากมาย หาเงินไม่ทันเที่ยวจนต้องอดมื้อกินมื้อจนซูบผอม (ไม่เชื่อก็ทำเป็นพยักหน้าไปก็ได้) ย่อมไม่รู้สึกกระเหี้ยนกระหือรืออะไรกับประเทศนอกวิชลิสต์แบบนี้อยู่แล้ว
เพื่อนวัยเด็กของเรา ไปอาศัยอยู่ที่นั่นเป็น ๑๐ แล้ว หลายปีก่อนเคยถามที่อยู่จะส่งโปสการ์ดไปหา (แม้กระทั่งในยุคนี้ โปสการ์ดก็ยังเป็นช่องทางคอนเนคต์กับมนุษย์ที่เราโปรดปรานที่สุด) เพื่อนบอกว่า ไปรษณีย์ไม่ค่อยจะครอบคลุม สรุปว่าการส่งกระดาษน้อยใบเดียวดูจะเป็นเรื่องลำบากลำบนซะอย่างนั้น สำหรับประเทศเศรษฐีน้ำมันที่รวยๆ เราไม่เข้าใจว่าทำไมจะส่งโปสการ์ดไม่ได้วะ จากนั้นก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรโอมานอีก

สุดท้ายก็จับพลัดจับผลูจัดทริปไปโอมานกันจนได้ เพราะความเลยตามเลย ไม่ขัดใจเพื่อนและความอยากรู้อยากเห็นของเราเอง ไอ้นิสัยนี้ทำให้ได้ทำอะไรที่ไม่คิดว่าจะทำมาเยอะแยะแล้ว ทำไมเพื่อนไม่ผลักดันไปหาผู้ชายดีๆ บ้างนะ บางทีก็สงสัยอยู่ในใจ

ทริปนี้มีความ “ครั้งแรก” หลายอย่าง

ไปทะเลทรายร้อน เป็นครั้งแรก เป็นทะเลทรายแบบ ทราย. ไม่เหมือนมองโกเลียที่เป็นทะเลทรายแบบดินหิน คือเป็นดินแดนรกร้างมากกว่า
ไปตะวันออกกลาง (ตรงริมๆ) เป็นครั้งแรก
ไม่ได้แพลนทริปเอง เป็นครั้งแรก
ไปประเทศมุสลิม เป็นครั้งแรก พร้อมหมูแห้งเต็มกระเป๋า
แบกเต็นท์สองหลังไปต่างประเทศ เป็นครั้งแรก (และยังเสือกเอาฟลายชีทกับผ้าใบรองพื้นผืนใหญ่ไปด้วย)
เปิดยูทูปหัดโพกผ้าแบบมุสลิม เป็นครั้งแรก ไม่เข้ากับหน้าเลย ตาตี่หน้ากลมๆ โพกผ้าตีกรอบแก้มแล้วดูอย่างกะขนมเข่ง

ก่อนไปมีความลังเลเรื่องดีเทลการท่องเที่ยวและแผนการ หลักๆ ก็ไม่อยากกวนเพื่อนมาก รองลงมาก็อยากผจญภัยเอง รับผิดชอบชีวิตและการกระทำของตัวเองบ้าง แต่สุดท้ายก็สรุปว่าให้เงาะกับมาร์ค สองผัวเมียเจ้าถิ่นจัดการทำแผนและนำเที่ยวเสร็จสรรพไปเลย ซึ่งสำหรับเราไม่เคยเดินทางแบบที่ไม่ได้แพลนเองมานานแล้ว ต้องอาศัยการปล่อยวางพอสมควร มีบางคนเคยบ่นว่าได้เตรียมแผนป้องกันอันตรายไว้มั่งไหม ฟังดูก็เหมือนเป็นห่วง แต่เราก็เป็นแบบเนี้ย ต่อให้มีปัญหาอะไรยังไง ก็มั่นใจว่าเอาตัวรอดได้อยู่แล้ว ต่อให้หลงกลางทะเลทรายชั้นก็ไม่ตายหรอก ถ้าจำไม่ผิดวันนั้นน่าจะตอบไปแบบนั้น
จริงๆ นานๆ จะมีคนเป็นห่วงทีก็ไม่ควรเก่งใส่เนาะ ไม่ทันแล้ว

ผู้ไปเยือนนอกจากเราก็มีหนิงและมุ้ยอีกสองคน ซึ่งฝ่ายหญิงเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่เด็กฝ่ายชายคือสามีมัน สองคนนี้เที่ยวเยอะแบบมนุษย์ปกติ แต่เราก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกว่ามีหน้าที่ต้องดูแลเพื่อน และทำให้อีสองคนนี้ปลอดภัยกลับมาด้วยให้ได้

เรื่องราวสนุกๆ กับการเดินทางแค่ ห้าวันหน่อยๆ กำลังรอการเปิดเผย สปอยล์ให้ก่อนว่า ทุกอย่างราบรื่น เจ้าบ้านดูแลดี๊ดี ได้เดินทางกันแบบสนุกมากๆ บางครั้งเป็นคนตามบ้าง ก็ดีเหมือนกันนิ

เพียงแต่ในบางบริบทคนที่ชั้นอยากจะตาม เค้าก็ไม่ได้อยากจะนำชั้น..

ก่อนได้ไปเยือน เรารู้แค่ว่าโอมาน = น้ำมัน = ทะเลทราย จบ ไม่ได้รู้เรื่องอื่นที่น่าสนใจ เป็นต้นว่าสุลต่านที่ปกครองประเทศในปัจจุบัน ทรงปกครองมาตั้งแต่ ปี ๒๕๑๓ เพียงพระองค์เดียว ก่อนหน้านั้นประเทศโอมานเป็นเพียงชนเผ่าด้อยการพัฒนาในแทบทุกด้าน ทั้งดินแดนมีถนนก่อสร้างยาวแค่ ๖ กม. เท่านั้น สุลต่านอัลซาอิด (Qaboos bin Said al Said กอบุส บิน ซาอิด อัลซาอิด) หลังจากชิงอำนาจมาจากพ่อของตนเองที่ปกครองดินแดนอยู่ก่อนแบบโบราณ ด้วยการสนับสนุนจากฝั่งอังกฤษ (แน่ะ ไปแจมกับเขาอีก) แล้วก็ใช้ความรู้และแนวคิดแบบสมัยใหม่ที่ได้เรียนมาจากต่างประเทศ พร้อมกับสร้างสัมพันธ์ที่ดีกับรอบด้าน มาพัฒนาโอมานให้โตแบบก้าวกระโดดแล้วทะยานไปเลย (ยกเว้นการไปรษณีย์สินะ)

ซึ่งประเทศอยู่ในเวิ้งนั้นต้องยอมรับว่า การประคองตัวอยู่มานานขนาดนี้โดยไม่รบกับใครเลยนี่ไม่ใช่ง่ายๆ นะ คิดดูว่าโอมานมีพื้่นที่ติดต่อกับซาดุดิอาระเบีย ที่แสนจะคันคะเยอ และยังเยเมนที่ย่ำแย่ไปด้วยสงคราม ด้านเหนือสุดเชื่อมต่อกับยูเออีที่ดูเหมือนจะสายเศรษฐกิจตอนแรก แต่หลังๆ นี่มาสายวอร์ซะอีกแล้ว เพื่อนบ้านรอบๆ นอกจากจะมีศัตรูภายนอกแล้ว ยังบาดหมางกันเองภายใน จับคู่ตีกันเกือบจะเป็นแบบพบกันหมดอยู่แล้วมั้ง และการโต้ตอบความบาดหมางมันไม่ใช่แค่แซะกันไปแซะกันมาเหมือนแถบบ้านเรา นี่เขาเล่นยิงระเบิดใส่กันจริงจังเลยเหมือนระเบิดมันลูกละห้าบาทสิบบาท และชีวิตคนมันมีค่าแค่ผักปลา


นานามิตรประเทศได้ชวนโอมานเข้าร่วมกิลด์วอร์อยู่เนืองๆ แต่ด้วยพระปรีชาขององค์สุลต่าน
ซึ่งถืออำนาจปกครองสูงสุดในระบบสมบูรณาญาสิทธิราช ทำให้โอมานบาลานซ์อยู่บนความไม่ลงรอยนี้ได้ตลอดมา

เกร็ดน่ารู้ที่เพื่อนเล่าให้ฟังคือ สุลต่านอัลซาอิดไม่เคยเปิดเผยว่าใครเป็นรัชทายาท อย่าว่าแต่ตำแหน่งรัชทายาทเลย ใครเป็นลูกพระองค์ มีกี่คน ยังไม่เป็นเรื่องที่เปิดเผยเลยด้วย

การเดินทางไปโอมาน เราใช้เอเย่นต์คนเดิมที่หาตั๋วมองโกเลียให้ ได้บินการบินไทยในราคาที่ เอาวะ คงหาได้ไม่ดีไปกว่านี้แล้วมั้ง เนื่องจากโอมานอาจไม่ได้เป็นที่นิยมของชาวไทย จึงทำให้ตั๋วเครื่องบินราคามันยังงั้นๆ แทบจะตลอดทั้งปี ไม่ค่อยขึ้นไม่ค่อยลง ถ้าได้ถึงหมื่นห้าก็รีบซื้อได้เลย ส่วนเราได้มาที่หมื่นหกเจ็ดร้อย บินตรงแต่แวะรับคนที่การาจี ที่เลือการบินไทยมากกว่าโอมานแอร์ เพราะคิดว่าตัวเองคงไม่ชอบอาหารอาหรับแน่ อย่างน้อยขอกินอาหารไทยอีกซักนิดบนเครื่องก็ยังดี แต่แล้วเรื่องอาหารก็เป็นอีกเรื่องที่ผิดคาด คือทั้งเราทั้งเพื่อนดันชอบอาหารอาหรับซะงั้นน่ะ อ้วนเอ๊ย กินอะไรก็อร่อย ทำไมวะ

ไฟลท์เราใช้เวลารวม ๘ ชม. เป็นเดินทาง ๗ จอดรอชาวคณะขึ้นลงที่การาจีอีก ๑ ชม.
เราออกเดินทางล้อหมุนจากสุวรรณภูมิบ่ายสอง นับเวลาถอยหลังแล้วเข้าไปทำงานได้ ๒ ชม. ตอนเช้า จึงเข้างานติดพันต่ออีกพักนึงจนต้องไปนั่งโทรศัพท์เคลียร์บางเรื่องและอีเมลในแท็กซี่ (ทำไมอนาถ) เดินทางมันทั้งเสื้อแจกของบริษัทแบบนี้สิ ช่างสมเป็นเราซะจริง อีกทั้งอีเสื้อตัวนี้ยังปรากฏในบัตรประชาชน, ใบขับขี่ และวีซ่าบางประเทศด้วย

โอมานมีโซนเวลาช้ากว่าไทย ๓ ชม. ทำให้วันเดินทางเป็นวันที่มี ๒๗ ชม. สำหรับเรา แม่งยาวนานเหมือนความรู้สึกของวันจันทร์ที่เจ้านายอารมณ์บูด แต่เนื่องจากเดินทางตอนกลางวันแบบตามตะวัน ทำให้แทบจะตลอดไฟลท์ แสงจากข้างนอกมันสว่างจ้าตลอดเวลา ทุกช่องหน้าต่างพร้อมใจกันปิดจนภายในเครื่องมืดสนิทเหมือนไฟลท์ดึก แล้วก็พากันหลับคร่อกๆ ด้วยความที่เครื่องค่อนข้างโล่ง เพราะเส้นทางมันไม่ฮิต หลายๆ ท่านก็นอนพาด ๔ เบาะ หรูกว่าเฟิร์สคลาสก็พวกมึงนี่แหละ


ส่วนเราหลับไม่ลงเลยดูหนังไปสองเรื่อง Deadpool 2 กับ Walter Mitty ไม่อยากดูเรื่องที่ไม่เคยดู อยากดูอะไรที่มั่นใจว่าจะมีความสุขมากกว่า (ถึงจะดูจอเล็กๆ แต่ตอนมิตตี้ออกเดินทางเราก็น้ำตาซึมตามเคย) ด้วยจริตแอ๊บรักสะอาดจึงพกหูฟังส่วนตัวด้วย ตอนผล็อยหลับ ตูดไหลไปทับหูฟังตัวเองที่กำลังเสียบอยู่ แจ๊คหักได้อีก สุดท้ายก็ต้องใช้หูฟังของเค้า

ก่อนแลนด์ที่การาจีมีประกาศห้ามการถ่ายภาพต่างๆ ทั้งบนฟ้า และที่สนามบินของปากีสถาน ตอนแรกก็ไม่คิดอะไรหรอก พอห้ามเท่านั้นแหละ อื้อหือ.. คันขึ้นมาทันที และนี่คือภาพน่านฟ้าและสนามบินสุดหวงแหน มึงหวงอะไรกูยังไม่ค่อยเข้าใจ

ด้านล่างนี้รู้สึกตื่นตาตื่นใจกับแลนด์สเคปแปลกๆ ของปากี แต่แอร์เดินไปมาขวักไขว่ แอบถ่ายรูปไม่ได้วาดแม่มเลย จินตนาการซะว่ามันเหมือนก็แล้วกันนะ

ตลอดการเดินทาง บรรยากาศบนเครื่องดีมาก พนักงานให้ความกันเองและใส่ใจคนไทยมากกว่าต่างชาติแบบเห็นๆ ก็คงเหมือนความรู้สึกเวลาบินสายการบินประเทศอื่นมั้ง อีนี่ก็ไม่รู้เหมือนกัน ตอนบินของพวกจีน สิงคโปร์ มาเลย์ หลายครั้งเขาก็คิดว่าเราเป็นคนประเทศเขา (เป็นคนหน้าตาองคาพยพแบบนานาชาตินิดนึง) แล้วก็เอาใจใส่เราดีตลอดแม้กระทั่งเมื่อโป๊ะไปแล้ว
ตอนสมาชิกขึ้นมาสมทบจากการาจี กลิ่นอันเป็นเอกลักษณ์ก็ขึ้นเครื่องมาด้วยเลย เพื่อนๆ มีออกอาการบ้าง ส่วนเราสบายดี ปกติหลังตีแบดกูก็ประมาณนี้แหละ แต่สิ่งที่กระทบเรามากกว่าคือความไม่เสมอภาค คนที่ขึ้นมาแทบไม่มีผู้หญิงเลย เพราะผู้หญิงคงไม่มีค่าพอที่จะมีธุระสำคัญอันต้องเดินทางด้วยเครื่องบิน
เราเริ่มรู้ตัวว่านี่ต่างหากที่จะเป็นปัญหาสำหรับการเยือนประเทศมุสลิม-อาหรับ ของเรา เมื่อเฟมินิสต์ตัวอ้วนมาเยือนกรงขังอิสรภาพของมนุษย์สตรีเพื่อนร่วมโลก
เอ้าเพลงขึ้น

กักขังฉันเถิดกักขังไป ขังตัวอย่าขังหัวใจดีกว่า

ทุ่มนิดๆ หลังปรับไทม์โซนมือถือเป็นเวลาโอมาน เราก็แลนดิ้ง เหนือน่านฟ้าและที่สนามบินโอมานก็เป็นเขตห้ามถ่ายรูปเช่นกัน
เอ้ามาชมกันเลยจ้า  

มีเรื่องราวน่าสนใจไฮไลท์ในสนามบินอยู่ ๒ เรื่องด้วยกัน

๑.
เมื่อออกจากเครื่องสู่เส้นทางยาวไกลในตัวอาคารได้สำเร็จ เราผลัดกันเข้าห้องน้ำ และเริ่มต้นกระบวนการเดินๆๆๆ ไปหา ตม. เส้นทาง, ระยะ และป้ายบอกทางต่างๆ คล้ายสุวรรณภูมิมากๆ จนคิดว่าไม่ใครก็ใครต้องมีก๊อบกันบ้าง ในระหว่างการเดินอันยาวไกล มีทางเลื่อนแนวระดับโผล่มาเป็นต่อนๆ เหมือนสุวรรณภูมิอีกเช่นกัน ต่างกันตรงที่ความเร็วของโอมานจะเร็วกว่าเล็กน้อยราว ๐.๐๐๐๐๐๐๑ พาร์เซค

ตอนเราจะก้าวเข้าสู่ทางเลื่อนอันแรก ผู้หญิงในชุดคลุมดำแทบลากพื้นคนหนึ่งกำลังยืนลังเล ไม่กล้าก้าวลงไป ในมือเธอถือถุงดูเกะกะ ชุดคลุมรุ่ยร่ายทำให้เรามองไม่เห็นว่าเธอยังมีปัญหาอื่นหรือเปล่า
ในทางเลื่อน สามีของเธออุ้มลูกวัยน่าจะ ๒-๓ ขวบอยู่ ยิ่งเธอไม่ก้าวลงไป ทางเลื่อนก็พาพ่อลูกเลื่อนห่าง สามีก็มีการเดินกลับมาเล็กน้อย ทำหน้าเหมือนไม่ค่อยพอใจ พร้อมพูดรัวๆ ก็คงบอกว่าเดินๆ ลงมาตะอีโง่ อะไรทำนองนี้
เราเห็นหน้าเขา เขากลัวทางเลื่อน แต่กลัวผัวมากกว่า เขาเลยไม่รู้จะทำไงต่อกับชีวิต ได้แต่ยืนจดๆ จ้องๆ เราไปยืนข้างๆ แล้วบอกว่า May I help you? เรารับถุงพลาสติกที่อัดของแน่นมาถือให้ (แม่งหนักเลยแหละ) เอาล่ะตอนนี้คุณจะสามารถจับราวและก้าวลงมาได้เลย เราจะก้าวให้ดูก่อนนะ
เราก้าวลงไป พยายามทำท่าสบายๆ ให้ดู แต่เธอก็ยังไม่กล้า เราเลยเดินกลับไปหา คราวนี้บอกว่า จับมือชั้นนะ แล้วก้าวไปพร้อมๆ กัน

โอเค รอบสองสำเร็จ เธอลงมายืนขาโงนเงนได้สองวิ อีผัวห่าอุ้มลูกเดินย้อนทางเลื่อนกลับมา เอาลูกยัดใส่มือ แล้วเดินนำเฉิบหายหัวไปเล้ย อีเหี้ย เราแม่งหลังแบกกระเป๋าตัวเอง มือซ้ายหิ้วถุงเจ๊แก แล้วขวาก็จับมือซ้ายของแกตอนจะก้าวออกจากทางเลื่อน ส่วนเจ๊มือขวาอุ้มลูกตัวไม่ใช่น้อยๆ ด้วยมือเดียว มือซ้ายที่สั่นเทาจับเราแน่น พอออกจากทางเลื่อนอันแรกได้ อีผัวห่าลับตาหายไปแล้ว เจ๊แกไม่ประหลาดใจแต่กูอัศจรรย์ใจมาก ไม่คิดว่ามันจะขนาดนี้ เจ๊แกพอไม่เห็นหลังผัว ก็ไม่เข้าทางเลื่อนอีกแล้ว แกเดินอ้อมข้างๆ ผ่านทุกทางเลื่อน ไอ้เราซึ่งยังถือถุงให้แก และไม่กล้ายื่นคืนแกในสภาพนี้ ก็เลยเดินไปด้วย
แกพยายามอธิบายว่า มายเฟิร์สไทม์ๆ ไม่แน่ใจว่าครั้งแรกสำหรับการบิน หรือ การเดินทางเลื่อน แต่คงไม่ใช่ครั้งแรกที่ผัวทำตัวระยำตำบอนแบบนี้แน่

สุดท้ายตอนที่เราต้องแยกไปคนละทาง เรายื่นถุงคืนให้เธอ
เธอขยับท่าให้เหมาะที่จะแบกลูกบวกถือถุง ทำให้เราเห็นพุง อ้อ ท้องอยู่ มิน่าถึงไม่กล้าเสี่ยงกับทางเลื่อน เอ้าผัว เหี้ยซ้ำเหี้ยซ้อนได้อีก เราเดินผรุสวาทกับเพื่อนไปเบาๆ พยายามบังคับหน้าไม่ให้ออกยักษ์ออกมารอย่างยากลำบาก

๒.
ไม่คิดเลยว่าจะมีปัญหาใดๆ กับการผ่าน ตม.
เพราะพาสปอร์ตเราหรู ดูยังไงก็นักเดินทาง, เพราะเราทำวีซ่าออนไลน์เสร็จจบมาหมดแล้ว, เงินค่าธรรมเนียมก็จ่ายหมดแล้ว เพราะเรามีกระทั่งหนังสือรับรองจากที่ทำงาน เอกสารสำคัญอื่นใด เตรียมมาหมด จัดไว้เป็นชุดๆ เรียงตามลำดับเวลา เรียบร้อยกว่าเวลาทำงานอีก สุดท้าย โดนไล่ไป “สแกนนิ้ว” คือกูไม่หวงหรอกลายนิ้วมือกูเนี่ย แต๊มมาหลายประเทศแล้ว
แต่ทำไมไม่เอาเครื่องมาไว้ตรง เคาท์เตอร์ ตม. ทำไมต้องเอาเครื่องไว้ที่ห้องลึกลับ แล้วจิ้มโดนใครก็ไล่ให้เดินไปสแกนตั้งไกล
เจ้าหน้าที่สนามบินชุดสีส้ม สุภาพและอารีเข้ามาถามว่า ทำไมเราไม่ผ่าน ตม. ออกไป แต่ย้อนกลับเข้ามา อ๋อ เขาให้ไปสแกนนิ้ว ไปทางไหนรึ แล้วทำไมต้องเรียกฉัน เพื่อนฉันก็ผ่านไปได้แล้ว วีซ่าฉันก็มี เอกสารฉันก็ครบ ไม่แง้มดูเลยแม้แต่นิดเดียว เห็นหน้าไล่ไปสแกนเลย

มันรบกวนจิตใจมากว่าเราดูไม่น่าเชื่อถือตรงไหนวะ หลังจบกับการสแกนแล้ว เรายังกลับไปหาเสื้อส้มแล้วคาดคั้นให้ตอบว่าทำไมเราถึงโดนไล่ไปสแกน เราผิดตรงไหน อยากรู้จริงๆ เสื้อส้มตอบว่า แรนดอมล้วนๆ นะครับ

ตอนนั้นในเวลาทุ่มปลายๆ ของโอมาน นาฬิกาชีวภาพของเรามันบอกเวลาหวิดห้าทุ่ม ง่วงและอยากจะงอแง อยากจะวีนเหวี่ยง เรียกผู้จัดการมาด่าให้สาแก่ใจ แต่ต้องบอกตัวเองว่าอดทน อดทน อดทน อย่าให้พังตอนนี้นะ ยิ้มไว้ ยิ้ม.. ไว้..
ทางเข้าห้องสแกนนิ้วแม่งซับซ้อนซ่อนเงื่อน เดินหลงกลับออกมารอบนึง ถามเสื้อส้ม บอกให้พาไปได้มะ กูหลง เสื้อส้มไม่ยอมเดินเป็นเพื่อน ทำได้แค่ส่งปากประตู ให้เดินลับแลๆ เข้าไปเอง

ในห้อง “สแกนนิ้ว” ไม่มีผู้หญิงเลยแม้แต่คนเดียว เจ้าหน้าที่อยู่หลังเคาท์เตอร์ยาวที่ดูมีอุปกรณ์อะไรมากมาย ผู้มีปัญหาทั้งหลายอยู่อีกฝั่งของเคาท์เตอร์ ดูรวมๆ แล้วแทบทุกคนแต่งตัวและโพกผ้าทรงบินลาเดนแทบจะทั้งนั้นยืนกระจุกตัวอยู่ที่ด้าหนึ่งของเคาท์เตอร์
ด้วยความแปลกแยกของสุภาพสตรีผมยาวไม่มัดผมคนนี้ ทำให้ทุกสายตาจ้องมา เรากลัว ๑๐% อยากรู้อยากเห็น ๙๐% อยากคุยกับทุกคนเลย อยากสัมภาษณ์นู่นนี่ แต่ก็พูดได้แค่แต๊งกิ้วตอนที่เจ้าหน้าที่ด้านใน กวักให้ ไอ้ไทยแลนด์ ลัดคิวเข้ามาก่อน แล้วทุกคนที่ยืนหนาแน่นอยู่ก็แหวกให้เป็นทาง

เจ้าหน้าที่เป็นคนจังหวัดไหนไม่รู้ แต่ทำท่ายะโสสุดๆ นั่งเฉียงๆ ชายตามองหน้าเรานิดหน่อย แล้วก็หันไปมองทางอื่น พูดก็ไม่สบตา เหมือนเราเป็นคนละชั้น
พิน อดทน อดทนนะอดทน บอกตัวเอง เพราะสัญชาติญาณมันอยากจะจู่โจมแล้ว อยากจะตะโกนออกไปว่า ถ้าความเป็นคนของกูไม่เท่ากับมึง นั่นก็เพราะว่ากูมีมากกว่าาาาาา ซ้าดดดดด

เราโดนสแกนนิ้ว สแกนตา ผ่านไปอย่างขลุกขลัก พาสปอร์ตถูกยื่นกลับมา เอกสารที่เตรียมมาดิบดีแม่งไม่ดู เรารับพาสปอร์ตมา แล้วมือก็รูดไปเจอรอยพับ ไอ้ห่าทำพาสปอร์ตกูยับอีก เลยคลายรอยพับ แล้วพยายามรีดให้รอยมันคลี่ มันหันมาเห็น ทำท่าไม่พอใจ ดึงพาสปอร์ตกลับไปพับใหม่แล้วบอกเราว่า ชะนีมึงอย่าเอาออกอีกนะ
สรุปว่ารอยพับนั้นคือสัญลักษณ์บอก ตม.ข้างนอกว่า อีนี่สแกนแล้วนะ – สัญญลักษณ์มึงตื้นได้อีก

กว่าจะได้ผ่าน ตม. เราแม่งง่วงมากกกกก
แล้วก็ลุ้นว่าเพื่อนจะรู้มั้ยว่าเราไม่ได้ผ่านมา สรุปเป็นไปตามคาด เพื่อนเราเดาสถานการณ์ไม่ออก (ใครมันจะไปนึก) ได้แต่ยืนตระหนกอยู่ตรงนั้นสองคนผัวเมียว่าไอ้แอ้หายไปไหนวะ
มันสองคนเดินหาเราอยู่พักใหญ่จนสิ้นหวังเลยกลับมายืนเศร้าหมองอยู่ตรง ตม. เราเล่าเรื่องราวให้ฟังอย่างดุเดือด และเนื่องจากออกมาช้ามาก กระเป๋าของพวกเราก็ไหลวนอยู่ในสายพานนานแล้ว ถ้าก่อไฟไว้ด้านล่างกระเป๋าคงสุกกำลังกิน

เราพบแม่ลูกคู่นั้นอีกครั้งตรงสายพานรับกระเป๋า ส่งยิ้มให้เธอ
เธอยิ้มตอบกลับมา ดูดีขึ้นกว่าตอนเดิน เธอคงมีวิถีของเธอที่จะรับมือกับเรื่องราวพวกนั้นได้

ขั้นตอนที่เราแพลนไว้ก่อนเดินทางคือ คืนนั้นเราจะแลกเงินเรียล, ซื้อซิม และเดินทางไปโรงแรมที่จองไว้กันเอง เงาะกับมาร์คอยากมารับแต่เราห้ามไว้เพราะเกรงใจ บ้านก็ไกลสนามบินตั้ง ๑ ชม. ก็สรุปกันไว้ตามนั้น แต่หลังผ่าน ตม. และเดินเข้าสู่บริเวณทั่วไปของอาคารสนามบิน อยู่ๆ กำลังเม้าท์กันเพลินๆ ก็เจอหน้าคุ้นๆ ยืนยิ้มกว้าง ยัยเงาะเพื่อนเรากับมาร์คสามีนางมายืนรอรับ และบ่นว่าทำไมออกมาช้าจัง เป็นห่วง เราเลยได้โอกาสด่า ตม. และห้องสแกนนิ้วอีกรอบระหว่างมาร์คพาไปซื้อซิม
เคาท์เตอร์แลกเงินปิดแล้ว มาร์คเลยควักเงินมาให้ ๕ เรียลเป็นค่าซิมพร้อมเจรจากับคนขายให้เสร็จ ซึ่งดีมาก เพราะคนขายซิมการ์ดชายตามองเราเหมือนมองตัวอะไรซักตัวนึง และเรากำลังคิดเลยว่า จะเจรจาซื้อของกับคนแบบนี้ได้เหรอเนี่ย

เดินต๊อกๆ ตามหลังมุ้ยกับมาร์ค ด้านตรงข้ามคือเหล่าแท็กซี่โอมาน เป็นชาวโอมานแท้ในชุดประจำชาติ ซึ่งจะเห็นไม่ค่อยบ่อยในทริปนี้ เพราะว่าโอมานมีประชากรน้อยมาก (แต่ส่วนมากรวย) ประเทศจึงต้องรับ Expat จำนวนมากเข้ามาทำงาน การขับแท็กซี่เป็นหนึ่งในอาชีพสงวนที่มีไว้ให้คนโอมานแท้ๆ เท่านั้น

คืนนั้นสองผัวเมียส่งเราที่โรงแรมในย่านเงียบสงัดที่เราเลือกจองกันมาเอง ออกจากถนนใหญ่ลึกเข้าไปอีกพอสมควรในความมืด Location ที่ค้นจาก Google map ก็เคลื่อน ทำเอาสาวๆ ตระหนกเล็กน้อย (แน่นอนว่าเราไม่ได้อยู่ในหมวด “สาวๆ” แต่อย่างใด)
พอเจอโรงแรมแล้วก็เข้าไปเช็คอิน มาร์คผู้มีประสบการณ์เดินสำรวจรอบๆ ไวๆ แล้วกลับมาบอกเราว่า โน่นร้านสะดวกซื้อ ซึ่งช่วยชีวิตเราไว้เลย เพราะในห้องเสือกไม่มีน้ำดื่มให้

เทียบกับราคาแล้ว ห้องดี๊ดี เป็นห้องเล็กใหญ่คอนเนคต์กัน ต่างห้องต่างมีห้องน้ำในตัว ขาดแต่น้ำดื่มกับผ้าขนหนู Welcome ไว้เช็ดตีน ประหลาดมากที่ไม่มีสองสิ่งนี้ให้ เราเดินเท้าเมือกๆ ไปมา แล้วตัดสินใจออกไปซื้อน้ำ เราอาสาไปคนเดียว แต่หนิงกับมุ้ยบอกว่ามืดแล้วไปด้วยกันดีกว่า ตอนนั้นนาฬิกาชีวภาพเรามันคือราวๆ ตีสอง ตอนอยู่โอมาน นอนดึก (เวลาโอมาน) ทุกวัน ซึ่งสำหรับเวลาไทยแล้ว มันคือนอนตีสองตีสามทุกวัน ส่วนตอนเช้าเสือกตื่นเวลาไทย ตีห้าเด้งละ เรื่องเวลาที่เหลื่อมสามชั่วโมง กับการเดินทางแค่ห้าวัน เป็นอะไรที่ทารุณมาก

ระหว่างเดินไปร้านสะดวกซื้อที่อยู่ไม่ไกล มองเห็นจากหน้าโรงแรม ถนนมืดและเงียบสนิท มีเสียงผู้ชายทักมาจากข้างรถที่จอดอยู่ว่า ..Welcome to Oman.. หนิงกับมุ้ยแทบสะดุ้งโหยง เราตอบกลับกลั้วหัวเราะว่าขอบคุณมาก

ร้านสะดวกซื้อขนาดเล็กจิ๋ว แต่ของขายมีแต่ของดีๆ และครอบคลุมความต้องการ เราซื้อน้ำในขนาดที่ชอบมากแต่บ้านเราไม่มี คือเป็นขวดหิ้วขนาด ๓ ลิตร มันเป็นน้ำหนักที่ถือไม่เหนื่อยแบก แต่พอกินสำหรับอีพวกกินน้ำจุแบบเราสามคน เราตัดสินใจว่าอาหารมื้อดึกก่อนนอนของเราจะเป็นไอติมหนึ่งถ้วย


คนขายเป็นหนุ่มอาหรับแต่งตัวด้วยเสื้อยืดกางเกงขายาว หลั่นล้าทักทายพวกเรา ถามว่ามาจากไหน พอเราบอก แกดีใจใหญ่บอกว่า พวกยูเป็นคนไทยกลุ่มแรกที่ไอเคยเจอ ส่วนไอเป็นคนอิหร่านนะ เราก็เลยบอกว่ายูเป็นคนอิหร่านคนแรกที่เราได้เจอเหมือนกัน
จากนั้นก็คุยกันแบบระริกระรี้ดีใจ เหมือนไทยกับอิหร่านเป็นเครือญาติที่พลัดหลงกันมานานแสนนาน ก่อนออกจากร้าน คุณชายก็บอกว่าขอให้เที่ยวโอมานให้หนุกหนานเพลิดเพลินนะครับ

คืนนั้นกว่าจะนอนได้ก็ปาไปเที่ยงคืน ซึ่งก็คือตีสามไทย
อ่อนเพลียจนแทบจะหลับคาถ้วยไอติม แต่ถามว่ากินไหม

ก็กิน