พิดโลก-เขาค้อ 1st Trip after 2nd shot

ก่อนล็อคดาวน์หลังสงกรานต์ 2564 เพื่อนสองคนสุดท้ายที่เรากินข้าวด้วยคือกอล์ฟติ๊ก ตั้งแต่ต้นเมษาที่ทำงานให้เริ่มต้น Work from home 100% อีกครั้ง เราก็อาศัยอยู่คนเดียวในบรรยากาศซุปเปอร์แมกซ์มาตลอด ตัดความอยากได้ใคร่ดี อิสระเสรีภาพใดๆ เอาใส่กล่องแล้วเก็บซ่อนในห้องลึกสุดใน mind palace ล็อคกุญแจแล้วทำเป็นลืมไปว่ามันมีอยู่ นานจนจำไม่ได้ว่าลมพัดผ่านหน้ามันรู้สึกยังไง การได้ขับรถบนถนนโล่งๆ มันกระตุ้นหัวใจขนาดไหน จำเสียงสายน้ำอื่นนอกจากน้ำประปาไม่ได้ มีแค่เสียงนกร้องที่ระเบียงทุกวันที่คอยเชื่อมโยงคนนั่งทำงานพิมพ์คอมพ์ก๊อกๆ เข้ากับโลกข้างนอก ที่หยุดหมุนไปชั่วขณะ

ครึ่งปีต่อมา เมื่อหลายคนทยอยได้วัคซีนเข็มที่สอง เพื่อนๆ เริ่มชักชวนกันกลับสู่โลก เรามีธุระได้ออกข้างนอกมาแล้ว 2 ครั้ง แต่ยังไปด้วย Save mode ไม่ได้เปิดเครื่องแบบเต็มกำลังเหมือนเคย ครึ่งปีที่อยู่คนเดียวเงียบๆ เหมือนเก็บตัวเองให้อยู่ในโคม่า รอวันโควิดหมดไปถึงค่อยฟื้น เหมือนใช้ตัวตนอีกบุคลิกมาคุมเครื่องจักรระหว่างที่ตัวจริงหลับใหล หลังจากทบทวนอยู่หลายตลบ มันก็ถึงเวลาที่จะปลุกตัวเองให้คืนกลับสู่โลกได้แล้ว เจ้าโควิด เราต้องอยู่กับมันไปอีกนาน งั้นเริ่มเลยละกัน

และครอบครัวเพื่อนรักก็ยังคงเป็นมนุษย์กลุ่มแรกที่เราเที่ยวด้วยหลังสภาวะซุปเปอร์แมกซ์ สมัยก่อนมันสองคนมีลูก เราเคยหัวหกก้นขวิดกันอยู่ตามป่าเขาและอุทยานแห่งชาติต่างๆ พร้อมโอริหมาร้อยดอยที่สูงวัยไปดาวหมาแล้วหนึ่งตัว ถึงแม้งานการพวกเราจะค่อนข้างมั่นคง แต่พวกเรางกและชอบนอนเต็นท์ ครั้งนี้ถือว่าเป็นทริปแรกนำร่องหลังจากไม่ออกเดินทางมาซะนาน เลยเลือกนอนเต็นท์คืนแรก และนอนรีสอร์ทคืนที่สองจะได้ไม่ลำบากมาก เราเซ็ตเส้นทางที่ชำนาญจะได้ไม่ลุ้นเจอเซอร์ไพรส์โดยเดินทางเป็นวงกลมรอบทิวเขาเพชรบูรณ์ เริ่มต้นขึ้นจากทางด้านซ้ายและแวะนอนคืนแรกที่ ต.บ้านมุง อ.เนินมะปราง จ.พิษณุโลก

อากาศปีนี้และหลายปีก่อนหน้านี้แปรปรวนมากเนื่องจากสภาวะโลกร้อนที่มันเกินจะเยียวยาแล้ว ปีนี้ฝนตกชุกยาวนานและมีพายุติดๆ กันหลายลูก ณ ขณะนี้เองเราก็ยังลุ้นน้ำท่วมกันอยู่ ทั้งๆ ที่ลมหนาวก็แหลมหน้าพัดมาทักทาย เราเลือกจองที่พักที่เป็นกระท่อมไว้กางเต็นท์ด้านบน เผื่อฝนตกจะได้ไม่นอนชื้นมาก เพราะอุปกรณ์ที่เก็บกรุมานานยังไม่ค่อยพร้อม เนินมะปรางจะดัง จะดังมาหลายปี น่าจะเปรี้ยงปร้างไปกว่านี้แล้วถ้าไม่โดนคุณโควิดเตะสะกัดขา เราไปที่นี่มาหลายครั้งมาก เริ่มตั้งแต่เป็นที่รู้จักแรกๆ ที่จะนอนยังไม่ค่อยจะมี น่าดีใจที่ปีนี้มีที่ใหม่ๆ เกิดมาพร้อมรองรับนักท่องเที่ยวมากขึ้น ขณะเดียวกันก็มีร่องรอยของหลายกิจการที่ต้องพังพาบไปเพราะขาดรายได้นานเป็นปีๆ

วันแรก

สัปดาห์สุดท้ายของเดือนตุลาคม พวกเราลางานวันศุกร์และเดินทางโดยรถคุณเพื่อนขับมือเดียวถึงเนินมะปรางตอนบ่ายๆ ระหว่างทางเสียวน้ำท่วมเหมือนกันเพราะว่ากำลังเอ่อล้นเลยเชียว เราไม่ได้เช็คฤดูทำนาก่อนแต่โชคดีชะมัด มองไปทางไหนก็มีแต่ท้องนาสีเขียวสว่างสดใส ท่ามกลางแดดจ้า และฟ้าเป็นสีสดเหมือนตัดแปะ สมาชิกในทริปนอกจากผู้ใหญ่สามคนก็ยังมีน้องคุณหลานรักที่ไม่ได้เจอกันนานคิดถึงมาก เราจองที่พักเป็นแคมป์ไซต์ยี่ห้อ “บ้านมุงแค้มป์” หรืออีกชื่อคือ “หมาบ้าใจดี” ที่มีทำเลสวยสุดๆ ในอ้อมกอดภูเขาทั้งหน้าและหลัง แถมยังได้นอนกระท่อมหลังสูงที่วิวดีกว่าชาวบ้านแบบบวกเมตรครึ่ง เราสี่คนกรี๊ดกร๊าดกับวิวเสร็จแล้วก็ช่วยกันกางเต็นท์หลังยักษ์แบบสองห้องนอนที่เราเพิ่งมือลั่นกดช้อปปี้มาสดๆ เนื่องจากมีหลังคาสังกะสีคุ้มหัวอยู่แล้ว เลยเลือกที่จะไม่ปิดฟลายชีตด้านบน ปล่อยเปิดเป็นมุ้งโล่งๆ เพื่อระบายอากาศให้เย็นสบายยิ่งขึ้น

กิจกรรมบ่ายนั้นเรียบง่ายมากๆ เราขับรถเล่นชมวิว ไปตลาดหาของกินที่ยังขาด ซึ่งก็ไม่เยอะเพราะเตรียมมาแล้วพอสมควร แต่ตื่นเต้นกับมะนาวมาก ทั้งขายถูก ลูกใหญ่ น้ำเยอะ เป็นปลื้มที่สุด จากนั้นก็ไปนั่งรอชมค้างคาวออกหากิน ซึ่งเป็นไฮไลท์ของที่นี่ เรามาเนินมะปรางหลายครั้งแต่พลาดค้างคาวทุกครั้งด้วยสารพัดเหตุผล (ครั้งหนึ่งคือ ขับมอไซค์หลง กลับมาไม่ทัน) แดดอ่อนๆ ยามเย็นยังมีความร้อนหลงเหลือแต่ไม่มากมาย อากาศดีมาก ลมพัดเรื่อยๆ นักท่องเที่ยวหลายคนมานั่งรอชมค้างคาว เราใส่หน้ากากสองชั้นแนบหน้าจนหน้าเปียก ซื้ออาหารปลาไปโรยในบึงกับน้องคุณอย่างสนุกสนาน แม่ค้าและชาวบ้านพูดคุยแนะนำข้อมูลให้นักท่องเที่ยวกันคึกคัก เราสังเกตว่าของกินเล่น น้ำดื่ม อาหารปลาที่ขายได้ ไม่ได้มากมายอะไร แต่ดูจากท่าทางดีใจของคนขายแล้ว เขาก็คงอยู่กันแบบแห้งแล้งมานานเหลือเกิน มองภูเขาตรงหน้าที่ยอดสูงสุดเห็นธงแว้บๆ เลยเอาเลนส์ซูมดู พบว่ามีคนเดินเขากันอยู่ สนใจมากๆ กะว่าคราวหน้าต้องมาเดินเขาให้ได้เลย

ห้าโมงครึ่ง ฟ้ายังไม่มืด ค้างคาวเช็คเทียบเวลาแม่นเป๊ะแล้วเริ่มบินออกจากถ้ำ พวกมันบินเร็วจี๋เรียงหน้ากระดานต่อเนื่องเป็นสาย และตามที่คุณป้าร้านขายของบรีฟคือมันพยายามยังไม่บินสูงเพราะนกใหญ่อาจจะมาโฉบไปกินได้ กล้องเราเป็นคอมแพ็คล้วนๆ ไม่สามารถถ่ายให้ดีไปกว่าปื้นค้างคาวได้ ได้แต่ดูและพยายามเดินหามุม พอแสงค่อยๆ อ่อนลง สายธารค้างคาวก็ตวัดสูงขึ้นเหนือยอดเขาทำให้มองเห็นได้ชัดขึ้น เราดูอยู่นานมาก และพวกมันไม่มีทีท่าว่าจะหมด เมื่อได้ดูจนจุใจและหิวแล้ว เลยกลับแค้มป์กันดีกว่า

พอฟ้ามืดอากาศก็เย็นสบาย เราปิ้งย่างอะไรง่ายๆ กินกัน (การเผาผลาญที่ต่ำทำให้กินนิดหน่อยก็อิ่มแล้ว ดีจริงๆ) จากนั้นก็เข้าไปนั่งเล่นการ์ดเกมต่อในเต็นท์ยักษ์ที่ซื้อมาเพื่อการนี้ เนื่องจากแพ้ยุงหนักขึ้นทุกวันๆ ถ้าความสุขของการไปแค้มปิ้งคือการนั่งเล่นกับเพื่อนยันดึกดื่น ความทุกข์ก็คือการรักษาแผลยุงหลังจากนั้น 3-4 เดือน ห้องระเบียงมุ้งของเต็นท์ยักษ์จึงช่วยได้เป็นอย่างดี สามคนนั่งล้อมวง แถมเล่นเกมที่ใช้พื้นที่กางการ์ด ยังสบายๆ ยัดพัดลมเข้าไปได้อีกตัว แลกกับน้ำหนักที่ต้องแบก 14 กก. ถือว่าคุ้ม

อุปสรรคชีวิตนิดหน่อยตรงจิ้งจกทิ้งดิ่งลงมาเกาะเพดานเต็นท์ ไม่ว่าจะตรงมุ้งหรือตรงผ้าใบก็มองเห็นได้ชัดจากด้านล่าง มองทีไรก็ขนลุกเกรียวกราว แก๊งเรามีกันสี่คนกลัวจิ้งจกหมดทุกคน บ้าบอจริงๆ อีกอล์ฟเป็นที่พึ่งได้สุดแล้วคือมันดีดจิ้งจกได้สองตัว แมนมากเพื่อน

คืนนั้นนอนสบายๆ ไม่ดึกมาก ทริปผู้สูงอายุกับเด็กก็งี้ เสียงเต็นท์กลุ่มใหญ่ใกล้ๆ เมาและแฮปปี้เบิร์ธเดย์กันซ้ำไปซ้ำมา แต่เราหลับง่าย ฟังอยู่ไม่นานก็หลับ เพิ่งมารู้ตอนเช้าว่าเจ้าของสถานที่ไปตักเตือนแล้วสมาชิกในกลุ่มมีด่ากลับด้วยว่าให้ไปเปิดสถานปฏิบัติธรรมแทน ก็น่าน้อยใจแทนเจ้าของแค้มป์ที่พยายามสร้างสิ่งที่ดีงาม แต่ชีวิตก็เป็นแบบนี้ เราให้กำลังใจและบอกว่าประทับใจมาก และจะมาใหม่อย่างแน่นอน

วันที่สอง

เช้าตรู่ เราสี่คนตื่นขึ้นมาแล้วออกไปวิ่งรวม 3.5 กม. ลัดเลาะภูเขาไปจนถึงปากทางเข้าน้ำตกขุนห้วยเทินซึ่งเราจำชื่อไม่ได้ซักที แล้วก็วนกลับ (ที่พิมพ์อยู่นี่ก็ต้องไปกุ๊กเกิ้นชื่อมา) ที่ทางเข้าน้ำตกมีคุณยายที่ extrovert สุดๆ ท่านนึง โฆษณาให้เราเข้าไปเที่ยวที่น้ำตกให้ได้เลยนะ หยุดคุยกับแกอยู่นานเหมือนกัน บรรยากาศและอากาศช่างดีงาม สองข้างทางสวยมากๆ มีคนออกมาวิ่งกันพอสมควรเลย เราคุยกันว่า ถ้าบ้านอยู่แถวนี้ก็คงออกมาวิ่งทุกเช้าเหมือนกัน ข้างถนนช่วงแรกมีลำรางระบายน้ำเล็กๆ น้ำใสอย่างกับทางระบายน้ำในญี่ปุ่นและมีนกหากินอยู่ใกล้ๆ พอเราวิ่งเข้าไปมันก็บินหนีขึ้นฟ้า นกสีขาวตัดกับท้องนาและภูเขาสีเขียวอ่อนแก่ และดอกไม้ที่ถูกปลูกไว้ตรงนั้นตรงนี้ก็ออกดอกแข่งกันอวดความสดใส

สมาชิกหิวโซกลับมา ติดเตาทำอาหารเช้าง่ายๆ กิน ส่วนเราซึ่งยังไม่ออกจากโปรแกรมไดเอตขั้นรุนแรงที่เริ่มมาตั้งแต่ล็อคดาวน์ ทั้ง IF และคีโต จะว่าชีวิตง่ายก็ง่าย จะว่ายากก็.. นิดหน่อยนะ เราไม่กินข้าวเช้า แต่ใช้เวลาเตรียมอาหารเที่ยงไร้แป้งไร้น้ำตาลสำหรับตัวเองไว้ก่อน จากนั้นเราผลัดกันไปอาบน้ำ และกลับมาปลุกปล้ำเก็บเต็นท์ เก็บข้าวของพร้อมเดินทางกัน เต็นท์ยักษ์นี่เก็บและกางไม่ยากเท่าไหร่ แต่อย่างน้อยช่วยกันสองคนจะดี เพราะมันใหญ่มาก ถ้าทำคนเดียว กว่าจะเดินวน มีเหงื่อตกเหมือนกันแหละ อาจจะต้องวิ่งไปอาบน้ำใหม่อีกรอบ

ออกจากแค้มป์เราแวะที่น้ำตกขุนห้วยเทิน สำหรับเราแล้วที่นี่มีความพิเศษอย่างหนึ่ง คือเมื่อหลายปีก่อนเราบังเอิญมาที่นี่ตอนเขากำลังเปิดเป็นที่ท่องเที่ยวพอดี เรียกได้ว่าเป็นวันแรกๆ เลย หน้าน้ำตกชั้นล่างสุดชันประมาณ 60 องศา มีน้ำไหลแรง แต่ตอนนั้นชาวบ้านกลับเดินสวนน้ำขึ้นไปเฉยๆ พอลองเดินบ้างถึงได้รู้ว่า น้ำตกที่แทบไม่เคยมีใครมาเหยียบเลยเนี่ย มันมีพื้นผิวหินที่หยาบมาก มีแรงเสียดทานสูงมากจนไม่มีความลื่นเลย ถึงได้เดินตัวตรงๆ ขึ้นไปได้สบายๆ สำหรับการไปเยือนครั้งนี้ ลองไปเหยียบที่เดิมดูอีกครั้งพบว่าฟริคชั่นหายไปเยอะเหมือนกัน อีกไม่กี่ปีคงลื่นปื๊ดเหมือนน้ำตกท่องเที่ยวทั่วๆ ไปละแหละ

เราสี่คนเดินไต่ขึ้นไปได้ถึงชั้นสองก็วนกลับ เพราะว่าคนเยอะแล้วก็มีคนสูบบุหรี่ ถ้าไม่เจอคนเยอะแบบนี้ ที่นี่น่าไต่เล่นมาก ทางเดินสนุก น้ำแรง มีมุมให้ถ่ายรูปหรือลงเล่นน้ำหลายจุดเลย แต่วันนี้เราเอาเท่านี้พอ ใส่หน้ากากไต่ทางชัน หอบแฮ่กๆ เลยเหมือนกัน

จุดหมายต่อไปคือจุดชมวิวบ้านรักไทย ทิวทัศน์พิเศษของเนินมะปรางที่ไม่เหมือนที่ไหนคือเขาหินปูนสูงชันตัดกับท้องนาสไตล์ภาคกลาง บ้านรักไทยเป็นหมู่บ้านบนที่ราบบนเขา เพื่อนๆ ถามว่าทำไมได้ยินชื่อหมู่บ้านรักไทยบ่อยๆ ในหลายๆ ที่ เท่าที่จำได้ หมู่บ้านชื่อทำนองนี้ จะเป็นหมู่บ้านที่เคยมีปัญหาความขัดแย้งที่ถูกเรียกว่าคอมมิวนิสต์ ทำให้การปราบปรามต้องควบคู่ไปกับการพัฒนาชุมชน หรือเรียกว่าดูแลใกล้ชิดโดยทหาร ก็จะมีการตั้งชื่อหมู่บ้านที่เป็นเอกลักษณ์แบบนี้ แต่ทุกวันนี้หมู่บ้านรักไทยซึ่งฝั่งหนึ่งมีวิวอลังการ ได้กลายเป็นที่พักหลากหลายแนวและคาเฟ่กับร้านอาหาร หลังจากขับขึ้นถนนชันดิ๊กๆ และคดโค้ง ซึ่งพอเพื่อนบอกหวาดเสียว เราก็ได้ทีข่มเลยว่า เคยแว้นมอไซขึ้นมาแล้วนะ (คิดมาถึงตรงนี้ก็ตั้งคำถามกับตัวเองว่า ตอนนั้นทำไปได้ไงฟระ) เราแวะทานมื้อเที่ยงที่ร้านหนึ่งพร้อมชื่นชมวิวพานอรามา ท่ามกลางแสงแดดแผดๆ ยามเที่ยง แนวภูเขา ต้นไม้และท้องนาด้านล่างดูเหมือนโมเดลจำลองที่ทำขึ้นละเอียดยันดีเทลสีสันสดใส คนไดเอตเห็นตู้ไอติมแล้วก็ได้แต่ถอนใจ คิดถึงการเจออะไรก็กิน เจออะไรก็กิน แต่ก็เพราะทำแบบนั้นมาตลอด ทำให้ต้องมานั่งกินข้าวห่อคนเดียวเงียบๆ อย่างทุกวันนี้สินะ

เป้าหมายต่อไปเราจะไปนอนเขาค้อ ที่พักที่จองไว้จะอยู่ช่วงเขาค้อตอนบนๆ เส้นทางที่เรารู้จักคือขับอ้อมไปบนถนนสาย 12 แต่กุ๊กเกิ้นบอกว่ามันลัดไปลงอีกฝั่งได้จากบนบ้านรักไทยเลย ซึ่งจะประหยัดเส้นทางไปได้พอสมควรแต่ประหยัดเวลาได้แค่นิดหน่อยเพราะถนนมันเล็ก เราเลือกข้ามเขาบนเส้นทางใหม่กัน เพื่อความตื่นเต้น ถนนไม่แย่มาก มีถนนดินแดงโผล่มาสองสามแว้บ แว้บละไม่นาน ไม่ถึงกับใจเต้นตุ๊มๆ ต่อมๆ เหมือนบางที่ ทางลงฝั่งนี้มีความชันบ้าง แต่เทียบไม่ได้เลยกับทางขึ้นฝั่งเนินมะปรางที่เพิ่งผ่านกันมา

ที่พักคืนที่สองเป็นรีสอร์ทชื่อภูหมอกวิลเลจ บ่ายแก่ๆ พอไปถึงเราก็ตัดสินใจว่าจะไม่ออกไปไหนกันเลยเพราะมันชิลมาก รีสอร์ทเงียบสงบ มีแขกไม่กี่ห้อง ให้พื้นที่ส่วนกลางที่ดูแลจัดการดีไว้เยอะมากเทียบกับปริมาณห้องพัก เรียกง่ายๆ ว่า ถ้าจะงกเงิน อยากสร้างห้องพักอีกซักสองเท่าก็ยังไหว แต่ไม่ทำ ปล่อยไว้เป็นสวนกว้างๆ กับวิวภูเขาที่เห็นได้ทั้งสองฝั่งจากระเบียงห้องนอนทุกห้อง จากโถงทางเดิน และจากทุกซอกทุกมุมที่ดีไซน์ให้เข้าถึงแสงแดดและวิวภูเขา ช่วงที่แดดยังแข็ง เราเล่นการ์ดเกมกันอีกและเกิดเป็นมุกตลกส่วนตัว เมื่อเจ้าเด็กต้องการให้ผู้ใหญ่ใช้การ์ดช่วยให้หลุดจากการโดนแอทแทคต์แต่ทั้งพ่อแม่และอามันไม่ยอมช่วย น้องคุณเลยร้อง ช่วยด้วย ช่วยด้วยเป็นระยะ พวกเราขำกันว่าถ้าฟังจากข้างนอกอาจจะมีลุ้นโทร.แจ้งตำรวจว่าผู้ใหญ่บ้านนี้ทำร้ายเด็กกันบ้าง

พอแดดเย็นเป็นสีทอง พวกเราลงไปเดินเล่นที่สวน อากาศฝั่งนี้ของเขาค้อเย็นลงกว่าเนินมะปรางอย่างสัมผัสได้ ให้ความรู้สึกเหมือนหน้าหนาวมาแล้วอย่างรวดเร็วแต่ละมุนละไม หมาตาตี่ตัวนึงมาเล่นกับติ๊กอย่างสนิทสนมเหมือนพกมาเองจากบ้านซึ่งติ๊กเป็นด๊อกวิสเพอร์เรอร์อยู่แล้ว การที่หมาแปลกหน้าวิ่งมาศิโรราบไม่ใช่เรื่องใหม่ เจอบ่อยๆ แต่เราซึ่งวางกล้องเรี่ยราด แอบเสียวมันจะคาบโกโปรวิ่งหนีเหมือนกัน อาจจะได้ฟุตเตจสวยๆ ชุ่มน้ำลายแต่ไม่ลุ้นจะดีกว่า

นานแค่ไหนนะที่ไม่ได้นั่งบนสนามหญ้าแบบนี้ เพื่อเฝ้ารอดูแสงสุดท้ายของวันค่อยๆ หมดลง

คืนนั้นแก๊งเราหลับเร็วมาก เร็วแบบ กลัวใช้เตียงไม่คุ้มเหรอเพื่อนๆ

วันที่สาม

เนื่องจากนอนเร็วมาก ปลุกตอนเช้านี่ห้ามอิดออดแล้วนะ เราแต่งชุดวิ่งกัน แต่ขับรถไปจุดชมวิวทะเลหมอก มีคนมาเยอะมากเลย รถงี้จอดกันเพียบ แผงขายของก็คึกคัก เช้านั้นอากาศโปร่งมาก อาจจะลมแรงเกินไปเลยไม่มีหมอก ยืนชมวิวนิดหน่อยตียิมโปเกมอนแล้วก็ไปช้อปปิ้ง เจ้าเด็กน้อยใส่ชุดชาวเผ่าขายของเสียงใส เราซื้อยางรัดผมจากเด็กผู้หญิงตัวน้อยที่พูดจาฉะฉานเหมือนพิธีกรช่องเด็กในทีวี แล้วลองถามว่า นักท่องเที่ยวกลับมาแล้วหนูดีใจไหม เด็กน้อยตอบอย่างฉลาดว่า ดีใจค่ะ แต่ก็ไม่ดีใจมากเพราะโควิดก็จะกลับมาเหมือนกัน ยัยหนูพูดไปพลางก็กดเจลมาถูมือไปพลาง ในด้านของหลานชายช่างช้อปเป็น ได้ของเล่นจากจุดนี้มาสองชิ้นได้แก่กังหันลมสีสวยกับปืนไม้ยิงยางวง ส่วนผู้ใหญ่ได้ผลไม้นิดหน่อย

พอกลับถึงรีสอร์ท เพื่อนๆ ว่าจะไปกินข้าวเช้าเลย เราเลยขอลงที่ปากทางเข้ารีสอร์ทแล้ววิ่งขึ้น เป็นทางชันเล็กน้อย ระยะทางรวม 1 กม. ทำได้ดีกว่าสมัยก่อนเยอะ หวังว่าสุขภาพที่ดีขึ้นจะนำเราไปสู่การผจญภัยใหม่ๆ ที่สนุกขึ้นอีกในอนาคตนะ (ฉันจะไม่ยอมแก่ง่ายๆ เหอๆๆ) จากนั้นก็กลับไปที่ห้องพร้อมหลานชายซึ่งอิ่มข้าวแล้ว อยากไปลองยิงปืนของเล่นชิ้นใหม่มากกว่า เราจึงนั่งทำอาหารเตรียมสำหรับมื้อเที่ยงและช่วยทำเป้าซ้อมยิงปืนไปพร้อมๆ กัน

เราเช็คเอาท์กันประมาณสิบโมง เพราะวันนี้ต้องเดินทางกลับกรุงเทพฯ จึงจะไม่แวะเยอะแยะ เราเลือกที่แวะที่น่าสนใจแค่สองจุด ที่แรกคือกังหันลม ซึ่งเป็นการแก้มือเพราะเราเคยพยายามขึ้นไปแต่ขึ้นผิดทางจนไปเจอถนนพังต้องย้อนกลับมาแล้ว ครั้งนี้ขึ้นถูกทาง แต่ข้างบนคนค่อนข้างเยอะแฮะ ระบบการจอดรถที่จะเอาตังค์อย่างเดียว ทำให้โมโหนิดหน่อย แต่อากาศเย็นสบาย ฟ้าสวยมากๆ ทำให้โมโหไม่ได้นาน หลังจากที่จอดรถ จะมีจุดให้ซื้อตั๋วรถเวียนบริการพาไปเที่ยวด้านในทุ่งกังหันลมซึ่งไม่รู้มีอะไรบ้าง พวกเราไม่ได้ไป แค่เดินเล่นรอบๆ ตรงร้านขายต้นไม้และของฝากก็ได้รูปเพียบแล้ว น้องคุณได้ของเล่นทวนไม้มาอีกอันซึ่งรักมาก ถือตลอดทางกลับเลย (แต่พอถึงบ้านอาจจะกลายเป็นที่ค้ำประตูก็เป็นได้) เขาเรียกทวนแต่เราว่ามันไม่ใช่ทวนนะ มันเป็นดาบกวนอู ใบดาบสั้น ด้ามยาว ไม่รู้เรียกว่าอะไรแน่

สันเขารับลมเต็มที่ ลมพัดแรงดีไม่มีตก ใบกังหันทุกต้นหมุนฟึ่บๆ ตลอดเวลา คงปั่นไฟได้เยอะแยะเชียว แต่คุณค่าทางการท่องเที่ยวน่าจะเยอะไม่แพ้กัน เพราะตรงจุดนี้วิวสวยมาก และคงเป็นที่เที่ยวฮอตฮิตไปตลอด

ได้เวลาอันควรเราก็เดินทางต่อ เป้าหมายต่อไปคือล่องเรือแม่น้ำเข็ก แก่งบางระจัน ซึ่งเราเคยทำสิ่งนี้กันมาแล้วเมื่อสิบกว่าปีที่แล้ว แต่เนื่องจากบริการล่องเรือทำโดยชุมชน เราพยายามหาเบอร์โทร.เช็คว่าเปิดรึเปล่าแต่หาไม่ได้เลย โทร.ไปหลายเบอร์ที่หาเจอในอินเตอร์เน็ตก็ถูกเปลี่ยนมือไปหมดแล้ว เลยตกลงกันว่า มุ่งหน้าตรงไปดูด้วยตัวเองเลย ถ้าได้ล่องเรือก็ล่อง ถ้าไม่ได้ก็อาจจะแวะไปเดินเล่นใน อช.ทุ่งแสลงหลวงแทนก็แล้วกัน

ระหว่างทางพวกเราหยุดกินอาหารเที่ยงที่ร้านอาราบิก้าเขาค้อ ส่วนเราสั่งอเมริกาโน่โนน้ำตาลหนึ่งแก้ว และกินของพกมาเองตามเคย ร้านนี้บรรยากาศดี มีสวนให้เดินเล่นย่อยอาหารที่ดูแลดีสวยงามเลยแหละ

โชคช่างเข้าข้างเรา พอไปถึงแก่งบางระจันสิ่งแรกที่เห็นคือราวไม้ที่แขวนเสื้อชูชีพสะอาดๆ สีส้มสดใสไว้เป็นตับ ชาวชุมชนสองสามคนกำลังง่วนทำงาน พอเราไปถามว่าล่องเรือไหม คำตอบที่ได้คือ เขาเปิดบริการวันนี้วันแรก และพวกเราเป็นลูกค้ากลุ่มแรกตั้งแต่ล็อคดาวน์ที่โผล่มาเอาตอนบ่ายๆ ค่าล่องเรือทั้งหมด 800 บาท จำไม่ได้ว่า คนละ 200 บาทหรือเป็นราคาเหมา ตอนนั้นได้ล่องเรือก็ดีใจลิงโลด ไม่สนอะไรละ รีบเตรียมข้าวของน้ำขนมแล้วลงเรือกัน เราคอมเมนต์ว่าลูกค้าอยากโทร.เช็คก่อนแต่หาเบอร์ไม่ได้เลยค่ะ ผู้ดำเนินการชี้ให้ดูเบอร์ใหม่ที่เขียนไว้บนผนังและบอกว่า เบอร์ที่อยู่บนป้ายไวนิลด้านบนน่ะไม่ใช้แล้ว อันนี้คืออุปสรรคของการดำเนินธุรกิจโดยชุมชนเลย คือเขาคิดว่าเขาก็อยู่ตรงนี้ตลอด แต่คนจะมาเขามาไกลและต้องการเช็คหรือจองก่อนเฟ้ย เข้าใจกันบ้างเซ่

คนพายเรือมีหัวท้าย คุณป้าด้านหน้าบรีฟอะไรให้เราฟังเรื่อยๆ ป่าที่ไม่มีคนมาเยือนนานมาก ดูเงียบสงบแต่ก็มีชีวิตชีวา ขาขึ้นพายทวนน้ำ แดดอัดหน้า เราซึ่งหดหัวอยู่ในหลังคามานานจนซีดขาว จากคนที่ผิวสีน้ำตาลตกกระ ชอบตากแดดเป็นชีวิตจิตใจ กลายเป็นกลัวแดดและแสบผิวง่ายขนาดหนักเลยต้องใส่เสื้อแขนยาวกันยูวีโผล่แต่ลูกกะตาเหมือนจะไปรับจ๊อบตัดอ้อยแล้วกลัวใบอ้อยบาด นกกระเต็นปีกสีฟ้าสดใสโผเกาะบนกิ่งไม้สูงๆ เสียงใบพายแหวกน้ำเบาๆ ตัดสลับกับเสียงลมเสียงป่า นกร้องและจั๊กจั่นกรีดปีก เราถามว่าเดี๋ยวนี้คนลักลอบตัดไม้ยังมีอยู่ไหม คุณป้าว่าไม่ค่อยมีแล้วเพราะ อช.เขาดูแลใกล้ชิด ขอให้จริงนะป้า มองไปหลังทิวไม้ริมน้ำ ดูด้านหลังโล่งๆ เห็นท้องฟ้าง่ายๆ ยังไงชอบกล

สิบกว่าปีก่อนปลายทางของการล่องเรือคือเดินเท้าเข้าป่ารกๆ ไปดูน้ำตก แต่โปรแกรมนี้เหลือแค่ถึงแก่งกลางน้ำที่มีผีเสื้อสวยๆ มากินน้ำที่เต็มไปด้วยแร่ธาตุที่พวกมันชื่นชอบแล้วก็ยูเทิร์นกลับ เราโอเคเพราะเราต้องเดินทางกันอีกไกล ไม่เสียเวลามากก็ดีแล้ว แต่สำหรับการอ้อยอิ่งถ่ายรูปผีเสื้อ เราก็เต็มที่ไปเลยจนหลานบอกพอเฮอะอาแอ้ คุณป้าบอกว่า ให้ลองเอามือจุ่มน้ำเปียกๆ แล้วสอดเข้าที่ด้านหน้าหนวดผีเสื้อช้าๆ เข้าตรงขาหน้า มันจะเกาะนิ้วเลย ลองแล้วเวิร์คจริงๆ ด้วยแหละ ผีเสื้อที่แก่งนี้สวยมาก บางลายไม่เคยเห็นมาก่อนเลยด้วยซ้ำ คุณป้าว่า นักดูผีเสื้อหรืออาจารย์ผีเสื้อเขานิยมมา และเวลานักท่องเที่ยวมาเต็มๆ เขาจะใช้น้ำปู (น่าจะเป็นน้ำปูดอง) มาราดเพื่อเรียกผีเสื้อมาเยอะๆ แน่ะ มีสูตรลับอีก ระหว่างที่อาแอ้ง่วนถ่ายรูปผีเสื้อ หลานชายก็ลุยน้ำเย็นเจี๊ยบกลับไปกลับมาเป็นที่น่าสนุกสนาน เอาจริงถ้าลงได้ทั้งตัวคงยิ่งสนุกแหละ

ขากลับเป็นการล่องตามน้ำ เลยใช้เวลาแค่แป๊บเดียวก็ถึง ติ๊กตาดี เห็นนกเงือกแล้วเรียกให้ทุกคนดู ผู้ใหญ่ได้เห็นหมดทุกคน เสียดายน้องคุณไม่เห็น เพราะเจ้านกได้ยินเสียงคนเอะอะเรียกชื่อมัน มันเลยทิ้งตัวลงแอบซ่อนในดงไม้หนาทึบแทนที่จะบินขึ้น ทำให้มองยังไงก็หามันไม่เจออีก ก่อนถึงที่หมายเล็กน้อย เราแวะวัดซื้ออาหารปลาและเลี้ยงปลาในเขตอภัยทานบนเรือลำน้อยกราบเรือต่ำของเรา ได้เปลี่ยนกางเกงก็เพราะอีตรงนี้แหละ เหล่าปลาคงไม่ได้กินอาหารเม็ดนานสินะ น้องคุณสนุกสนานมาก นั่งหน้าเลี้ยงปลา แล้วปลาผู้หิวโหยก็ยื้อแย่งพื้นที่ผิวน้ำ ดีดตัวสาดน้ำมาข้างหลังใส่อากับแม่มันซะชุ่ม เปียกไม่ว่า ดันเหม็นคาวปลากับอาหารเม็ดด้วยเนี่ยสิ แต่เด็กเมามันมาก

ออกจากแก่งบางระจัน เรายิงยาวกลับกรุงเทพฯ เลย รถติดเป็นระยะตั้งแต่ลพบุรียันปทุม ไม่ได้น่าเกลียดมากเพราะถนนกว้าง ติดแบบไหลๆ แต่ไม่ปรู๊ดปร๊าด และแล้วทริปแรกของศักราชใหม่ก็จบลงอย่างสวยงาม ถึงกทม. ไม่ดึกมาก แต่โคตรเพลีย แล้วก็ตัวรุมๆ อยู่อีก 1.5 วันหลังจากกลับ ไม่รู้ว่ารับเชื้อมาแล้วกำลังสู้อยู่รึเปล่า ถ้าเป็บแบบนั้นก็ชนะแหละ เพราะตอนนี้สบายๆ ชิวๆ และประกาศได้อย่างเป็นทางการว่า อิชั้นตัวจริงฟื้นจากโคม่าแล้วจ้าเวิล์ด..



โอมานอีสออซั่มมมม #๖

เมื่อถึงเวลาต้องบอกลาทะเลทราย เรามุ่งหน้ากลับสู่บ้านเงาะมาร์คแบบรวดเดียว มีแวะปั๊มกลางทางครั้งนึง เสาะหากาแฟเย็นหอมหวานที่ติดใจกันไปซะแล้ว ตอนแวะปั๊มมีเรื่องน่าเล่าอยู่เรื่องหนึ่ง แต่ไม่ใช่ของวันนี้ เป็นของวันที่เราเพิ่งออกจากแค้มปิ้งริมทะเล คือเงาะปวดฉี่มาก แต่อยู่ในชุดเสื้อกล้ามกางเกงขาสั้นสบายๆ จากชายหาดแล้วโดดขึ้นมาขับรถเลย พอถึงปั๊มจะลงรถ ก็คิดได้ว่าชุดไม่เหมาะสม ถ้าลงไปแบบนี้ชาวบ้านอาจจะไม่ชอบใจ เลยต้องเอาผ้าคุลมสองผืนให้พันตัวไปเข้าห้องน้ำ แต่ละครั้งที่เราซื้อของที่ปั๊มก็จะเจอรีแอคสองแบบ แบบหนึ่งคือเหยียดเลยตรงๆ ไม่เก็บอาการ อีชะนีผมยาว เอาเงินมาแล้วรีบไปซะมึง ชิ้วๆ อีกแบบคือบริการปกติ เพิ่มเติมคือมองมากเป็นพิเศษนิดหน่อยไม่น่าเกลียดอะไร อย่างหลังนี่เดาว่าเป็นพวก Expat เข้ามาทำงาน และพนักงานที่ปั๊มที่เจอก็ล้วนแต่เป็นผู้ชาย ไม่มีผู้หญิงเลย

สองข้างทางค่อยๆ แปรสภาพจากทะเลทรายกลายเป็นพื้นที่แห้งแล้ง ภูเขาหินสลับซับซ้อน และพอใกล้เมือง สีเขียวของต้นไม้ต้นไร่ก็เริ่มแต่งแต้มทิวทัศน์ของเราอีกครั้ง ฝ่ารถติดเล็กน้อยที่มัสกัต ถ้าเข้าใจไม่ผิด เราเจอเข้ากับขบวนเสด็จของสุลต่านด้วย ราวๆ เที่ยงวัน พระอาทิตย์กำลังขยันทำงานเต็มกำลัง เราก็ถึงบ้าน

ทุกคนช่วยกันเอาของลงจากรถ แขก (ดอย) อย่างพวกเราทำได้แค่ช่วยยกเข้าบ้าน แต่เรื่องจัดเข้าที่คงต้องเหนื่อยเจ้าบ้านแล้ว ทุกคนอาจจะกำลังมึนแดด ตอนกำลังมุดหัวเช็คของจากประตูท้ายของรถขาว มุ้ยบอกด้วยความเป็นห่วงว่า แอ้ระวังมือนะ เราหันไปถามว่า แกห่วงอะไรมือชั้น หัวชั้นนี่มุดอยู่ทั้งหัว กลายเป็นมุกประจำกลุ่มกันไป

หลังจากนั้นทุกคนก็แยกย้ายกันไปพักผ่อนคนละมุม มุ้ยเอารองเท้าอับชื้นมาล้างอย่างสะอาดแล้วปิ้งแดดที่แรงระดับที่ว่า ถ้ามีไอน้ำลอยขึ้นต่อหน้าต่อตาจะไม่แปลกใจ เราทำตามบ้าง แต่ไม่ล้างสะอาดเท่ามุ้ย กรรมเข้าภายหลังคือกลับมาแล้วรองเท้าเหม็นอยู่ ๓ เดือน ใส่ไม่ได้เลย ซักไปไม่รู้กี่รอบกว่ากลิ่นจะหาย ในขณะที่คนอื่นพักผ่อน เราต้องหาอะไรเล่นอีกเช่นเคย ด้วยความคึก และความประทับใจในรถแดง เลยเอาอุปกรณ์ออกมานั่งวาดรูปรถแดงนอกบ้าน เสียงคอมแอร์ครางต่ำๆ ได้ยินเหมือนมันกำลังพูดว่า เข้ามาตากแอร์ เข้ามาตากแอร์

ก่อนสีโมงเย็นเล็กน้อย แดดลดกำลังลงนิดหน่อย ท้องฟ้าเริ่มมีสีสวย มาร์คสลัดคราบสิงห์ทะเลทรายทิ้งไว้ที่ประตูบ้าน และใช้เวลาลุงๆ หน้าทีวี เงาะพาเราสามคนออกไปเที่ยวตลาดมัทรายามเย็น ซึ่งเป็นเวลาที่เจ้าถิ่นแนะนำว่าจะไม่ร้อนจนทรมานมากนัก

ตอนไปถึง พวกเราก็พบว่าที่จอดรถมันเป็นแบบออโต้ หยอดเงินรับการ์ดอะไรสักอย่าง ซึ่งโคตรงงเลย ต้องสะกดรอยดูว่าชาวบ้านเขาทำกันยังไง กว่าจะจอดรถได้ แดดก็กลายเป็นสีทองสวยพอดิบพอดี เราจอดรถบริเวณที่เป็นเวิ้งอ่าวที่เรือสุลต่านจอดอยู่ นกหลายตัวบินฉวัดเฉวียนใกล้ผิวน้ำ มันคงชวนเพื่อนมากินมื้อเย็นกัน ฟุตปาธตรงนี้กว้างและสวย มีคนเดินไปมาขวักไขว่ ทั้งคนท้องถิ่นและนักท่องเที่ยว เวลาถ่ายรูปต้องพยายามหลบๆ ผู้คนท้องถิ่นโดยเฉพาะผู้หญิง ไม่อยากจะมีเรื่อง

ระหว่างเดินไปยังตลาดมัทรา ทอดสายตาเลยไปนิดหน่อยจะเห็นมัทราฟอร์ทเด่นเป็นสง่าอยูบนยอดเขา ฟอร์ทนี้มีอายุเก่าแก่ถึงสี่ร้อยกว่าปี สร้างขึ้นโดยชาวโปรตุเกสเพื่อต้านทานการรุกรานของออตโตมัน สมัยที่จักรวรรดิออตโตมันกำลังรุ่งเรืองและขยายอาณาเขต พระจันทร์ใจร้อนรีบขึ้นมาพ้นขอบฟ้า โผล่หลังฟอร์ทเหมือนเรียกร้องว่า ถ่ายรูปฉันสิ

ที่ตลาดมัทรา คนเดินด้านหน้าปากทางเข้ากันขวักไขว่ เงาะบอกให้ระวังพวกคนโอมานแก่ๆ ที่ดูรวยๆ ถือไม้ตะพด บางทีไม่ชอบใจใครก็เอาไม้ฟาดดื้อๆ โดยเฉพาะผู้หญิง นี่คิดนะว่าถ้ามึงเงื้อมา กูคว้าอีกปลายละฟาดกลับแน่ๆ ฟาดมาฟาดกลับไม่โกง สัญญาเลย ดีที่ไม่มีใครเปิดก่อน เลยได้เดินตลาดอย่างสงบสุข

ร้านรวงในตลาดเปิดแผงหน้าร้านกว้างกว่าจตุจักร ข้าวของเยอะ สวยๆ แปลกตาทั้งนั้น แต่เรางกเลยช้อปมาแค่ไม่กี่อย่าง สิ่งที่พุ่งเข้าใส่เป็นอย่างแรกคือผ้าคลุมผืนใหญ่ จับแล้วรู้สึกดีว่ะ ไม่เหมือนผืนละร้อยสองร้อยที่ใช้อยู่ หลังจากต่อราคากันอย่างเมามัน ก็ดีลในที่สุด ทุกวันนี้ผ้าผืนนี้ก็ยังเป็นผืนโปรด ไปไหนมาไหนด้วยกันมาหลายทริปแล้ว นอกจากผ้า เราซื้อโปสการ์ดมาปึกหนึ่ง แล้วเห็นคนขายท่าทางใจดี เลยถามว่าเขียนภาษาโอมาน (Omani Arabic) ได้ไหม แกบอกแกเขียนไม่ได้เพราะไม่ใช่คนโอมาน แต่แกเรียกลุงท่าทางใจดีอีกคนนึงมาเขียนให้ บอกว่าลุงเนี่ยเขียนได้ เราออกเสียงชื่อตัวเองให้แกฟังสามสี่ครั้ง แกบอกเขียนให้ตรงเป๊ะๆ ภาษาโอมานไม่มีนะหมวย เลยสะกดชื่อเราออกมาคล้ายๆ ภาษาญี่ปุ่น พิทิปุ เรามีความสนใจในตัวหนังสือภาษาต่างๆ อย่างสม่ำเสมอ และปิ๊งภาษาอาหรับมาก เราว่าโคตรเท่ห์เลย พอได้ตัวสะกดชื่อตัวเองมา กลับมาก็มากูเกิ้ลดูพวก Arabic for dummies จนสะกดชื่อเพื่อนๆ ได้หมดทุกคนเลย (ที่รู้เพราะผสมอักษรแล้วเอาไปให้กูเกิ้ลอ่าน มันอ่านออกมาได้ใกล้เคียงมาก) นอกจากนั้นก็ได้หมึกเขียนเฮนน่ามาเล่น แต่สุดท้ายลองนิดหน่อยแล้วล้างไม่ค่อยออก เลยไม่กล้าเล่นเลยจ้า กลัวต้องไปเลเซอร์ลบรอยสักปานแดงปานดำ

พวกเราใช้เวลากันพอสมควรในตลาดมัทรา ถ้าเป็นคนถ่ายรูปเก่งๆ เราว่าถ่ายรูปสนุกเลยแหละ ตอนเดินกลับฟ้าก็มืดหมดแล้ว เพื่อนๆ โดนป้าร้านอินทผาลัมตกอย่างจัง ช้อปป้าไม่พอ ยังไปช้อปห้างต่ออีกคนละถังใหญ่ๆ อินทผาลัมหรือ Date บ้านเราก็ปลูกได้ แต่แปลก บ้านเราน้ำมากกว่า ลูกมันกลับไม่หวานหอมเหมือนของปลูกทะเลทรายแท้ๆ พอออกจากตลาด เราสี่คนก็เลยมุ่งหน้าไปห้างสำหรับมื้อเย็น และสำรวจซุปเปอร์มาร์เก็ตก่อนกลับ รีวิวแบบเร็วๆ เลยนะ อาหารญี่ปุ่นไม่อร่อย อินทผาลัมถูก และชีสต่างๆ ราคาถูกมาก

ด้วยความกระหายอาหารญี่ปุ่นเลยลองไปจัดดูซักหน่อย ปรากฏว่าสวยแต่รูปว่ะ ความอร่อยไม่สมราคาเท่าไหร่ แต่ก็แก้ขัดพอได้

เช้าวันถัดมา เราตื่นแต่เช้าเฝ้าตะวันขึ้นบนดาดฟ้าตามปกติ จากนั้นก็แพ็คกระเป๋าอย่างยากลำบากเพราะต้องหาที่ยัดชีสกับอินทผาลัมถังย่อมๆ เนื่องจากสายวันนั้นเราจะไปชมแกรนด์มอสก์ ซึ่งเราขอแปลเองว่ามัสยิดหลวงก็แล้วกัน ในมัสยิดย่อมจะมีเดรสโค้ด ซึ่งก็ไม่ยากแค่ปิดแขนขาและผม ชุดเราเตรียมมาแล้ว ผ้ามี แต่โพกผ้าไม่เป็นเลยเปิดยูทูปทำตาม ซ้อมอยู่หลายรอบกว่าจะโพกให้แน่นได้ แต่ออกมาแล้วดูไม่จืดเลย การโพกผ้าฺฮิญาบน่าจะเหมาะกับคนที่หน้าคมๆ ตาโตๆ เพราะสีเข้มของผ้าจะไม่สามารถกลบเครื่องหน้าได้ แต่อีป้าตาตี่แบบเรา แม่งขนมเข่งมากๆ อะ แก้มมันล้นออกมาแล้วตาเป็นขีดๆ บัดซบ

มาถึงตรงนี้ เราเสียใจที่จะต้องเล่าตามตรงว่า เราไปถึงลานจอดรถของมัสยิดหลวงซึ่งค่อนข้างกว้างและอยู่ด้านหลัง ต้องอ้อมประมาณนึงถึงจะเจอทางเข้าตอนเวลา ๑๐:๔๐ ด้านในสุดของมัสยิดเปิดให้ชมถึง ๑๑:๐๐ โดยเวลาที่เหลือเดินภายนอกได้อีกนิดหน่อยก่อนถูกกวาดต้อนออก โอ๊ย.. รีบมาก ลนลานที่สุด เสียดายที่ไม่ได้ใช้เวลาชมช้าๆ คนไม่เยอะเท่าไหร่ มัสยิดหลวงสวยงามและโอ่โถงมากๆ แดดแจ่มจ้ายามสายซอกซอนเข้าไปทุกอณูที่จะเข้าได้

เขียนยังไม่เสร็จ ไปนอนละ พรุ่งนี้ต้องตื่นเช้า เดี๋ยวมาแก้วันหลัง บั๊ย..

โอมานอีสออซั่มมมม #๕

หลังจากมื้ออาหารริมชายหาดอันสวยงาม เราก็หันหลังให้ทะเลน้ำ และมุ่งหน้าเข้าสู่ทะเลทราย ด้วยสภาพที่เพลียเพราะเดินตากแดดกันมาก่อนต่อด้วยกินอิ่มเป็นงูหลามย่อมๆ ก็ห่วงเงาะว่าจะขับรถไหวไหม อย่างที่เกริ่นไว้ทีแรกว่าเราถือใบขับขี่สากล ซึ่งเงาะบอกว่าขับรถส่วนบุคคลที่โอมานไม่ได้ ตุ๊กตาหน้ารถทำอะไรมากไม่ได้เลยชวนเม้าท์รัวๆ ถ้าจะปลอดภัยเรื่องดาราเซเล็บที่เผือกๆ ไว้ก็ได้เวลางัดมาใช้กันล่ะ เป็นเซฟท็อปปิคที่ตาสว่างดีเหมือนกัน ทั้งๆ ที่ใครได้กับใครมันก็ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเราซักหน่อยนี่หว่า

ตอนมาถึงเมือง Bidiyah ปราการด่านสุดท้ายก่อนเข้าทะเลทรายเงาะก็โดนตำรวจเรียกไปทีนึง ดูเหมือนว่าเรียกเพราะเหยียดความเป็นผู้หญิงไม่คลุมผม และพอดูเอกสารพบว่าเป็นต่างชาติก็ตั้งท่าจะเล่นใหญ่ เงาะมีเอกสารครบหมดทุกอย่าง แต่หมาต๋าก็ลีลาอยู่นาน รู้สึกเหมือนพยายามถ่วงเวลาหาเรื่อง จะยังไงก็ไม่รู้แหละ ถึงมาร์คมุ้ยจะนำหน้าไปก่อนแล้ว แต่ถ้าหันหลังมาเห็นว่าไม่ตามคงย้อนกลับมาดู รู้อย่างนี้ก็อุ่นใจว่ายังไงก็มีแบ็คอัพ ถ้าไปคันเดียวผู้เป็นหญิงล้วนในประเทศที่ผู้หญิงควรเสงี่ยมเจียมตัวอยู่แต่ในรั้วบ้านก็คงเสียวๆ เหมือนกัน ชีวิตคู่ก็คงแบบนี้มะ รู้สึกมีแบ็คอัพ?

อันนี้ก็ไม่รู้สินะ ไม่มี ฮ่าๆๆ

ที่บิดิยาห์ ออกเสียงถูกรึเปล่าไม่รู้เหอะ เราเปิดกูเกิ้ลแม็พเดินทางตามปกติ แล้วก็ค้นเจอชื่อที่พักของเราซึ่งอยู่ลึกเข้าไปในทะเลทรายประมาณ ๒๐ กม. แต่การนำทางของกูเกิ้ลมันหายไป เพราะไม่มีถนนแล้ว เงาะมาร์คจอดรถปรึกษากันว่าจะเลี้ยวเข้าทะเลทรายตรงไหนดี เราอยากแสดงความเห็นว่าไปตามรอยทรายที่ดูจากแม็พแบบภาพดาวเทียมดีไหม แต่ก็ไม่มีข้อมูลอะไรมาแบ็คอัพ รอยทรายนั้นมันคืออะไรยังไม่รู้เลย สุดท้ายขบวนของเราก็มุ่งหน้าเข้าสู่ทะเลทรายด้วยเส้นทางเก่าที่เงาะมาร์คเคยมาเที่ยวก่อนหน้านี้

สองข้างทางสวยอลังการมาก ซึ่งแน่อยู่แล้วล่ะมันครั้งแรก มันต้องอู้อ้า น่าตื่นเต้นไปหมด แต่แถมพิเศษไปกว่านั้นอีกด้วยแสงเย็นสีทองที่เป็นฟิลเตอร์ฉาบทุกสิ่งทุกอย่าง ตั้งแต่หมู่บ้านน้อยๆ ชิดเนินทราย ต้นไม้ห่างๆ นานๆ ต้นที่ยืนหยัดอยู่ท่ามกลางความแห้งแล้งได้อย่างน่าประหลาด อูฐกลุ่มละสามสี่ตัวที่เดินเนิบๆ ไม่มีถนนที่มนุษย์สร้างแล้ว ยานพาหนะของเราเคลื่อนตัวไปตามรอยล้อที่ประทับบนผืนทรายของรถคันอื่นๆ ก่อนหน้า ช่วงแรกๆ ทรายนุ่มๆ หายไปจากผิวเป็นระยะทางไกล เผยให้สัมผัสถึงผิวดินแน่นๆ ด้านล่าง ที่อัดตัวเป็นคลื่นขนาดแลมบ์ดา ๐.๕ – ๑ เมตร รถเราสั่นกระพือทุกครั้งที่ขับไปบนลอนคลื่นพวกนี้จนหัวสั่นหัวคลอนไปหมด รถแดงของมาร์คขับนำหน้าไปไกล บางจุดเรางงว่าตะกี้รถพ่อบ้านเขาลงเนินไปทางซ้ายหรือขวาวะ ต้องเดาๆ ตามรอยฝุ่นกันไป รถขาวคันนี้เป็น SUV แม่บ้านที่มีระบบขับเคลื่อนสี่ล้อด้วย มาร์คอธิบายทีหลังว่า รถธรรมดาที่ไม่ได้แต่งมาเพื่อขับในทะเลทราย สามารถปล่อยลมยางออกเยอะๆ ได้เพื่อช่วยให้ล้อมันไม่จมจนติดทราย แต่แกบอกว่ารอบนี้ไม่ได้ให้ปล่อยลม เพราะขี้เกียจไปหาที่เติมลมตอนออกจากทะเลทราย ตรงจุดที่ทรายนุ่มๆ หนาๆ จึงต้องขับด้วยสกิลแทน ซึ่งจะเล่าเป็นลำดับถัดไป

ก่อนหน้าที่เราจะมา พวกเราหาข้อมูลและเจอคนไทยรีวิวการท่องเที่ยวทะเลทรายโอมานที่มีภาพประกอบทำให้เข้าใจได้ว่า พวกเขาเดินทางด้วยการขับรถเช่าคันน้อยๆ ไปเที่ยวที่ต่างๆ ตลอดจนไปนอนแค้มป์ทะเลทราย เราว่าการรีวิวแบบนี้ ไม่โอเคนะ มันอาจจะน้อยครั้งมากที่มีใครออกเดินทางอ้างอิงจากข้อมูลของเราจริงๆ แต่ถ้าเกิดมีขึ้นมา ข้อมูลแบบนั้นอาจจะเป็นอันตรายกับคนอื่นได้ โปรดฟังอีกครั้งหนึ่ง

รถ ธรรมดา ขับ เข้า ทะ เล ทราย ไม่ ได้ นะ

แม้แต่ผู้ชำนาญการยังมีพลาด เรารู้ตัวตอนที่ตำแหน่งในกูเกิ้ลมันขยับจนเรามาถึงบริเวณที่ควรจะเป็นแค้มป์แล้ว แต่ไม่เห็นแค้มป์ เพราะแค้มป์อยู่อีกฝั่งของเนินทรายสูงๆ ที่ถ้าเรามาด้วยคันแดงคันเดียว มาร์คคงพาไต่ข้ามไปละ แต่มีรถขาวด้วยเลยได้แต่มองตาปริบๆ พระอาทิตย์กำลังลับหายไปที่หลังเนินทรายอีกด้าน และความมืดมิดค่อยๆ โรยตัวลงมา ถ้ายังเร้าใจไม่พอ น้ำมันรถทั้งสองคันก็พร่องไปเยอะด้วยโดยเฉพาะคันขาวเพราะถังเล็กกว่า ตั้งแต่ออกมายังไม่ได้เติมเลย เราพยายามหาจุดที่โทรศัพท์มีคลื่น แล้วโทร.ถามที่พัก เขาบอกต้องมาเช็คอินกับเขาที่เมืองบิดิยาห์ก่อน ถึงจะนำทางเข้ามาได้ โอ้วมายก้อด พวกเราโวยวายกันใหญ่ว่าทำไมเพิ่งมาบอกวะ ก่อนจะพบว่า เขาเขียนไว้ในคอนดิชั่นตอนที่จองแล้วแหละ อ่านไม่ถึงเอง วั้ยยยย ขาเข้ามา เราชิวๆ ชมอูฐชมวิว ใช้เวลาเกือบชั่วโมง มาถึงจุดที่ต้องเลี้ยวกลับ มาร์คขับนำแบบเร็วขึ้นมาก เงาะก็เลยขับเร็วตาม แปลกมากที่พอใช้ความเร็วสองเท่าแล้ว ตอนผ่านพื้นที่เป็นคลื่นๆ นั่นมันไม่กระแทกอีกเลย เหมือนลอยผ่านไปเฉยๆ เลย ใช้เวลา ๒๐ นาทีก็กลับถึงตัวเมือง ไวจุง

หลังจากเติมน้ำมันแล้ว เราก็ไปเช็คอินที่ส่วนต้อนรับ ซึ่งเป็นชั้นสองของอาคารพาณิชย์แห่งหนึ่ง โถงนั้นตีโล่งตลอดไม่มีกั้นห้อง มีโต๊ะพนักงานต้อนรับกับชุดรับแขก ทั้งหมดตกแต่งในสไตล์สากลปนอาหรับดูแปลกตาดี เจ้าหน้าที่ให้เรานั่งพัก ดื่มน้ำ และค่อยๆ ทำตามขั้นตอนต่างๆ อย่างสโลว์โมชั่นสุดๆ แต่เราก็ไม่มีอะไรจะรีบแล้วตอนนั้น ก็เลยปล่อยให้พ่อคุณได้ละเมียดละไมไป เราต้องกรอกข้อมูล ยื่นเอกสาร และจ่ายเงินที่นั่น และรออีกพักใหญ่รถขับนำจึงมาถึง

ก่อนหนึ่งทุ่มเล็กน้อย ท่ามกลางความมืดสนิท รถสามคันขับตามกันมุ่งหน้าเข้าสู่ทะเลทรายเวิ้งว้าง เห็นแค่ไฟท้ายของคันหน้าที่วับแวมปรากฏขึ้นและหายไปตรงเนินลูกนั้นลูกนี้ หลังผ่านพื้นดินแน่นๆ มาได้ไม่นานก็ถึงจุดที่ทรายนุ่มหนา พอต้องขึ้นเนินทรายเนินแรก รถขาวก็ติดทรายทันที ยิ่งเดินหน้าล้อยิ่งปั่นจมลงไปในทราย เงาะต้องถอยหลังยาวมาตั้งต้นใหม่ สองคันหน้าวนกลับมาและแนะนำว่าให้ขับไปเลยโดยไม่หยุดไม่ชะลอ ถ้าความเร็วตก ล้อมันจะจมทรายทันที คราวนี้ยิ่งเร่งยิ่งจม พยายามอยู่พักหนึ่ง มาร์คก็มีวิธีที่ดีกว่า คือสลับคันกันขับ เพราะรถแดงแค่เหยียบคันเร่งมันก็ไปได้หมดอยู่แล้ว ส่วนแกจะมาขับคันขาว มุ้ยกับหนิงย้ายตามเงาะไปคันแดง แต่เราขออยู่คันขาวเพราะอยากดูโปรขับแบบริงไซต์

โอ้โห โปรก็คือโปร มาร์คขับรถแม่บ้านจับพวงมาลัยมือเดียว ไต่ขึ้นเนินทรายสูงๆ หนานุ่มด้วยการเลี้ยงพวงมาลัยซ้ายขวาๆ ทีละน้อยด้วยความเร็วพอสมควรและสม่ำเสมอ ทำให้รู้สึกว่ารถกำลังเลื้อยขึ้นเนินเหมือนงู ลื่นไหลเหมือนกำลังเซิร์ฟอยู่บนคลื่นทราย เป็นอะไรที่โคตรเจ๋งมาก อยากหัดขับแบบนี้บ้าง เราทักว่า นี่มันยังไม่ท้าทายพอ ยูขับวันแฮนด์เลยเหรอ มาร์คปล่อยมือทันที โนแฮนด์ก็ได้นะ แว้กกกกก

มาร์คบอกว่า เมื่อกี้ตอนหลงทางแล้วต้องขับกลับ ภาคภูมิใจภรรยามาก พอคับขันขึ้นมาก็ขับรถเร็วเป็นด้วยแฮะ เราบอกว่า ขาเข้ามัวแต่กรี๊ดกร๊าดกันไง มันเลยช้า แกตะโกนว่า ยูก็ต้องหยุดพูดบ้างเซ่ ฮ่าๆๆ

เรามาถึง Safari Desert Camp ในที่สุด พอลงรถก็พบว่าอากาศเย็นและรู้สึกเบาสบาย บ้านพักแต่ละหลังเป็นบ้านดินสีน้ำตาลเหมือนทะเลทราย กระจายตัวกันในบริเวณรั้วเตี้ยๆ แผ่กว้างบนที่ราบใกล้เนินทราย แต่ละจุดสว่างเรืองๆ ด้วยแสงไฟโซลาร์เซลล์ สำหรับคนที่ยังไม่เคยมีประสบการณ์อยู่ในพื้นที่กันดารที่สร้างแสงสว่างยามค่ำคืนด้วยไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ ต้องขออธิบายให้เห็นภาพว่า มันไม่ได้สว่างเหมือนหลอดไฟบ้าน ถ้าใช้หลอดสีเหลืองมันก็จะสว่างเหมือนแสงจันทร์ดวงน้อยๆ ที่เอามาเปิดต่อๆ กัน หลอดสีขาวอาจจะสว่างกว่าเล็กน้อย แต่ก็จะอ่อนแสงลงเรื่อยๆ เมื่อไฟเริ่มพร่องจากหม้อแบต เจ้าหน้าที่ต้อนรับพวกเราและพาพวกเราไปส่งบ้านพัก ซึ่งได้อยู่กันคนละฟากแค้มป์ เราจะเก็บข้าวของและออกมากินอาหารเย็นซึ่งรวมอยู่ในแพ็คเกจ ทางเดินน้อยๆ เชื่อมแต่ละบ้านเข้าหากัน ถึงจะไม่มีอะไรบดบังสายตาเลย แต่มันมีทางแยกเยอะ และบ้านแต่ละหลังก็เหมือนกันไปหมดจนดูงงมากๆ ในแสงสลัวๆ เราจึงท่องจำเส้นทางเดินกลับมายังห้องอาหารเอาไว้ “ขวา ถึงสามแยกแล้วซ้าย เจออีกแยกตรงไป เห็นเสาไฟเตี้ยๆ เดินเลยเสาไป เลี้ยวขวา เจอต้นไม้ หลังที่สองถัดจากต้นไม้ ฯลฯ”

เรามุ้ยหนิงนอนห้อง ๓ คน ด้วยกัน เป็นห้องที่เหมาะกับความต้องการด้วยเตียงควีนไซส์ ๒ เตียงและเตียงเดี่ยวปกติอีก ๑ เตียง มีหน้าต่างสองด้าน ห้องน้ำอยู่ด้านนอกและไม่มีหลังคา สามารถแหงนหน้าชมพระจันทร์ได้พร้อมๆ กับอาบน้ำด้วยเรนชาวเวอร์ ซึ่งความแรงของน้ำปกติจนน่าประหลาดใจ เพราะมองไม่เห็นทาวเวอร์เก็บน้ำอยู่ในระยะใกล้ๆ เลย และไม่ได้ยินเสียงปั๊มน้ำด้วย เลยเป็นปริศนาที่เพื่อนๆ อาจจะไม่สนใจ แต่เราหมกมุ่นอยู่นาน (สุดท้ายเราสมมติเอาเองว่า ถ้าเราเป็นคนออกแบบที่นี่ อยากให้น้ำแรง แต่ไม่อยากใช้ปั๊มออโต้ให้เกิดเสียงรบกวน ทางที่ดีที่สุดคือใช้แรงโน้มถ่วงสร้างแรงดันน้ำ แต่ไม่อยากตั้งทาวเวอร์ทำลายความสวยงามของทิวทัศน์ เราอาจจะเอาแทงค์น้ำไปฝังบนยอดสูงสุดของเนินทรายแล้วเดินท่อมายังจุดจ่าย ก็อาจจะเป็นไปได้..)

ในห้องอาหารที่มีแสงสว่างไม่เพียงพอ ถาดอาหารเรียงอยู่ด้านหนึ่ง ที่นั่งส่วนมากเป็นโต๊ะเก้าอี้ แต่ด้านริมสุดมีที่นั่งแบบเทรดดิชั่นนอล เป็นเหมือนโซฟาไม้ยาวๆ ชิดผนัง ประดับด้วยพรมหนาๆ ทั้งบนที่นั่งและที่พื้น มีผู้ชายอาหรับสามสี่คนนั่งชันเข่าคุยกันเบาๆ ปรายตามองนักท่องเที่ยวแบบเหยียดๆ ตามที่เกริ่นไว้ตอนต้นๆ ว่าคนโอมานแท้มีจำนวนน้อยมากจนต้องเอาท์ซอร์สต่างชาติเข้ามาทำงานมากมาย สำหรับคนจากแดนไกลอย่างเรา ตอนแรกๆ ก็ดูไม่ออกว่าใครเป็นคนโอมานใครเป็นต่างชาติ แต่หลายวันผ่านไป เริ่มบอกได้ว่าผู้ชายชุดขาวพันผ้าบนหัวที่มองคนอื่นเหยียดๆ เป็นไปได้มากว่าเป็นคนโอมานแท้

โต๊ะวางถาดอาหารอยู่ในจุดที่แสงไฟอ่อนมาก เรามะงุมมะงาหราสุ่มๆ ตักอาหารกันในความมืด พนักงานสาวภาษาอังกฤษคล่องแคล่วคนหนึ่งเข้ามาคุยด้วยและถามว่าเราต้องการขี่อูฐไปดูพระอาทิตย์ขึ้นตอนเช้าไหม เรา หนิงและมุ้ย ตกลงจองขี่อูฐซึ่งต้องตื่นตั้งแต่ตีห้า (ไม่ได้ลำบากอะไรนี่ นาฬิกาชีวภาพคือแปดโมงเช้า) ส่วนเงาะกับมาร์คเคยทำสิ่งนี้มาแล้ว เลยขอตัวนอนให้เต็มอิ่ม

หลังกินข้าวเย็นเสร็จ (อาหารอาหรับอร่อยมาก ขนาดมองไม่ค่อยเห็นว่ากินอะไรไปบ้าง แต่ก็เอนจอยสุดๆ) เราเดินเล่นรอบๆ มีเต็นท์กระโจมเปิดโล่งที่กางไว้ให้บรรดาผู้ชายไปนั่งดูดบารากู่แล้วพูดคุยกัน มาร์คไปนั่งก่อน พวกเราก็เลยตามไป เขาเอาพรมปูลงไปบนทราย แล้วมีหมอนอิงวางไว้หลายใบ เรานั่งเอนหลังตรงส่วนที่อยู่นอกหลังคาเต็นท์ หูฟังบทสนทนา ตาก็แหงนมองฟ้าที่ปราศจากแสงรบกวน ตาวเต็มฟ้า อากาศเย็นและแห้งกำลังสบายพร้อมลมพัดเบาๆ เมื่อได้เวลาพอสมควร เราก็แยกย้ายกันกลับบ้านพัก เราหนิงและมุ้ยยังลากเก้าอี้นั่งเล่นไปกลางลานหน้าบ้าน แล้วนั่งดูดาวกันอยู่อีกพักใหญ่ เนื่องจากบ้านพักไม่มีแอร์ ถึงอากาศจะกำลังสบายแต่ก็ต้องนอนเปิดหน้าต่างอยู่ดี ไม่งั้นจะเริ่มไม่เย็นสบายละ มาร์คบอกว่าให้สังเกตทิศทางลมที่พัด ให้ปิดหน้าต่างด้านที่ลมจะเข้า แล้วเปิดด้านที่อยู่ปลายลมแทน เพราะเวลาลมมันพัดมันจะหอบทรายเข้ามาด้วยตลอดเวลา

เช้าวันต่อมา เราตื่นก่อนเวลานัดเล็กน้อย เตรียมตัวไปขี่อูฐด้วยเสื้อผ้าที่กระชับ และรองเท้าผ้าใบที่ยังไม่แห้งสนิทดีจากวาดี้ชาบแต่จำเป็นแล้วล่ะ ใส่ๆ มันไป สำหรับตัวเราเอง มีประสบการณ์อยู่บ้างนิดหน่อย เคยฝึกขี่ม้าเล่นๆ มาก่อน แล้วก็เคยนั่งอูฐระหว่างไปเที่ยวมาแล้วหนึ่งครั้ง กับความคุ้นเคยในสัตว์กีบเพราะที่บ้านมีอยู่ฝูงใหญ่ ทำให้พอจะรู้ว่าต้องเตรียมอะไรไปบ้าง แต่สิ่งที่ทำให้กังวลใจคือ ตอนตีห้าครึ่งทุกอย่างยังมืดสนิท เราเดินงมทางกลับไปทางอาคารห้องอาหาร ระหว่างทางเจอซุ้ม ที่นั่งตะคุ่มในความมืดคือผู้ชายแต่งชุดขาวชาวโอมาน เขาบอกว่าเขาคือคนที่จะมาพาขี่อูฐ ตอนเดินตามเขาผ่านซุ้ม ออกนอกรั้วของแค้มป์ไป รู้สึกหวาดๆ ว่านี่ถ้าหลอกไปทิ้งกลางทะเลทรายจะทำไงวะเนี่ย

คณะน้อยๆ ของเรามีอูฐสามตัวรออยู่แล้ว เราได้ขึ้นคนแรกตัวหน้า อาจจะเพราะกล้ากว่าเพื่อนๆ หรือไม่ก็อ้วนสุด เพราะโดยมากคนจูงจะจูงเฉพาะตัวหน้า แล้วเอาเชือกผูกตัวหลังๆ ไว้กับตัวหน้าอีกที สัมภาระหนักสุดก็อาจจะเหมาะที่เอาไว้กับตัวที่เป็นผู้นำฝูง เป็นข้อดีที่ทำให้เราถ่ายรูปสวยๆ ได้ทันทีที่จับจังหวะเดินของน้องอูฐได้แล้วก็กล้าปล่อยมือ และยังหันหลังกลับไปถ่ายรูปเพื่อนๆ ได้อีกด้วย

อูฐนี่เวลาจะนั่งมันจะคุกเข่าเอาขาหน้าลงก่อน และเวลาจะลุกจะเอาขาหน้าขึ้นทีหลังเสมอ เพราะฉะนั้นช่วงเวลาน่ากลัวของเราก็จะเป็นเวลาลุกนั่งของน้องๆ นั่นเอง ตอนน้องอูฐเหยียดขาหลังขึ้นก่อน เราก็จะหน้าคะมำอย่างแรง ส่วนตอนคุกเข่าลงนั่งก็จะหัวทิ่มแรงกว่าอีกประมาณ ๒๐% ขาน้องผอมๆ แต่แข็งแรงมาก ส่วนเท้าทั้งสี่บานออกเป็นปุ้มๆ ใต้ฝ่าเท้าเป็นเนื้อนูนท่าทางจะนุ่ม เวลาเดินแล้วเกาะทรายดีเยี่ยม เห็นอูฐที่โอมานแล้วรู้สึกว่าอย่างน้อยก็ปฏิบัติกับพวกมันดีพอสมควร ไม่แทงจมูกสนตะพาย แต่ใช้วิธีผูกขุมแทน เราตั้งชื่ออูฐของพวกเราว่า อูฐหนึ่ง อูฐสอง และอูฐสาม

ทันทีที่พร้อม อูฐทั้งสามนำด้วยการเดินจูงของชายชุดขาวก็พาเราฝ่าความมืดสู่เนินทราย คนจูงอูฐสุภาพและพูดภาษาอังกฤษได้นิดหน่อย แนะนำตัวว่าเขาเป็นชาวปากีสถาน ที่มาทำงานอยู่ที่นี่ (มิน่าล่ะ ถึงได้ดูอ่อนโยนใจดี) เส้นทางการเดินก็จะไต่ระดับขึ้นไปเรื่อยๆ บางจุดที่ชันน้องๆ ก็จะเดินเลียบพื้นที่ลาดเอียงอย่างมั่นคง ถึงอย่างนั้นก็มีสไลด์เหมือนกัน เสียวมากแต่เรากับเพื่อนๆ ก็เป็นพวกไม่ส่งเสียง ยิ่งตกใจยิ่งเงียบกริบ พอแสงสว่างค่อยๆ เพิ่มมากขึ้น เราก็มองเห็นริ้วสีขาวที่ถมตรงกลางระหว่างเนินทรายสูงๆ ถึงกับตะลึงไปเลยว่า อยู่ๆ ได้ดูทะเลหมอกด้วยว่ะเฮ้ย

พอเดินมาถึงเนินทรายที่สูงสุดในละแวกนั้น ขบวนของเราก็จอดให้ลงไปนั่งรอดูพระอาทิตย์ขึ้น มีนักท่องเที่ยวเป็นฝรั่งอีก ๑ ครอบครัวที่มีเด็กด้วย แต่วิวกว้างใหญ่ระดับนี้ ต่างคนต่างก็จับจองที่ยืนที่นั่งห่างๆ กัน ทรายที่ผ่านค่ำคืนมาหยกๆ เย็นเจี๊ยบและนุ่มมากๆ ไม่เหมือนทรายทะเลโดยสิ้นเชิง ทุกๆ ก้าวของเราเป็นการประทับรอยเท้าก้าวแรกของเช้านั้น เวลาต้องเดินไปบนริ้วลายของทรายที่เป็นคลื่น ทั้งรู้สึกว่าเราทำลายความงามตามธรรมชาติ แล้วก็รู้สึกฟินไปพร้อมๆ กัน เราวางกระเป๋าลง แล้วนั่งลงบนทรายนุ่มๆ เพื่อเสพบรรยากาศ จนกลับถึงไทยแล้วถึงได้เจอว่าทรายบนยอดเนินมันไหลเข้ากระเป๋าเยอะพอสมควร ดีใจมาก รีบเทใส่ถุงเก็บไว้ ไว้เอามือล้วงบี้เล่นๆ เวลาคิดถึง

พระอาทิตย์ขึ้นแล้ว ทุกอย่างมีฟิลเตอร์สีทองมาครอบอีกครั้ง ขบวนของพวกเราออกเดินลงเขากันพร้อมๆ กับแดดที่ค่อยๆ เผาให้หมอกจางหายไป อูฐสองที่หนิงขี่ ยื่นหัวมาเสมอไหล่ของอูฐหนึ่ง แล้วหันหัวมาดูเราบ่อยๆ หันดูไม่พอ เอาตัวมาสีขาดีฉันเลยค่ะ เราจับหัวมันเล่น มันไม่ว่าอะไรด้วย เหมือนเป็นเพื่อนกันเลย แต่หนิงบอกเสียวมาก เพราะหัวมันมาเล่นกับเรา แล้วตัวมันก็เบียดอูฐหนึ่งไปด้วย เวลาเบียดกันตรงทางลาดเอียงก็น่าหวาดเสียวซะเหลือเกิน ส่วนมุ้ยบ่นว่าอูฐสองเดินไปขี้ไปตลอดเวลา

เบื้องล่างที่ซาฟารีแค้มป์ หมอกบางๆ ยังลอยปกคลุมเฉพาะบริเวณแค้มป์ ทำให้ดูสวยอย่างประหลาด หิวก็แสนจะหิวแต่เราก็วิ่งเล่นถ่ายรูปไปมาก่อนที่แสงนวลตาของยามเช้าจะจากไป

ที่ห้องอาหาร มีแสงสว่างและมองเห็นแต่ละเมนูแล้ว ทำให้พวกเรากินกันอิ่มแปล้เลย เรากับมุ้ยน่าจะวนไปตักฮัมมูสกันคนละสามรอบได้ ตั้งแต่กลับมายังไม่ได้กินอีกเลย อยากกินว้อยยยย

พนักงานสาวที่ต้อนรับเราเมื่อคืนมาทักทายว่าขี่อูฐเป็นไงบ้าง เรากำลังตื่นเต้นเลยโม้กับน้องแบบรัวๆ ว่ามันสุดยอดขนาดไหน ถึงกับวิ่งไปเอากล้องมาเปิดรูปโชว์ น้องคุยกับเราไม่หยุดเหมือนกัน แล้วก็เริ่มขอจับผม น้องบอกว่าเจ๊ (แปลเป็นไทยให้เลย น้องน่าจะเรียกเจ๊นี่แหละ) ผมเจ๊สวยจังค่ะ ยาวมากด้วย

เรามองหน้าคมๆ ของน้องซึ่งเป็นสาวโอมานแท้ โพกผ้าฮิญาบหลวมๆ มีปอยผมโผล่ออกจากผ้าโพกตรงนั้นนิดตรงนี้หน่อย แสดงว่าน้องต้องเฟี้ยวพอสมควร เลยเติมเชื้อให้ซะหน่อย “เจ๊เชื่อว่าผมหมวยก็ต้องสวยเหมือนกัน แต่หมวยต้องซ่อนมันไว้ใช่ไหมล่ะ”

เราตกลงเวลาออกเดินทางกันไม่เกินสิบโมง หลังเก็บกระเป๋าเช็คเอาท์เรียบร้อย มองเห็นรถแดงไต่เนินเล่นอยู่ไกลลิบๆ พอเราถามมาร์คว่า ทำไรน่ะ มาร์คก็อัญเชิญเราสามคนขึ้นรถทันทีเป็นการแสดงพิเศษแถมท้าย ส่วนเงาะขอยืนดูข้างล่างดีกว่า รถแดงแรงฤทธิ์ไต่เนินสูงที่เป็นทรายนิ่มๆ ขึ้นไปหน้าตาเฉย มองลงมาเห็นซาฟารีแคมป์เป็นจุดเล็กๆ หลังจากไต่ขอบตรงนั้นตรงนี้โหมโรงได้พอสมควรแล้วก็มาถึงไฮไลท์ มาร์คขับรถทิ่มลงเนินชันๆ ไปตรงๆ เลยจ้า ท่ามกลางเสียงอึกอักของผู้โดยสารที่ควรจะกรี๊ดแหละ แต่ดันเป็นพวกตกใจเงียบกัน ขณะที่รถไหลลงมาตามทางลาดชัน มันค่อนข้างไปด้วยแรงโน้มถ่วงแล้ว แต่สังเกตว่ามาร์คจะบังคับพวงมาลัยเหมือนงูเลื้อยเล็กๆ อีก คล้ายกับว่าเฉียงล้อเพื่อเพิ่มแรงต้านทานไม่ให้มันพรวดลงเร็วจนรถพลิก

รูปนี้เงาะถ่าย ไม่ใช่แค่โชว์ไต่ขอบ แต่ตอนจบดิ่งลงมาตรงๆ เลย

จะอย่างไรก็เถอะ อีนี่หนุกมากกกก มันส์มาก โอ๊ยชอบ อยากลองขับเองด้วยซ้ำ ตอนลงมาจอดหน้าแค้มป์ได้สำเร็จ เห็นครอบครัวฝรั่งครอบครัวหนึ่งยืนอึ้งอยู่ คงสงสัยว่าบริการของรีสอร์ทรึเปล่า ราคาเท่าไหร่นะ

การเดินทางกลับไม่ต้องมีคนนำแล้ว เพราะว่าสว่างมองเห็นทาง มาร์คมาขับรถขาวนำ เงาะขับรถแดงตาม ผู้โดยสารนั่งเหมือนขามา รู้สึกเหมือนได้เล่นโรเลอร์โคสเตอร์น้อยๆ แถมท้ายอีก ๒๐ กม. โคตรมันเลยท่านผู้ชม

โอมานอีสออซั่มมมม #๔

ความเดิมตอนที่แล้ว พวกเราหุบแคมป์ขึ้นรถ และออกเดินทางกันต่อ จากหาดที่กางเต็นท์นอนไปยังที่แวะลำดับถัดไป ระยะทางจริงๆ ไม่ได้ไกลเลย แต่มีความระทึกเกิดขึ้นจนได้ เพราะว่าที่เห็นเมฆดำๆ เมื่อค่ำวาน กับฝนลงเม็ดนิดๆ หน่อยๆ นั่น กลับทำให้เกิดน้ำหลากกระทันหัน แล้วไหลตัดเอาถนนเลียบทะเลขาดบางจุด ลักษณะพื้นที่รับน้ำเป็นแบบเดียวกับหาดที่เราอยากให้ตั้งแคมป์ทีแรกแล้วมาร์คบอกว่าเป็นทางน้ำไหล ไม่ปลอดภัย นั่นเอง โห.. โปรจริงไรจริง ข้าน้อยขออภัยที่ลบหลู่เม้าในใจว่าเฮียนอยด์ไปรึเปล่า ข้าน้อยผิดไปแล้ว

นอกจากรถเราสองคัน ยังมีรถยนต์คันอื่นอีกสองสามคันที่ขับวนๆ กันไปมา หาทางกลับเข้าสู่ถนนหลัก เมื่อขับไปถึงทางตันก็ต่อแถวกันถอยยาวและยูเทิร์น ทุกคนดูงงๆ และชิวๆ ปะปนกันไป หลังจากพยายามอยู่พักใหญ่ รถทุกคันก็กลับเข้าสู่ถนนหลักได้สำเร็จ ไม่นานนักเราก็มาถึง Wadi Shab โอเอซิสที่เป็นที่นิยมของเหล่านักท่องเที่ยว แต่ไม่รู้นิยมกันประสาอะไร ข้อมูลในอินเตอร์เน็ตที่จะทำให้เข้าใจลักษณะพื้นที่ มีน้อยมาก เนื่องจากเงาะมาร์คยังไม่เคยมาที่นี่ เราก็พยายามค้นข้อมูลทั้งเว็บไทยและเว็บเทศ แต่นอกจากรูปสวยๆ แล้ว ก็ไม่ค่อยได้ความอะไรนัก เว็บไทยมีกระทั่งรูปสาวสวยในชุดเดรสยาว แต่งหน้าเต็ม ซึ่งภาพแบบนี้จะทำให้คิดอะไรได้มากไปกว่า อ้อ มันสะดวกสบายล่ะ จริงไหม

ชีวิตจริงนี่เพลงพี่ใหม่ต้องขึ้น มันไม่ใช่เลย มั้นมั้ยใช่เลยยยย..

เราเพิ่งรู้ว่าความแม่บ้านทำให้เงาะมัวแต่บริการทุกคนจนยังไม่กินข้าว แต่ห่อข้าวใส่กล่องมาด้วย แม่นางเลยนั่งกินข้าวริมน้ำ บรรยากาศดี๊ดี ปลายน้ำตรงจุดที่จะต้องเริ่มเดินทางด้วยการขึ้นเรือข้ามฟากไปก่อนนี้ มีน้ำที่ใสมากจนน่าโดด มีกอหญ้าเขียวสดตรงกลางน้ำเป็นฉากหน้า และล้อมกรอบด้วยภูเขาหินสีน้ำตาลสว่างด้านหลัง แพะสี่ห้าตัวหากินอย่างอิสระ บางตัวห้าวๆ หน่อยพยายามมาแทะสายกระเป๋าพวกเราด้วย หมาตัวหนึ่งเล่นน้ำอย่างเมามัน ก่อนเจ้านายที่เป็นฝรั่งจะตะโกนเรียก แล้วมันก็กระโจนขึ้นฝั่งอย่างเริงร่า มาร์คบ่นว่าค่าเรือข้ามฟากแพงไป (หัวละ ๑๐๐ บาท รวมไปกลับ ระยะแค่ตาเห็นเนี่ยแหละ) เริ่มเดินจากฟากนี้ไม่ได้หรือไงนะ

เมื่อพวกเราพร้อม ก็ได้เวลาลงเรือกัน ท่ามกลางอากาศที่ร้อน แดดแรงระดับที่เอื้อต่อธุรกิจหมูแดดเดียวและบรรดาปลาตากแห้งทั้งหลาย แต่พอได้อยู่กลางน้ำก็รู้สึกดีขึ้นมาก ยังไม่ทันเหงื่อยุบเราก็มาถึงอีกฝั่ง และเริ่มออกเดินเท้ากันด้วยความใสซื่อ ไม่ได้รู้จักโอเอซิสแห่งนี้เลยแม้แต่น้อย และเนื่องจากการจัดกระเป๋าของทริปนี้เป็นการจัดกระเป๋ามาเที่ยวทะเลทราย เราจึงไม่ได้เอากระเป๋ากันน้ำมาด้วย กล้องและของรักของหวงต่างๆ จึงเปลือยเปล่าอยู่ในกระเป๋าผ้าใบสะพายติดตัว

เส้นทางช่วงต้นเป็นทางลัดเลาะผ่านรั้วบ้าน รั้วสวนของผู้คน ผ่านสวนอินทผาลัม และพืชที่หน้าตาคล้ายๆ บ้านเรามากมาย ไม่นานนักก็พบว่าพื้นมันแฉะๆ จากนั้นน้ำมันก็นองๆ แอ่งแรกเราโดดหย็องแหย็ง พยายามเหยียบกิ่งไม้ ยอดหญ้าไม่ให้รองเท้าเปียก พอเจอแอ่งที่สองซึ่งน้ำสูงราวตาตุ่ม ก็ตัดสินใจถอดรองเท้าเดิน ไม่ได้เข้าใจตั้งแต่ต้น แต่มาเก็ตทีหลังว่า แอ่งน้ำเหล่านี้น่าจะไม่ใช่น้ำปกติของวาดี้ชาบ แต่มันน่าจะเกิดจากฝนตกเมื่อคืนมากกว่า มองไปไกลๆ แล้วน้ำใสมาก แต่ในแอ่งที่พวกเรากำลังย่ำอยู่นี้เป็นน้ำขุ่นโคลน หญ้าใต้เท้านุ่มนิ่มและเย็นสบาย ถ้าเป็นหญ้าแบบนี้ไปตลอดให้เดินซักสิบโลยังไหว

แต่แหม.. ชีวิตมันไม่ได้ง่ายแบบนั้น ปูนนี้แล้วน่าจะรู้แล้วนะ

สลับกับทุ่งหญ้าน้ำท่วม พื้นที่พ้นน้ำกลายเป็นถนนกรวด เราใส่รองเท้ากลับคืน เดินไปสักพักก็เจอลำธารอีก ภูมิประเทศเปลี่ยนไปจากพื้นที่ชุ่มน้ำ กลายเป็นลานหินสลับลำธารตื้นๆ ในอ้อมกอดของภูเขาทั้งสองฝั่ง ปะหน้าด้วยสีเขียวของต้นไม้ที่ไม่รู้จักและอินทผาลัมที่ดูรวมๆ แล้วเท่ห์สุดๆ สุดท้ายเราทุกคนก็พ่ายแพ้ต่อความใส่ๆ ถอดๆ เลยย่ำรองเท้าผ้าใบลงน้ำไปเลย กลับมาแล้วโคตรเหม็นอับ เราตากมันอยู่ตั้งสองเดือนแน่ะกว่าจะกลับมาใส่ได้อีก บริเวณตรงนี้จะเป็นบริเวณที่เราเห็นภาพตามอินเตอร์เน็ตว่าคือ วาดี้ชาบ เป็นอิมเมจว่าโอเอซิสต้องเป็นแบบนี้นะ

แต่จริงๆ แล้ว วาดี้ชาบไม่ได้มีแค่นั้น เส้นทางเดินสำรวจที่นี่ทอดยาว สูงขึ้นไปใต้ชะง่อนผาของภูเขาหิน เดินเพลินๆ อยู่ๆ ทางเดินที่เคยเป็นลานกว้างจนกลัวหลง ก็แคบเข้าและชันขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ รู้ตัวอีกทีก็เก็บกล้องเก็บมือถือหยุดถ่ายรูปหมด เพื่อโฟกัสไปที่ก้าวแต่ละก้าวบนก้อนหิน มันไม่ได้เหนื่อยมากนักสำหรับเราที่ออกกำลังกายเรื่อยๆ แต่ความร้อนของแดดในหลายๆ จุดที่ไม่มีร่มเงา และความที่ไม่ได้เตรียมตัวทำให้กังวลสารพัด ไหนจะห่วงกล้อง ไหนจะห่วงชีวิตเวลาข้ามเหว เราทั้งเดินทั้งปีนป่ายอยู่พักใหญ่ รองเท้าที่เปียกไปแล้วทำให้การยึดเกาะไม่ค่อยดี แล้วถึงจุดหนึ่งหนิงก็เอ่ยปากก่อนว่า เอาแค่นี้แหละ ไม่ไปต่อแล้ว จะค่อยๆ ชื่นชมบรรยากาศ แล้วเดินลงไปรอด้านล่างช้าๆ

เราและเงาะมาร์ค ตัดสินใจเดินและปีนป่ายต่ออีกจนกระทั่งถึงน้ำตกแรก และเดินตัดผ่านหน้าน้ำตกแรกไปจนถึงโค้งใหญ่ๆ ที่มองเห็นทิวทัศน์ข้างหน้าที่ตระการตา พบว่ามันยังอีกไกลเลยโว้ย จีงตกลงกันว่าจะหยุดเพียงเท่านี้ น้ำตกแอ่งใหญ่ที่เราไปถึง น่าเล่นน้ำมากๆ เสียงน้ำตกดังซู่ซ่าตลอดเวลา ขาแช่น้ำเย็นสบายจนแทบจะลืมไปว่าเราอยู่ในประเทศตะวันออกกลางนะนี่ ที่ใช้คำว่าแทบจะลืมเพราะพระอาทิตย์คอยย้ำเตือนเราตลอดเวลาว่า เอ็งกำลังอยู่ในประเทศตะวันออกกลางเฟ้ย อย่าได้ทำเป็นลืมไป นี่แน่ะ แผดๆๆๆ

ในความเห็นของเรา เทรควาดี้ชาบไม่ได้ยากจนเกินไป แต่ควรเตรียมตัวและอุปกรณ์ให้พร้อม แล้วเริ่มเดิมแต่เช้าหากต้องการเดินสูงขึ้นไปจนถึงแอ่งด้านในที่ ดูจากอัตราความแปรผันของวิวต่อความสูงแล้ว ข้างบนคงจะยิ่งอลังการ และควรจะเตรียมเสื้อผ้ามาเล่นน้ำด้วย เพราะน้ำใสปิ๊งเย็นเจี๊ยบ ดูจากแผนที่จะพบว่า เส้นทางเทรคจะลัดเลาะไปตามซอกเขา แต่ระยะหลังไม่สามารถเดินเท้าที่ลำธารได้แล้ว เพราะทั้งน้ำทั้งเกาะแก่งมันเยอะขึ้น เลยจะต้องปีนป่ายเลียบภูเขาไปนั่นเอง ซึ่งทางเดินเขาก็ทำไว้ปลอดภัยดี มีแค่ช่วงข้ามหินตามโค้งเท่านั้นที่อาจจะต้องบู๊นิดนึง นานๆ ทีจะมีจุดนั่งพักให้ด้วย

กล้องโกโปรเก่าที่ฝ่าฟันกันมาหลายทริปของเรา ตายในหน้าที่ไปตั้งแต่จุดแรกๆ ของการจุ่มน้ำ รูปไม่หาย เย้ๆ แต่กล้องก็ไม่หายเช่นกัน ป่านนี้ยังไม่มีกล้องกันน้ำตัวใหม่เลย หงิง.. เราสามคนเดินกลับทางเก่าและก็พบว่าน้ำที่ท่วมทุ่งหญ้ามีปริมาณสูงขึ้นอีก น้ำใสมาก และมีปลาตัวเล็กๆ ว่ายด้วย เอาจริงๆ ถ้าไม่รีบไปไหนต่อ เรานั่งดูปลาได้อีกเป็นชม. เป็นอย่างน้อย

เมื่อนั่งเรือข้ามฟากกลับ (ลำไหนก็ได้ จ่ายเงินรอบเดียว) พบมุ้ยหนิงที่นั่งรออยู่แล้วอย่างชิวๆ เราก็ไปเข้าห้องน้ำก่อนจะเดินทางต่อ ปริศนาเรื่องห้องน้ำก็คลี่คลายตรงนี้ เพราะแก๊งสามสาวเข้าห้องน้ำหญิงที่เมือกๆ มีกลิ่นตามประสาห้องน้ำในที่สาธารณะกันเสร็จ ก็ไม่ได้บ่นว่าอะไร แต่มุ้ยเข้าห้องน้ำแล้วออกมาชื่นชม ว่าห้องน้ำหอม และมีพนักงานที่ดูแลดีมาก ทำให้พวกเรางงมาก ประชดเหรอมุ้ย มุ้ยบอกว่าชมจริงๆ แล้วเล่าให้ฟังว่าบริการภายในห้องน้ำชายนั้นสุดยอดอย่างไร ทันทีที่ใช้ห้องน้ำเสร็จและเดินออก พนักงานจะเช็ดพื้นและฉีดน้ำหอมปรับอากาศทันที (มียื่นทิชชู่ด้วยไหมจำไม่ได้แฮะ) ทำให้พื้นแห้งสะอาด ห้องน้ำหอมตลอดเวลา เราสามสาวหวีดกันใหญ่ว่า ห้องน้ำหญิงแม่งบ้านๆ เลยนะโว้ย

ไม่ทันที่จะโวยวายเกินไป ก็เหลือบไปพบที่ละหมาดแยกหญิงชาย ถึงกับหยุดเรื่องห้องน้ำเลย เพราะท่ามกลางเปลวแดดที่แผดเผา ห้องละหมาดชายเป็นอาคารติดแอร์ ส่วนของผู้หญิงเป็นผ้าใบล้อมไม้ปัก ๔ ด้าน ตั้งไว้โด่ๆ กลางแจ้ง เฟมินิสต์อึ้ง พูดอะไรไม่ออก หิวด้วยแหละเลยข้ามเรื่องนี้ไป ไปหาอาหารกันดีกว่า

เนื่องจากละแวกนั้นแม้จะเป็นที่เที่ยวดังระดับประเทศ แต่ก็ดูเงียบๆ หาร้านรวงไม่ค่อยมี เราสุ่มได้ร้านอาหารอาหรับสไตล์บุฟเฟต์ในโรงแรมริมทะเลแห่งหนึ่ง ซึ่งข้อดีคือเราสามารถนั่งมองทะเลสีฟ้าเข้มกลางแดดจ้าได้ผ่านกระจกในห้องแอร์ ข้อเสียคือเราไม่เคยกินอาหารอาหรับ แล้วเริ่มต้นด้วยบุฟเฟ่ต์เลย ถ้าจำไม่ผิดหัวละประมาณ ๕๐๐ บาท แต่สบายมาก เพราะว่าเรากินอาหารทำเองกันมา ๔ มื้อติดแล้ว งบเหลือๆ

สรุปผลการกินอาหารอาหรับได้ความว่า เรา หนิงและมุ้ยชอบกินแทบทุกอย่างเลย เราได้กินฮัมมูสเป็นครั้งแรก (บ้างก็ออกเสียงว่าฮัมมัส เอานะ อันเดียวกัน อร่อยเหมือนกัน) กินกับขนมปังพิต้า ปลาทอดแล้วก็ซุปต่างๆ มื้อนี้ถ้านับปริมาณแล้วรู้สึกว่ากินไม่คุ้ม เพราะว่าน่าจะหิวเกินเลยกินได้ไม่เยอะ แต่ถ้านับว่าเป็นการทำความรู้จักกับอาหารอาหรับครั้งแรกแบบฟิวชั่นหน่อยๆ แล้วล่ะก็ กำไรเห็นๆ เพราะพวกเราเปลี่ยนความคิดเรื่องอาหารอาหรับไปเลย

เมื่ออิ่มหนำสำราญ เข้าห้องน้ำที่มีห้องน้ำหญิงที่สะอาดสะอ้านกลิ่นหอมแล้ว เราก็หันหลังให้ทะเล มุ่งหน้ากลับเข้าสู่แผ่นดิน เพราะคืนนี้เราจะไปนอนในทะเลทรายกัน และเรื่องราวการเดินทางมันก็มหากาพย์ซะจน ขอยกไปไหว้ตอนหน้าเลยแล้วกันนะ ไม่มีชี้คสุดหล่อเหมือนในนิยายทะเลทราย มีแต่ความมันส์ลุ้นระทึกล้วนๆ ตามประสาป้าซิ่งๆ ไม่มีใครรักก็รักตัวเองเยอะๆ รักเยอะก็เที่ยวเยอะโอเคมั้ยพีเพิ่ลลลลล

โอมานอีสออซั่มมมม #๓

เนื่องจากกล้องตั้งเวลาผิดไปหลายชั่วโมง เวลารวมรวบเรื่องราวมาเล่า จะสับสนงงๆ เองอีตรงเวลาเนี่ย เช้านั้น ไม่ว่าจะนอนดึกขนาดไหน เราก็ตื่นแต่เช้าตามเวลาไทยอีก (ตีห้าโอมาน ตื่นตาใส หิวท้องกิ่ว) จัดกระเป๋าสำหรับค้าง ๒ คืนไว้คร่าวๆ พอเงาะตื่น มุ้ยหนิงตื่น พวกเราก็เข้าครัวเตรียมอาหารกัน การได้เตรียมของแค้มปิ้งด้วยกันเป็นเวลาที่ดีมากพอๆ กับบรรยากาศของโร้ดทริป (โดยเฉพาะเมื่อครัวติดแอร์อะนะ) เราได้คุยกัน ได้ซักถามเรื่องวิถีวัฒนธรรม ค่าครองชีพ ข้อดี ข้อด้อยของโอมานไปพร้อมๆ กับอัพเดตเรื่องราวที่ไทย เราทำอาหาร ๒ ชุด ชุดหนึ่งกินเช้านี้เลย เป็นไข่เจียว ผัดผัก ส่วนมาร์คตื่นมาเทซีเรียลใส่นมกินเพราะแกเป็นฝรั่งจ๋าที่ไม่กินอาหารไทยเป็นมื้อเช้า (แต่มื้ออื่นแกกินนะ) อาหารอีกชุดเป็นชุดที่ไว้กินระหว่างทาง เพราะว่าเราจะออกนอกเมือง ไปสู่ดินแดนรกร้างกันล่ะ

มาร์คจัดการพวกสารพันอุปกรณ์แค้มปิ้งและเตรียมรถ พวกเราสาวๆ และมุ้ย ก็จัดการของกินและอุปกรณ์การกิน ล้อหมุนตอน ๑๐ โมงตามแผน ทิ้งบ้านไว้กับหมา ๒ แมวใหญ่ ๒ ที่ดูแลตัวเองได้ดี ส่วนลูกแมวไร้ชื่อที่เงาะเพิ่งไปช่วยชีวิตมา ต้องเอาไปฝากไว้บ้านนิคกี้ ซึ่งนิคกี้ได้แวะมารับมันแล้วตั้งแต่เมื่อวาน เรื่องลูกแมวนี่ก็เป็นหัวข้อคุยแทบจะทุกวันของเราจนกระทั่งกลับมาเลย คือเงาะมันไม่อยากเอาไว้ เพราะมีที่บ้านเยอะแล้ว แต่ก็สงสาร เลยชิงเก็บมาก่อนจะโดนฆ่าทิ้ง (ที่นี่เขาฆ่าหมาแมวจรทิ้งทันทีที่เจอเลย) หลังกลับมาก็เห็นเพื่อนวุ่นวายในเฟซบุ๊คอยากหาบ้านต่อให้ลูกแมว แต่นอกจากกดไลค์แล้วก็ไม่มีใครตอบรับเลย ระหว่างที่พยายามหาบ้านไปพร้อมกับดูแลลูกแมว แม้จะไม่ยอมรับแต่ชั้นว่าหล่อนก็หลงรักลูกแมวแล้วแหละ ใช่มั้ยยะ หลังจากลีลาและรีรออยู่เป็นเดือนๆ สุดท้ายก็มาขอไอเดียตั้งชื่อให้ลูกแมว
ตัดฉากมาที่ตอนนี้ นังชีต้าก็อ้วนท้วนชูคอนอนโซฟาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ใครเลยจะต้านทานพลังแมวได้

สิบโมงเราออกเดินทางด้วยรถสองคันเพื่อความสะดวกสบาย แต่มีลุ้นๆ อีตรงทะเลทราย เพราะแม้รถมาร์คจะเป็นกระบะแต่งเฟี้ยวสุดเท่ห์ที่น่าจะไปขับโชว์ไต่ถังตามงานวัดได้ แต่รถเงาะเป็นรถแม่บ้านที่มีฟังก์ชั่น 4×4 ติดไว้ให้ใจอุ่น อย่างที่เล่าไว้ตอนต้นว่า ช่วงแพลนการเดินทาง เราเคยคุยเรื่องนี้กันมาก่อนว่าเราอาสาช่วยขับเวลามันเหนื่อย และยังยืนยันอยู่ แต่เนื่องจากเราถือใบขับขี่สากล ขับได้เฉพาะรถเช่า จะขับรถบ้านไม่ได้ ก็เลยตีตั๋วนั่งหน้า ถ่ายรูปและเม้ามอยตลอดทริป

มาร์คน่ารักมาก ออกปากก่อนเลยว่า พวกผู้หญิงไปนั่งด้วยกันซะจะได้คุยกัน มุ้ยมาคันนี้ มุ้ยก็ตามไปอย่างว่าง่าย ซึ่งตอนแรกเราคิดเห็นใจมุ้ยว่าต้องไปนั่งกับฝรั่งที่เพิ่งรู้จักได้วันสองวัน จะอึดอัดมั้ย จะเม้าจะอะไรคงติดๆ ขัดๆ แต่กลายเป็นว่าสองหนุ่มก็เดินทางกันเงียบๆ คุยบ้างนิดหน่อย ต่างคนต่างอินบรรยากาศและสุขสงบใจดี
อีคันนังแอ้และแม่บ้านนี่สิ อยู่กันสามคนนะ แต่เม้ากันเซ็งแซ่ตลอดเวลา ตอนพักรถมาร์คทำหน้านิ่งๆ บอกเมียและผองเพื่อน คุยกันให้มันน้อยๆ หน่อย ตั้งใจขับรถด้วย พวกยูโคตรช้าเลย
เคยได้ทำงานและมีบอสเป็นชาวอังกฤษมาบ้าง แม่งก็จะขำหรือเล่นมุกอะไรแบบนี้ คนไทยฟังแล้วแบบเอ๊ะ นี่ด่า เอ๊ะ หรือฮา หรือประชดประชันกันแน่วะ รอบแรกๆ พวกเราก็ได้แต่หัวเราะ ฮ่าๆๆ คือเข้าใจว่ามุก อยากจะโต้กลับด้วย แต่คิดเป็นภาษาอังกฤษไม่ทัน

ใช้เวลาแค่ไม่นานเราก็ออกจากความเจริญของตัวเมือง และสวนสาธารณะแมนเมดสีเขียวสว่าง แม้ว่าทัศนียภาพรอบๆ จะมีแต่สีน้ำตาลสารพัดเฉดของภูเขาหินและทราย แต่ก็ต้องยอมรับว่าสวยมากว่ะเห้ย ฟ้าก็มีสีฟ้าสดใส แต่เป็นฟ้าสไตล์อินสตาแกรมเฟรนด์ลี่ เป็นฟ้าที่มองทะลุแผงแดดไปแล้ว เหมือนใส่ฟิลเตอร์ซันไรส์บางๆ ถนนโอมาน กว้างขวางเนี้ยบกริบ สองชั่วโมงเป๊ะตามแผน เราก็มาถึงจุดชมเขื่อนที่แวะแห่งแรกใน itinerary ของเจ้าบ้าน
Wadi Dayqah Dam หรือใน Google ระบุชื่อไว้ว่า Quriyat อันนี้ก็ไม่รู้ตกลงชื่อจริงชื่อเล่นหรืออะไร (น่าจะชื่อเมือง) แต่ป้ายบอกทางน่ะใช้ชื่อวาดี้เดย์คา

ทีแรกเราตั้งใจว่าจะมากินข้าวกล่องกันตรงนี้ พร้อมสั่งอาหารเพิ่ม เพราะใครซักคนบอกว่าร้านอาหารที่วาดี้นี้ มีไข่ออมเลตอร่อย แต่สองชั่วโมงมันไวไป ข้าวเก่ายังไม่ย่อยเลย อีกอย่าง.. ออมเลตเนี่ยนะ ต้องถ่อมากินถึงนี่เจียวรึ ตกลงเราก็เลยเดินฝ่าแดดชมบรรยากาศและถ่ายรูปกันเฉยๆ เวลาอยู่ในร่ม จุดนี้อากาศเย็นสบายมาก แต่พอออกนอกร่มปั๊บมันสุดจะเบิร์นนนน.. แสบอย่างสุดจะบรรยายเลย เป็นความร้อนแบบแห้งๆ ไม่เหงื่อ ไม่ชื้น มันค่อยๆ ไหม้ไปเฉยๆ อย่างเงียบงัน คนท้องถิ่นสองสามกลุ่มนั่งปิคนิคใต้ต้นไม้ เด็กวิ่งเล่นไปรอบๆ เหมือนทุกที่ นกตัวใหญ่สีฟ้าสวยมากตัวหนึ่ง บินมาเกาะใกล้ๆ กล้องอยู่ในมือแท้ๆ ถ่ายไม่ทัน มัวแต่ปรับค่านั่นนี่ เจ็บใจซะไม่มี

วาดี้เดย์คานี้ มีขนาดไม่ใหญ่มากหรอกถ้าเทียบกับเขื่อนบ้านเรา แต่สำหรับที่นั่นซึ่งคนก็ไม่เยอะ น้ำก็ไม่เยอะ ก็คงเป็นขนาดที่เหมาะสมแล้วแหละ มองจากด้านจุดชมวิวยิ่งเห็นแต่บริเวณด้านหน้า ดูเล็กเข้าไปใหญ่ แต่ถ้ามองท็อปวิวจาก Google แล้ว ก็จะเห็นว่ายังมีซอกเขาที่เก็บกักน้ำเขื่อนไว้อีกไม่น้อย เราถ่ายรูปเล่น และเข้าห้องน้ำแล้ว ก็ออกเดินทางต่อ ห้องน้ำหญิงก็ไม่ได้ดีแบบอู้อ้าเหมือนที่ญี่ปุ่น แต่ก็ใช้ได้ ไม่ได้แย่นัก ประมาณห้องน้ำหมอชิตพอได้ ไว้เดี๋ยวมาเล่าเรื่องน่าสนใจเกี่ยวกับห้องน้ำภายหลัง

วันนั้น เราเลื่อนมื้ออาหารกันไปมา
เงาะมาร์คอาจจะรู้สึกว่า เอ๊ะ ยังไม่หิว หรือว่าเอ๊ะ อยากไปต่อ อะไรยังไง แต่แขกจากไทยแลนด์มันเจ็ตแล็คหิวไม่ตรงเวลาปกติ พอถามว่า เที่ยงแล้วอยากกินมั้ย แน่นอนพวกเราส่ายหน้า บอกตรงๆ งงสุดๆ แต่ระหว่างทางเราก็แวะปั๊ม และสอยขนมรัวๆ ที่โอมานไม่นิยมกินน้ำแข็ง พวกน้ำหวานนี่เขาจะแช่เย็นมาเลย แล้วกินไปแบบนั้น กาแฟขวดแก้วโตๆ ที่เราหยิบมั่วๆ มาขวดหนึ่ง อร่อยมากเวอร์ อร่อยจนต้องซื้อซ้ำ ไอ้เงาะก็ซื้อตามในวันต่อมา

เมื่อล้อหมุนเป็นคำรบสอง ออกจากวาดี้เดย์คา เรามุ่งหน้าไปยังที่แวะสำคัญอีกจุดบนถนนที่มุ่งหน้าสู่ทะเล รถแดงแรงฤทธิ์พุ่งปราดไปด้วยแรงม้าสูง และสมาธิแน่นปึ้กของสองหนุ่ม ในขณะที่รถแม่บ้านตามหลังไปอืดๆ ด้วยเสียงเซ็งแซ่ราวกับบรรทุกโคโลนี่นกกระจอกในยามพลบค่ำมาด้วยเต็มคัน

หนึ่งชั่วโมงต่อมา ถนนวกมุ่งหน้าตรงเข้าสู่ทะเล มองเห็นเส้นขอบฟ้าตรงเปรี๊ยะที่ระบายด้านล่างด้วยผืนน้ำสีน้ำเงินเข้ม แดดแจ่มแจ๋ขับให้ท้องฟ้าเป็นสีฟ้าสว่างสดใส ในขณะเดียวกันแค่จินตนาการถึงการออกไปอยู่กลางแจ้ง ขนแขนก็เริ่มไหม้เกรียมหงิกงอในใจแล้ว

แล้วเราก็ต้องออกจากรถจริงๆ นั่นแหละ ก็ถึงที่เที่ยวแล้วนี่นา
ดูเปลวแดดนั่นสิทุกคน  

หลุมยุบ หรือ Sinkhole เป็นปรากฏการณ์ทางธรรมชาติอย่างหนึ่งที่ดินยุบตัวลงจนกลายเป็นหลุม (บ้างก็ว่าเป็นภัยพิบัติทางธรณี) จุดที่เราแวะนี้ค้นในเน็ตพบว่าชื่อ Bimmah Sinkhole ซึ่ง จำไม่ได้เลยว่ะ ว่าตอนที่ไป เพื่อนเรียกชื่อนี้ เราจอดรถแล้วหอบหิ้วอาหารไปด้วย เพราะว่าถึงตอนนั้น หิวไม่หิวก็ต้องกิน เพราะมันปาไปบ่ายสองโอมานแล้ว (ตูหิวข้าวเย็นพอดี) จากจุดจอดรถ เราต้องเดินไปตามทางเดินที่ตกแต่งข้างทางด้วยสนามหญ้าและต้นไม้รอบด้านแห้งแล้งขั้นสุด ทั่วบริเวณ ปกคลุมด้วยฝุ่นแดงๆ ของดินทรายร่วนๆ ยกเว้นสนามหญ้าที่เขียวและชุ่มชื้น ชุ่มจนเผลอเดินเหยียบแล้วโคลนเปื้อนเท้า เราออกความเห็นว่า นี่ฝังท่อปล่อยน้ำใต้ดินตลอดเวลานี่นา เงาะบอก ไม่รู้เหมือนกัน

รอบๆ ปากปล่องหลุมยุบ มีศาลานั่งพักอยู่หลายศาลา ส่วนมากมีคนจับจอง แต่เราเจอศาลาว่างหนึ่งหลัง จึงเข้าไปปักหลักกินข้าว ทุกคนกินอาหารที่เตรียมมากล่องใครกล่องมัน ส่วนมาร์คกินข้าวเหนียวกับหมูหวาน อตก. ที่เราแบกไป ได้บรรยากาศปิคนิคหน้าร้อนดี เวียร์ดกว่านี้ก็เคยเห็นมาแล้ว (วันที่พีคสุดในหน้าร้อนญี่ปุ่น คนโยโกฮาม่าแม่งนั่งปูเสื่อกลางสนาม ล้อมวงเล่นกีตาร์ร้องเพลงกันเฉย มือกีตาร์คงต้องเกร็งหน่อย เพราะเหงื่อซอกแขน เหงื่อแร้คงไหลทำกีตาร์ลื่นไปหมด)

กินเสร็จแล้ว กวาดเศษอาหารลงถังขยะ แล้วเช็ดกล่องข้าวพอให้เก็บได้ เงาะกับมาร์คบอก ขี้เกียจเดินบันได ลงไปหลายทีละ รอข้างบนนะ เราสามคนที่กินข้าวจนอิ่ม ก็เลยฝ่าเปลวแดดไปเดินบันไดชมหลุมยุบกัน

มองจากข้างบน หลุมขนาดยักษ์เป็นขอบโค้งยุบตัวลงลึก บรรจุน้ำสีเขียวเข้มลึกไว้ มีมนุษย์แหวกว่ายน่าสนุก (ยิ่งท่ามกลางแดดจ้าขนาดนี้แล้ว) เงาะบอกลงไปได้นะ แต่เราไม่ได้ลงกัน แค่ดูก็ชื่นใจละ ขี้เกียจชุดเปียก แต่ขณะเดียวกันยังมองเห็นขอบฟ้ากับผืนทะเลที่อยู่ใกล้ๆ ได้ รู้สึก่ว่ามันเป็นอีกหนึ่งทิวทัศน์ที่พิเศษจัง พยายามถ่ายรูปจากสองสามอุปกรณ์ที่มี พยายามหามุมแปลกๆ แต่สุดท้ายก็ยอมรับว่า อือ ได้แค่เนี้ย ยอม

บันไดสองพับสามพับ ทอดตัวลงไปภายในหลุม ขั้นบันไดสูงๆ กว้างๆ ทำให้ทุกคนที่เดินขาขึ้นเหนื่อยหอบแฮ่ก แต่ทุกคนก็รู้สภาพอยู่แล้วอะนะ มองเห็นตลอดไม่มีเซอร์ไพรซ์ ระหว่างเดินลง เราได้กระทำการหน้าแหกครั้งยิ่งใหญ่ไปหนึ่งครั้ง ขอออกตัวก่อนว่า ด้วยความที่เป็นเฟมินิสต์ มาประเทศมุสลิมแล้วมันอึดอัดขัดใจชะมัด ทำไมผู้หญิงที่นี่แม่งต้องโดนกดขี่วะ
ไม่ควรเหมารวม แต่เพื่อนยืนยันว่าสาวๆ ออกนอกเส้นที่เขากำหนดไม่ได้จริงๆ ด้วยความคิดขัดอกขัดใจแบบนี้ พอเห็นสาวสวยในชุดส่าหรีสีสดใส พร้อมตากล้องหนุ่ม ปีนออกนอกราวกั้นไปไต่อยู่ตามก้อนหิน หาที่โพสต์ท่าถ่ายรูปสวยๆ เรานี่ในใจคือ ดีใจมากนะ แล้วก็เลยชื่นชมกับเพื่อนว่า ผู้หญิงแก่นๆ ที่นี่มันต้องแบบนี้ (อันนี้คือชมจริงๆ จากใจ) ทางโน้นตะโกนกลับมาเลย คนไทยค่ะ ได้แต่บอกว่าขอโทษ แต่ไม่มีโอกาสได้อธิบายเรื่องราวในใจจริงๆ รู้สึกตัวเองกลายเป็นอีป้าปากคันไปเลยทันที

พอขึ้นไปเล่าให้เงาะฟัง มันบอกว่า ส่าหรีมันใช่ชุดคนที่นี่ซะที่ไหน (ตอนเห็นจำไม่ได้ว่าเรียกส่าหรี ต้องอธิบายกันอยู่พักนึง)

บรรยากาศในบึงน้ำ พอมองใกล้ๆ สวยน้อยกว่าตอนมองจากข้างบนพอสมควร อาจเป็นเพราะด้านบนความโค้งของขอบหลุมมันบังไม่ให้เราเห็นว่า เออ คนอยู่ข้างล่างก็เยอะนะ ริมตลิ่งมีรองเท้าวางอยู่เปะปะ ร่องรอยคนขึ้นลงน้ำทำให้พื้นบางส่วนเปียกๆ ลื่นๆ ใครใคร่ว่าย ก็ว่าย ใครใคร่โดดก็ไต่หน้าผาไปตรงที่น้ำลึกๆ หน่อยค่อยดิ่ง ยืนดูฝรั่งโดดน้ำที่นี่แล้ว รู้สึกว่า มนุษย์เราปรับตัวตามสถานที่จริงๆ น้ำที่นี่ใสๆ ลึกๆ โดดแค่เมตรสองเมตร ทำสะดีดสะดิ้ง อั๊ย กลัว อั๊ยจะโดด จะไม่โดด แหม.. หล่อน ปีนๆ มาขนาดนี้ละก็โดดๆ ไปตะ ถ้าจับอีพวกนี้ยัดใส่ประตูโดเรมอน ไปโผล่นู่น Canyoneering Cebu เชื่อเหอะว่า ๑๕ เมตร แม่งได้โดดกันตูมๆ  

สมควรแก่เวลา เราก็ไต่บันไดกลับ เห็นสายตาสมเพชของอีพวกสวนลงมาแล้วก็คิดว่า คงไม่ต่างจากสายตาเราตอนขาลงที่สบตากับพวกสวนขึ้น เดี๋ยวพวกมึงก็รู้สึก เหอๆๆ

ก่อนเดินทางกันต่อ เราแวะเข้าห้องน้ำอีก มุ้ยบอก ห้องน้ำชายก็โอเคนี่ ส่วนห้องน้ำหญิงนั้น เอิ่ม ต้องบอกว่า เอาเรื่องอยู่เหมือนกัน ส้วมเป็นแบบนั่งยอง โถเป็นโลหะ มีความเปรอะเปื้อนบ้าง เพื่อนๆ รับไม่ได้ ไม่เข้าเลย ส่วนเรา เจอมาแย่กว่านี้ ปวดฉี่ก็ฉี่ไม่ซับซ้อน แต่เรายังไม่เอะใจเรื่องห้องน้ำ ยังก่อน.. ยังไม่เฉลย

หลุมยุบนั้นอยู่ใกล้ริมทะเลแล้ว เมื่อออกจากหลุมยุบ เรามุ่งหน้าเข้าสู่ทะเล แล้วเลี้ยวขวาขับเลียบชายฝั่งไปเรื่อยๆ เพื่อหาจุดตั้งแค้มป์ ชายทะเลเป็นที่โล่งร้าง ไม่มีบ้านช่อง แถมยังมีป้ายบอกว่ามีสัตว์ป่าประเภทกวางด้วย ซึ่งอันนี้ประหลาดใจมากว่ามันมีด้วยเหรอวะ รถแดงคุณพ่อบ้านพุ่งปราดอย่างไม่รั้งรอ เพราะอยากเลือกที่ตั้งแค้มป์ดีๆ รถแม่บ้านยังคงเสียงดังเจี๊ยวจ๊าว ชื่นชมทัศนียภาพ เม้ามอยกิ๊วก๊าวทุกอย่างตามประสา นกสีชมพูตัวใหญ่เบิ้มสามตัวบินวน นักท่องเที่ยวอื่นจอดรถถ่ายอย่างตื่นตา ส่วนเราได้แค่ชะลอแล้วเปิดกระจกถ่าย เพราะรถแดงนำไปไกลแล้ว

สัปดาห์ก่อนหน้านี้ สองผัวเมียเจ้าบ้าน ได้มาสำรวจบริเวณนี้กันก่อนแล้ว และเจอทำเลเหมาะตั้งแค้มป์ แต่สัปดาห์นี้ผู้คนมากมายมุ่งหน้ากันมาจับจองพื้นที่ก่อนเรา คำว่ามากมายนี้ก็แค่ว่าหาดส่วนตัวที่หมายตาไว้ ถูก 2-3 เต็นท์กางอยู่ก่อน มีรถสี่ห้าคันจอดแต่ไม่กางเต็นท์ คาดว่าน่าจะแวะมานั่งดูทะเลเล่นๆ แล้วขับกลับ ถ้าเป็นบ้านเราก็แค่ไปกางแจมห่างๆ แต่มาร์คไม่ยอมแพ้ มาร์คจะหาหาดส่วนตัวให้พวกเรา เราเลยขับหากันต่อไป

ชายฝั่งบริเวณนี้ มีชื่อเรียกว่า Fin ถ้าตอนเรียนจีโอตั้งใจกว่านี้ คงบอกได้เต็มปากเต็มคำว่าเป็นดินหินชนิดไหน แต่เอาเท่าที่มีเหลือในหัว (เคาะดูได้ยินเสียงป๊องๆ ดังกังวาน) คาดว่าเป็นหินทราย และมีกรวดก้อนโตๆ เต็มไปหมด ทำให้ชายฝั่งกร่อน สลายตัวผสานกับคลื่นทะเลที่ซัดโครมๆ ชั่วนาตาปี จนเกิดเป็นภูมิทัศน์เว้าๆ แหว่งๆ สวยงามแปลกตา หาดเล็กหาดน้อยที่ลับหูลับตา โผล่ตรงนั้นนิดตรงนี้หน่อย เราจอดรถสำรวจหลายจุด มีหาดนึงยุบตัวซ่อนอยู่หลังเนินหินสองด้าน ยังไม่มีใครจับจอง เรานึกชอบแต่มาร์คบอกว่า ไม่เอา ตรงนี้ไม่ปลอดภัยเป็นทางน้ำหลาก

น้ำหลาก.. มาร์ค.. ยูนอยด์ไปปะวะ มันจะไปเอาน้ำที่ไหนมาหลาก แห้งแก๊ะซะขนาดนี้ เราค้านในใจ แต่ไม่ได้เอ่ยปากอะไรออกมา

เราขับกันไปจนสุดทาง หมดถนนแล้วก็ย้อนกลับ ระหว่างทางที่ผ่านมาร์คหมายตาจุดสำรองไว้แล้ว จึงพาพวกเรามุ่งหน้าไปบริเวณนั้น หาดนั้นเป็นหาดน้อยๆ ที่เต็มไปด้วยก้อนกรวดก้อนหิน เราเห็นแล้วก็รู้สึกเสียดายหาดน้ำหลากขึ้นมาตะหงิดๆ ทางลงหาดแน่นอนว่าไม่ใช่ถนน เป็นเนินชันๆ ที่มีอุปสรรคเป็นหินน้อยใหญ่ปูดโปนเต็มไปหมด แต่สองผัวเมียเจ้าถิ่นพยายามจะเอารถลงให้ได้ มาร์คเอารถแดงลงไปได้อย่างสบายๆ แต่รถแม่บ้านท่ามกลางความลุ้น สุดท้ายก็ทำได้แค่ค้างอยู่ในท่ากลับตัวก็ไม่ได้ให้เดินต่อไปก็ไปไม่ถึง ซึ่งในเวลาต่อมาเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง เพราะเราเอาไว้ฉี่แถวนั้นแหละ ตรงล้อหลังขวานั่นเลย ส้วมของฉัน

มาร์คเป็นเจ้ากรมอุปกรณ์โดยแท้ แกมีอุปกรณ์แค้มปิ้งสารพัดสิ่ง และที่สำคัญคือ แกไม่เบื่อที่จะกางมัน เต็นท์นอนถูกกางง่ายๆ ทีหลัง แต่ก่อนอื่นแกกางเต็นท์นั่งเล่นเป็นปรัมพิธีก่อน
เก้าอี้สนามเท่าจำนวนคนถูกแจกจ่าย ผู้มาเยือนสามคน กางสองเต็นท์กันอย่างแคล่วคล่อง (ตูนะที่คล่อง เรื่องกางเต็นท์นี่ปมเด่นเลย มุ้ยกับหนิงเป็นลูกมือชิวๆ)
เราไม่เคยกางเต็นท์หาดหินมาก่อน ปักสมอบกไม่ได้เลย มาร์คบอกให้มัดกับก้อนหิน เราค่อยๆ มองหาหินขรุขระก้อนใหญ่หนักๆ มาวางรอบๆ เพื่อดึงเชือกรั้งเต็นท์ ปรากฏว่าให้ผลดีกว่าที่คิดมาก เต็นท์ตึงสวยงามและเฟิร์มดี

จากนั้นก็เป็นเวลาพักผ่อน แค้มปิ้งยามค่ำคืน แดดค่อยๆ หมด ฟ้าค่อยๆ สลัวลง เมฆก้อนโตๆ ลอยมาจากทางภูเขา ปกคลุมจนดูอากาศอึมครึม แล้วก็มีละอองฝนลงบางๆ เรื่อยๆ เงาะยังย้ำว่า ที่โอมานนี่ฝนตกปีละ ๕ วันนะ

มันตกใส่เราสองวันแล้ว weather mutant จริงๆ

เมื่อจัดแจงสถานที่เสร็จ มื้อเย็นก็เริ่มขึ้นแบบเรื่อยเปื่อยตามประสาชาวแค้มป์ มาร์คเอนหลังสบายอารมณ์สูบซิการ์ดื่มเบียร์ไปตามเรื่องของแก กับแกล้มมาก็กิน ไม่มาก็ไม่บ่น เงาะผีแม่บ้านเข้าสิงเต็มตัว เข้ามากกว่านี้คงทะลุไปชัยนาท นั่งปิ้งนั่นย่างนี่หน้ามัน เราและเพื่อนๆ เป็นลูกมือบ้าง เป็นตัวถ่วงบ้างตามถนัด บรรยากาศดีมาก คลื่นซัดฝั่งเป็นระยะ พอชินเสียงแล้วก็รู้สึกสงบ ผ่อนคลาย อีหาดนี้ก็คงเสียอยู่อย่างเดียว คือเป็นกรวดล้วนๆ เดินแล้วเจ็บตีนชะมัด

ที่เห็นเปื้อนกล้องในรูปข้างบนคือฝนหยดบางแสนบาง

อาหารที่สรรหากันมา ค่อยๆ ทยอยสุก มาร์คดีใจมากที่มีมันฝรั่งมาด้วย มาร์คบอกเมียไม่ซื้อติดบ้านเลย ชาวอังกฤษอยากกินมาก เราเป็นชาวไทยบ้านที่ชอบกินมันฝรั่งเลยหยิบมาดื้อๆ แต่ไม่รู้ว่าต้องทำให้มันสุกได้ยังไง ก็เลยกลายเป็นว่าชาวอังกฤษนั่งสั่งการในระยะไกล ส่วนชาวไทยก็ห่อฟอยล์แล้วปิ้งตามคำสั่ง มาร์คห่วงใยมันฝรั่งมากกว่าสิ่งอื่น คอยเรียกอยู่นั่นแหละ หมุนมันสิ หมุนมันรึยัง สุดท้ายทุกคนก็ได้กินมันฝรั่งย่างเนยคนละหัว อร่อยพอดิบพอดีมาก

พอเริ่มจะอิ่ม มาร์คก็ไปลากเอาลังไม้พาเลทเก่าที่ติดท้ายรถมาด้วย แล้วก็เริ่มก่อกองไฟ เราถามเพื่อนว่า เอิ่ม มันไม่หนาวนะแก จะก่อไฟเพื่อ เงาะบอกว่า ถ้าไม่ก่อถือว่ามาไม่ถึง ปล่อยตะแกไปเถอะ

คืนนั้นเราเช็ดตัวด้วยทิชชู่เปียกรุ่นดีไซน์พิเศษ มีฟองด้วย ซื้อมาจากลาซาด้า โปะแป้งเย็นแล้วก็หลับไป มุ้ยกับหนิงหลับได้น้อยมาก เงาะดันหลับน้อยไปกับเขาด้วย ส่วนเราวิ้งวับสบายดี

ตื่นมาตอนเช้าก็เจอกับภาพนี้

ถ้าการได้ออกเดินทางเหมือนเป็นของขวัญ การได้ตื่นเช้าแล้วมีพระอาทิตย์ขึ้นตรงหน้าก็คงเป็นเหมือนการที่ได้ของขวัญถูกใจแถมยังห่อกล่องมาซะสวยอีก คลื่นทะเลตอนเช้าซัดแผ่วๆ พอตื่นขึ้นมาเจอฟ้าเป็นสีขอบพระอาทิตย์ ก็รีบเรียกเพื่อนมาชมบรรยากาศด้วยกัน เพื่อนๆ เรียกไม่ยาก เพราะมันนอนไม่ค่อยหลับกันอยู่แล้ว

จากนั้น ทุกอย่างก็กลับสู่จังหวะอันเร้าขึ้นนิดหน่อย เพราะทันทีที่พระอาทิตย์ขึ้นเต็มดวง มันก็ฮีทอัพทุกอย่างให้ร้อนฉ่า แดดเข้าเต็นท์เต็มๆ แค่เข้าไปเปลี่ยนชุดก็จะละลายแล้ว เหล่าผีแม่บ้านออกทำงานอีกครั้ง เงาะรีบปรุงอาหารเช้าให้ทุกคนกิน โดยไม่ยอมกินของตัวเอง แต่ห่อใส่กล่องไปก่อน เพราะกลัวทำนั่นนี่ไม่ทัน ดิฉันผู้ห่างไกลครัว พาเพื่อนเก็บเต็นท์ให้เสร็จ แล้วเดินถ่ายรูปเล่นรอบๆ เก็บบรรยากาศ เมฆฝนยามค่ำคืนหายไปแล้ว เหลือแต่แดดแจ่มจ้า ฟ้าใสกิ๊ง

ก่อนเก้าโมงเช้า พวกเราก็รื้อถอนอุปกรณ์แค้มปิ้งออกจนเกลี้ยง ทิ้งหาดหินไว้แบบเดิมก่อนที่เราจะมา ดีขึ้นนิดหน่อยด้วย เพราะเราเดินเก็บขยะที่ถูกน้ำซัดมาติดก้อนหินรวมทิ้งไปกับขยะของเรา ตอนถอยรถแม่บ้านขึ้นเนิน มาร์คต้องมาขับเอง ท่ามกลางความลุ้นของคุณเมีย เพราะคุณเมียกลัวยางแตก คอยหวีดสร้างบรรยากาศตลอด ส่วนเพื่อนๆ แค่ยืนลุ้นและถ่ายรูปอย่างเดียว

คณะของเราออกเดินทางกันต่อทันที ฟ้าสีฟ้าๆ กับภูเขาสีน้ำตาและท้องทะเล แถมยังมีทางโล่งๆ กรวดๆ พร้อมจะมีฝุ่นฟุ้ง ช่างเป็นโลเคชั่นที่น่าเอารถยนต์มาโฆษณาซะจริงๆ

ชมแบบภาพเคลื่อนไหวพร้อมเสียง commentary จ้ะ

https://web.facebook.com/watch/?v=469500597001001

โอมานอีสออซั่มมมม #๒

ในเวลาต่อมา..

ไม่ว่าจะนอนดึกแสนดึกยังไง เช้าวันต่อมา ตีห้าปลายๆ (แปดโมงปลายๆ บ้านเรา) ก็ตื่นละ มันลากต่อไม่ไหวจริงๆ ตื่นแล้วทีนี้ก็หิว เราเล่าข้ามเรื่องเงินไปนิดหน่อย จริงๆ ไม่อยากจะดีเทล แต่กูเขียนอะไรอยู่วะเนี่ย ทำไมมันยิบๆ
คือเรายังไม่ได้แลกเงินเรียลเลย เราซื้อซิมด้วยเงินมาร์ค ๕ เรียล จากนั้นตอนจะจ่ายเงินค่าโรงแรม เอ้าไม่มีเรียลอีก มาร์คเลยรับ USD เราไป จริงๆ แกอยากได้บาทไทยมากกว่า แต่พวกเราแลกเงินบาทไปเกลี้ยงตัวแล้ว เราขอแลกเรียลมาร์คมาแค่พอจ่ายค่าโรงแรม และคืนค่าซิมให้แก หลังเดินไปซื้อน้ำและขนม ซึ่งไม่แพงเลย เราก็เลยเหลือเงินเรียลอยู่แค่สามเรียลห้าสิบ เป็นเงินไทยก็คูณไปซักไม่เกิน ๘๕ คือเหลืออยู่สามร้อยสำหรับสามคนว่างั้นเถอะ

นาฬิกาชีวภาพบอกเวลาเก้าโมงเช้า อีนี่ก็หิวสุดๆ (ได้ข่าวว่าเมื่อคืนมึงกินไอติมในเวลาตีสองไทย) อีกห้องมีเสียงกุกกัก สองคนนั่นก็ตื่นแล้วและหิวสุดๆ เช่นกัน เมนูเดลิเวอรี่ที่ทางโรงแรมวางไว้ มีบางเมนูที่พอซื้อมาแบ่งกันกินได้ เช่นเบอร์เกอร์ ๑.๕ เรียล อะไรแบบนี้ แต่มันยังไม่หกโมงเช้าโอมานเลย เราก็โทร.เองไม่ได้ด้วย เลยอาสาเพื่อนเดินลงไปข้างล่าง ซอมเบิ่งดูพนักงานโรงแรมและบรรยากาศรอบนอก

ตอนมาถึงมืดๆ เลยไม่เห็นว่า แค่รอบๆ โรงแรมนี่ก็มีเนินสีน้ำตาลให้เห็นแล้ว รู้สึกตื่นตาตืนใจ อากาศตอนเช้าดีมาก แต่แดดแรงระดับความเข้มสูงเหลือเกิน ความจริงถ้าวัดแค่อุณหภูมิ ที่โอมานตลอดจนบริเวณทะเลทรายนี่ ร้อนเท่าๆ กับกรุงเทพฯ เลย แต่พอรวมแดดเข้าไปแล้ว เราก็หย่อนๆ ว่าเขาหน่อยนึง (เว้นแต่บางวันแดดแข็งๆ กทม.ก็ชนะทุกสถาบันได้)

แล้วเราก็พบร้านอาหารเช้าที่เปิดอยู่ เพราะอีตาคนนึงหิ้วอาหารพะรุงพะรังเดินมาส่งที่ตึกเรานี่แหละ เรายืนรอจนแกเดินกลับออกมา เราเลยถามว่า เดลิเวอรี่เหรอ เปิดแล้วใช่มั้ย งั้นชั้นตามไปสั่งที่ร้านเลยนะ ตาแกบอกโอเคแล้วเดินนำเรา นึกว่าจะไปไกล แค่ข้ามถนนเงียบๆ ไปอีกฟาก ร้านน้อยๆ นิ่งสงบ ดูด้านนอกแล้วจะนึกไม่ออกเลยว่าข้างในเริ่มทำอาหารอินเดียกันละ หนุ่มๆ ไม่อินเดียก็ปากี เปิดหม้อนู้น คนหม้อนี้ หั่นนั่นสับนี่กันโป๊กเป๊ก
เราสั่งอาหารมังสวิรัติไปสองอย่าง เพราะพร้อมขายอยู่แค่นั้น ทุกคนตื่นเต้นกิ๊วก๊าวแต่พองามที่มีลูกค้าผู้หญิงมานั่งรอในร้าน เราเพิ่งมารู้ทีหลังว่า นอกจากนักท่องเที่ยวแล้ว ผู้หญิงประเทศนี้เขาไม่ออกมาเดินถนนกัน มันเป็นของแปลกประหลาด แต่ทุกคนก็เฟรนด์ลี่ดีนะ น่ารักดี

และนี่ก็คือโฉมหน้าอาหารเช้าของเรา อร่อยดี แต่ไม่ค่อยมีเทกซ์เจอร์อะไรให้เคี้ยว ซึ่งเราชอบกินมื้อเช้าแบบจริงจัง เลยรู้สึกว่าขาดๆ เกินๆ

แต่ของงี้มันเสริมได้ เรามีหมูอร่อยจาก อตก. มากินแนม แล้วก็ยังมีทูน่ากับแครกเกอร์ อาหารกันตายของโปรดที่เราพกไปประเทศแปลกๆ ด้วยตลอด แต่เพื่อนเราสองคนนี้ดันไม่ชอบว่ะ ปกติพกไปทริปไหนก็ไม่พอกิน ให้ต่างชาติกินยังชอบ ทริปนี้ ดันไม่มีใครกินทูน่าเลย ตูก็แบกไปกินมันไปคนเดียว เหลือบาน

หลังกินเสร็จก็อาบน้ำเตรียมตัว พอได้เวลาตามนัด คุณเพื่อนก็มารับ พร้อมออกเที่ยววันแรกกันเลย

โปรแกรมแรกของเราคือ ไปนั่งเรือชมโลมากัน เราสามคนเป็นห่วงเรื่องแลกเงินมาก เพราะว่าเงินเรียลเราหมดเกลี้ยงอีกแล้ว แต่เงาะบอกว่าไม่เป็นไร เที่ยวไปก่อน วันนี้เป็นวันศุกร์ อะไรๆ ก็ปิด เราฟังสองผัวเมียพูดเรื่องนี้อยู่สองรอบ ยังงงๆ จนตัดสินใจถามสาเหตุ ถึงได้พบว่า เขาหยุดประจำสัปดาห์ในวันพฤหัสและวันศุกร์กัน ความกบในกะลา เราคิดมาตลอดว่าวันเสาร์อาทิตย์คือวันหยุดของทั้งโลกว่ะ แบบนี้ก็ดีเหมือนกันเนาะ จะได้ไม่ต้องบ่นว่าอยากให้ถึงเสาร์อาทิตย์เร็วๆ เพราะถึงปั๊บทำงานปุ๊บเลยนะเว้ย

เราจะลัดไปเล่าตอนจบของทริปชมโลมาเลยนะ ว่าอิทธิฤทธิ์นังแอ้หรือยังไงก็ไม่รู้ ไม่ได้เห็นโลมา ปลาซิวปลาสร้อยก็ไม่ได้เห็น แต่ทัวร์ดี๊ดี เรือก็ดี บรรยากาศดีเสียแต่แดดแรงเหลือเกิน เอาตาออกนอกแว่นกันแดดไม่ได้เลย ก่อนลงเรือเราพบกับเพื่อนอีกสองคนของเงาะมาร์ค เป็นสามีภรรยาชาวอังกฤษ ที่มาอยู่โอมานนานเกินสิบปี สามีชื่อไรวะ จำไม่ได้แล้วคุยกันทีเดียวตอนขึ้นจากเรือมาแล้ว แกว่าแกซื้อทัวร์ดูโลมามาราว ๑๕ ครั้งได้ มีครั้งนี้ครั้งเดียวที่ไม่เห็นโลมา ซัสสส มันต้องเป็นเพราะกูแน่ๆ ฝ่ายภรรยาชื่อนิคกี้ ทันทีที่ปล่อยเธอเข้าฝูง เราก็เม้าท์กันไม่หยุด นิคกี้คุยเก่ง พูดชัด แล้วก็เป็นมนุษย์แบบเดินทางท่องโลก แต่ยังไม่เคยมาไทย แกถามว่าไทยช่วงไหนเที่ยวดี เราก็บอกว่าวินเทอร์สิ นิคกี้ว่าหนาวแค่ไหนวินเทอร์ยู
เราบอก ต่ำกว่า ๒๐ องศาซีเราก็ขุดผ้าพันคอ สเวตเตอร์มาใส่กันแล้ว ฝรั่งตกใจปนฮา บอกว่าแถวบ้าน ๑๕ องศานี่กูยังเสื้อยืดตัวเดียวอยู่เลย

ท่าเรือที่เราใช้บริการหรูหราได้มาตรฐานสะอาดสะอ้านขาวโพลนไปหมด หรืออาจจะเป็นเพราะตาสู้แสงไม่ไหวก็เป็นได้ เรือที่พาเราชมโล.. โน.. ชมทะเล ดูก็รู้ว่าเป็นเรือราคาถูกสุดในพอร์ตนั้น แต่ก็สภาพดีฟังก์ชั่นดีมาก เขารับลูกค้าแค่พอนั่งสบายๆ ไม่ได้ให้ยัดทะนานลงไปจนต้องชมบรรยากาศไปสวดมนต์ไป เหมือนเรือท่องเที่ยวบ้านเราที่กูเกลียดความยัดนี้มากจนเสียเงินเหมาแม่งเลยมาหลายทีละ
ฝรั่งทั้งสามบอกว่า สงสัยไม่เห็นปลาเพราะเรามาสายไปหน่อย มันอิ่ม มันไปกันหมดละ
ที่ว่าอิ่มนี่ก็คือมันหาอาหารเช้าตามธรรมชาติของมัน ทัวร์เขาไม่ได้ให้อาหารล่อปลาแต่อย่างใด

เรือแล่นให้เราชมบรรยากาศอ่าวโอมาน พร้อมภูมิประเทศชายฝั่งที่เป็นภูเขาหินสีน้ำตาลเข้ม บริเวณที่เป็นชายหาดยาวๆ มีโรงแรมหรูมายึดครอง ทะเลเรียบมาก มีคลื่นเล็กๆ พอให้ประกายแดดสะท้อนน้ำระยิบระยับ เหมือนใครทำผงกากเพชรร่วงไปในทะเล นกทะเลหลายตัวบินโฉบตัดหน้าเรือบ้าง บินขนานไปกับเรือบ้าง คงเป็นบริการปลอบใจสำหรับคนไม่ได้ดูโลมา ช่วงแรกๆ ที่ยังมีความหวัง คนขับขับเรือแบบตามหาสัญญาณใดๆ ที่จะทำให้แกรู้ว่ามีโลมา (เช่นมีนกบินวนข้างบนหลายตัว รอกินปลาที่กระโดดหนีโลมา – อันนี้ดูมาจากสารคดี BBC) แต่ตอนหลังพอตัดใจแล้วว่าไม่เจอแน่ แกก็ขับพาไปชมวิวเกาะแก่งกลางอ่าว ที่รูปลักษณ์สีสันสวยประหลาด ผ่อนเครื่องเรือแล้วบอกให้ลูกทัวร์มาล้วงเอาน้ำเย็นๆ ที่แช่ในถังไปกินกัน มีน้ำหวานน้ำอัดลมให้เลือกมากมาย


ปิดท้ายก่อนกลับเข้าท่าเรือด้วยการขับมุดรูหน้าผา ซึ่งแหม่มันเหมือนจะเป็นแบบอันซีนโอมานนะ แต่ฟังไม่ได้ยิน ค้นหาชื่อก็ไม่เจอ เอาพิกัดไปคุ้ยกูเกิ้ลดูละกันนะฮะ 23.555138, 58.659148

กลับสู่ท่าเรือ นักท่องเที่ยวกระปลกกระเปลี้ยเฉาแดด เดินตามก้นกันเป็นแถวๆ ตอนนั้นเป็นเวลาที่ท้องร้องหาอาหารเที่ยงมาพักนึงแล้วสำหรับผู้อาศัยในโอมาน แต่สำหรับชาวไทยสามคน มันคือเวลาที่กระเพาะเคยคุ้นว่า กูกำลังจะได้รับอาหารเย็น โซนเวลาของโอมาน และกลุ่มตะวันออกกลาง เป็นโซนเวลาที่เหนื่อยสำหรับเราน่าดู การที่มันช้ากว่าเรา ๓ ชม. ทำให้รู้สึกว่า เฮ้ย ก็ต่างไม่มาก ใช้ชีวิตมันไปตะ แต่ความจริงมัน ..

[เขียนมาถึงจุดนี้ หยุดไปพักหนึ่ง เพราะหาคำมาอธิบายไม่ได้ หาได้คำหนึ่งก็ดันเป็นภาษาโคราช ถ้าเขียนไปจะเข้าใจกันไหม]

แต่ความจริงมันกะเทิน มันก้ำกึ่ง ครึ่งๆ กลางๆ ตื่นเจ็ดโมงโอ้เอ้จนแปดโมง ก็กลายเป็นแค่ตีห้า อาหารไม่มี แต่กูหิวหน้ามืดแล้ว เป็นทริปที่เหนื่อยตลอดเวลากับเรื่องความต่างของเวลา เหนื่อยแบบไม่หายซักที ตั้งแต่วันแรกยันวันกลับ กินข้าวเที่ยงเลท เลทไปเที่ยงครึ่งเอง แต่กระเพาะมันร้องว่า นี่มันจะห้าโมงเย็นแล้วโว้ย

เหลื่อม ๓ ชม. เป็นอะไรที่ลักลั่น ประหลาดจริง ตั้งแต่เดินทางมา
แต่ยังไม่เคยเจอเหลื่อม ๔-๕ ชม. มันจะรู้สึกยังไงกันนะ

ตอนนั้นเหล่าฝรั่งชวนกินข้าวมันซะที่ท่าเรือ ร้านหรูเชียว พวกเราโอเคไม่มีปัญหา เปิดเมนูละก็ถอนหายใจปื้ดนึง (อิ่มละ ๕๐๐ บาท+ นี่ยังไม่ถึงขั้นจัดเต็ม แต่ก็ไม่ถูกง่ะ) อาหารดูดีและอร่อยสมราคาเลยแหละ ขนมปังเรียกน้ำย่อย อบมาร้อนๆ ชิ้นเล็กๆ มีหลายแบบให้เลือกกิน ใส่ไว้ในตะกร้าเดียว ทุกคนเวียนส่งเวียนรับตะกร้าขนมปังนั่นกันจนปากมัน

มื้อนั้นผ่านไปอย่างเรียบร้อย อิ่มและอร่อยดี แต่หลังจากนั้นพอแยกกันแล้ว นิคกี้ส่งข่าวมาว่า สามีเธอเกิดอาหารภูมิแพ้อย่างหนัก ถึงกับต้องเข้าโรงพยาบาล เดาว่าน่าจะแพ้ทูน่าที่แกสั่ง

ยิ่งตอกย้ำเรื่องทูน่าสเปรดอาหารกันตายของเราเข้าไปกันใหญ่

ระหว่างกินข้าวสองผัวเมียเงาะมาร์ค กับเพื่อนฝรั่งเจ้าถิ่น ออกความเห็นถึงแพลนในวันนี้ของพวกเรา แต่ดูเหมือนกับว่ากิจกรรมย่อยต่างๆ ก็ไม่ค่อยเหมาะไปซะหมด เช่นตลาดมัทราตอนนี้ร้อนมาก ถ้ากลับบ้านก่อนแล้วมาตอนเย็นก็จะอ้อมไปอ้อมมา หลายๆ ที่ก็ปิดเพราะเป็นวันหยุด อีกอย่างเจ้าบ้านอยากให้ฝั่งเราผู้มาเยือนได้พักปรับเวลาอีกนิด ซึ่งส่วนตัวเราเสียดายอยากเที่ยวเยอะๆ แต่หนิงกับมุ้ยเห็นว่าได้พักซักหน่อยก็จะดีเหมือนกัน และนี่คือสิ่งที่ได้เรียนรู้ ว่าต้องฟังเสียงข้างมาก กลับบ้านนอนก็กลับบ้านนอน ไม่ว่ากัน

บ่ายสองเวลาโอมาน เรามุ่งหน้ากลับบ้านเพื่อนเพื่อพักผ่อนยามบ่าย รถเราแล่นปราดผ่ากลางเมืองมัสกัต ท่ามกลางอากาศร้อนระดับแผดเผา เหมือนกรรมที่เคยกินหมูกะทะมาเยอะมันตามมาเอาคืน เมืองหลวงสะอาดเรียบร้อย ดูเงียบเชียบแทบจะไร้ชีวิตชีวา ก่อนเดินทางไปโอมานเราคิดว่าบ๊ายบายต้นไม้เหอะห้าวันนี้คงมีแต่สีน้ำตาลครบทุกเฉด แต่มัสกัตมีต้นไม้ข้างทางเป็นทิวแถว พร้อมสวนสาธารณะที่ปกคลุมด้วยหญ้าเขียวที่ตัดแต่งซะเรียบกริบท่ามกลางเปลวแดด เงาะบอกว่าเงินถึงป่าก็มา จะแล้งแค่ไหนก็เขียวได้ แต่ถึงอย่างนั้น เขียวต้นไม้ที่สรรสร้างโดยมนุษย์ก็ยังเป็นเขียวอ่อนบาง หรี่ตามองแล้วเหมือนติดสีน้ำตาลนิดๆ ทำให้นึกขึ้นมาได้ว่า ป่าไม้บ้านเราส่วนมากใบเป็นสีเขียวเข้มลึก เขียวแบบที่เรารู้ว่ามันสะสมซึมซับน้ำไว้ทุกอณู ก็สวยกันไปคนละแบบ

บ้านเพื่อนอยู่ละแวกชานเมือง แต่ด้วยความที่เมืองไม่ใหญ่ ชานเมืองก็เลยเหมือนออกจากเมืองมานิดหน่อยเหมือนลาดพร้าวรัชโยไรงี้ บ้านเช่าหลังใหญ่เป็นสไตล์โอมานี่แท้ๆ ล้อมกำแพงทึบสูง ประตูรั้วไฟฟ้าเป็นแผ่นเหล็กไม่มีลายฉลุ พอเข้าบ้านปิดประตูแล้วก็เป็นโลกส่วนตัว บ้านเพื่อนเลี้ยงหมาตัวใหญ่หน้าตาซื่อๆ อ่อนโยนสองตัว ขนยาวของพวกมันยุ่งเหยิงและเหนียวพิกล เงาะบอกว่าแทบไม่อาบน้ำหมาเลยแหละ เพราะน้ำเป็นของพึงสงวนของที่นี่ แต่เจ้าสองหมา หลุยส์ กับบ๊อบก็ไม่ได้สกปรกอะไรมาก เพราะเป็นหมาเลี้ยงในรั้วบ้าน พื้นที่นอนก็ปูคอนกรีต มันมีโซนของมันเองที่กว้างสบาย กั้นด้วยประตูเหล็กดัด ทำให้มันหมดโอกาสที่จะกระโจนเข้าใส่เจ้านายและแขกเหรื่อ

เราเดาว่าบ้านชาวโอมานแท้ถูกสร้างตามหลักศาสนา นั่นก็คือผู้ชายมีเมียได้แม็กซิมั่ม ๔ คน ตราบเท่าที่เลี้ยงดูเหล่าภรรยาอย่างเท่าเทียมกัน เราซักถามเรื่องนี้เพิ่มจากเพื่อนภายหลังเดี๋ยวค่อยเล่าให้ฟัง แต่ตอนนี้สำหรับเรื่องความเท่าเทียมนั้น เราสังเกตว่ามันน่าจะสะท้อนถึงการวางผังในบ้านที่น่าสนใจ ด้วยภายนอกบ้านที่เป็นสี่เหลี่ยมจัตุรัส แต่ภายในตัดมุม ทำให้เมื่ออยู่ข้างในรู้สึกเหมือนอยู่ในรูปทรงแปดเหลี่ยม ที่ทำให้ความเป็นไปได้ในการจัดผังห้องมีมากมายนับไม่ถ้วน เมื่อเปิดประตูหน้าเข้าไป ห้องนั่งเล่นใหญ่ในบ้านกว้างมาก มีทีวีและชุดโซฟา กับโต๊ะกินข้าวขนาดใหญ่อีก ๑ ชุด เฟอร์นิเจอร์ตกแต่งต่างๆ ดูมีเอกลักษณ์มากๆ ในบ้านมีกลิ่นหอมอ่อนๆ อวลอยู่ รู้ทีหลังว่าที่นี่เขาชอบจุดเทียนหอมกันรวมถึงคุณเพื่อนเราด้วย โดยวิธีคือจุดให้กลิ่นออก แล้วดับไฟ ปล่อยให้ควันเทียนค่อยๆ ลอยเอื่อยๆ อยู่ทั่วห้อง ก่อนกลับก็ซื้อมาด้วยกระปุกหนึ่ง ทุกวันนี้ยังจุดอยู่เลย

มาร์คที่ตอนอยู่นอกบ้านดูเฟี้ยวมากๆ พอตูดแปะโซฟาก็กลายร่างเป็นลุงทันที เพื่อนจัดไฟในบ้านค่อนข้างมืด รู้สึกเหมาะแก่การนอนตลอดเวลา (หรืออาจจะเป็นเพราะเราปรับสายตาจากแดดจ้าทันทียังไม่ได้) เราชอบผังบ้านแบบครอบครัวใหญ่แบบนี้จริงๆ ยกเว้นแต่ว่าถ้าการครองคู่มันจะต้องมีเกินว่าชายหนึ่งหญิงหนึ่ง ก็ขอเป็นจำนวนผู้ชายนะที่เพิ่ม หุหุ

จากห้องนั่งเล่นใหญ่ สิ่งที่โดดเด่นมีเอกลักษณ์คือซุ้มประตูโค้งสู่ห้องนั่งเล่นเล็กอีกห้อง เงาะมีทีวีตรงนี้อีกเครื่อง เอาไว้เวลาดูละครไทยตบจูบคนเดียว ถัดไปเป็นห้องนอนแขกพร้อมห้องน้ำในตัวที่ยกให้มุ้ยกับหนิง จากนั้นเป็นทางเดินกลางบ้าน มุ่งตรงไปยังประตูเปิดออกสู่ภายนอก ห้องที่ประจันหน้ากันกับห้องแขก ๑ ก็จะเป็นห้องที่เรานอน เป็นห้องแขก ๒ มีห้องน้ำพร้อม แต่มาร์คใช้ห้องนี้เป็นห้องออกกำลังกาย มีสารพัดเครื่อง ทั้งลู่วิ่ง ทั้งอีที่ดึงๆ อีที่นอนแล้วซิตอัพ อีอันที่คล้องพุงแล้วมันสั่นๆ อีที่ขึ้นไปเดินลอยๆ (จะรู้ชื่อซักอันไหมเนี่ย) ฯลฯ และห้องนี้ก็มีเตียงหนานุ่มหนึ่งเตียง ที่จะเป็นที่พำนักของเรา อีกด้านของห้องนั่งเล่นใหญ่ก็จะเป็นห้องนอนของเงาะมาร์ค ตรงกลางผนัง ด้านหนึ่งของห้องนั่งเล่นใหญ่จะเป็นบันไดทอดขึ้นดาดฟ้า ซึ่งถ้าใครซักคนเดินลงมาด้วยหางกระโปรงยาวๆ ก็จะดูเหมือนบันไดเปิดตัวเจ้าหญิงยังไงยังงั้น

กลับมาที่ประตูหลังที่เปิดสู่ภายนอก ถ้าเปิดออกไปก็จะมีช่วงเอาท์ดอร์คั่น เป็นจุดที่แมวสองตัวนอนเหยียดยาว ขวามือมีเจ้าหมาสองตัวมาเกาะประตูรั้ว ส่ายตูดดุ๊กดิ๊ก ตรงไปข้างหน้ามีประตูเปิดเข้าโซนครัว ซึ่งเป็นอีกอาคารแยกโครงสร้างต่างหาก ครัวมีพรีครัวชั้นหนึ่งด้วย เป็นบริเวณที่เก็บอาหารหมา ตั้งตู้เย็นใหญ่ ตั้งถังขยะ เปิดประตูซ้ายมือเข้าไปอีก เป็นครัวจริง ครัวผัดฉู่ฉ่าที่โคซี่มาก ดูอบอุ่น เห็นแล้วหิวและรู้สึกว่าจะมีทุกอย่างที่เติมเต็มความหิวนี้ได้โดยพลัน

ทั้งหมดที่ว่ามานี้ ส่วนที่เป็นอินดอร์ ติดแอร์ทั้งหมด (ยกเว้นพรีครัว) หนิงถึงกับออกปากว่า ถ้าครัวติดแอร์เย็นฉ่ำขนาดนี้ ให้ทำครัวเยอะแค่ไหนก็ไหว แต่เรากับมุ้ยถึงกับซักไซ้เรื่องค่าน้ำค่าไฟกันใหญ่ คือมันดูเปลืองตังค์มาก สรุปได้ว่า การทำงานอยู่โอมาน โอเคเงินเดือนเยอะมากกว่าไทยเยอะ แต่ถ้าอยากได้วิถีชีวิตดีๆ คุณภาพชีวิตดีๆ หักค่าใช้จ่ายพวกนี้ไป ก็เหลือไม่มากนะ มันก็แพงมากอยู่

หลังจากทุกคนเริ่มเข้าสู่ภาวะจำศีลระยะสั้น เราเป็นคนไม่นอนบ่าย แถมยังตื่นเต้นกับผังบ้านที่ซับซ้อนก็จัดการข้าวของ และออกสำรวจบ้านเพื่อนและบรรยากาศโดยรอบ บนดาดฟ้าร้อนฉ่าแต่ลมยังดี เป็นทำเลดีสำหรับการสอดส่องรอบทิศทาง ซึ่งแทบไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ รถยังมานานๆ คัน

อีเด็กนี่เป็นสิ่งมีชีวิตเดียวเท่าที่มองเห็น (นอกจากเรา) ที่อยู่นอกชายคา วิ่งเล่นในทุ่งร้างๆ นั่นคนเดียว ฝุ่นฟุ้งไปหมดตามแต่ละก้าวที่ย่ำไป บางทีก็นึกเป็นห่วงว่า มันเล่นหรือมันวิ่งหนีอะไรอยู่รึเปล่าวะ

บ่ายนั้น ทั้งแขกทั้งเจ้าบ้านจำศีลกันอย่างเงียบเชียบ เราไม่นอนเลย ทำนู่นทำนี่ พอตกกลางคืนโคตรเพลียแทบสลบ แต่คนอื่นเขาหลับตุนกัน เขาก็แจ่มใสกันดี เย็นนั้นเงาะพาพวกเราไปห้างใกล้บ้านเพื่อสองวัตถุประสงค์ คือมื้อเย็นวันนั้น และอาหารสำหรับแค้มปิ้ง มาร์คไม่ได้ไปด้วย พอไปถึงห้างคาร์ฟูร์ แลกเงินเสร็จ ก็รู้สึกเป็นอิสระทางการเงินอย่างมาก เนื่องจากการจัดการด้านอาหารไม่ใช่สาขาที่เราถนัด แต่ถนัดจัดการให้มันหายไปมากกว่า เราจึงขอให้เพื่อนๆ แม่บ้านทั้งสองโปรดลีดหนทางของการผลิตอาหารได้ตามสบายเลย ตอนแรกมีความเข้าใจไม่ตรงกันเล็กน้อย เนื่องจากมัสกัตอยู่ติดชายทะเล ทำให้นักท่องเที่ยวมีอิมเมจในใจว่าอาหารทะเลจะต้องโดดเด่นเลยล่ะ ปรากฏว่า ไม่แฮะ เพื่อนอยากลองเอาปลาหมึกอ๊อคโทปุ๊ซไปปิ้งย่าง แต่มันดูแฉะมากจนน่าประหลาดใจเลยเอาไปนิดเดียวพอ และด้วยความที่ไม่มีเนื้อหมู ทำให้เกิดความขลุกขลักในด้านการคิดเมนูพอสมควร แต่สุดท้ายก็จัดการกันจนลงตัวด้วยการแบ่งซื้ออย่างละนิดอย่างละหน่อย ทั้งไก่ ทั้งแกะ เนื้อวัวและผองเพื่อน แล้วก็เอาผักผลไม้ไปตัดอารมณ์ อาหารต่างๆ ที่ซื้อไป ได้นำมากินอย่างเหมาะสม ไม่มากไม่น้อยเกิน ยกเว้นอีอ๊อคโทปุ๊ซนั่น แม่งกินไม่ได้เลยแม้แต่นิดเดียวปิ้งปุ๊บยุ่ยและย่อยสลายเกาะติดตะแกรงปิ้ง เหมือนซากตุ่มตอตะโก และในที่สุด ทุกคนก็เห็นตรงกันว่า มันเกือบจะเน่าแล้วจริงๆ ตอนเราซื้อมา

เราหนิงและมุ้ย ไปเดินหาซื้อกล่องข้าวกันคนละใบด้วย เพราะวันรุ่งขึ้นจะมีการห่อข้าวไปกินระหว่างทาง บ้านเงาะอาจจะไม่มีกล่องสำรองพอสำหรับทุกคน แต่พวกเราก็สนุกกับการได้ช้อปแผนกเครื่องครัวที่ต่างประเทศ โดยเฉพาะการซื้อภาชนะนี่ของโปรดเลย (บอกสิว่าคุณก็เป็น) ทุกวันนี้ก็ยังใช้ไปเวลาไปซื้อข้าวนอกบ้านกินอยู่เลย ของเค้าดีจริงๆ นะ

ทุ่มครึ่งเวลาโอมาน เราเดินทางกลับบ้านเงาะกันโดยไม่แวะที่ไหนอีก เพื่อนๆ ซื้ออาหารสำเร็จมาสองสามอย่าง แล้วเงาะก็จะทำเพิ่มอีกหน่อยสำหรับมื้อเย็น อยู่ๆ ฝนเม็ดบางๆ ก็ตก เป็นเม็ดฝนที่เล็กมาก ไม่เหมือนฝนปรอยบ้านเรา บอกไม่ถูกแต่มีความยูนีคจริงๆ เงาะบอกว่าปกติฝนตกปีละ ๕ วันเท่านั้นที่โอมาน เริ่มกังวลว่านี่กูเป็นมิวแต๊นท์ตัวดูดพายุจริงๆ เหรอวะ

ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง คงต้องขอยืม Quote ของสตรีผู้หนึ่งที่เคยกล่าวไว้ว่า Mutant and proud

ชมแบบภาพเคลื่อนไหวพร้อมเสียง commentary จ้ะ
https://web.facebook.com/PlaceInPeaceByAppopo/videos/3343318425685748/

โอมานอีสออซั่มมมม #๑

ปฐมบท

ไม่เคยคิดจะไปเลย โอมาน
คือรู้จักคำนี้ว่าเป็นนามสกุลอุปโลกน์ของดาราก่อนที่จะรู้ว่าเป็นชื่อประเทศซะอีก รู้สึกว่ามันถูกใช้จนแปดเปื้อนไปแล้ว ไอ้เราเองก็มีที่อยากเที่ยวมากมาย หาเงินไม่ทันเที่ยวจนต้องอดมื้อกินมื้อจนซูบผอม (ไม่เชื่อก็ทำเป็นพยักหน้าไปก็ได้) ย่อมไม่รู้สึกกระเหี้ยนกระหือรืออะไรกับประเทศนอกวิชลิสต์แบบนี้อยู่แล้ว
เพื่อนวัยเด็กของเรา ไปอาศัยอยู่ที่นั่นเป็น ๑๐ แล้ว หลายปีก่อนเคยถามที่อยู่จะส่งโปสการ์ดไปหา (แม้กระทั่งในยุคนี้ โปสการ์ดก็ยังเป็นช่องทางคอนเนคต์กับมนุษย์ที่เราโปรดปรานที่สุด) เพื่อนบอกว่า ไปรษณีย์ไม่ค่อยจะครอบคลุม สรุปว่าการส่งกระดาษน้อยใบเดียวดูจะเป็นเรื่องลำบากลำบนซะอย่างนั้น สำหรับประเทศเศรษฐีน้ำมันที่รวยๆ เราไม่เข้าใจว่าทำไมจะส่งโปสการ์ดไม่ได้วะ จากนั้นก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรโอมานอีก

สุดท้ายก็จับพลัดจับผลูจัดทริปไปโอมานกันจนได้ เพราะความเลยตามเลย ไม่ขัดใจเพื่อนและความอยากรู้อยากเห็นของเราเอง ไอ้นิสัยนี้ทำให้ได้ทำอะไรที่ไม่คิดว่าจะทำมาเยอะแยะแล้ว ทำไมเพื่อนไม่ผลักดันไปหาผู้ชายดีๆ บ้างนะ บางทีก็สงสัยอยู่ในใจ

ทริปนี้มีความ “ครั้งแรก” หลายอย่าง

ไปทะเลทรายร้อน เป็นครั้งแรก เป็นทะเลทรายแบบ ทราย. ไม่เหมือนมองโกเลียที่เป็นทะเลทรายแบบดินหิน คือเป็นดินแดนรกร้างมากกว่า
ไปตะวันออกกลาง (ตรงริมๆ) เป็นครั้งแรก
ไม่ได้แพลนทริปเอง เป็นครั้งแรก
ไปประเทศมุสลิม เป็นครั้งแรก พร้อมหมูแห้งเต็มกระเป๋า
แบกเต็นท์สองหลังไปต่างประเทศ เป็นครั้งแรก (และยังเสือกเอาฟลายชีทกับผ้าใบรองพื้นผืนใหญ่ไปด้วย)
เปิดยูทูปหัดโพกผ้าแบบมุสลิม เป็นครั้งแรก ไม่เข้ากับหน้าเลย ตาตี่หน้ากลมๆ โพกผ้าตีกรอบแก้มแล้วดูอย่างกะขนมเข่ง

ก่อนไปมีความลังเลเรื่องดีเทลการท่องเที่ยวและแผนการ หลักๆ ก็ไม่อยากกวนเพื่อนมาก รองลงมาก็อยากผจญภัยเอง รับผิดชอบชีวิตและการกระทำของตัวเองบ้าง แต่สุดท้ายก็สรุปว่าให้เงาะกับมาร์ค สองผัวเมียเจ้าถิ่นจัดการทำแผนและนำเที่ยวเสร็จสรรพไปเลย ซึ่งสำหรับเราไม่เคยเดินทางแบบที่ไม่ได้แพลนเองมานานแล้ว ต้องอาศัยการปล่อยวางพอสมควร มีบางคนเคยบ่นว่าได้เตรียมแผนป้องกันอันตรายไว้มั่งไหม ฟังดูก็เหมือนเป็นห่วง แต่เราก็เป็นแบบเนี้ย ต่อให้มีปัญหาอะไรยังไง ก็มั่นใจว่าเอาตัวรอดได้อยู่แล้ว ต่อให้หลงกลางทะเลทรายชั้นก็ไม่ตายหรอก ถ้าจำไม่ผิดวันนั้นน่าจะตอบไปแบบนั้น
จริงๆ นานๆ จะมีคนเป็นห่วงทีก็ไม่ควรเก่งใส่เนาะ ไม่ทันแล้ว

ผู้ไปเยือนนอกจากเราก็มีหนิงและมุ้ยอีกสองคน ซึ่งฝ่ายหญิงเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่เด็กฝ่ายชายคือสามีมัน สองคนนี้เที่ยวเยอะแบบมนุษย์ปกติ แต่เราก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกว่ามีหน้าที่ต้องดูแลเพื่อน และทำให้อีสองคนนี้ปลอดภัยกลับมาด้วยให้ได้

เรื่องราวสนุกๆ กับการเดินทางแค่ ห้าวันหน่อยๆ กำลังรอการเปิดเผย สปอยล์ให้ก่อนว่า ทุกอย่างราบรื่น เจ้าบ้านดูแลดี๊ดี ได้เดินทางกันแบบสนุกมากๆ บางครั้งเป็นคนตามบ้าง ก็ดีเหมือนกันนิ

เพียงแต่ในบางบริบทคนที่ชั้นอยากจะตาม เค้าก็ไม่ได้อยากจะนำชั้น..

ก่อนได้ไปเยือน เรารู้แค่ว่าโอมาน = น้ำมัน = ทะเลทราย จบ ไม่ได้รู้เรื่องอื่นที่น่าสนใจ เป็นต้นว่าสุลต่านที่ปกครองประเทศในปัจจุบัน ทรงปกครองมาตั้งแต่ ปี ๒๕๑๓ เพียงพระองค์เดียว ก่อนหน้านั้นประเทศโอมานเป็นเพียงชนเผ่าด้อยการพัฒนาในแทบทุกด้าน ทั้งดินแดนมีถนนก่อสร้างยาวแค่ ๖ กม. เท่านั้น สุลต่านอัลซาอิด (Qaboos bin Said al Said กอบุส บิน ซาอิด อัลซาอิด) หลังจากชิงอำนาจมาจากพ่อของตนเองที่ปกครองดินแดนอยู่ก่อนแบบโบราณ ด้วยการสนับสนุนจากฝั่งอังกฤษ (แน่ะ ไปแจมกับเขาอีก) แล้วก็ใช้ความรู้และแนวคิดแบบสมัยใหม่ที่ได้เรียนมาจากต่างประเทศ พร้อมกับสร้างสัมพันธ์ที่ดีกับรอบด้าน มาพัฒนาโอมานให้โตแบบก้าวกระโดดแล้วทะยานไปเลย (ยกเว้นการไปรษณีย์สินะ)

ซึ่งประเทศอยู่ในเวิ้งนั้นต้องยอมรับว่า การประคองตัวอยู่มานานขนาดนี้โดยไม่รบกับใครเลยนี่ไม่ใช่ง่ายๆ นะ คิดดูว่าโอมานมีพื้่นที่ติดต่อกับซาดุดิอาระเบีย ที่แสนจะคันคะเยอ และยังเยเมนที่ย่ำแย่ไปด้วยสงคราม ด้านเหนือสุดเชื่อมต่อกับยูเออีที่ดูเหมือนจะสายเศรษฐกิจตอนแรก แต่หลังๆ นี่มาสายวอร์ซะอีกแล้ว เพื่อนบ้านรอบๆ นอกจากจะมีศัตรูภายนอกแล้ว ยังบาดหมางกันเองภายใน จับคู่ตีกันเกือบจะเป็นแบบพบกันหมดอยู่แล้วมั้ง และการโต้ตอบความบาดหมางมันไม่ใช่แค่แซะกันไปแซะกันมาเหมือนแถบบ้านเรา นี่เขาเล่นยิงระเบิดใส่กันจริงจังเลยเหมือนระเบิดมันลูกละห้าบาทสิบบาท และชีวิตคนมันมีค่าแค่ผักปลา


นานามิตรประเทศได้ชวนโอมานเข้าร่วมกิลด์วอร์อยู่เนืองๆ แต่ด้วยพระปรีชาขององค์สุลต่าน
ซึ่งถืออำนาจปกครองสูงสุดในระบบสมบูรณาญาสิทธิราช ทำให้โอมานบาลานซ์อยู่บนความไม่ลงรอยนี้ได้ตลอดมา

เกร็ดน่ารู้ที่เพื่อนเล่าให้ฟังคือ สุลต่านอัลซาอิดไม่เคยเปิดเผยว่าใครเป็นรัชทายาท อย่าว่าแต่ตำแหน่งรัชทายาทเลย ใครเป็นลูกพระองค์ มีกี่คน ยังไม่เป็นเรื่องที่เปิดเผยเลยด้วย

การเดินทางไปโอมาน เราใช้เอเย่นต์คนเดิมที่หาตั๋วมองโกเลียให้ ได้บินการบินไทยในราคาที่ เอาวะ คงหาได้ไม่ดีไปกว่านี้แล้วมั้ง เนื่องจากโอมานอาจไม่ได้เป็นที่นิยมของชาวไทย จึงทำให้ตั๋วเครื่องบินราคามันยังงั้นๆ แทบจะตลอดทั้งปี ไม่ค่อยขึ้นไม่ค่อยลง ถ้าได้ถึงหมื่นห้าก็รีบซื้อได้เลย ส่วนเราได้มาที่หมื่นหกเจ็ดร้อย บินตรงแต่แวะรับคนที่การาจี ที่เลือการบินไทยมากกว่าโอมานแอร์ เพราะคิดว่าตัวเองคงไม่ชอบอาหารอาหรับแน่ อย่างน้อยขอกินอาหารไทยอีกซักนิดบนเครื่องก็ยังดี แต่แล้วเรื่องอาหารก็เป็นอีกเรื่องที่ผิดคาด คือทั้งเราทั้งเพื่อนดันชอบอาหารอาหรับซะงั้นน่ะ อ้วนเอ๊ย กินอะไรก็อร่อย ทำไมวะ

ไฟลท์เราใช้เวลารวม ๘ ชม. เป็นเดินทาง ๗ จอดรอชาวคณะขึ้นลงที่การาจีอีก ๑ ชม.
เราออกเดินทางล้อหมุนจากสุวรรณภูมิบ่ายสอง นับเวลาถอยหลังแล้วเข้าไปทำงานได้ ๒ ชม. ตอนเช้า จึงเข้างานติดพันต่ออีกพักนึงจนต้องไปนั่งโทรศัพท์เคลียร์บางเรื่องและอีเมลในแท็กซี่ (ทำไมอนาถ) เดินทางมันทั้งเสื้อแจกของบริษัทแบบนี้สิ ช่างสมเป็นเราซะจริง อีกทั้งอีเสื้อตัวนี้ยังปรากฏในบัตรประชาชน, ใบขับขี่ และวีซ่าบางประเทศด้วย

โอมานมีโซนเวลาช้ากว่าไทย ๓ ชม. ทำให้วันเดินทางเป็นวันที่มี ๒๗ ชม. สำหรับเรา แม่งยาวนานเหมือนความรู้สึกของวันจันทร์ที่เจ้านายอารมณ์บูด แต่เนื่องจากเดินทางตอนกลางวันแบบตามตะวัน ทำให้แทบจะตลอดไฟลท์ แสงจากข้างนอกมันสว่างจ้าตลอดเวลา ทุกช่องหน้าต่างพร้อมใจกันปิดจนภายในเครื่องมืดสนิทเหมือนไฟลท์ดึก แล้วก็พากันหลับคร่อกๆ ด้วยความที่เครื่องค่อนข้างโล่ง เพราะเส้นทางมันไม่ฮิต หลายๆ ท่านก็นอนพาด ๔ เบาะ หรูกว่าเฟิร์สคลาสก็พวกมึงนี่แหละ


ส่วนเราหลับไม่ลงเลยดูหนังไปสองเรื่อง Deadpool 2 กับ Walter Mitty ไม่อยากดูเรื่องที่ไม่เคยดู อยากดูอะไรที่มั่นใจว่าจะมีความสุขมากกว่า (ถึงจะดูจอเล็กๆ แต่ตอนมิตตี้ออกเดินทางเราก็น้ำตาซึมตามเคย) ด้วยจริตแอ๊บรักสะอาดจึงพกหูฟังส่วนตัวด้วย ตอนผล็อยหลับ ตูดไหลไปทับหูฟังตัวเองที่กำลังเสียบอยู่ แจ๊คหักได้อีก สุดท้ายก็ต้องใช้หูฟังของเค้า

ก่อนแลนด์ที่การาจีมีประกาศห้ามการถ่ายภาพต่างๆ ทั้งบนฟ้า และที่สนามบินของปากีสถาน ตอนแรกก็ไม่คิดอะไรหรอก พอห้ามเท่านั้นแหละ อื้อหือ.. คันขึ้นมาทันที และนี่คือภาพน่านฟ้าและสนามบินสุดหวงแหน มึงหวงอะไรกูยังไม่ค่อยเข้าใจ

ด้านล่างนี้รู้สึกตื่นตาตื่นใจกับแลนด์สเคปแปลกๆ ของปากี แต่แอร์เดินไปมาขวักไขว่ แอบถ่ายรูปไม่ได้วาดแม่มเลย จินตนาการซะว่ามันเหมือนก็แล้วกันนะ

ตลอดการเดินทาง บรรยากาศบนเครื่องดีมาก พนักงานให้ความกันเองและใส่ใจคนไทยมากกว่าต่างชาติแบบเห็นๆ ก็คงเหมือนความรู้สึกเวลาบินสายการบินประเทศอื่นมั้ง อีนี่ก็ไม่รู้เหมือนกัน ตอนบินของพวกจีน สิงคโปร์ มาเลย์ หลายครั้งเขาก็คิดว่าเราเป็นคนประเทศเขา (เป็นคนหน้าตาองคาพยพแบบนานาชาตินิดนึง) แล้วก็เอาใจใส่เราดีตลอดแม้กระทั่งเมื่อโป๊ะไปแล้ว
ตอนสมาชิกขึ้นมาสมทบจากการาจี กลิ่นอันเป็นเอกลักษณ์ก็ขึ้นเครื่องมาด้วยเลย เพื่อนๆ มีออกอาการบ้าง ส่วนเราสบายดี ปกติหลังตีแบดกูก็ประมาณนี้แหละ แต่สิ่งที่กระทบเรามากกว่าคือความไม่เสมอภาค คนที่ขึ้นมาแทบไม่มีผู้หญิงเลย เพราะผู้หญิงคงไม่มีค่าพอที่จะมีธุระสำคัญอันต้องเดินทางด้วยเครื่องบิน
เราเริ่มรู้ตัวว่านี่ต่างหากที่จะเป็นปัญหาสำหรับการเยือนประเทศมุสลิม-อาหรับ ของเรา เมื่อเฟมินิสต์ตัวอ้วนมาเยือนกรงขังอิสรภาพของมนุษย์สตรีเพื่อนร่วมโลก
เอ้าเพลงขึ้น

กักขังฉันเถิดกักขังไป ขังตัวอย่าขังหัวใจดีกว่า

ทุ่มนิดๆ หลังปรับไทม์โซนมือถือเป็นเวลาโอมาน เราก็แลนดิ้ง เหนือน่านฟ้าและที่สนามบินโอมานก็เป็นเขตห้ามถ่ายรูปเช่นกัน
เอ้ามาชมกันเลยจ้า  

มีเรื่องราวน่าสนใจไฮไลท์ในสนามบินอยู่ ๒ เรื่องด้วยกัน

๑.
เมื่อออกจากเครื่องสู่เส้นทางยาวไกลในตัวอาคารได้สำเร็จ เราผลัดกันเข้าห้องน้ำ และเริ่มต้นกระบวนการเดินๆๆๆ ไปหา ตม. เส้นทาง, ระยะ และป้ายบอกทางต่างๆ คล้ายสุวรรณภูมิมากๆ จนคิดว่าไม่ใครก็ใครต้องมีก๊อบกันบ้าง ในระหว่างการเดินอันยาวไกล มีทางเลื่อนแนวระดับโผล่มาเป็นต่อนๆ เหมือนสุวรรณภูมิอีกเช่นกัน ต่างกันตรงที่ความเร็วของโอมานจะเร็วกว่าเล็กน้อยราว ๐.๐๐๐๐๐๐๑ พาร์เซค

ตอนเราจะก้าวเข้าสู่ทางเลื่อนอันแรก ผู้หญิงในชุดคลุมดำแทบลากพื้นคนหนึ่งกำลังยืนลังเล ไม่กล้าก้าวลงไป ในมือเธอถือถุงดูเกะกะ ชุดคลุมรุ่ยร่ายทำให้เรามองไม่เห็นว่าเธอยังมีปัญหาอื่นหรือเปล่า
ในทางเลื่อน สามีของเธออุ้มลูกวัยน่าจะ ๒-๓ ขวบอยู่ ยิ่งเธอไม่ก้าวลงไป ทางเลื่อนก็พาพ่อลูกเลื่อนห่าง สามีก็มีการเดินกลับมาเล็กน้อย ทำหน้าเหมือนไม่ค่อยพอใจ พร้อมพูดรัวๆ ก็คงบอกว่าเดินๆ ลงมาตะอีโง่ อะไรทำนองนี้
เราเห็นหน้าเขา เขากลัวทางเลื่อน แต่กลัวผัวมากกว่า เขาเลยไม่รู้จะทำไงต่อกับชีวิต ได้แต่ยืนจดๆ จ้องๆ เราไปยืนข้างๆ แล้วบอกว่า May I help you? เรารับถุงพลาสติกที่อัดของแน่นมาถือให้ (แม่งหนักเลยแหละ) เอาล่ะตอนนี้คุณจะสามารถจับราวและก้าวลงมาได้เลย เราจะก้าวให้ดูก่อนนะ
เราก้าวลงไป พยายามทำท่าสบายๆ ให้ดู แต่เธอก็ยังไม่กล้า เราเลยเดินกลับไปหา คราวนี้บอกว่า จับมือชั้นนะ แล้วก้าวไปพร้อมๆ กัน

โอเค รอบสองสำเร็จ เธอลงมายืนขาโงนเงนได้สองวิ อีผัวห่าอุ้มลูกเดินย้อนทางเลื่อนกลับมา เอาลูกยัดใส่มือ แล้วเดินนำเฉิบหายหัวไปเล้ย อีเหี้ย เราแม่งหลังแบกกระเป๋าตัวเอง มือซ้ายหิ้วถุงเจ๊แก แล้วขวาก็จับมือซ้ายของแกตอนจะก้าวออกจากทางเลื่อน ส่วนเจ๊มือขวาอุ้มลูกตัวไม่ใช่น้อยๆ ด้วยมือเดียว มือซ้ายที่สั่นเทาจับเราแน่น พอออกจากทางเลื่อนอันแรกได้ อีผัวห่าลับตาหายไปแล้ว เจ๊แกไม่ประหลาดใจแต่กูอัศจรรย์ใจมาก ไม่คิดว่ามันจะขนาดนี้ เจ๊แกพอไม่เห็นหลังผัว ก็ไม่เข้าทางเลื่อนอีกแล้ว แกเดินอ้อมข้างๆ ผ่านทุกทางเลื่อน ไอ้เราซึ่งยังถือถุงให้แก และไม่กล้ายื่นคืนแกในสภาพนี้ ก็เลยเดินไปด้วย
แกพยายามอธิบายว่า มายเฟิร์สไทม์ๆ ไม่แน่ใจว่าครั้งแรกสำหรับการบิน หรือ การเดินทางเลื่อน แต่คงไม่ใช่ครั้งแรกที่ผัวทำตัวระยำตำบอนแบบนี้แน่

สุดท้ายตอนที่เราต้องแยกไปคนละทาง เรายื่นถุงคืนให้เธอ
เธอขยับท่าให้เหมาะที่จะแบกลูกบวกถือถุง ทำให้เราเห็นพุง อ้อ ท้องอยู่ มิน่าถึงไม่กล้าเสี่ยงกับทางเลื่อน เอ้าผัว เหี้ยซ้ำเหี้ยซ้อนได้อีก เราเดินผรุสวาทกับเพื่อนไปเบาๆ พยายามบังคับหน้าไม่ให้ออกยักษ์ออกมารอย่างยากลำบาก

๒.
ไม่คิดเลยว่าจะมีปัญหาใดๆ กับการผ่าน ตม.
เพราะพาสปอร์ตเราหรู ดูยังไงก็นักเดินทาง, เพราะเราทำวีซ่าออนไลน์เสร็จจบมาหมดแล้ว, เงินค่าธรรมเนียมก็จ่ายหมดแล้ว เพราะเรามีกระทั่งหนังสือรับรองจากที่ทำงาน เอกสารสำคัญอื่นใด เตรียมมาหมด จัดไว้เป็นชุดๆ เรียงตามลำดับเวลา เรียบร้อยกว่าเวลาทำงานอีก สุดท้าย โดนไล่ไป “สแกนนิ้ว” คือกูไม่หวงหรอกลายนิ้วมือกูเนี่ย แต๊มมาหลายประเทศแล้ว
แต่ทำไมไม่เอาเครื่องมาไว้ตรง เคาท์เตอร์ ตม. ทำไมต้องเอาเครื่องไว้ที่ห้องลึกลับ แล้วจิ้มโดนใครก็ไล่ให้เดินไปสแกนตั้งไกล
เจ้าหน้าที่สนามบินชุดสีส้ม สุภาพและอารีเข้ามาถามว่า ทำไมเราไม่ผ่าน ตม. ออกไป แต่ย้อนกลับเข้ามา อ๋อ เขาให้ไปสแกนนิ้ว ไปทางไหนรึ แล้วทำไมต้องเรียกฉัน เพื่อนฉันก็ผ่านไปได้แล้ว วีซ่าฉันก็มี เอกสารฉันก็ครบ ไม่แง้มดูเลยแม้แต่นิดเดียว เห็นหน้าไล่ไปสแกนเลย

มันรบกวนจิตใจมากว่าเราดูไม่น่าเชื่อถือตรงไหนวะ หลังจบกับการสแกนแล้ว เรายังกลับไปหาเสื้อส้มแล้วคาดคั้นให้ตอบว่าทำไมเราถึงโดนไล่ไปสแกน เราผิดตรงไหน อยากรู้จริงๆ เสื้อส้มตอบว่า แรนดอมล้วนๆ นะครับ

ตอนนั้นในเวลาทุ่มปลายๆ ของโอมาน นาฬิกาชีวภาพของเรามันบอกเวลาหวิดห้าทุ่ม ง่วงและอยากจะงอแง อยากจะวีนเหวี่ยง เรียกผู้จัดการมาด่าให้สาแก่ใจ แต่ต้องบอกตัวเองว่าอดทน อดทน อดทน อย่าให้พังตอนนี้นะ ยิ้มไว้ ยิ้ม.. ไว้..
ทางเข้าห้องสแกนนิ้วแม่งซับซ้อนซ่อนเงื่อน เดินหลงกลับออกมารอบนึง ถามเสื้อส้ม บอกให้พาไปได้มะ กูหลง เสื้อส้มไม่ยอมเดินเป็นเพื่อน ทำได้แค่ส่งปากประตู ให้เดินลับแลๆ เข้าไปเอง

ในห้อง “สแกนนิ้ว” ไม่มีผู้หญิงเลยแม้แต่คนเดียว เจ้าหน้าที่อยู่หลังเคาท์เตอร์ยาวที่ดูมีอุปกรณ์อะไรมากมาย ผู้มีปัญหาทั้งหลายอยู่อีกฝั่งของเคาท์เตอร์ ดูรวมๆ แล้วแทบทุกคนแต่งตัวและโพกผ้าทรงบินลาเดนแทบจะทั้งนั้นยืนกระจุกตัวอยู่ที่ด้าหนึ่งของเคาท์เตอร์
ด้วยความแปลกแยกของสุภาพสตรีผมยาวไม่มัดผมคนนี้ ทำให้ทุกสายตาจ้องมา เรากลัว ๑๐% อยากรู้อยากเห็น ๙๐% อยากคุยกับทุกคนเลย อยากสัมภาษณ์นู่นนี่ แต่ก็พูดได้แค่แต๊งกิ้วตอนที่เจ้าหน้าที่ด้านใน กวักให้ ไอ้ไทยแลนด์ ลัดคิวเข้ามาก่อน แล้วทุกคนที่ยืนหนาแน่นอยู่ก็แหวกให้เป็นทาง

เจ้าหน้าที่เป็นคนจังหวัดไหนไม่รู้ แต่ทำท่ายะโสสุดๆ นั่งเฉียงๆ ชายตามองหน้าเรานิดหน่อย แล้วก็หันไปมองทางอื่น พูดก็ไม่สบตา เหมือนเราเป็นคนละชั้น
พิน อดทน อดทนนะอดทน บอกตัวเอง เพราะสัญชาติญาณมันอยากจะจู่โจมแล้ว อยากจะตะโกนออกไปว่า ถ้าความเป็นคนของกูไม่เท่ากับมึง นั่นก็เพราะว่ากูมีมากกว่าาาาาา ซ้าดดดดด

เราโดนสแกนนิ้ว สแกนตา ผ่านไปอย่างขลุกขลัก พาสปอร์ตถูกยื่นกลับมา เอกสารที่เตรียมมาดิบดีแม่งไม่ดู เรารับพาสปอร์ตมา แล้วมือก็รูดไปเจอรอยพับ ไอ้ห่าทำพาสปอร์ตกูยับอีก เลยคลายรอยพับ แล้วพยายามรีดให้รอยมันคลี่ มันหันมาเห็น ทำท่าไม่พอใจ ดึงพาสปอร์ตกลับไปพับใหม่แล้วบอกเราว่า ชะนีมึงอย่าเอาออกอีกนะ
สรุปว่ารอยพับนั้นคือสัญลักษณ์บอก ตม.ข้างนอกว่า อีนี่สแกนแล้วนะ – สัญญลักษณ์มึงตื้นได้อีก

กว่าจะได้ผ่าน ตม. เราแม่งง่วงมากกกกก
แล้วก็ลุ้นว่าเพื่อนจะรู้มั้ยว่าเราไม่ได้ผ่านมา สรุปเป็นไปตามคาด เพื่อนเราเดาสถานการณ์ไม่ออก (ใครมันจะไปนึก) ได้แต่ยืนตระหนกอยู่ตรงนั้นสองคนผัวเมียว่าไอ้แอ้หายไปไหนวะ
มันสองคนเดินหาเราอยู่พักใหญ่จนสิ้นหวังเลยกลับมายืนเศร้าหมองอยู่ตรง ตม. เราเล่าเรื่องราวให้ฟังอย่างดุเดือด และเนื่องจากออกมาช้ามาก กระเป๋าของพวกเราก็ไหลวนอยู่ในสายพานนานแล้ว ถ้าก่อไฟไว้ด้านล่างกระเป๋าคงสุกกำลังกิน

เราพบแม่ลูกคู่นั้นอีกครั้งตรงสายพานรับกระเป๋า ส่งยิ้มให้เธอ
เธอยิ้มตอบกลับมา ดูดีขึ้นกว่าตอนเดิน เธอคงมีวิถีของเธอที่จะรับมือกับเรื่องราวพวกนั้นได้

ขั้นตอนที่เราแพลนไว้ก่อนเดินทางคือ คืนนั้นเราจะแลกเงินเรียล, ซื้อซิม และเดินทางไปโรงแรมที่จองไว้กันเอง เงาะกับมาร์คอยากมารับแต่เราห้ามไว้เพราะเกรงใจ บ้านก็ไกลสนามบินตั้ง ๑ ชม. ก็สรุปกันไว้ตามนั้น แต่หลังผ่าน ตม. และเดินเข้าสู่บริเวณทั่วไปของอาคารสนามบิน อยู่ๆ กำลังเม้าท์กันเพลินๆ ก็เจอหน้าคุ้นๆ ยืนยิ้มกว้าง ยัยเงาะเพื่อนเรากับมาร์คสามีนางมายืนรอรับ และบ่นว่าทำไมออกมาช้าจัง เป็นห่วง เราเลยได้โอกาสด่า ตม. และห้องสแกนนิ้วอีกรอบระหว่างมาร์คพาไปซื้อซิม
เคาท์เตอร์แลกเงินปิดแล้ว มาร์คเลยควักเงินมาให้ ๕ เรียลเป็นค่าซิมพร้อมเจรจากับคนขายให้เสร็จ ซึ่งดีมาก เพราะคนขายซิมการ์ดชายตามองเราเหมือนมองตัวอะไรซักตัวนึง และเรากำลังคิดเลยว่า จะเจรจาซื้อของกับคนแบบนี้ได้เหรอเนี่ย

เดินต๊อกๆ ตามหลังมุ้ยกับมาร์ค ด้านตรงข้ามคือเหล่าแท็กซี่โอมาน เป็นชาวโอมานแท้ในชุดประจำชาติ ซึ่งจะเห็นไม่ค่อยบ่อยในทริปนี้ เพราะว่าโอมานมีประชากรน้อยมาก (แต่ส่วนมากรวย) ประเทศจึงต้องรับ Expat จำนวนมากเข้ามาทำงาน การขับแท็กซี่เป็นหนึ่งในอาชีพสงวนที่มีไว้ให้คนโอมานแท้ๆ เท่านั้น

คืนนั้นสองผัวเมียส่งเราที่โรงแรมในย่านเงียบสงัดที่เราเลือกจองกันมาเอง ออกจากถนนใหญ่ลึกเข้าไปอีกพอสมควรในความมืด Location ที่ค้นจาก Google map ก็เคลื่อน ทำเอาสาวๆ ตระหนกเล็กน้อย (แน่นอนว่าเราไม่ได้อยู่ในหมวด “สาวๆ” แต่อย่างใด)
พอเจอโรงแรมแล้วก็เข้าไปเช็คอิน มาร์คผู้มีประสบการณ์เดินสำรวจรอบๆ ไวๆ แล้วกลับมาบอกเราว่า โน่นร้านสะดวกซื้อ ซึ่งช่วยชีวิตเราไว้เลย เพราะในห้องเสือกไม่มีน้ำดื่มให้

เทียบกับราคาแล้ว ห้องดี๊ดี เป็นห้องเล็กใหญ่คอนเนคต์กัน ต่างห้องต่างมีห้องน้ำในตัว ขาดแต่น้ำดื่มกับผ้าขนหนู Welcome ไว้เช็ดตีน ประหลาดมากที่ไม่มีสองสิ่งนี้ให้ เราเดินเท้าเมือกๆ ไปมา แล้วตัดสินใจออกไปซื้อน้ำ เราอาสาไปคนเดียว แต่หนิงกับมุ้ยบอกว่ามืดแล้วไปด้วยกันดีกว่า ตอนนั้นนาฬิกาชีวภาพเรามันคือราวๆ ตีสอง ตอนอยู่โอมาน นอนดึก (เวลาโอมาน) ทุกวัน ซึ่งสำหรับเวลาไทยแล้ว มันคือนอนตีสองตีสามทุกวัน ส่วนตอนเช้าเสือกตื่นเวลาไทย ตีห้าเด้งละ เรื่องเวลาที่เหลื่อมสามชั่วโมง กับการเดินทางแค่ห้าวัน เป็นอะไรที่ทารุณมาก

ระหว่างเดินไปร้านสะดวกซื้อที่อยู่ไม่ไกล มองเห็นจากหน้าโรงแรม ถนนมืดและเงียบสนิท มีเสียงผู้ชายทักมาจากข้างรถที่จอดอยู่ว่า ..Welcome to Oman.. หนิงกับมุ้ยแทบสะดุ้งโหยง เราตอบกลับกลั้วหัวเราะว่าขอบคุณมาก

ร้านสะดวกซื้อขนาดเล็กจิ๋ว แต่ของขายมีแต่ของดีๆ และครอบคลุมความต้องการ เราซื้อน้ำในขนาดที่ชอบมากแต่บ้านเราไม่มี คือเป็นขวดหิ้วขนาด ๓ ลิตร มันเป็นน้ำหนักที่ถือไม่เหนื่อยแบก แต่พอกินสำหรับอีพวกกินน้ำจุแบบเราสามคน เราตัดสินใจว่าอาหารมื้อดึกก่อนนอนของเราจะเป็นไอติมหนึ่งถ้วย


คนขายเป็นหนุ่มอาหรับแต่งตัวด้วยเสื้อยืดกางเกงขายาว หลั่นล้าทักทายพวกเรา ถามว่ามาจากไหน พอเราบอก แกดีใจใหญ่บอกว่า พวกยูเป็นคนไทยกลุ่มแรกที่ไอเคยเจอ ส่วนไอเป็นคนอิหร่านนะ เราก็เลยบอกว่ายูเป็นคนอิหร่านคนแรกที่เราได้เจอเหมือนกัน
จากนั้นก็คุยกันแบบระริกระรี้ดีใจ เหมือนไทยกับอิหร่านเป็นเครือญาติที่พลัดหลงกันมานานแสนนาน ก่อนออกจากร้าน คุณชายก็บอกว่าขอให้เที่ยวโอมานให้หนุกหนานเพลิดเพลินนะครับ

คืนนั้นกว่าจะนอนได้ก็ปาไปเที่ยงคืน ซึ่งก็คือตีสามไทย
อ่อนเพลียจนแทบจะหลับคาถ้วยไอติม แต่ถามว่ากินไหม

ก็กิน

เราคงไม่ได้ข้ามเครือเขาหลงหรอกนะจอย

จอยบ้านอยู่กระบี่ ดินแดนแห่งท้องทะเลและขุนเขาตัวท็อปๆ ของประเทศไทย ครั้งแรกที่พาจอยเที่ยววังน้ำเขียว จอยกรี๊ดกร๊าดเอามาก จนเราต้องถามว่า นี่ไม่ได้กร๊๊ดเอาใจเจ้าถิ่นช่ะ อีภูเขาหญ้านี่มันสวยถูกใจขนาดนั้นจริงๆ เหรอ แกมาจากดินแดนแห่งเขาหินปูนในสายหมอกนะ สำหรับเรา นั่นน่ะสวยสุดแล้ว จอยว่าแบบนี้ไม่เคยเห็น มันปุยๆ โล่งๆ น่ารัก หรืออะไรทำนองนั้น

ทำให้นึกขึ้นได้ว่า ย้อนกลับไปราวสิบปีก่อน เราเคยเดินทางแบ็คแพ็คสายดุ่ยๆ ไประนองกับน้องคนหนึ่งพื้นเพเป็นคนสระบุรี ถามคนท้องถิ่นว่าไปเที่ยวไหนดี เขาบอกให้ไปภูเขาหญ้า เราต่อรถสองแถวกันไป แบกกระเป๋าที่มีทั้งหมดไปพร้อมเพราะเป็นการแวะก่อนเดินทางกลับ ขนาดว่าเป็นเราในเวอร์ชั่นสาวกว่านี้สิบปี ตอนไปถึงยังรู้สึกเหนื่อยล้าระอาแดด ภูเขาหญ้าระนองสองสามหย่อมกลางแสงแดดบ่ายจัดจ้าแต่งแต้มด้วยเศษขยะนิดหน่อย เพราะงานบอลลูนเพิ่งจบปรากฏตรงหน้า เด็กโคราชกับเด็กสระบุรีงงมาก นี่กูขึ้นสองแถวมาตั้งไกลทำไมวะเนี่ย เอ้าเพลงพี่เบิร์ดขึ้น .. ชั้นมาทำอะไรที่นี่ ..

ที่บ้านหนูมีแบบนี้เต็มเลยพี่ เพื่อนร่วมทางในครั้งกระนั้นบอก 

สงสัยภูเขาหญ้าคงเป็นอะไรที่แรร์เฉพาะสำหรับคนใต้จริงๆ

บ้านเราอยู่อำเภอข้างเคียงกับอำเภอปากช่องที่เป็นด้านหนึ่งที่มีปากทางขึ้นเขาใหญ่ เรากับเขาใหญ่ผูกพันกันมานาน สมัยละอ่อนน้อยวัยเกรียน เรากับชาวคณะเพื่อนมหาลัยขึ้นรถไฟมาลงปากช่องแล้วโบกรถขึ้นเขาใหญ่กันบ่อยครั้งเพราะเป็นที่เที่ยวดีๆ ที่ประหยัดสุดแล้ว เขาอาจจะเปลี่ยนไปบ้างตามเวลา แต่การเปลี่ยนแปลงของเขาช่างน้อยเหลือเกินเมื่อเทียบกับเรา เราเปลี่ยนจากการโบกรถขึ้นไปกางเต็นท์นอนบนเขาใหญ่ กลายเป็นเดินทางโดยรถส่วนตัว และนอนบ้านพักอุทยาน จากนั้นก็กลายสภาพมาเป็นการนอนรีสอร์ทราคาถูก-กลางๆ และเริ่มไต่ราคาขึ้นตามกำลังและสังขารที่ต้องการการทะนุถนอมมากขึ้น เขายังคงสงบร่มเย็นเป็นที่พักใจเหมือนเดิม มีแต่เราที่กวัดแกว่งไปตามสภาวะแวดล้อม แต่ไม่ว่ายังไง เราแวะเวียนไปเยี่ยมเยือนเขาใหญ่เสมอ

เมื่อสองเดือนก่อน มีเวลาแค่สั้นๆ เท่าวันหยุดราชการ จอยระเห็จมาให้พาเที่ยว เราไปเขาใหญ่กันแบบสบายๆ ตามวัย แต่ไม่ลงทุนเรื่องที่พัก ได้ไปนอนแค่พอซุกหัว เราก็ข้ามจุดนี้ไป เราเน้นตะลอนๆ หาอะไรกินตามแนวเส้นธนรัชต์ และอยากขึ้นไปหาที่ดูพระอาทิตย์ตกบนเขาใหญ่ ที่อ่างเก็บน้ำสายศร ดูเวลาตาม GPS แล้ว ก็รู้สึกว่าเฉียดฉิวเหลือเกิน แต่ก็ยังดั้นด้นไป

เราเป็นคนรักการถ่ายรูปที่ฝีมือที่ถ่ายมานานยังใช้ไม่ได้ แต่ถือกล้องติดมือยิ่งกว่าใครๆ เพราะว่าหลงใหลการได้กดชัตเตอร์หยุดเวลาที่น่าประทับใจไว้ดูนานๆ ซึ่งเอาจริงๆ ก็แทบไม่มีเวลาดูอะนะ กลัวมากว่าจะตายไปแบบวิเวียน มายเยอร์ ต่างแค่คนเจอกรุ HDD เรา คงไม่ได้เอาไปเผยแพร่ต่อ แต่อาจจะเอาไปทำที่ทับกระดาษหรือหนุนกระถางต้นไม้ซะมากกว่า วันนั้นฟ้าไม่เปิดซักเท่าไหร่ แต่ก็ยังหวังว่าจะได้เก็บภาพพระอาทิตย์ตกสวยๆ ที่อ่างเก็บน้ำกลางเขาใหญ่กับเขาบ้าง

แต่การขับขึ้น มันช่างเชื่องช้าไม่ทันใจ เราพยายามรักษาความเร็วที่สมดุลกับความโค้งชันของถนน ไม่ขับเอื่อยเฉื่อย ถึงอย่างนั้นก็ยังไม่ทันการ พระอาทิตย์กำลังจะตกตอนเรามาถึงทุ่งดอกหญ้าคาก่อนถึงอ่างเก็บน้ำสายศรประมาณ ๕ กม. เราตกลงหยุดชมวิวที่ตรงนั้น ป้าจอยวิ่งถลาเข้าไปในกอหญ้า คนที่กรี๊ดกร๊าดกับเขาหญ้าสั้นๆ มาเจอเนินไล่ระดับที่ปกคลุมไปด้วยดอกหญ้าขาวโพลนก็ดูจะฟินๆ หน่อย ส่วนเราหาช่องส่องพระอาทิตย์ตกอย่างเจียมตัว ได้มาแค่ซอกกิ่งต้นไม้ก็ยังดีวะ นักเดินทางอีกสามสี่กลุ่มผลัดกันถ่ายรูปอย่างขะมักเขม้น สายลมพัดดอกหญ้าปลิวไสวเหมือนพรมนุ่มๆ สีขาวที่เต้นระบำอยู่บนปลายเรียวของยอดหญ้า แล้วฟ้าก็ค่อยๆ เปลี่ยนสีจากส้มเป็นน้ำเงิน และมืดลงในที่สุด

นาฬิกาชีวภาพของป้าสองคน หันเหไปสู่อาหารเย็นทันทีที่หมดความสนใจในธรรมชาติ เหล่าตากล้องและนางแบบทั้งหลาย สลายตัวกันไปอย่างเร็วเมื่อพระอาทิตย์สิ้นแสง เหมือนกำลังเล่นเกมใครอยู่หลังระวังนะโว้ย เราขับรถฝ่าความมืดตามลำพังไต่ไปตามถนนแคบคดโค้ง สำหรับคนอื่น ไม่รู้การขับรถทางเขาตอนกลางคืนทำให้กลัวกันรึเปล่า แต่สำหรับเราชอบมาก เพราะว่าเราเอาไฟสาดนำไปก่อนเลย ฝั่งตรงข้ามเห็นแต่ไกล เราเองก็สังเกตแสงไฟฝั่งตรงข้ามได้จากอีกฝั่งของเหวเหมือนกัน ยิ่งถนนในป่าที่รถน้อยมากๆ เราแทบไม่จำเป็นต้องเข้าโค้งเนียนครบทุกโค้ง ถ้าไม่เห็นไฟฝั่งตรงข้ามวาบออกมาจากอีกด้านของโค้งเขา เป็นอันว่าขับแลบๆ ข้ามเลนไปบ้างก็ได้ เทคนิคนี้คนขับรถตู้เส้นตาก-แม่สอดสอนมาเมื่อครั้งไปเดินทีลอซูหลายปีก่อน ต่างกันนิดตรงที่สัตว์ป่ามันไม่ได้คาดสปอร์ตไลท์บนหัว เราจึงใช้วิธีวาบไฟสูงเรื่อยๆ ให้กระทบแผ่นสะท้อนแสง กันไว้ก่อนอีกชั้นหนึ่ง ถึงจะบอกว่าไม่ได้กลัวการขับกลางคืน แต่ก็ไม่ได้อยากตายไวไง โลกออกจะสวยงาม ขออยู่ด้วยอีกนานๆ นะ

เราคุยกันจ๊อกแจ๊ก ไม่รู้เรื่องสัพเพเหระอะไร แต่ใช้เวลาแค่ ๑๕ นาทีเว้ย เราก็มาถึงทางออกที่ด่านเก็บค่าเข้าอุทยานปากทางเขาใหญ่ ซึ่งขาขึ้นเราใช้เวลาขึ้นราวๆ ๔๐ นาทีได้ นี่จำได้จริงๆ นะไม่ได้เบลอ เพราะว่าดูเวลาเทียบเวลาพระอาทิตย์ตกตลอดเวลา ด้วยอิทธิพลจากหนังสือโปรดแนวเดินป่าแฟนตาซี (เพชรพระอุมา ล่องไพร และไม่ลืมหุบเขากินคนของมาลา คำจันทร์ รักมาก) บวกกลิ่นอายมูราคามิ เราบ่นออกมาดังๆ ว่า หรือพวกเราแม่งข้ามเครือเขาหลงไปแล้ววะ ถึงตอนนั้นเราก็กังวลขึ้นมาว่า ถ้าเราข้ามเครือเขาหลงมาที่โลกคู่ขนานแล้วจริงๆ ชีวิตของเราอาจจะต้องดำเนินต่อไปบนโลกใบนี้ แล้วโลกใบเก่าล่ะ จะมีคนมาแทนที่เราไหม ถ้ามีแล้วมันจะเนียนไหม จะมีใครรู้รึเปล่าว่านั่นไม่ใช่ไอ้แอ้ตัวจริง แล้วคนนั้นที่ชั้นชอบแต่เค้าไม่ชอบชั้นน่ะ มันจะมีโลกคู่ขนานอีกใบไหมที่เค้าชอบชั้น ฯลฯ

ชิบหาย ท่าทางจะหิวจัด พอๆ ไปหาอาหารกันดีกว่า

ออกตัวทุกครั้งที่เมนชั่นเรื่องอาหาร ว่าไม่สามารถรีวิวอาหารได้ เพราะเป็นคนกินง่ายอร่อยง่าย แต่ร้านนี้ที่นำเสนอจอยเป็นร้านที่โปรดมาก ตั้งแต่มั่วๆ เข้าไปกินเพราะร้านสวยเมื่อหลายปีก่อน ทุกวันนี้ไปเขาใหญ่ทีไร ยังหาโอกาสแวะเวียนไปร้าน Mew เสมอ อาหารดูรวมๆ เป็นนั่นนี่ฟิวชั่นกันไปมา เมนูไม่ได้เยอะแบบว่าละลานตา แต่ก็ครอบคลุมหลายแนวอยู่ ลองสั่งมาหลายอย่างแล้ว ยังไม่เจอที่ไม่อร่อยซักที (แต่ยังไม่เคยสั่งพวกข้าวผัดนะ เพราะตระกูลข้าวผัดเราจะชอบที่เป็นกะทะโบราณ ก้นดำๆ ผัดแล้วข้าวติดกลิ่นหอมไหม้ๆ นิดหน่อย ซึ่งไม่คิดว่าจะหาได้จากร้านแนวนี้เลยไม่สั่งดีกว่า) วันนั้นเราสองคนเอนจอยอาหารสุดๆ กินกันอย่างอ้อยอิ่งจนแทบจะถึงเวลาปิดร้านช่วยน้องยกเก้าอี้โน่นเลย

วันถัดมาเราเที่ยวได้นิดหน่อยก่อนกลับสู่ชีวิตการทำงาน จะว่าไปคนอย่างเราก็คงเหมือนตุ๊กตาไขลาน ที่ใช้เวลาไขพักนึงรั้งลานให้ตึงเปรี๊ยะ จากนั้นก็ได้เวลาปล่อยให้ตุ๊กตาโดดดึ๋งๆๆๆๆ อย่างร่าเริง และแล้วลานก็หมดลงอย่างรวดเร็ว เราคงต้องกลับไปไขลานอีกครั้ง และอีกครั้ง เพื่อจะได้โดดดึ๋งๆๆๆๆๆๆ กันต่อไป ด้วยเวลาที่น้อยคงทำอะไรไม่ได้มากไปกว่า ฮอพอินฮอพเอาท์กินอาหารแวะร้านกาแฟ บวกถ่ายรูปเยอะๆ ให้สมกับที่เกิดมาในยุคกล้องฟิล์ม แล้วอายุยืนจนทันได้ใช้กล้องดิจิตัล

ผลประกอบการ : 

มื้อเช้า Fairy’s Scone House Khaoyai ดี ชอบ ร้านเน้นขนมกับสโคนซึ่งเป็นขนมหนึ่งในน้อยชนิดมากๆ ที่เราดันไม่ชอบว่ะ มีเมนูมื้อเช้าที่เป็นของคาวแค่สองสามเมนู เราเลือกจานไข่ฟูที่ชื่อจริงๆ หรูหรากว่านี้แต่จำไม่ได้ ผลก็คือ ดี อร่อย สวยงามถ่ายรูปขึ้น นั่งกินมื้อเช้ากันเงียบๆ ในร้านเล็กๆ น่ารักสุดๆ ภายในร้านไม่กว้างมาก มีโต๊ะแค่ไม่กี่โต๊ะ แต่บริเวณข้างนอกซึ่งท่ามกลางแดดจ้าเดือนพฤษภาคม ไม่น่านับว่าลูกค้าจะนั่งได้นั้นถูกจัดอย่างสวยงาม งามแบบพอดีๆ ไม่เฟคมาก และโฟโต้จีนิคแทบทุกมุม

ร้านกาแฟลำดับหนึ่ง (ลำดับหนึ่งที่เข้า แต่ไม่ใช่ลำดับหนึ่งในใจแน่นอน) Please Don’t Tell อยู่ในโครงการบ้านหรือรีสอร์ทใหญ่ๆ หรูหราหมาเห่า พอเข้าไปแล้วเปลี่ยนชื่อให้ใหม่เลยว่า Please Don’t Go คือสลิ่มเกินเบอร์เราไปมาก ร้านกว้างขวางแนวแฟคทอรี่มีปล่องดูดควันขนาดใหญ่โตห้อยลงมากลางร้าน (ถ้าไม่ใช่ปล่องดูดควันก็ขออภัย ไม่รู้จักสิ่งนี้จริงๆ) กระจกรอบด้าน เพดานสูงลิบ ผลที่ได้ก็คือ แอร์มันไม่เย็นเลยโว้ย เหมือนเอาตู้กระจกร้อนๆ ไปตั้งกลางแดด แล้วกวาดต้อนเอาประชาชนเข้าไปแย่งกันนั่งโต๊ะ ทำท่าชิลให้กล้อง ขณะที่หนีบจั๊กกะแร้ชุ่มเหงื่อเอาไว้ แต่นั่นยังไม่เท่าพนักงานที่หน้างอมากกกกก เหมือนเราเป็นขอทานที่มาขอปันคาเฟอีนจะได้มีแรงไต่บันไดสะพานลอยยังไงยังงั้น เราสองคนไม่อยากให้เสียบรรยากาศ เลยอดทนๆ จนจอยเจอเส้นผมในไอติมเมอร์เมด (มีโคนเวเฟอร์รูปหางปลาเสียบ ไอติมสีหวานสวย) ตอนดึงผมเส้นยาวๆ ออกมารู้สึกถึงความฝังแน่นในเนื้อไอติม เล่นเอาขนลุกไปหมด สุดท้ายพนักงานคืนเงินให้จอย แล้วออกตัวว่าทางร้านไม่ได้ทำไอติมเองค่ะ รับมา จบนะ อื่นๆ นอกจากนี้ เป็นร้านที่ถ่ายรูปออกมาสวย แต่ตอนอยู่ในร้าน ไม่ได้รู้สึกสบายตัวสบายใจอย่างแท้จริง

ร้านกาแฟลำดับสอง Pirom Café ร้านนี้เป็นทรงเหมือนโรงนาเก่าๆ หรืออาจจะเป็นโรงกาแฟอะไรซักอย่าง มีสวนสวยด้านหน้า มีวิวบึงน้ำให้นั่งมองท่ามกลางแดดแผดเผา เอาจริงๆ ร้านนี้กับร้านแรกมีความคล้ายหลายอย่าง ลูกค้าเยอะ รวมถึงแอร์ไม่เย็นด้วย แต่ร้านนี้ลูกค้าเดินไปบอกพนักงานซึ่งอยู่ข้างนอกห้องแอร์ว่าแอร์ไม่เย็นนะ พนักงานก็ดูมีความใส่ใจ แต่ก็ซ่อมแอร์ไม่ได้อยู่ดี แต่ใส่ใจก็ดีแล้ว ทำให้รู้สึกเลยว่าเออ งานบริการ พนักงานสำคัญมากๆ เพราะเรานั่งเล่นร้านนี้ได้นาน ก็เพราะท่าทีของพนักงานนี่แหละ 

แวะ GranMonté ไร่องุ่นนอกฤดูองุ่น (คนละเจ้ากับที่มีข่าวว่ารุกที่ป่าโดนปิดไป เห็นแว้บๆ ว่าเจ้าของเขาประชาสัมพันธ์ในเฟซบุ๊คเพราะเสียชื่อเสียง) ร้านสวยแอร์เย็น ของราคาสูง แต่ผลิตภัณฑ์เจ๋งมาก โคตรเพิ่มมูลค่าเลย แต่ละอย่างที่เอามาทำขาย แค่เดินดูก็เพลินแล้ว ได้สอยติดไม้ติดมือมานิดหน่อยตามสภาพตังค์ในกระเป๋า

จอยเดินทางกลับกระบี่ เราเริ่มลืมเลือนเรื่องเครือเขาหลง หรืออาจจะเพราะมิตินี้ก็ไม่ต่างจากมิติที่เราจากมา วิถีชีวิตก็เหมือนเดิม คนรอบตัวก็เหมือนเดิม โดยเฉพาะคนที่ไม่สนใจเรานั่นน่ะ ก็ไม่มีอะไรต่างออกไปนี่หว่า

อาทิตย์ที่แล้ว เราได้ใช้เวลาวันหยุดที่เขาใหญ่อีกครั้งพร้อมหน้าด้วยเพื่อนๆ อีกกลุ่ม (ไปบ่อยจริงๆ นะเนี่ย) แต่เผื่อเวลาหลังแยกกับเพื่อนๆ ไว้ฟังเสียงตัวเองเงียบๆ บ้าง หลังมื้อเที่ยงที่ Mew (อีกแล้วเห้ย) บอกลาเพื่อนๆ และหลานๆ ผู้น่ารัก เราได้ยินเสียงตัวเองกระซิบผ่านสายลมและแสงแดดยามบ่ายว่า .. กูปวดหลัง ไปนวดกันเถอะ..

ยามบ่ายตามลำพังหมดไปกับการแวะตียิมโปเกมอน เพราะเขาใหญ่ยิมเยอะ แต่คนเล่นไม่เยอะ เหล่าเทรนเนอร์ถ้าผ่านไปก็ลองมองหาดู พบร้านนวดที่ดี นวดคอบ่าไหล่ ๑ ชั่วโมงโคตรฟิน จากนั้นก็ได้เวลาทำภารกิจที่ค้างคาใจมาสองเดือน นั่นก็คือการดูพระอาทิตย์ตกที่อ่างเก็บน้ำสายศร และมุ่งมั่นว่าจะสังเกตเส้นทางที่สัมพันธ์กับเวลาขึ้นและลงเขาใหญ่ เพื่อหาคำตอบเรื่องเครือเขาหลง เพราะครั้งก่อนหลังลงมาสู่พื้นราบแล้ว เราเช็คบันทึกใน Google timeline ที่มักจะเปิดไว้ตลอดเพราะชอบดูว่าวันๆ ไปไหนมาบ้าง (อีกอย่างคือชีวิตไม่มีความลับ หรือจะเรียกให้ตรงกว่านั้นไปอีกนิดก็คือ ไม่มีใครให้ต้องปิดบังว่าวันๆ ไปไหนมา) ใน Timeline แทนที่จะเห็นเส้นทางขึ้นและลงเขา กลับกลายเป็นว่าเส้นตีกันยุ่งเหยิงไปหมด ทำให้จิ้นเรื่องข้ามมิติเพิ่มไปได้อีกนิดนึงพอเพลินๆ

แวะจ่ายค่าเข้าอุทยานเรียบร้อยเป็นเวลาเกือบหกโมงเย็น ดูเวลาแล้วก็ทันพระอาทิตย์ตก แต่ก็ไม่มากพอให้อ้อยอิ่งที่ไหนอีก เส้นทางขาขึ้นเป็นเหมือนที่จำได้ ทางแคบ คดและโค้งบิดกลับไปกลับมาขับสนุกดี แต่ด้วยความที่เป็นวันสุดท้ายของวันหยุดต่อเนื่อง ทำให้มีรถสวนลงมาเป็นระยะๆ และรถเหล่านั้นก็ขับลงเขามาโดยแทบไม่พบรถสวนขึ้นเลย ทำให้ขับกินเลนกันอย่างเมามัน เป็นที่น่าหวาดเสียว ต้องอาศัยบีบแตรเตือนทุกหัวโค้ง

แค่ ๑๕ กม. จะถึงอ่างเก็บน้ำสายศร เราก็จอดแวะไป ๒ จุด จุดแรกเป็นจุดชมวิว กม. ๓๐ แดดเย็นสีสวยฉาบผืนป่า มองเห็นที่ราบอยู่ตรงกลางระหว่างภูเขาเป็นพื้นที่ทะเลสาบกับสนามหญ้า อาจจะเป็นรีสอร์ทหรือสนามกอล์ฟ ไม่มีเวลาพิจารณานาน มีพระอาทิตย์ตกต้องรีบไปดู ตรงนั้นก็มีลิงด้วย และเราไม่ชอบลิงแบบสุดๆ จุดลูกเนินดอกหญ้าคาเราไม่ได้แวะ เพราะครั้งนี้ดอกหญ้าได้หายไปหมดแล้ว เหลือแต่สีเขียวล้วนของใบหญ้า เหมือนขับรถผ่านหญิงสาวคนเดิม แต่วันนี้ไม่ได้แต่งหน้าทำผม ทุกคนจึงผ่านเลยไปไม่ได้แวะทักทายถ่ายรูปกับเธอ

แวะจุดที่สองไปเข้าห้องน้ำที่ที่ทำการอุทยานเพื่อความผาสุกในการชมบรรยากาศ แล้วก็ขับมาถึงอ่างเก็บน้ำสายศรในที่สุด ผิดหวังกับวิวเล็กน้อย เพราะคิดไปเองว่าจะเห็นพระอาทิตย์ลับขอบฟ้า แต่ไม่ว่าที่ไหนบนเขาใหญ่ก็มีต้นไม้เป็นทิวแถวอยู่เสมอ ซึ่งนั่นก็ดีแล้ว เราเลยเปลี่ยนจากอยากถ่ายรูปสวยๆ เป็นการนั่งพักบนสนามหญ้าเย็นๆ ดูน้ำ ดูฟ้าแทน ผู้คนจำนวนหนึ่งสนุกสนานกับการถ่ายรูปแบบครีเอท มีเด็กๆ วิ่งเล่น มีคนที่ดูเหมือนเพิ่งเลิกงานนั่งเต็มหลังกระบะขับผ่านไป พระอาทิตย์ค่อยๆ ลับหลังทิวไม้ ลมพัดกำลังสบาย และอากาศเย็นลงเรื่อยๆ ปลั๊กที่มองไม่เห็นแต่มีอยู่จริงเลื้อยออกจากกระโหลกหนาๆ ของเรา ไปจิ้มเข้ากับธรรมชาติ แบตเตอรี่ถูกชาร์จอย่างรวดเร็วซุเปอร์ฟาสต์ชาร์จ ปื๊ดๆๆๆ เต็ม ๑๐๐% พร้อมสู้วันใหม่เลยจ้า

พอฟ้ามืดเกือบสนิท เราตัดสินใจจะเข้ากรุงเทพฯ จากจุดนั้นเลยด้วยการข้ามเขาไปลงทางปราจีน (ลืมเรื่องพิสูจน์เครือเขาหลงไปแล้ว ไอ้ปลาทองเอ๊ย) ภาวนากับ GPS ว่าอย่าเดี้ยงกลางทางนะลูก ก่อนดั้นด้นไปตามทางที่อากู๋บอก พักนึงแหละก็เจอด่าน ยังซื่อบื้อขับไปจนชิดไม้กั้น เจ้าหน้าที่บอกแบบเอือมๆ ว่า หลังหกโมงไม่ให้ลงทางนี้แล้วครับ กลับไปลงทางปากช่องเลย เราก็นึกขึ้นได้ทันทีว่า ข้อมูลนี้มันมีมานานแสนนาน เราก็รู้แล้ว และเคยโดนมาแล้วนี่หว่า ลืมได้อีก เอาจริงๆ ถ้าเจ้าหน้าที่บอกให้ไปได้ เราก็คงขับไปสั่นไป เพราะว่ามันมืดสนิท เปลี่ยวสงัด แล้วช้างก็มางัดรถลงข้างทางบ่อยๆ เน็ตเราก็ไม่ได้เสถียรอะไร โดนห้ามแหละดี อย่างน้อยมาโม้ได้ว่า อะโถ่.. ถ้าไม่ห้ามนะข้ามไปแล้ว ไม่ได้ป๊อดซะหน่อย

ไปหลงทางเสียเวลาหลงรัชดาติดลาดพร้าวมา เพื่อนๆ เขาก็ลงเขากันไปหมดแล้ว อีนี่ต้องขับลงคันเดียวมืดสนิทกลัวนิดๆ เร้าใจสุดๆ คราวนี้ตั้งใจสังเกตเส้นทางประกอบกับ GPS ดูทั้งเวลา ดูทั้งจุดที่สำคัญที่ต้องผ่านซึ่งก็ไม่ค่อยเห็นอะไรอะ มืดเหลือเกิน พอไต่โค้งลงมาเรื่อยๆ ก็เริ่มเข้าใจ ที่จริงแล้วขาลงทำเวลาได้ดีนั่นถูกแล้ว เพราะแรงโน้มถ่วงโลกมันช่วย เราแทบไม่ต้องเหยียบคันเร่ง แตะๆ เบรคตามจังหวะ แถมความมืดยังลดทอนดีเทลข้างทางลงไปมากหรือจะเรียกว่าหมดเลยก็ยังได้ พอเราไม่ต้องว้าวต้นไม้ ว้าวภูเขา เสียวหน้าผา เราก็โฟกัสกับการขับมากขึ้น แถมยังตัดเลนได้หน่อยๆ เพราะไม่เห็นไฟรถสวนขึ้นมาเลยซักคันเดียว (แต่ฉายไฟสูงไปเจอกวางโตเต็มวัยสามตัว ดีใจปนตกใจไปพักนึง) คงเหมือนกับการถ่ายรูป ถ้าลองหลายเหลี่ยมหลายมุมแล้วมันยังดูไม่สวย บางทีดีเทลมันเยอะไป ลองแต่งรูปเป็นสีขาวดำ บางทีมันอาจจะทำให้เราโฟกัสกับสิ่งที่ถูกนำเสนอมากยิ่งขึ้นก็เป็นได้

เราลงมาสู่พื้นราบด้วยเวลาที่ดีกว่าขาขึ้นมากเช่นเคย และ GPS บันทึกเส้นทางที่ถูกต้องชัดเจน จึงขอสรุปผลการทดลองว่า เราไม่ได้ข้ามเครือเขาหลง และยังคงอยู่ที่มิติเดิม จากนั้นก็เปลี่ยนใจไปหาข้าวหน้าปลาไหลกินก่อนเดินทางกลับ เหตุผลก็เพราะหิวแล้วว้อย

ไม่ว่าจะมิตินี้หรือมิติไหนเรื่องกินก็นำมาก่อนเสมอ