มองโกเลีย – ทะเลทรายโกบี #๑

เวลา : สงกรานต์ ๒๐๑๘ ลา ๓ ได้ถึง ๗
สมาชิก : ปูกะแอ้
สถานที่ : มองโกเลีย – ทริปทะเลทรายโกบี

อยากไปมองโกเลียมาตั้งนานแล้ว
ด้วยความไม่ใส่ใจในวิชาสังคมศาสตร์ มองโกเลียสำหรับเราคือที่กว้างๆ มีม้า มีอะไรที่เกี่ยว กับการยิงธนู มีอะไรที่กันดารดิบๆ เถื่อนๆ แค่นี้ก็มากพอที่จะทำให้จัดเอามองโกเลียไว้ใน Bucket List มานานแสนนาน อยากขึ้นรถไฟทรานไซบีเรีย-ทรานมองโกเลีย แวะแม่งให้พรุนทุกสถานี ฝันๆ เอาไว้แบบนี้ กะว่าเขาเลย์ออฟเมื่อไหร่ตูจัดแน่นวล

ปีนี้วันหยุดยาวไม่ได้ยาวสมใจ ตอนหาที่ลงกันกับปู เราคิดกันช้ามาก ด้วยวัยด้วยหน้าที่การงาน เราสองคนมีเวลาคิดเรื่องเที่ยวน้อยลงอย่างมีนัยยะสำคัญ ปีก่อนหน้านี้ก็พลาดไปทีนึงแล้วที่หนีสงกรานต์เมืองไทยไปพม่า ช่างไม่รู้อะไรบ้างเลย ไปโดนพี่หม่องสาดน้ำใส่กล้อง แทบไปโชว์แม่ไม้มวยไทยให้เลื่องลือ ปีนี้ไม่อยากจะพลาดอีก เมื่อเงื่อนไขเรื่องร่างกายและเวลามันจำกัด เราก็เลยลงทุนมากขึ้นอีกนิดในด้านงบประมาณ
ตั๋วไปมองโกเลีย แพงและหลากหลายจนงงเพราะมันไม่บินตรงจากไทย ฮับดีๆ หลายที่ที่น่าเวียไม่ได้เวีย ดันต้องไปเวียที่ปักกิ่งเพราะราคากับเวลาดีสุด ก่อนซื้อตั๋วกลัวพลาดอย่างหนักจนตัดสินใจใช้เอเย่นต์ซื้อให้ เอเย่นต์ก็ดี๊ดี หาราคาได้ถูกกว่าจองเองสดๆ ซะอีก แถมเซลยังน่ารัก เที่ยวกลับมาแล้วยังแชตคุยกันอยู่เลย

ในเวลาเดียวกันกับการหาตั๋วเครื่องบิน เราก็คุยกับทัวร์เอเย่นต์ของมองโกเลียพร้อมๆ กันสองสามเจ้า แล้วเลือกเอาเจ้าที่ตอบไว ตอบรู้เรื่อง ราคารับได้ เมื่อตั๋วคอนเฟิร์ม โลคอลทัวร์ก็คอนเฟิร์มไปพร้อมๆ กัน

สุดท้ายทุกอย่างก็ถูกจัดการเสร็จก่อนเวลาเดินทางราวๆ ๑ เดือน สำหรับเราคือ กระทันหันมากเหลือเกิน อากาศที่แตกต่างกับไทยของมองโกเลียก็เป็นอีกปัญหาหนึ่งที่ต้องจัดการ
เราต้องเตรียมโค้ทอย่างดี และรองเท้าบู๊ทหุ้มข้อ และยังต้องเตรียมตัวสำหรับการรอนแรมกลางทะเลทรายโกบีอีกด้วย (ซึ่งการเตรียมที่ว่านี่คือ การเตรียมจะไม่ได้อาบน้ำทุกวัน ซึ่งปกติเหมือนจะชอบอยู่แล้ว ตามประสาคนที่ “สะอาดอยู่แล้วไม่ต้องอาบน้ำก็ได้” แบบเรา)

วันที่ ๑๑ เมษา กระเสือกกระสนจัดการงานต่างๆ แล้วลาครึ่งบ่าย แจ้นไปซื้อของเพิ่มอีกนิดหน่อยที่เซ็นลาด กลับห้องไปจัดกระเป๋าที่ทำค้างไว้ครึ่งๆ กลางๆ แล้วตรงดิ่งไปยังสุวรรณภูมิ พบปูตามเวลานัด แล้วเข้าคิวยาวมหายาว ขดไปขดมาเป็นเวลานานกว่าจะได้โหลดกระเป๋าและเช็คอิน เจ้าหน้าที่กระซิบกระซาบว่า ชั้นประหยัดที่เราจองมันโอเวอร์บุ๊ค แต่ปูบินกับสายการบินในเครือ Star alliance มากพอจนได้อีโวลท์เป็นซิลเวอร์เลเวล (งานปูมันโคตรดีเลย เดินทางบ่อยมาก) เขาจึงจะอัพเกรดเราสองคนฟรีไปสู่ชั้นที่เหนือกว่าอีกหนึ่งขีด และยังคงได้นั่งด้วยกันในที่นั่งคู่สำหรับแถว ๒-๔-๒ เหมือนเดิมที่จองมา ซึ่งเราก็ดีใจริกรี้ จนกระทั่งพบในภายหลังนานแสนนานว่า เห้ย มันก็ต่างกันนิดๆ หน่อยๆ ปะวะ


ความต่างหนึ่งที่ปลื้ม ก็คือเขาแจกรองเท้าผ้าใส่เดินในบ้านด้วย ลายน่ารัก มันสบายเท้าดีจริง เมื่อได้ถอดรองเท้าคัทชูออกแล้วสวมแตะผ้าสบายๆ หลายชั่วโมงระหว่างเดินทาง ก่อนลงจากเครื่องเรากระซิบกระซาบกับปูว่า เขาให้เลยป่าววะ พี่จะเอามันไปด้วย ยังไม่ทันไรก็ได้ยินเสียงกรอบแกรบจากหนุ่มฝรั่งหล่อด้านหลังขวาที่กำลังยัดรองเท้าแตะลงถุงพลาสติก ก่อนหย่อนลงเป้เป็นลำดับถัดมา

ที่ปักกิ่ง
การ Transfer ที่น่ารำคาญได้เริ่มต้นขึ้น
ไฟลท์แรกนี่ล่ะหนักสุด เราถึงปักกิ่งกลางดึก และจะบินอีกทีแปดโมงเช้า เราต้องหาที่เอาตัวไปแปะไว้เป็นเวลาถึง ๗ ชั่วโมง ออกจากตัวเครื่องได้ เราก็เดินโผเผตามๆ เขาไปเรื่อยๆ ตามป้ายชี้สำหรับพวก Transfer เราไม่ต้องรับกระเป๋าใบที่โหลดคืนเพราะเป็นแบบ Check through สะดวกไปอย่าง แต่อีกแง่หนึ่งเราก็ต้องเตรียมสิ่งจำเป็นสำหรับค่ำคืนที่ปักกิ่งไว้ก่อนด้วย อาทิเช่น เสื้อผ้าสำหรับอากาศ ๑๐ องศาเป็นต้น

จีนตรวจเข้มกับกระเป๋าจนคิวยาวโดยไม่จำเป็น คนยืนโงนเงน ง่วงแม่งก็ง่วง ไอ้นี่ก็ตรวจมันอยู่นั่น เกร็ดการเดินทางสิ่งหนึ่งที่ได้จากเรื่องนี้คือ ถ้าจำเป็นต้อง Transfer ที่จีน ขอให้เผื่อเวลาระหว่างไฟลท์ซัก ๒ ชม. ขึ้นไป กันเหนียว แต่อีแบบ ๗ ชั่วโมงนี่ก็ถือเป็นวิบากกรรมเล็กๆ ได้เหมือนกัน


เมื่อเสร็จสิ้นกระบวนการตรวจกระเป๋าอันเข้มข้น (โดนริบไฟแช็คไปเรียบร้อย, โดรนไม่มีปัญหาอะไร, กล้องกับบรรดาแบตเตอรี่ต้องเอาออกมาสำแดงข้างนอกกระเป๋าชัดๆ แต่ไม่มีปัญหาอะไรเช่นกัน) เราก็ถูกปล่อยเข้าสู่อาคารผู้โดยสารยามดึกที่เงียบงันและหนาวเย็น ตอนนั้นเราหิวน้ำมาก เพราะเป็นระบบร่างกายที่จะต้องซัดน้ำก่อนนอน ก่อนมาชีวิตโคตรปั่นป่วน รื้อเก๊ะรวมแบงค์นานาชาติ พยายามหาเงินหยวนที่คิดว่ามีติดอยู่ ได้ใบร้อยมาใบนึง หน้าตาแปลกๆ แต่ก็ดูจีนๆ ใช้ได้ พอควักมาจ่ายค่าน้ำเท่านั้นแหละ หน้าแหกนิดนึง เค้าบอก เอ่อ อันนี้มันเงินไต้หวันฮะ สุดท้ายปูก็รูดบัตรไป

เราสองคนเดินมาหาที่นอนละแวกของเกตตัวเอง อาคารผู้โดยสาร T3-E มีพื้นที่ว่างมากมาย แล้วก็ยังดีงามตรงที่ปิดไฟเป็นส่วนๆ ไม่รู้สึกว่ามืดจนน่ากลัว แต่ก็ไม่มีแสงกวนตาจนนอนไม่ลง เก้าอี้ก็มีที่เท้าแขนทุกๆ ๓ ตัว ร่างสั้นๆ อย่างเราก็นอนยาวได้สบายๆ เหมาะแก่การซุ่มหลับซะจริงๆ

คงมีหลายคนตกอยู่ในสภาพเช่นเดียวกับเรา เมื่อเลานจ์แบบซื้อรายครั้งราคาแพงถึงเกือบพัน ชิ..นอนเคาช์ ก็ได้วะ เข้าห้องน้ำห้องท่ากันแล้ว เราก็เลือกเคาช์ที่มีที่ชาร์จแบตด้วย เสียบมือถือ ยัดมือถือไว้ใต้ไหล่แล้วก็กกกระเป๋าห่มตัวหลับไป

เราหลับไป ๒ ชั่วโมงนิดๆ ก็ตื่น ปูเก่งกว่า เพราะยังคงอยู่ในนิทราได้นานกว่า คนตื่นแล้วก็เริ่มเดินไปเดินมา หนึ่งคือมันหนาว เลยวนเวียนไปฉี่ที่ห้องน้ำซึ่งอยู่ห่างพอสมควร สองคือเดินหา wifi ใช้ และก็แอบสำรวจโลกไปด้วยในเวลาเดียวกัน มนุษย์ยังไม่ตื่นนอนเรียงกันอย่างกะผู้ลี้ภัยในค่ายกักกัน

สนามบินปักกิ่งหากค้นข้อมูลทางอินเตอร์เน็ต มันจะบอกเลยว่า มีฟรีไวไฟ มีวิธีการรับรหัสสะดวกสบายหลายวิธีให้เลือก แต่นอกเวลาทำการมีแต่ตู้จ่ายรหัสอัตโนมัติเท่านั้นที่เราหวังได้ สองตู้ที่เจอ ตู้หนึ่งอยู่ใกล้ๆ อีกตู้เราบากบั่นเดินไปอีกปีกตึก กลับพบว่าใช้การไม่ได้แบบไร้เหตุผล เวิ้งว้างดุจกล้องจราจรดัมมี่ของเมืองหลวงประเทศสมมติแห่งหนึ่ง ความที่รู้สึกว่ามันมีอยู่ แต่เราเชื่อมต่อกับมันไม่ได้ มันช่างน่าหงุดหงิดรำคาญใจไม่ต่างอะไรกับการควานหาเนื้อคู่ในโลกปัจจุบันอันสับสน บอกไม่มีแม่งซะยังจะดีกว่า

แปดโมงกว่าๆ ตรงตามเวลา เราก็ได้ฤกษ์บอกลาปักกิ่งอันขมุกขมัว เหิรฟ้าสู่อูลานบาตาร์ เมืองหลวงแห่งประเทศมองโกเลียกันซักที

A Bumpy flight

ที่จริงลืมตาฟากขึ้นมา เราจะหิวทันทีเป็นธรรมชาติของเด็กสมบูรณ์ แต่ความงก รอกินฟรีบนเครื่องก็ได้วะ อาหารบนไฟลท์อร่อยใช้ได้ เสิร์ฟทันหิว แต่ก็ช้าไปกว่าปกติสักหน่อยเพราะพอเครื่องเชิดหน้าขึ้นฟ้าได้ ก็เจอเข้ากับอากาศแปรปรวน (Turbulence) ติดๆ กัน เมื่อผ่านม่านฝุ่นขุ่นมัวของปักกิ่งได้ไม่นานนัก ภูมิทัศน์ด้านล่างก็ยิ่งเป็นภูเขาแล้ง แห้ง มองลงไปเบื้องล่างมีแต่ภูเขาหินสันฐานซับซ้อนสวยเหมือนคลื่นทะเลสีเข้มที่ถูกพลังเอลซ่าสาบให้จับเป็นก้อนแข็ง ชุมชนน้อยๆ พอมีให้เห็นประปราย

เราสองคนนั่งแยกกันเพื่อครอบครองคนละหน้าต่าง ที่นั่งซึ่งจองล่วงหน้าโดยเลือกสรรอย่างดีว่าเราจะต้องได้วิวสวยๆ มีแสงเช้าส่องถูกด้านให้เกิดเป็นสีสันสดใส แต่ชีวิตจริงวิวของเราเป็นหมอกและฝุ่นอยู่บ่อยๆ ช่วงที่เราบินข้ามรอยต่อระหว่างประเทศ เกิดเทอร์บูเลนซ์ต่อเนื่องไม่หยุดหย่อน ถ้าหลับตาล่ะเป็นคิดว่านั่งรถทัวร์หวานเย็นบนถนนลูกรังแน่นอน มองแอร์สาวหมวยไฟลท์เช้า แต่ละคนกัดฟันทำหน้าที่ของตัวเอง ยิ้มอ่อนแรงขณะเข็นรถต้านแรงสั่นระรัวของเครื่อง ความที่ลูกเรือไม่ได้หยุดทำงานทำให้พอจะเข้าใจได้ว่า นี่ไม่ใช่เรื่องแปลกประหลาดของเส้นทางนี้หรอก เราเลยรีบกินและหุบอุปกรณ์มื้อเช้าของเราอย่างเร็วๆ เพื่อให้สาวๆ ทำงานเสร็จไวอีกนิด ลึกๆ ในใจ เราเองก็ไม่อยากเปิดถาดหน้าที่นั่งเอาไว้ในขณะเครื่องสั่นๆ จับพลัดจับผลูมีตกหลุมอากาศขึ้นมาเป็นได้ทิ่มหน้าแหก หน้าเราสวยเราต้องป้องกันไว้อย่างดี

ขุนเขาเปลี่ยนรูปร่างและสีไปเมื่อเข้าสู่เขตมองโกเลีย ฝั่งจีนภูเขามีสีเข้มกว่าเหมือนเป็นหินแข็ง ฝั่งมองโกเลียทิวทัศน์ออกสีน้ำตาลอย่างกะกำลังจะแลนดิ้งเหนือดาวแททูอิน เมืองน้อยๆ อาคารหลังน้อยห่างๆ กัน เริ่มปรากฏให้เห็นเรื่อยๆ ก่อนจะถึงอูลานบาตาร์ มีริ้วขาวๆ ตามซอกภูเขา เห็นแล้วก็สงสัยว่า นั่นมันหิมะมั้ยนะ คงไม่ล่ะมั้ง มันจะหนาวปั่นหนั่นเลยบ๊อ (แล้วจะสำเนียงโคราชทำไม)

เครื่องแลนดิ้งอย่างราบรื่นในเวลาเที่ยงวันที่เร็วกว่าบ้านเรา ๑ ชม. ภาพแรกที่เห็นเมื่อเครื่องแท็กซี่ตั้งฉากมุ่งเข้าสู่อาคารสนามบิน คือรันเวย์ทอดยาวนำสายตาไปสู่ทิวทัศน์เวิ้งว้าง นอกจากภูเขาสีน้ำตาลเกลี้ยงเกลาแล้ว แทบไม่มีสิ่งก่อสร้างอะไรจะสูงขึ้นมาจากดินเกินอาคาร ๑ ชั้น ฝุ่นที่เพิ่งกระเจิงขึ้นมายิ่งกลบทุกสีจนเหลือแค่วิวสี Yellow Ochre เจ้าหน้าที่สนามบินโบกให้สัญญาณเครื่องเทียบงวงช้างแล้ว ก็วิ่งเหยาะๆ ไปอีกทาง ดูจากชุดและภาษากาย บอกได้เลยว่าข้างนอกแม่งต้องหนาวสัสๆ

หมายเหตุ : Air China แม่งไม่เข้มงวดอะไรเล้ย ประกาศเลยว่าให้เปิดมือถือเป็นไฟลท์โหมด แล้วจะทำไรก็ทำไป เพราะงั้นก็ถ่ายรูปรัวๆ ได้ทุกเวลาไม่ว่าจะเชิดขึ้น ปักหัวลงใดๆ แลนด้งแลนดิ้งมีคลิปพร้อม รักมาก บริการต่างๆ สมเป็น Full services จริงๆ ดีกว่า China Eastern ที่เคยประสบแบบคนละเรื่อง อันนั้น Full services เสิ่นเจิ้น

กระบวนการผ่าน ตม.ตลอดจนรับกระเป๋าเสร็จสิ้นได้ในครึ่งชั่วโมง นับว่าเลิศ พาสปอร์ตเราเพิ่งไปทำมาใหม่เอี่ยมว่างทุกหน้าให้เลือกสรร คุณพี่ ตม. แต๊มลงหน้าสุดท้ายเหมือน ตม.เวียดนามเลยว่ะ

ชายหนุ่มขาวผอมสูงหน้าตาใจดียืนถือป้ายชื่อปูรอรับอยู่ เจอผอมสูงขาวเข้าไปคิดว่าหล่อล่ะสิ อ่อไม่อะ แล้วก็ไม่ต้องหวังไรมากขอสปอยล์ทีเดียวทั้งเรื่อง ตลอดทริปไม่เจอคนหล่อ จบนะ

ทริปนี้จำต้องมีชุดเยอะ พร็อพแยะ เราเลยไปถอยกระเป๋าลากใบโตมา ส่วนปูยังแขวนอีแบ็คแพ็คใบเก่าแก่ที่เราใช้เดินทางด้วยกันมานับทศวรรษไว้บนหลัง แต่เป็นยังไงไม่รู้ คนจะช่วยถือกี่คนกี่คนนี่มันพุ่งมาที่เราก่อนเลย ซึ่ง กูลากไง มึงไปช่วยไอ้คนแบกกระแด๊กๆ โน่นมั้ยล่ะ
หรือว่าความชราของชั้นมันจะฉายชัด โอ๊วววว ม่ายยยยย

ชาวมองโกเลียใช้ภาษาที่ฟังคล้ายรัสเซียมากๆ แต่ก็แอบมีบางท่วงทำนองคล้ายญี่ปุ่นซะงั้น แต่ยืนยันโดยตาไกด์ของเราที่จะพบเจอในวันรุ่งขึ้นว่า ไม่เหมือนกันเลยนะจ๊ะ ฟังคล้ายเฉยๆ ตัวหนังสือที่ใช้เหมือนรัสเซียทั้งหมด ๓๓ ตัว กับบวกเพิ่มอักษรพิเศษไปอีก ๓ ตัว ทำให้สามารถสะกดและอ่านออกเสียงซึ่งกันและกันได้แต่ไม่เข้าใจความหมาย ชื่อคนและชื่อสถานที่ในมองโกเลีย ออกเสียงยากมากกกกก มันไม่ใช่เหมือนเราสอนฝรั่งออกเสียงคำว่า พัทยา แล้วได้ความออกมาว่า ป๊า ตา ยา น่าเอ็นดู ไม่ถูกต้องแต่ฟังเข้าใจ ภาษามองโกเลียมีเสียง เขอะ เขอออ เสอะ ซึดดดดด แทรกอยู่ระหว่างพยางค์เยอะมากเหมือนลมกรรโชกผ่านช่องเขา ให้พูดตามคำต่อคำ ยังพูดไม่เหมือน ตอนเด็กครูเคยสอนให้ภาคภูมิใจในภาษาไทยเพราะยากสัส เอ๊ยยากสุด แต่ไม่อะ ภาษาไทยไม่ยากเท่ามองโกเลียแน่นอนอันนี้ยอม อีไกด์เราบอกในค่ำคืนหนึ่งในเกอน้อยๆ ใต้แสงดาวว่า คนมองโกเลียนี่เรียนภาษาอะไรก็ง่าย เพราะว่าภาษาเขาออกเสียงยุ่งยากสุดแล้ว

เพราะงั้นเราจะตั้งชื่อเล่นให้ทุกคน เพราะชื่อแม่งยาก แนะนำตัวมากูก็ลืม ตาคนแรกที่มารับเรานี่ ก็ชื่อตาคนแรกไปละกันนะ ง่ายดี

ตาคนแรกพาเราเดินออกนอกอาคาร รถจอดไม่ไกลเลย ดีแล้วที่ไม่ไกล เราปรับตัวไม่ทัน แม่งหนาวมาก ลมแรงสุดๆ ผมที่ไม่ได้มัดปลิวสะบัดรู้สึกว่าทำให้หัวหนักขึ้น เดินเหนื่อยเพิ่มขึ้นอีกนิด

ในรถอบอุ่นขึ้นมากเมื่อกันสายลมโหมกระหน่ำไว้ข้างนอกประตูได้ รถเก่าๆ ได้กลิ่นบุหรี่จางๆ เรานั่งหลังให้ปูนั่งหน้าคู่กับตาคนแรก ซึ่งอ้อมแอ้มว่าพูดภาษาอังกฤษไม่ค่อยได้นะ แต่ไม่จริงอะ ภาษาแกใช้ได้เลย แต่แกดูถล่มตัวเขินอาย เราคิดว่าแกจะเป็นไกด์ของเรา ซึ่งแกดูใจดีมากอะ แต่ไม่ใช่ ถามอะไรเกี่ยวกับการเดินทางแกก็บอกว่า ไว้ยูคุยกับไกด์ยูพรุ่งนี้ละกัน ไอไม่บอก เอาจริงไม่ใช่สตาร์วอร์ส ไม่ต้องกลัวสปอยล์ขนาดนั้นก็ได้

อูลานบาตาร์เมื่อแรกเห็นเราประหลาดใจ อีนี่ย่อมประหลาดใจเพราะไม่ทำการบ้าน บอกตรงๆ กระซิบเบาๆ เอามือป้องปากเลยว่า เราคิดว่าประเทศนี้ยังอยู่ข้างหลังเรานะ ยังนอนกระโจม ยังเลี้ยงสัตว์กันอยู่เลยไม่ใช่เหรอ ทำไมเมืองหลวงอลังและหนาแน่นเยี่ยงนี้

จากเขตสนามบินผ่านชานเมืองมุ่งหน้าเข้าสู่ใจกลางเมืองหลวง บ้านเรือนหนาแน่นปกคลุมลาดเขา สิ่งก่อสร้างทั้งหลายสูงต่ำเบียดเสียดกันเป็นพรืดไปหมด ตรงนี้ตรงนั้นมีไซต์ก่อสร้างกำลังดำเนินการ ปล่องสูงปล่อยควันดำๆ ลอยสู่ท้องฟ้า ทำให้เรารู้ว่า อีเมืองนี้แม่งผลิตไฟฟ้าจากถ่านหินนี่หว่า แถมยังเล่นง่ายๆ เอาโรงไฟฟ้าขนาดยักษ์ยัดไว้ปริ่มๆ ชานเมืองซะเลย มิน่าฟ้าไม่ใส อากาศก็แอบขุ่นๆ อุปาทานรึเปล่าไม่รู้แหละ แต่เสียดายสิ่งนี้มาก ประเทศก็กว้าง ไม่ไปตั้งที่อื่นแล้วลากสายเอาฟะ

ยิ่งเข้าสู่ตัวเมืองรถยิ่งติดหนึบหนับ ถนนไม่กว้างนัก และที่จอดรถคงหายากสาหัสเพราะจอดมันเละละเกะกะไปหมด อีคนจะขับก็จะขับ รถติดรูเล็กรูน้อยก็มุดไป เริ่มสังเกตว่าขับรถกันโหดเหลือใจ วงเลี้ยวแบบไม่น่าจะเลี้ยวก็ยังจะม้วนเข้าไปได้ และสายตาเริ่มจดจ้องก็พบว่า รถที่นี่ไม่ค่อยมีอีโคคาร์นะ เป็นคันโตๆ ดูแพงๆ กันทั้งนั้น แต่หลายๆ คัน มีรอยชนยุบ มุมยับ
โดยเฉพาะมุมคู่หน้า กับบั้นท้าย ข้างรถบุบบู้ก็มีให้เห็น ตอนเดินเล่นตามถนน เราก็มีความพยายามอยากจะถ่ายภาพรวมซีรี่ย์คาร์ฟอร์เคลม แต่ความที่อากาศมันหนาว ปูบอก ไอ้รถที่จอดนิ่งๆ อย่าเพิ่งไปถ่ายรูปมันนะพี่ ปูเห็นมีคนนั่งอยู่ข้างใน ระแวงๆ ก็เลยแทบไม่ได้ถ่ายมา ได้แต่ดูและตื่นตาตื่นใจอย่างเดียว เป็นคนไทยคงรีบเอาไปซ่อมไม่เว้นแต่ละวัน ไอ้พวกนี้ไม่แคร์ ขับเฉย เดี๋ยวก็ชนอีกช่างแม่ม


ดูความแคบได้จากภาพด้านล่าง อีคันขวาคือจอด อีซ้ายคือเบียดไป คันเราก็เบียดตามอย่างไม่ท้อถอย

บรรยากาศตัวเมืองเมื่อแรกเห็น เท่ห์ว่ะ กลิ่นอายคอมมิวนิสต์ที่เพิ่งจางลงพร้อมกันกับสิ่งใหม่ๆ ที่เข้ามาผสมปนเป ทำให้ตึกโลว์ไรส์ถึงมีเดียมแรร์ เอ้ย มีเดียมไรส์ ดูมีหน้าตายุโร้ปยุโรป กับโทนสีน้ำตาลอ่อนครีมมี่ตัดขาวหม่นๆ ที่ดูอ้างว้างเข้ากันกับต้นพญาไร้ใบทุกๆ ต้นตลอดสองข้างทาง

กว่าจะฝ่าฟันบรรดาอุปสรรคต่างๆ ที่กล่าวมา ๔๕ นาทีเต็มๆ จากสนามบิน เราก็มาถึงเกสต์เฮาส์และทัวร์เซอร์วิสโพรไวเดอร์ที่เราได้จองไว้ก่อนหน้าแล้ว ซึ่งอยู่ห่างจากสนามบินแค่ ๑๕ กม. แม่งรถติดน้องๆ แยกรัชโยธิน

แผนของเราคือหัวท้ายอย่างละคืนในเมือง นอนที่เกสต์เฮาส์นี่ และห้าวันสี่คืนท่องทะเลทรายโกบี จัดไปให้สาสม ทั้งหมดคิดราคารวมจบหมดแล้ว จ่ายด้วย US Dollar ที่มัดจำมานิดหน่อย และเตรียมที่เหลือมา เราจึงมีความจำเป็นไม่มากนักที่จะใช้เงินมองโกเลีย และยังไม่ได้แลกไว้เลย

ตาคนแรกที่สนทนาโอภาปราศรัยกับเราอย่างดีและรื่นรมย์ตลอดการเดินทาง พาเราเข้าไปในตึกทึบๆ จากทางด้านหลังหลังจากจอดรถในตำแหน่งที่ลำบากและเสี่ยงตูดบุบเรียบร้อย ที่ข้างประตูเหล็กมีแป้นพิมพ์รหัสก่อนเข้า มารู้ทีหลังว่าไม่ใช่กรอกรหัสจะเข้าได้เลย รหัสเป็นแค่การกดออดเรียกคนข้างบนให้เปิดเท่านั้น ส่วนลูกค้าอย่างเราจะได้รับคีย์การ์ดน้อยๆ แขวนพวงกุญแจ ซึ่งมานึกได้ตอนนี้เองว่าลืมถ่ายรูปเอาไว้เป็นประจักษ์พยานความปลอดภัยอันซับซ้อนของชาวมหานครอูลานฯ แห่งนี้

ตาคนแรกพาเราขึ้นบันไดแคบๆ เหมือนทางหนีไฟซึ่งอยู่ริมสุดของตึก ชั้นล่างสุดมีประตูเหล็กแยกเข้าไปสู่ตัวอาคาร เราเดินผ่านมันไปเพราะเหมือนเป็นของเจ้าอื่น เมื่อเดินหอบหืดขึ้นถึงชานบันไดแคบๆ ที่ชั้นสองพบสองประตูเหล็กตั้งฉากกัน บานที่เปิดไปสู่ส่วนหน้าถนนเป็นสำนักงานของเกสต์เฮาส์คองเกอร์แห่งนี้ ใครมันจะไปคิดว่าประเทศที่กว้างใหญ่มีพื้นที่ ๑.๕๖๖ ล้านตารางกิโลเมตรเลยนะเห้ย ใหญ่กว่าไทยสามเท่าเด้อ มีประชากรบางเบาแค่สามล้านคน แม่งจะพากูมาเบียดกันอยู่ในโถงแคบๆ อะไรกันเนี่ย กระเป๋าอีกอะไรอีก รู้สึกย้อนแย้งสับสน

ด้านในสำนักงาน ชายหนุ่ม ชายวัยลุงสองสามคน กำลังรีโนเวทห้องกันอยู่โป้งป้าง มีวัสดุก่อสร้างวางอยู่ตรงนี้ตรงโน้น ที่หนักสุดก็คงเป็นกลิ่นสารเคมีบางอย่างที่ทำให้เรารู้สึกแสบจมูกมึนหัวคล้ายเวลาอยู่ในห้องที่เพิ่งทาสีหมาดๆ แต่กลิ่นมันต่างกัน มีผู้หญิงวัยพี่สาว (พี่สาวตูก็คือวัยป้า เข้าใจตรงกันนะ) ใส่ชุดทะมัดทะแมงสองคน คนหนึ่งเป็นทีมรีโนเวท อีกคนเข้ามาคุยกับเราว่าเป็นผู้จัดการส่วนที่พัก เราจะเรียกแกว่า พี่สาวผู้จัดการตึก แต่เนื่องจากแกไม่ใช่ผู้จัดการส่วนท่องเที่ยว จึงจะยังไม่รับเงินค่าทัวร์เราตอนนี้ แกบอกไว้ทีหลังก็ได้ ซึ่งเราผู้มีประสบการณ์การจ่ายค่าทัวร์ “ทีหลังก็ได้” แล้วก็ต้องซีดเพราะเปิดกระเป๋ามาแล้วมันไม่มีมาแล้ว ก็โคตรจะไม่อยากถือเงินไว้เลย แต่ก็จำใจต้องทำเพราะเค้าไม่ยอมเอาตังค์จริงๆ

เราได้รับพวงกุญแจมาพวงหนึ่ง กุญแจแม่งเยอะมาก ประมาณว่าเดินไปได้สองเมตรต้องไขอีกละ ความปลอดภัยมันสูงเวอร์ขนาดนั้นเหรอ เปล่าตึกมันแคบ เราได้ห้องพักที่ชั้นสาม เราจะต้องมีคีย์การ์ดไว้ตื๊ดประตูเหล็กข้างล่าง, กุญแจดอกใหญ่ฟันกุญแจรูปร่างประหลาดสุดเวอร์วังไว้ไขสำนักงานชั้นสองซึ่งมีล็อบบี้อยู่ด้วย, กุญแจโซนที่พักชั้นสาม และกุญแจห้องพักตัวเอง

เห็นห้องพักทีแรกรู้สึกว่าโดนหลอกละกู ค่าห้องพักคืนละพันกว่าบาท ทำไมให้นอนห้องรูหนูเล็กมาก เล็กสุดๆ เตียงห้าฟุตเต็มห้องพอดี เข้าไปปุ๊บ ต้องนั่งขอบเตียงเลย คือเขาพยายามบอกว่าเขารีโนเวทไม่ทัน อยู่อันนี้ไปก่อนนะไรงี้ ไอ้เราพยายามคิดนะว่า เมืองมันหนาวเหรอเลยชอบอยู่ชิดๆ กัน จะได้อิงแอบหาไออุ่นงี้เหรอ ห้องพักทุกห้องไม่มีห้องน้ำ ต้องใช้ห้องน้ำรวมที่อยู่ถัดไปสองประตู เราผลัดกันไปห้องน้ำพลางคิดว่าอีกฝ่ายที่มาด้วยกันน่าจะเป็นเพศตรงข้าม อย่างน้อยห้องแคบขนาดนี้คืนนี้แม่งมีลุ้นวะ

ระหว่างกลับจากห้องน้ำ เราเห็นประตูห้องข้างๆ เปิดไว้ เลยค่อยๆ ชะโงกหน้าเข้าไปดู เอ้าห้องติดกันนี่เป็นห้องบั๊งค์เบดเตียงสองชั้น ว่างด้วย แต่พอจะเดาได้ว่าทำไมเขาไม่ให้เราใช้ห้องนี้ คงเพราะคิดว่าเป็นห้องที่ต้องเข้าคิวรอรีโนเวท เพราะวอลล์เปเปอร์ลอกๆ พื้นไม่เรียบ หรือเตียงเก่าใดๆ ไม่สน เราสองคนลงไปขอเขาให้เปลี่ยนห้องให้ เขาก็บอก ได้ๆ แล้วกุลีกุจอไปเปลี่ยนกุญแจให้กับพวงกรุ๋งกริ๋งของเรา

ห้องใหม่ถึงจะเก่าหน่อยแต่ถูกใจมาก พื้นที่ก็กว้างกว่าเยอะ มีหน้าต่าง มองลงไปเห็นสนามบาส หนุ่มๆ เล่นบาสกันไม่กลัวหนาวซึ่งตอนนั้นก็เลขตัวเดียวแล้ว ยังมีคนใส่เสื้อยืดพอดีตัวโดดดึ๋งๆ ดั๊งค์ไปมาเพลินตาป้าจริงๆ (แต่ไม่หล่อนะ ดูไกลๆ พอเอาบรรยากาศ)

ที่ริมผนังมีท่อเหล็กทาสีหนาๆ ขดไปมา สักพักแหละถึงได้รู้ว่ามันคือเทคนิคการทำความอบอุ่นของเขา คือปล่อยน้ำร้อนเข้าไปในท่อที่เดินทั่วตึก ท่อจะปล่อยไออุ่นออกมาเรื่อยๆ สม่ำเสมอ ในส่วนของตึกนั้นไม่ว่าข้างนอกจะหนาวขนาดไหน พอเข้าข้างในแล้วก็รู้สึกสบายดีทั้งๆ ที่ไม่มีฮีตเตอร์ประจำห้อง จากการสังเกตพบว่าตึกหนามากและซีลมิดชิดหมด ไม่มีลมเข้าได้เลยแม้แต่แค่เท่ารูมด

ตอนนั่งรถมากับตาคนแรก แกบอกว่าตึกระบบเก่านี่ ดี หน้าหนาวอยู่อุ่นหน้าร้อนอยู่สบาย แต่คนยุคใหม่อยากได้ตึกกระจก เพราะเท่ห์กว่า พลางชี้ชวนดูตึกกระจกทั้งที่เสร็จแล้วและกำลังสร้าง เราทักว่า อย่างงี้ก็เปิดฮีตเตอร์กันหูตาแหกดิ ตาคนแรกบอกว่า ช่ายแล้วมันไม่อุ่นเอาซะเลย แต่มันก็เท่ห์เหลือหลาย เลือกได้ผมก็ขอแบบนี้นะ พูดพลางก็หัวเราะหึๆ

หลังจากเรื่องห้องเรียบร้อย เราเปลี่ยนเครื่องแต่งกายจากชุด ๑๐ องศาที่ปักกิ่งมาเป็นชุดเลขตัวเดียว พร้อมออกเดินเล่นยามบ่ายที่มีภารกิจดังนี้ ๑) แลกเงิน ๒) หาซิมเน็ต ๓) หาอาหารกินไปพลางเล่นเน็ตไปพลางเพราะอั้นมานาน ๔) ชมเมืองและสถานที่สำคัญในระยะเดินถึง หลังจากเห็นวิธีการขับรถในเมืองของพวกพี่ๆ เค้าแล้ว กูยอมเดิน

เราแวะปรึกษาคุณพี่สาวผู้จัดการตึกเรื่องความน่าจะเป็นที่จะได้ใช้เงินระหว่างเดินทางในทะเลทรายโกบี (น้อยมาก ไม่ค่อยมีอะไรขาย ของฝากเหรอ ลืมไปได้เลย), ร้านเน็ตน่าซื้อ (ตรงข้ามนี่เอง), ที่แลกเงิน (ห้าง เดินไปทางซ้ายมือช่วงตึกเดียว), ร้านอาหาร (ใครๆ ก็แนะนำเทรดิชั่นนอลมองโกเลียนฟู้ด แต่เรายังไม่อยากกินตอนนี้อะได้ปะ ยังต้องเจอแบบไม่มีทางเลือกอีกหลายๆ วัน ขอตุนอาหารปกติก่อนนะ – ถ้าสงสัยว่าทำไม โปรดติดตามต่อไป)

ราวบ่ายสามได้ฤกษ์ออกเดินถนน คำเตือนทั้งโดยมนุษย์, อินเตอร์เน็ตและป้ายแปะ บอกกับเราว่ามีความเสี่ยงเรื่องมิจฉาชีพล้วงกระเป๋า โดยทำทีมาพูดคุยหรือเดินเฉียดชน ก็เลยค่อนข้างระวังตัวแจ พอลงถนนเท่านั้น เฮ้ยพวกมึงมิจฉาชีพกันหมดเลยเรอะ คนมันเดินชิดกันมากอะ ไม่ว่าจะสวนจะแซงจะไปในระยะชายโค้ทตีกันปุ้กปั้ก ซึ่งมันเข้าข่ายมิจฉาชีพทั้งนั้นเลยนี่หว่า สองคนหลอนมาก เดินกอดกระเป๋าไม่กล้าถ่ายรูปไม่กล้าทำอะไรอยู่นานมากเลย ตอนหลังเริ่มสังเกตว่า คนมันเดินชิดกันอยู่แล้ว ส่วนมิจฉาชีพที่ไหนก็เหมือนๆ กัน ก็ระวังๆ เอา แต่ไม่ต้องหลอนขนาดนั้น บ้าไปแล้ว

เราแลกเงินทูกรุก (สกุลเงินมองโกเลียที่ไม่รู้เลยจนตอนจะเขียนนี่เพิ่งเปิดวิกิ) มา ๑๐๐ ดอลลาร์ กะว่าพอแล้วล่ะ จากนั้นเดินย้อนกลับมาซื้อเน็ตที่ร้าน Unitel ข้างในหรูหราเหมือนเข้าช็อปมือถือบ้านเรา เข้าไปนั่งเก้าอี้ ได้รับบริการอย่างดี เลือกซิม และเปิดใช้ตรงนั้นเลยโดยมีคุณพนักงานช่วย สนนราคาคนละ ๑๓๐ บาท ความเร็วสูงจำกัดดาต้าแต่ใช้ได้ตลอดทริป และเป็นยี่ห้อที่เขาบอกว่า เหมาะกับคันทรี่ไซต์ที่สุดแล้ว

จากนั้นเราก็หิวหน้ามืด เลยเข้าร้านอาหารอินเดียใกล้ๆ นั่นแหละ สั่งอาหารเสร็จก็ก้มหน้าเช็คโซเชียลกันอย่างโหยกระหายในข้อมูลและเรื่องราว (ที่ส่วนมากก็ไม่ค่อยมีผลอะไรกับชีวิตอะนะ) อาหารอินเดียก็คืออินเดีย จานใหญ่อลังการเหนือคาดไม่ว่าจะสั่งที่ประเทศไหนๆ ในระหว่างมื้ออาหารก็สำราญลิ้นดี อร่อยใช้ได้เลย เราสองคนสั่งแกงหนึ่งอย่าง ปลาทอดหนึ่งจาน กินกับแป้งนานชีสใหญ่เท่ากระด้ง ทุกอย่างเหลือครึ่งหนึ่งและห่อกลับไปเป็นมื้อดึกด้วย

กว่าจะออกจากร้านอินเดียปาไปสี่โมงกว่า อุณหภูมิลดต่ำลงอีกสองสามองศา รู้สึกว่ารายการสถานที่สำคัญที่อยากชมคงไปได้ไม่หมดแล้ว แต่ถึงกระนั้นเราก็ลองเดินไปดู ที่แรกคือพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์แห่งชาติมองโกเลียในระยะ ๑.๓ กม. อีตอนออกเดิน เริ่มผิดทางไปสองสามร้อยเมตร ขาดทุนไปอีก เราเจออากาศแรงๆ แบบนี้นานๆ ครั้ง รู้สึกว่าการปรับตัวในวันแรกยังไม่ไหลลื่นนัก ร่างอ้วนๆ ของป้าเมืองร้อนที่ไม่ค่อยได้แบกโค้ทบนไหล่หรือขยับตัวใต้โค้ทซึ่งมันกินแรงมากขึ้นอีกนิด ก็อ่อนล้ามาก ระหว่างเดินๆ อยู่ แอบมีวูบจะเป็นลมนิดหน่อย แต่สุดท้ายก็ไปถึงจนได้ด้วยเวลาสี่โมงสี่สิบห้า ตอนนี้ตกอยู่ในโซนหน้าหนาว เขาหยุดขายตั๋วตอนสี่โมงครึ่ง แม้ว่าพิพิธภัณฑ์จะปิดหกโมงแต่เข้าไปไม่ได้ละ เจ็บปวด เลยขอคุณเจ้าหน้าที่เข้าไปฉี่อย่างเดียว ซึ่งแกก็อนุญาต เอาวะ ไม่ได้ดู ได้เยี่ยวรดเป็นการเช็คอินก็ยังดี

ถามคุณเจ้าหน้าที่ว่าพิพิธภัณฑ์ศิลปะใกล้ๆ นี่ยังเปิดไหม ก็ได้คำตอบว่าปิดแล้วเหมือนกัน หลังจากแห้วกับมิวเซียมแล้ว บรรยากาศมันยังอึนไม่ถึงใจ ฝนก็เริ่มโปรยปรายลงมา ฝนเม็ดบางมากจนแทบจะไม่ทำให้พื้นเปียก แต่ด้วยความที่มันหนาว กันป่วยไว้ก่อน มีอะไรคลุมหัวได้ก็คลุมไป เราสองคนก็บ่ายหน้าไปยังจัตุรัสเจงกิสข่าน ซึ่งอยู่ไม่ไกลกันนัก หลังจากมีอินเตอร์เน็ตใช้ กิจกรรมโปรดของเราสองคนคือเช็คมือถือว่าอุณหภูมิลดต่ำเท่าไหร่แล้ว ซึ่งขณะนั้นอุณหภูมิเป็นเลขตัวเดียวมาสักพักแล้ว แต่ลมพัดกระพือยิ่งโคตรหนาว เดินก็เหนื่อย หยุดเดินก็หนาว โวะ..

ตอนถึงจัตุรัส ฝนหนาเม็ดขึ้นอีก ลมแรง เย็นจัด เป็นเวลาประมาณห้าโมงหน่อยๆ ผู้คนชาวมองโกเลียใช้ชีวิตปกติในสายลมเม็ดฝน คนนั่งคุยกันที่ม้านั่ง ก็ไม่มีทีท่าจะหนีไปไหน อาซิ่มจูงหลานมาเดินเล่น ก็ยังคงเดินเล่นอยู่ บนฟ้ากลายเป็นสีเทา เห็นม่านฝนกระเจิงฟุ้งมาจากทางขุนเขา เราสองคนหนาวจนหงิก พอเหยียบเข้าไปในลานจัตุรัส ก็ถูกหญิงวัยพี่สาวท่านหนึ่งเข้าชาร์จทันที

ความกังวลก็รวบกระเป๋าอยู่อีกพักหนึ่งจนพบว่าเธอพุ่งเข้ามาขายภาพเขียนสีน้ำบ้าง สีน้ำมันบ้าง ส่วนมากเป็นภาพแลนด์สเคป มีภาพสไตล์โบราณด้วย วาดบนกระดาษก็มี วาดบนหนังก็มา ตอนแรกเราไม่คิดจะช้อปหรอก แต่ของเค้าสวยจริง ยิ่งดูยิ่งเคลิบเคลิ้ม คิดเพ้อไปว่าถ้ามันไปอยู่บนผนังห้องเรามันจะงามซักแค่ไหนเนาะ แหม่.. สักพักมีตาหนุ่มอีกคนเข้ามาโชว์สินค้าของตัวเองด้วย สวยกว่าอีเจ๊เข้าไปอีก เราสองคนสับสนมาก สองคนนั้นพรีเซ็นต์สินค้าแบบไม่เป็นปฏิปักษ์กัน มันทำให้เรารู้สึกสบายใจ สุดท้ายช็อปเบิกฤกษ์กันไปคนละหลายตังค์ จ่ายเป็นดอลลาร์ ไม่ได้แพงนะ คือละโมบซื้อรูปใหญ่กัน แล้วก็ปลื้มสิ่งที่ได้มามากๆ หอบหิ้วกันอย่างดีตลอดทางเลย

เมื่อชมอนุสาวรีย์เจงกิสข่านในความหนาวเหน็บกันแล้ว เราสองคนก็บ่ายหน้ากลับ ตอนนั้นเรามัวแต่ดูทาง และปรับตัวกับความหนาว ลืมสังเกตไปว่า เป็นเวลาเกือบหกโมงแล้ว ถ้าไม่นับว่ามีฝนนี่ฟ้ายังสว่างอยู่เลย เราเดินกลับอีกทางมี GPS จะกลัวอะไร เมื่อใกล้ถึงที่พักก็เจอคาเฟ่เล็กๆ แห่งหนึ่ง เลยชวนกันเข้าไปหาอะไรอุ่นๆ กิน ข้างในร้านอบอุ่นมากด้วยประตูสองชั้นกับผนังหนาเตอะ เรานั่งชิวกับเครื่องดื่มร้อนๆ อุ่นฝ่ามือ มองดูผู้คนชาวอูลานบาตาร์เดินกันขวักไขว่สักครู่ก็ชวนกันเดินกลับตอนที่ช็อคโกแลตร้อนยังเหลือและยังร้อน จะได้ถือจิบไปอุ่นคออุ่นมือไประหว่างทางกลับ

ตอนออกจากร้านเป็นเวลาเกือบทุ่ม ฟ้าก็ยังสว่างอยู่เลยเห้ย นี่มันอะไรกันเนี่ย

สิ่งหนึ่งที่จะไม่เล่าไม่ได้เลย คือสาวๆ ที่นี่
บอกไปแล้วนะว่าหนุ่มไม่เจอหล่อๆ เลย ปิดเคสไป ส่วนสาวๆ นั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง เราสมมติฐานเองง่อยๆ ว่าเพราะมองโกเลียเป็นดินแดนแห่งม้า คงไม่มีที่ไหนในโลกอีกแล้วที่มีประชากรม้ามากกว่าคน และเราสามารถเป็นเจ้าของม้าได้ฟรี แค่ไปจับมันมาให้ได้จากในธรรมชาติ เด็กๆ ที่นี่ถูกจับไปวางบนหลังม้าแต่เล็กแต่น้อย อันนี้อีไกด์ซึ่งเรายังไม่กล่าวถึงเล่าให้ฟังนะ ผนวกกับอากาศที่หนาวเย็นและแปรเปลี่ยนรุนแรง
นอกจากโค้ทสารพัดรูปแบบแล้ว สาวๆ ที่นี่แต่งท่อนล่างเหมือนชุดขี่ม้า คือใส่กางเกงเฮียะ ใครที่รู้จักเกงเฮียะแล้วก็ นั่นแหละนะฮะ ตามนั้น ส่วนใครที่ยังไม่รู้จัก คุณมีจิตใจและประสบการณ์ชีวิตที่ใสสว่างมากฮะ เราขอทำให้มันแปดเปื้อนบัดเดี๋ยวนี้ เกงเฮียะ ย่อมาจากเฮียะตึงปี๋ ใส่รัดติ้วจนชาวต่างชาติเขิน สวนมาแต่ละรายนี่ตูไม่ได้มองหน้าเลย ตูสป็อตเป้าก่อนเลย มันช่างเด่นเหลือเกิน แล้วผู้คนมองโกเลียส่วนมากตัวสูง ผู้หญิงสูงขายาว แต่งตัวสวยเท่ห์ มีอยู่ทั่วไป จะมีบางรายใส่โค้ทสั้น มันก็จะเซ็กซี่หน่อย

ก่อนกลับขึ้นห้อง เราเดินไปร้านขายของข้างๆ ก่อนเพื่อตุนขนมและมาม่าสำหรับการท่องทะเลทรายโกบี ซึ่งเพิ่งตกลงกันว่าจะเอามาม่าไปด้วย ร้านนั้นคือแฟรนชายส์ Circle K ที่ปูบอกว่ามีที่ญี่ปุ่น ร้านนี้ฮอตมากสุดๆ ของไม่เยอะเท่าเซเว่นบ้านเรา แต่เน้นของกิน มีบรรดาฮอตดอกร้อน และมีที่ให้นั่งกินด้วย ถึงอากาศจะหนาวเหน็บแต่เราก็มองซอฟต์ครีมตาละห้อย

เราขึ้นห้อง เก็บข้าวของ แล้วลงมาห้องทานอาหารเพื่ออุ่นอาหารอินเดียเหลือกินกันเป็นมื้อเย็น พนักงานในเกสต์เฮาส์อีกคน ที่เจอตลอด แต่พูดอังกฤษไม่ค่อยได้ ก็มาป้วนเปี้ยนนิดหน่อย แต่คนนี้พวกเราไม่ค่อยชอบ เราจะเรียกมันว่า ตี๋กาก เพราะมันดูกากๆ พอเสร็จมื้อเย็น เราสองคนก็กลับขึ้นห้อง ผลัดกันอาบน้ำและจัดกระเป๋าใหม่ เตรียมตัวให้พร้อมสำหรับการเดินทางวันรุ่งขึ้น

สี่ทุ่มครึ่ง รู้สึกน้ำเปล่าจะไม่พอกิน เลยลงไป Circle K อีกครั้ง อากาศหนาวเวอร์วังมาก ตอนนั้นน่าจะ ๑ องศาได้ ปูบอก เดี๋ยวได้มีหิมะตก เราไม่เคยมีประสบการณ์หิมะตกใส่ เคยแค่รู้ว่ามันตกแล้วพุ่งไปเที่ยวเล่น จึงกะไม่ถูกว่ามันจะตกจริงๆ เหรอ มันจะมายังไงของมัน จากนั้นพอกลับห้อง ก็ผลัดกันอาบน้ำ

ก่อนเราเข้าห้องน้ำ โลกยังปกติอยู่เลย พอเราอาบเสร็จออกมาทุกอย่างก็ขาวโพลน

ตื่นเต้นมากกกก หิมะโปรยปรายลงมาอย่างพัลวันเพราะลมหนุน เราสองคนมองหน้ากัน อยากนอนก็อยากนอน ตอนนั้นห้าทุ่มนิดๆ ละ แต่ประสบการณ์บางอย่าง อยู่บ้านก็ไม่มีอะนะ ทำไงได้ ธรรมชาติกำลังสำแดงพลังอีกชนิดที่เราไม่เคยคุ้น เราเลยแต่งตัวใหม่อีกรอบ อีนี่ใส่กางเกงนอนขาสั้น เกิดคึกขี้เกียจเปลี่ยนขึ้นมาเลยเอาโค้ททับใส่บู๊ทแล้วลงไปเลย ก่อนมาก็คิดว่า เออ ไอ้คนอย่างเรา ที่ออฟฟิศเปิดแอร์แรงไปหน่อย ก็หนาวจนปากเขียวละ พอมาเจอความหนาวที่ ๐ องศานี่มันยังไงนะ มันจินตนาการไม่ถูก

เอาเข้าจริงๆ มันหนาวจนชา เราต้องคอยมีสติเช็คว่าอวัยวะเรามันยังรู้สึกครบอยู่นะ บู๊ทเพิ่งซื้อมาใหม่ คนขายบอกกันน้ำ เราย่ำลงไปในปุยหิมะที่เพิ่งฝังกลบพื้นได้ไม่กี่นาที รองเท้าจมไปเป็นเซ็นต์แต่น้ำไม่เข้าเลย ผ่านโว้ย เย้ๆ เราสองคนวิ่งไปวิ่งมา พยายามถ่ายรูป พยายามทักทายคุณหิมะ ที่สวยงามและเย็นชา หน้าแข้งไร้ผ้าปิดของเราชามากขึ้นทุกที มือที่จำต้องเอาออกมากดชัตเตอร์เย็นเฉียบและเกร็งๆ และแล้วเราสองคนก็ยอมแพ้ กลับขึ้นห้องไปเก็บข้าวของต่อ ส่วนเรายังเกาะขอบหน้าต่าง ถ่ายรูปคุณหิมะอีกนานเลย

โอมานอีสออซั่มมมม #๑

ปฐมบท

ไม่เคยคิดจะไปเลย โอมาน
คือรู้จักคำนี้ว่าเป็นนามสกุลอุปโลกน์ของดาราก่อนที่จะรู้ว่าเป็นชื่อประเทศซะอีก รู้สึกว่ามันถูกใช้จนแปดเปื้อนไปแล้ว ไอ้เราเองก็มีที่อยากเที่ยวมากมาย หาเงินไม่ทันเที่ยวจนต้องอดมื้อกินมื้อจนซูบผอม (ไม่เชื่อก็ทำเป็นพยักหน้าไปก็ได้) ย่อมไม่รู้สึกกระเหี้ยนกระหือรืออะไรกับประเทศนอกวิชลิสต์แบบนี้อยู่แล้ว
เพื่อนวัยเด็กของเรา ไปอาศัยอยู่ที่นั่นเป็น ๑๐ แล้ว หลายปีก่อนเคยถามที่อยู่จะส่งโปสการ์ดไปหา (แม้กระทั่งในยุคนี้ โปสการ์ดก็ยังเป็นช่องทางคอนเนคต์กับมนุษย์ที่เราโปรดปรานที่สุด) เพื่อนบอกว่า ไปรษณีย์ไม่ค่อยจะครอบคลุม สรุปว่าการส่งกระดาษน้อยใบเดียวดูจะเป็นเรื่องลำบากลำบนซะอย่างนั้น สำหรับประเทศเศรษฐีน้ำมันที่รวยๆ เราไม่เข้าใจว่าทำไมจะส่งโปสการ์ดไม่ได้วะ จากนั้นก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรโอมานอีก

สุดท้ายก็จับพลัดจับผลูจัดทริปไปโอมานกันจนได้ เพราะความเลยตามเลย ไม่ขัดใจเพื่อนและความอยากรู้อยากเห็นของเราเอง ไอ้นิสัยนี้ทำให้ได้ทำอะไรที่ไม่คิดว่าจะทำมาเยอะแยะแล้ว ทำไมเพื่อนไม่ผลักดันไปหาผู้ชายดีๆ บ้างนะ บางทีก็สงสัยอยู่ในใจ

ทริปนี้มีความ “ครั้งแรก” หลายอย่าง

ไปทะเลทรายร้อน เป็นครั้งแรก เป็นทะเลทรายแบบ ทราย. ไม่เหมือนมองโกเลียที่เป็นทะเลทรายแบบดินหิน คือเป็นดินแดนรกร้างมากกว่า
ไปตะวันออกกลาง (ตรงริมๆ) เป็นครั้งแรก
ไม่ได้แพลนทริปเอง เป็นครั้งแรก
ไปประเทศมุสลิม เป็นครั้งแรก พร้อมหมูแห้งเต็มกระเป๋า
แบกเต็นท์สองหลังไปต่างประเทศ เป็นครั้งแรก (และยังเสือกเอาฟลายชีทกับผ้าใบรองพื้นผืนใหญ่ไปด้วย)
เปิดยูทูปหัดโพกผ้าแบบมุสลิม เป็นครั้งแรก ไม่เข้ากับหน้าเลย ตาตี่หน้ากลมๆ โพกผ้าตีกรอบแก้มแล้วดูอย่างกะขนมเข่ง

ก่อนไปมีความลังเลเรื่องดีเทลการท่องเที่ยวและแผนการ หลักๆ ก็ไม่อยากกวนเพื่อนมาก รองลงมาก็อยากผจญภัยเอง รับผิดชอบชีวิตและการกระทำของตัวเองบ้าง แต่สุดท้ายก็สรุปว่าให้เงาะกับมาร์ค สองผัวเมียเจ้าถิ่นจัดการทำแผนและนำเที่ยวเสร็จสรรพไปเลย ซึ่งสำหรับเราไม่เคยเดินทางแบบที่ไม่ได้แพลนเองมานานแล้ว ต้องอาศัยการปล่อยวางพอสมควร มีบางคนเคยบ่นว่าได้เตรียมแผนป้องกันอันตรายไว้มั่งไหม ฟังดูก็เหมือนเป็นห่วง แต่เราก็เป็นแบบเนี้ย ต่อให้มีปัญหาอะไรยังไง ก็มั่นใจว่าเอาตัวรอดได้อยู่แล้ว ต่อให้หลงกลางทะเลทรายชั้นก็ไม่ตายหรอก ถ้าจำไม่ผิดวันนั้นน่าจะตอบไปแบบนั้น
จริงๆ นานๆ จะมีคนเป็นห่วงทีก็ไม่ควรเก่งใส่เนาะ ไม่ทันแล้ว

ผู้ไปเยือนนอกจากเราก็มีหนิงและมุ้ยอีกสองคน ซึ่งฝ่ายหญิงเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่เด็กฝ่ายชายคือสามีมัน สองคนนี้เที่ยวเยอะแบบมนุษย์ปกติ แต่เราก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกว่ามีหน้าที่ต้องดูแลเพื่อน และทำให้อีสองคนนี้ปลอดภัยกลับมาด้วยให้ได้

เรื่องราวสนุกๆ กับการเดินทางแค่ ห้าวันหน่อยๆ กำลังรอการเปิดเผย สปอยล์ให้ก่อนว่า ทุกอย่างราบรื่น เจ้าบ้านดูแลดี๊ดี ได้เดินทางกันแบบสนุกมากๆ บางครั้งเป็นคนตามบ้าง ก็ดีเหมือนกันนิ

เพียงแต่ในบางบริบทคนที่ชั้นอยากจะตาม เค้าก็ไม่ได้อยากจะนำชั้น..

ก่อนได้ไปเยือน เรารู้แค่ว่าโอมาน = น้ำมัน = ทะเลทราย จบ ไม่ได้รู้เรื่องอื่นที่น่าสนใจ เป็นต้นว่าสุลต่านที่ปกครองประเทศในปัจจุบัน ทรงปกครองมาตั้งแต่ ปี ๒๕๑๓ เพียงพระองค์เดียว ก่อนหน้านั้นประเทศโอมานเป็นเพียงชนเผ่าด้อยการพัฒนาในแทบทุกด้าน ทั้งดินแดนมีถนนก่อสร้างยาวแค่ ๖ กม. เท่านั้น สุลต่านอัลซาอิด (Qaboos bin Said al Said กอบุส บิน ซาอิด อัลซาอิด) หลังจากชิงอำนาจมาจากพ่อของตนเองที่ปกครองดินแดนอยู่ก่อนแบบโบราณ ด้วยการสนับสนุนจากฝั่งอังกฤษ (แน่ะ ไปแจมกับเขาอีก) แล้วก็ใช้ความรู้และแนวคิดแบบสมัยใหม่ที่ได้เรียนมาจากต่างประเทศ พร้อมกับสร้างสัมพันธ์ที่ดีกับรอบด้าน มาพัฒนาโอมานให้โตแบบก้าวกระโดดแล้วทะยานไปเลย (ยกเว้นการไปรษณีย์สินะ)

ซึ่งประเทศอยู่ในเวิ้งนั้นต้องยอมรับว่า การประคองตัวอยู่มานานขนาดนี้โดยไม่รบกับใครเลยนี่ไม่ใช่ง่ายๆ นะ คิดดูว่าโอมานมีพื้่นที่ติดต่อกับซาดุดิอาระเบีย ที่แสนจะคันคะเยอ และยังเยเมนที่ย่ำแย่ไปด้วยสงคราม ด้านเหนือสุดเชื่อมต่อกับยูเออีที่ดูเหมือนจะสายเศรษฐกิจตอนแรก แต่หลังๆ นี่มาสายวอร์ซะอีกแล้ว เพื่อนบ้านรอบๆ นอกจากจะมีศัตรูภายนอกแล้ว ยังบาดหมางกันเองภายใน จับคู่ตีกันเกือบจะเป็นแบบพบกันหมดอยู่แล้วมั้ง และการโต้ตอบความบาดหมางมันไม่ใช่แค่แซะกันไปแซะกันมาเหมือนแถบบ้านเรา นี่เขาเล่นยิงระเบิดใส่กันจริงจังเลยเหมือนระเบิดมันลูกละห้าบาทสิบบาท และชีวิตคนมันมีค่าแค่ผักปลา


นานามิตรประเทศได้ชวนโอมานเข้าร่วมกิลด์วอร์อยู่เนืองๆ แต่ด้วยพระปรีชาขององค์สุลต่าน
ซึ่งถืออำนาจปกครองสูงสุดในระบบสมบูรณาญาสิทธิราช ทำให้โอมานบาลานซ์อยู่บนความไม่ลงรอยนี้ได้ตลอดมา

เกร็ดน่ารู้ที่เพื่อนเล่าให้ฟังคือ สุลต่านอัลซาอิดไม่เคยเปิดเผยว่าใครเป็นรัชทายาท อย่าว่าแต่ตำแหน่งรัชทายาทเลย ใครเป็นลูกพระองค์ มีกี่คน ยังไม่เป็นเรื่องที่เปิดเผยเลยด้วย

การเดินทางไปโอมาน เราใช้เอเย่นต์คนเดิมที่หาตั๋วมองโกเลียให้ ได้บินการบินไทยในราคาที่ เอาวะ คงหาได้ไม่ดีไปกว่านี้แล้วมั้ง เนื่องจากโอมานอาจไม่ได้เป็นที่นิยมของชาวไทย จึงทำให้ตั๋วเครื่องบินราคามันยังงั้นๆ แทบจะตลอดทั้งปี ไม่ค่อยขึ้นไม่ค่อยลง ถ้าได้ถึงหมื่นห้าก็รีบซื้อได้เลย ส่วนเราได้มาที่หมื่นหกเจ็ดร้อย บินตรงแต่แวะรับคนที่การาจี ที่เลือการบินไทยมากกว่าโอมานแอร์ เพราะคิดว่าตัวเองคงไม่ชอบอาหารอาหรับแน่ อย่างน้อยขอกินอาหารไทยอีกซักนิดบนเครื่องก็ยังดี แต่แล้วเรื่องอาหารก็เป็นอีกเรื่องที่ผิดคาด คือทั้งเราทั้งเพื่อนดันชอบอาหารอาหรับซะงั้นน่ะ อ้วนเอ๊ย กินอะไรก็อร่อย ทำไมวะ

ไฟลท์เราใช้เวลารวม ๘ ชม. เป็นเดินทาง ๗ จอดรอชาวคณะขึ้นลงที่การาจีอีก ๑ ชม.
เราออกเดินทางล้อหมุนจากสุวรรณภูมิบ่ายสอง นับเวลาถอยหลังแล้วเข้าไปทำงานได้ ๒ ชม. ตอนเช้า จึงเข้างานติดพันต่ออีกพักนึงจนต้องไปนั่งโทรศัพท์เคลียร์บางเรื่องและอีเมลในแท็กซี่ (ทำไมอนาถ) เดินทางมันทั้งเสื้อแจกของบริษัทแบบนี้สิ ช่างสมเป็นเราซะจริง อีกทั้งอีเสื้อตัวนี้ยังปรากฏในบัตรประชาชน, ใบขับขี่ และวีซ่าบางประเทศด้วย

โอมานมีโซนเวลาช้ากว่าไทย ๓ ชม. ทำให้วันเดินทางเป็นวันที่มี ๒๗ ชม. สำหรับเรา แม่งยาวนานเหมือนความรู้สึกของวันจันทร์ที่เจ้านายอารมณ์บูด แต่เนื่องจากเดินทางตอนกลางวันแบบตามตะวัน ทำให้แทบจะตลอดไฟลท์ แสงจากข้างนอกมันสว่างจ้าตลอดเวลา ทุกช่องหน้าต่างพร้อมใจกันปิดจนภายในเครื่องมืดสนิทเหมือนไฟลท์ดึก แล้วก็พากันหลับคร่อกๆ ด้วยความที่เครื่องค่อนข้างโล่ง เพราะเส้นทางมันไม่ฮิต หลายๆ ท่านก็นอนพาด ๔ เบาะ หรูกว่าเฟิร์สคลาสก็พวกมึงนี่แหละ


ส่วนเราหลับไม่ลงเลยดูหนังไปสองเรื่อง Deadpool 2 กับ Walter Mitty ไม่อยากดูเรื่องที่ไม่เคยดู อยากดูอะไรที่มั่นใจว่าจะมีความสุขมากกว่า (ถึงจะดูจอเล็กๆ แต่ตอนมิตตี้ออกเดินทางเราก็น้ำตาซึมตามเคย) ด้วยจริตแอ๊บรักสะอาดจึงพกหูฟังส่วนตัวด้วย ตอนผล็อยหลับ ตูดไหลไปทับหูฟังตัวเองที่กำลังเสียบอยู่ แจ๊คหักได้อีก สุดท้ายก็ต้องใช้หูฟังของเค้า

ก่อนแลนด์ที่การาจีมีประกาศห้ามการถ่ายภาพต่างๆ ทั้งบนฟ้า และที่สนามบินของปากีสถาน ตอนแรกก็ไม่คิดอะไรหรอก พอห้ามเท่านั้นแหละ อื้อหือ.. คันขึ้นมาทันที และนี่คือภาพน่านฟ้าและสนามบินสุดหวงแหน มึงหวงอะไรกูยังไม่ค่อยเข้าใจ

ด้านล่างนี้รู้สึกตื่นตาตื่นใจกับแลนด์สเคปแปลกๆ ของปากี แต่แอร์เดินไปมาขวักไขว่ แอบถ่ายรูปไม่ได้วาดแม่มเลย จินตนาการซะว่ามันเหมือนก็แล้วกันนะ

ตลอดการเดินทาง บรรยากาศบนเครื่องดีมาก พนักงานให้ความกันเองและใส่ใจคนไทยมากกว่าต่างชาติแบบเห็นๆ ก็คงเหมือนความรู้สึกเวลาบินสายการบินประเทศอื่นมั้ง อีนี่ก็ไม่รู้เหมือนกัน ตอนบินของพวกจีน สิงคโปร์ มาเลย์ หลายครั้งเขาก็คิดว่าเราเป็นคนประเทศเขา (เป็นคนหน้าตาองคาพยพแบบนานาชาตินิดนึง) แล้วก็เอาใจใส่เราดีตลอดแม้กระทั่งเมื่อโป๊ะไปแล้ว
ตอนสมาชิกขึ้นมาสมทบจากการาจี กลิ่นอันเป็นเอกลักษณ์ก็ขึ้นเครื่องมาด้วยเลย เพื่อนๆ มีออกอาการบ้าง ส่วนเราสบายดี ปกติหลังตีแบดกูก็ประมาณนี้แหละ แต่สิ่งที่กระทบเรามากกว่าคือความไม่เสมอภาค คนที่ขึ้นมาแทบไม่มีผู้หญิงเลย เพราะผู้หญิงคงไม่มีค่าพอที่จะมีธุระสำคัญอันต้องเดินทางด้วยเครื่องบิน
เราเริ่มรู้ตัวว่านี่ต่างหากที่จะเป็นปัญหาสำหรับการเยือนประเทศมุสลิม-อาหรับ ของเรา เมื่อเฟมินิสต์ตัวอ้วนมาเยือนกรงขังอิสรภาพของมนุษย์สตรีเพื่อนร่วมโลก
เอ้าเพลงขึ้น

กักขังฉันเถิดกักขังไป ขังตัวอย่าขังหัวใจดีกว่า

ทุ่มนิดๆ หลังปรับไทม์โซนมือถือเป็นเวลาโอมาน เราก็แลนดิ้ง เหนือน่านฟ้าและที่สนามบินโอมานก็เป็นเขตห้ามถ่ายรูปเช่นกัน
เอ้ามาชมกันเลยจ้า  

มีเรื่องราวน่าสนใจไฮไลท์ในสนามบินอยู่ ๒ เรื่องด้วยกัน

๑.
เมื่อออกจากเครื่องสู่เส้นทางยาวไกลในตัวอาคารได้สำเร็จ เราผลัดกันเข้าห้องน้ำ และเริ่มต้นกระบวนการเดินๆๆๆ ไปหา ตม. เส้นทาง, ระยะ และป้ายบอกทางต่างๆ คล้ายสุวรรณภูมิมากๆ จนคิดว่าไม่ใครก็ใครต้องมีก๊อบกันบ้าง ในระหว่างการเดินอันยาวไกล มีทางเลื่อนแนวระดับโผล่มาเป็นต่อนๆ เหมือนสุวรรณภูมิอีกเช่นกัน ต่างกันตรงที่ความเร็วของโอมานจะเร็วกว่าเล็กน้อยราว ๐.๐๐๐๐๐๐๑ พาร์เซค

ตอนเราจะก้าวเข้าสู่ทางเลื่อนอันแรก ผู้หญิงในชุดคลุมดำแทบลากพื้นคนหนึ่งกำลังยืนลังเล ไม่กล้าก้าวลงไป ในมือเธอถือถุงดูเกะกะ ชุดคลุมรุ่ยร่ายทำให้เรามองไม่เห็นว่าเธอยังมีปัญหาอื่นหรือเปล่า
ในทางเลื่อน สามีของเธออุ้มลูกวัยน่าจะ ๒-๓ ขวบอยู่ ยิ่งเธอไม่ก้าวลงไป ทางเลื่อนก็พาพ่อลูกเลื่อนห่าง สามีก็มีการเดินกลับมาเล็กน้อย ทำหน้าเหมือนไม่ค่อยพอใจ พร้อมพูดรัวๆ ก็คงบอกว่าเดินๆ ลงมาตะอีโง่ อะไรทำนองนี้
เราเห็นหน้าเขา เขากลัวทางเลื่อน แต่กลัวผัวมากกว่า เขาเลยไม่รู้จะทำไงต่อกับชีวิต ได้แต่ยืนจดๆ จ้องๆ เราไปยืนข้างๆ แล้วบอกว่า May I help you? เรารับถุงพลาสติกที่อัดของแน่นมาถือให้ (แม่งหนักเลยแหละ) เอาล่ะตอนนี้คุณจะสามารถจับราวและก้าวลงมาได้เลย เราจะก้าวให้ดูก่อนนะ
เราก้าวลงไป พยายามทำท่าสบายๆ ให้ดู แต่เธอก็ยังไม่กล้า เราเลยเดินกลับไปหา คราวนี้บอกว่า จับมือชั้นนะ แล้วก้าวไปพร้อมๆ กัน

โอเค รอบสองสำเร็จ เธอลงมายืนขาโงนเงนได้สองวิ อีผัวห่าอุ้มลูกเดินย้อนทางเลื่อนกลับมา เอาลูกยัดใส่มือ แล้วเดินนำเฉิบหายหัวไปเล้ย อีเหี้ย เราแม่งหลังแบกกระเป๋าตัวเอง มือซ้ายหิ้วถุงเจ๊แก แล้วขวาก็จับมือซ้ายของแกตอนจะก้าวออกจากทางเลื่อน ส่วนเจ๊มือขวาอุ้มลูกตัวไม่ใช่น้อยๆ ด้วยมือเดียว มือซ้ายที่สั่นเทาจับเราแน่น พอออกจากทางเลื่อนอันแรกได้ อีผัวห่าลับตาหายไปแล้ว เจ๊แกไม่ประหลาดใจแต่กูอัศจรรย์ใจมาก ไม่คิดว่ามันจะขนาดนี้ เจ๊แกพอไม่เห็นหลังผัว ก็ไม่เข้าทางเลื่อนอีกแล้ว แกเดินอ้อมข้างๆ ผ่านทุกทางเลื่อน ไอ้เราซึ่งยังถือถุงให้แก และไม่กล้ายื่นคืนแกในสภาพนี้ ก็เลยเดินไปด้วย
แกพยายามอธิบายว่า มายเฟิร์สไทม์ๆ ไม่แน่ใจว่าครั้งแรกสำหรับการบิน หรือ การเดินทางเลื่อน แต่คงไม่ใช่ครั้งแรกที่ผัวทำตัวระยำตำบอนแบบนี้แน่

สุดท้ายตอนที่เราต้องแยกไปคนละทาง เรายื่นถุงคืนให้เธอ
เธอขยับท่าให้เหมาะที่จะแบกลูกบวกถือถุง ทำให้เราเห็นพุง อ้อ ท้องอยู่ มิน่าถึงไม่กล้าเสี่ยงกับทางเลื่อน เอ้าผัว เหี้ยซ้ำเหี้ยซ้อนได้อีก เราเดินผรุสวาทกับเพื่อนไปเบาๆ พยายามบังคับหน้าไม่ให้ออกยักษ์ออกมารอย่างยากลำบาก

๒.
ไม่คิดเลยว่าจะมีปัญหาใดๆ กับการผ่าน ตม.
เพราะพาสปอร์ตเราหรู ดูยังไงก็นักเดินทาง, เพราะเราทำวีซ่าออนไลน์เสร็จจบมาหมดแล้ว, เงินค่าธรรมเนียมก็จ่ายหมดแล้ว เพราะเรามีกระทั่งหนังสือรับรองจากที่ทำงาน เอกสารสำคัญอื่นใด เตรียมมาหมด จัดไว้เป็นชุดๆ เรียงตามลำดับเวลา เรียบร้อยกว่าเวลาทำงานอีก สุดท้าย โดนไล่ไป “สแกนนิ้ว” คือกูไม่หวงหรอกลายนิ้วมือกูเนี่ย แต๊มมาหลายประเทศแล้ว
แต่ทำไมไม่เอาเครื่องมาไว้ตรง เคาท์เตอร์ ตม. ทำไมต้องเอาเครื่องไว้ที่ห้องลึกลับ แล้วจิ้มโดนใครก็ไล่ให้เดินไปสแกนตั้งไกล
เจ้าหน้าที่สนามบินชุดสีส้ม สุภาพและอารีเข้ามาถามว่า ทำไมเราไม่ผ่าน ตม. ออกไป แต่ย้อนกลับเข้ามา อ๋อ เขาให้ไปสแกนนิ้ว ไปทางไหนรึ แล้วทำไมต้องเรียกฉัน เพื่อนฉันก็ผ่านไปได้แล้ว วีซ่าฉันก็มี เอกสารฉันก็ครบ ไม่แง้มดูเลยแม้แต่นิดเดียว เห็นหน้าไล่ไปสแกนเลย

มันรบกวนจิตใจมากว่าเราดูไม่น่าเชื่อถือตรงไหนวะ หลังจบกับการสแกนแล้ว เรายังกลับไปหาเสื้อส้มแล้วคาดคั้นให้ตอบว่าทำไมเราถึงโดนไล่ไปสแกน เราผิดตรงไหน อยากรู้จริงๆ เสื้อส้มตอบว่า แรนดอมล้วนๆ นะครับ

ตอนนั้นในเวลาทุ่มปลายๆ ของโอมาน นาฬิกาชีวภาพของเรามันบอกเวลาหวิดห้าทุ่ม ง่วงและอยากจะงอแง อยากจะวีนเหวี่ยง เรียกผู้จัดการมาด่าให้สาแก่ใจ แต่ต้องบอกตัวเองว่าอดทน อดทน อดทน อย่าให้พังตอนนี้นะ ยิ้มไว้ ยิ้ม.. ไว้..
ทางเข้าห้องสแกนนิ้วแม่งซับซ้อนซ่อนเงื่อน เดินหลงกลับออกมารอบนึง ถามเสื้อส้ม บอกให้พาไปได้มะ กูหลง เสื้อส้มไม่ยอมเดินเป็นเพื่อน ทำได้แค่ส่งปากประตู ให้เดินลับแลๆ เข้าไปเอง

ในห้อง “สแกนนิ้ว” ไม่มีผู้หญิงเลยแม้แต่คนเดียว เจ้าหน้าที่อยู่หลังเคาท์เตอร์ยาวที่ดูมีอุปกรณ์อะไรมากมาย ผู้มีปัญหาทั้งหลายอยู่อีกฝั่งของเคาท์เตอร์ ดูรวมๆ แล้วแทบทุกคนแต่งตัวและโพกผ้าทรงบินลาเดนแทบจะทั้งนั้นยืนกระจุกตัวอยู่ที่ด้าหนึ่งของเคาท์เตอร์
ด้วยความแปลกแยกของสุภาพสตรีผมยาวไม่มัดผมคนนี้ ทำให้ทุกสายตาจ้องมา เรากลัว ๑๐% อยากรู้อยากเห็น ๙๐% อยากคุยกับทุกคนเลย อยากสัมภาษณ์นู่นนี่ แต่ก็พูดได้แค่แต๊งกิ้วตอนที่เจ้าหน้าที่ด้านใน กวักให้ ไอ้ไทยแลนด์ ลัดคิวเข้ามาก่อน แล้วทุกคนที่ยืนหนาแน่นอยู่ก็แหวกให้เป็นทาง

เจ้าหน้าที่เป็นคนจังหวัดไหนไม่รู้ แต่ทำท่ายะโสสุดๆ นั่งเฉียงๆ ชายตามองหน้าเรานิดหน่อย แล้วก็หันไปมองทางอื่น พูดก็ไม่สบตา เหมือนเราเป็นคนละชั้น
พิน อดทน อดทนนะอดทน บอกตัวเอง เพราะสัญชาติญาณมันอยากจะจู่โจมแล้ว อยากจะตะโกนออกไปว่า ถ้าความเป็นคนของกูไม่เท่ากับมึง นั่นก็เพราะว่ากูมีมากกว่าาาาาา ซ้าดดดดด

เราโดนสแกนนิ้ว สแกนตา ผ่านไปอย่างขลุกขลัก พาสปอร์ตถูกยื่นกลับมา เอกสารที่เตรียมมาดิบดีแม่งไม่ดู เรารับพาสปอร์ตมา แล้วมือก็รูดไปเจอรอยพับ ไอ้ห่าทำพาสปอร์ตกูยับอีก เลยคลายรอยพับ แล้วพยายามรีดให้รอยมันคลี่ มันหันมาเห็น ทำท่าไม่พอใจ ดึงพาสปอร์ตกลับไปพับใหม่แล้วบอกเราว่า ชะนีมึงอย่าเอาออกอีกนะ
สรุปว่ารอยพับนั้นคือสัญลักษณ์บอก ตม.ข้างนอกว่า อีนี่สแกนแล้วนะ – สัญญลักษณ์มึงตื้นได้อีก

กว่าจะได้ผ่าน ตม. เราแม่งง่วงมากกกกก
แล้วก็ลุ้นว่าเพื่อนจะรู้มั้ยว่าเราไม่ได้ผ่านมา สรุปเป็นไปตามคาด เพื่อนเราเดาสถานการณ์ไม่ออก (ใครมันจะไปนึก) ได้แต่ยืนตระหนกอยู่ตรงนั้นสองคนผัวเมียว่าไอ้แอ้หายไปไหนวะ
มันสองคนเดินหาเราอยู่พักใหญ่จนสิ้นหวังเลยกลับมายืนเศร้าหมองอยู่ตรง ตม. เราเล่าเรื่องราวให้ฟังอย่างดุเดือด และเนื่องจากออกมาช้ามาก กระเป๋าของพวกเราก็ไหลวนอยู่ในสายพานนานแล้ว ถ้าก่อไฟไว้ด้านล่างกระเป๋าคงสุกกำลังกิน

เราพบแม่ลูกคู่นั้นอีกครั้งตรงสายพานรับกระเป๋า ส่งยิ้มให้เธอ
เธอยิ้มตอบกลับมา ดูดีขึ้นกว่าตอนเดิน เธอคงมีวิถีของเธอที่จะรับมือกับเรื่องราวพวกนั้นได้

ขั้นตอนที่เราแพลนไว้ก่อนเดินทางคือ คืนนั้นเราจะแลกเงินเรียล, ซื้อซิม และเดินทางไปโรงแรมที่จองไว้กันเอง เงาะกับมาร์คอยากมารับแต่เราห้ามไว้เพราะเกรงใจ บ้านก็ไกลสนามบินตั้ง ๑ ชม. ก็สรุปกันไว้ตามนั้น แต่หลังผ่าน ตม. และเดินเข้าสู่บริเวณทั่วไปของอาคารสนามบิน อยู่ๆ กำลังเม้าท์กันเพลินๆ ก็เจอหน้าคุ้นๆ ยืนยิ้มกว้าง ยัยเงาะเพื่อนเรากับมาร์คสามีนางมายืนรอรับ และบ่นว่าทำไมออกมาช้าจัง เป็นห่วง เราเลยได้โอกาสด่า ตม. และห้องสแกนนิ้วอีกรอบระหว่างมาร์คพาไปซื้อซิม
เคาท์เตอร์แลกเงินปิดแล้ว มาร์คเลยควักเงินมาให้ ๕ เรียลเป็นค่าซิมพร้อมเจรจากับคนขายให้เสร็จ ซึ่งดีมาก เพราะคนขายซิมการ์ดชายตามองเราเหมือนมองตัวอะไรซักตัวนึง และเรากำลังคิดเลยว่า จะเจรจาซื้อของกับคนแบบนี้ได้เหรอเนี่ย

เดินต๊อกๆ ตามหลังมุ้ยกับมาร์ค ด้านตรงข้ามคือเหล่าแท็กซี่โอมาน เป็นชาวโอมานแท้ในชุดประจำชาติ ซึ่งจะเห็นไม่ค่อยบ่อยในทริปนี้ เพราะว่าโอมานมีประชากรน้อยมาก (แต่ส่วนมากรวย) ประเทศจึงต้องรับ Expat จำนวนมากเข้ามาทำงาน การขับแท็กซี่เป็นหนึ่งในอาชีพสงวนที่มีไว้ให้คนโอมานแท้ๆ เท่านั้น

คืนนั้นสองผัวเมียส่งเราที่โรงแรมในย่านเงียบสงัดที่เราเลือกจองกันมาเอง ออกจากถนนใหญ่ลึกเข้าไปอีกพอสมควรในความมืด Location ที่ค้นจาก Google map ก็เคลื่อน ทำเอาสาวๆ ตระหนกเล็กน้อย (แน่นอนว่าเราไม่ได้อยู่ในหมวด “สาวๆ” แต่อย่างใด)
พอเจอโรงแรมแล้วก็เข้าไปเช็คอิน มาร์คผู้มีประสบการณ์เดินสำรวจรอบๆ ไวๆ แล้วกลับมาบอกเราว่า โน่นร้านสะดวกซื้อ ซึ่งช่วยชีวิตเราไว้เลย เพราะในห้องเสือกไม่มีน้ำดื่มให้

เทียบกับราคาแล้ว ห้องดี๊ดี เป็นห้องเล็กใหญ่คอนเนคต์กัน ต่างห้องต่างมีห้องน้ำในตัว ขาดแต่น้ำดื่มกับผ้าขนหนู Welcome ไว้เช็ดตีน ประหลาดมากที่ไม่มีสองสิ่งนี้ให้ เราเดินเท้าเมือกๆ ไปมา แล้วตัดสินใจออกไปซื้อน้ำ เราอาสาไปคนเดียว แต่หนิงกับมุ้ยบอกว่ามืดแล้วไปด้วยกันดีกว่า ตอนนั้นนาฬิกาชีวภาพเรามันคือราวๆ ตีสอง ตอนอยู่โอมาน นอนดึก (เวลาโอมาน) ทุกวัน ซึ่งสำหรับเวลาไทยแล้ว มันคือนอนตีสองตีสามทุกวัน ส่วนตอนเช้าเสือกตื่นเวลาไทย ตีห้าเด้งละ เรื่องเวลาที่เหลื่อมสามชั่วโมง กับการเดินทางแค่ห้าวัน เป็นอะไรที่ทารุณมาก

ระหว่างเดินไปร้านสะดวกซื้อที่อยู่ไม่ไกล มองเห็นจากหน้าโรงแรม ถนนมืดและเงียบสนิท มีเสียงผู้ชายทักมาจากข้างรถที่จอดอยู่ว่า ..Welcome to Oman.. หนิงกับมุ้ยแทบสะดุ้งโหยง เราตอบกลับกลั้วหัวเราะว่าขอบคุณมาก

ร้านสะดวกซื้อขนาดเล็กจิ๋ว แต่ของขายมีแต่ของดีๆ และครอบคลุมความต้องการ เราซื้อน้ำในขนาดที่ชอบมากแต่บ้านเราไม่มี คือเป็นขวดหิ้วขนาด ๓ ลิตร มันเป็นน้ำหนักที่ถือไม่เหนื่อยแบก แต่พอกินสำหรับอีพวกกินน้ำจุแบบเราสามคน เราตัดสินใจว่าอาหารมื้อดึกก่อนนอนของเราจะเป็นไอติมหนึ่งถ้วย


คนขายเป็นหนุ่มอาหรับแต่งตัวด้วยเสื้อยืดกางเกงขายาว หลั่นล้าทักทายพวกเรา ถามว่ามาจากไหน พอเราบอก แกดีใจใหญ่บอกว่า พวกยูเป็นคนไทยกลุ่มแรกที่ไอเคยเจอ ส่วนไอเป็นคนอิหร่านนะ เราก็เลยบอกว่ายูเป็นคนอิหร่านคนแรกที่เราได้เจอเหมือนกัน
จากนั้นก็คุยกันแบบระริกระรี้ดีใจ เหมือนไทยกับอิหร่านเป็นเครือญาติที่พลัดหลงกันมานานแสนนาน ก่อนออกจากร้าน คุณชายก็บอกว่าขอให้เที่ยวโอมานให้หนุกหนานเพลิดเพลินนะครับ

คืนนั้นกว่าจะนอนได้ก็ปาไปเที่ยงคืน ซึ่งก็คือตีสามไทย
อ่อนเพลียจนแทบจะหลับคาถ้วยไอติม แต่ถามว่ากินไหม

ก็กิน