มองโกเลีย – ทะเลทรายโกบี #๒

เช้าวันต่อมา เราตื่นราวหกโมงครึ่ง นอกหน้าต่างยังขาวโพลน แต่หิมะหยุดตกแล้ว หิมะตอนเช้าหลังชีวิตผู้คนเริ่มต้นสัญจร ตรงกลางถนนละลายกลายเป็นโคลนแหยะๆ แต่บริเวณรอบๆ ยังขาวสวยดูนุ่มฟูอยู่ ต้นไม้พญาไร้ใบรอบๆ โดนหิมะตกปกคลุมกลายเป็นช่อขาวๆ เหมือนแตกดอกออกใบชั่วข้ามคืน
เราบอกปูว่า ขอวิ่งออกไป Circle K ซักหน่อย อยากซื้ออะไรเพิ่มนิด และจะดูอาหารเช้าด้วย คืนนั้นก่อนเรานอนอากาศลดถึง -๑๑ องศา และลงต่ำไปถึง -๑๔ องศาในกลางดึก ตอนเช้าอุณหภูมิวิ่งไปมาระหว่าง -๑ ถึง ๑ องศา ตรงโถงบันไดทางลงตึก มีคนจรจัดนอนหลบหนาวอยู่ จะเรียกว่ารอดตายไปอีกคืนเพราะมีคนเปิดประตูทิ้งไว้ก็คงไม่ผิด คือก่อนนอนตอนเราวิ่งลงไปถ่ายรูปเล่นรอบสุดท้าย ประตูเหล็กถูกเอาก้อนหินดันให้เปิดค้างไว้ เราสองคนไม่กล้าปิดเพราะคิดว่าคนที่ตั้งใจเปิดไว้อาจจะมีเหตุผล เข้าตึกไม่ได้สำหรับบ้านเราอาจจะแค่หงุดหงิด แต่สำหรับค่ำคืนที่หิมะกระหน่ำเหมือนในนิทานเด็กน้อยขายไม้ขีดที่ตายอนาถตอนจบ อาจจะมีคนเดือดร้อนจริงๆ ก็ได้


ตอนแรกเกิดลังเลไม่กล้าเดินผ่านคนจรจัด เพราะชานบันไดมันแคบ เขาตื่นมาเห็นเลยขดตัวให้เล็กลงอีกแล้วโบกมือให้เดินผ่านไป

เมื่อเปิดประตูเหล็กบานหนาออก ก็พบกับลมที่พัดแรง ลากเอาละอองหิมะฟุ้งกระจาย สูดลมหายใจเข้าไปมันเยือกเย็นลงไปในอกจนต้องยกปกเสื้อขึ้นปิดจมูก หิมะเกาะกิ่งก้านแห้งๆ ของต้นไม้ ดูเป็นปุ้มๆ เหมือนทำขนมสายไหมแล้วลืมใส่สี หรือไม่ก็ใครซักคนตีฟองผงซักฟอกมากเกินไป เห็นแล้วอยากเอานิ้วจิ้มให้มันแตก วีดีโอคอลหาเพื่อน กรี๊ดกร๊าดได้นิดหน่อย เพราะว่าทางเท้ามันกลายเป็นโคลนเมือกๆ กรี๊ดมากถ้าร่วงไปกองจะลำบากไปทั้งทริป เพราะมีโค้ทอยู่กับเขาตัวเดียว

ใน Circle K ผู้คนเยอะแยะตั้งแต่เช้า เราสำรวจอาหารแล้วโทร.ไลน์หาปูว่าจะซื้ออาหารเช้าอะไรไปฝากดี ปกติปูไม่กินเนื้อวัว และที่เรากั๊กไว้ยังไม่เล่าคือ มองโกเลียเป็นประเทศที่กินเนื้อหนักมาก กินทุกเนื้อ กินเอาอิ่ม กินต่างข้าว และในทางกลับกัน ไม่ค่อยมีหมูกิน ไก่ก็เป็นของแรร์ หายาก
เรารู้ว่าตอนไปอยู่ทะเลทราย ปูคงต้องโดนเนื้อเข้าบ้าง แต่ก็พยายามลดความน่าจะเป็นให้มันน้อยที่สุด ส่วนของอีนี่ไม่มีกฎเกณฑ์อะไรในชีวิต เลยจัดฮอตด็อกเนื้อ Circle K เป็นอาหารเช้า (ติดเค็มไปนิดแต่อร่อยมาก) ส่วนของปูหาได้แค่แซนวิชทูน่าอย่างเดียวเท่านั้นที่ไม่เนื้อ เราสองคนเก็บอาหารไว้กินบนรถตอนออกเดินทาง

เราผลัดกันอาบน้ำสระผมอย่างสะอาดเพราะรู้ชะตาว่าเราจะไม่ได้ข้องแวะกับน้ำอื่นใดนอกจากน้ำดื่มสักพัก เก้าโมง หอบร่างไปที่สำนักงาน ยังคงไม่มีใครรับเงินค่าทัวร์เรา และคุณผู้จัดการทัวร์ก็ยังไม่อยู่ แต่เราก็ได้พบกับอีไกด์ของเรา กับตาคนขับรถในตอนนั้น ผู้ชายสองคนที่จะใช้ชีวิตอยู่กับเราตลอดเป็นเวลา ๕ วัน ไกด์เป็นผู้ชายตัวโต สูงและตัวอวบๆ หนาๆ หน่อย ฮีแนะนำตัวด้วยภาษาอังกฤษสำเนียงอเมริกันอย่างเลิศ ว่าชื่อบิล ส่วนคนขับรถพูดอังกฤษแทบไม่ได้เลย หน้าตายิ้มแย้ม บิลบอกเราว่าเขาชื่อโลยา (ออกเสียงคล้ายๆ ลอว์เยอร์ เราเลยจำชื่อเขาได้ทันที) สมาชิกในเกสต์เฮาส์ ยิ้มแย้มส่งเรา บิลกับโลยาตุ้มๆ เอากระเป๋าเราสองคน ลงบันไดไป
คนจรที่นอนชานบันไดหายไปแล้ว

รถที่จอดรอเราอยู่เป็นรถตู้รัสเซียคันโตหน้าตาอินดี๊อินดี้ ล้อสูงกว่าเข่าตูอีก (รถสูงมากเหรอ อ๋อเปล่า อีนี่เตี้ย) เห็นแล้วรู้เลยว่า ยกเว้นบินกับดำน้ำ อีรถคันนี้ต้องไปได้หมดเกือบทุกหนแห่งแถมยังถ่ายรูปขึ้นสุดๆ แต่ถึงกระนั้นตอนนั้นก็ยังนึกถึงแสนยานุภาพของรถคันนี้ไม่ออก
เราเดินอุ้ยอ้ายฝ่าลมแรงที่พัดเอาหัวกระเจิงเปิดเปิง พร้อมก้อนหิมะที่กระจุยกระจายจนกะไม่ถูกว่าฝนตกลงมาอีก หรือว่าละอองน้ำอะไรวะ กระเป๋าถูกเก็บไว้ท้ายรถ แล้วเราก็ถูกต้อนขึ้นไปบนรถที่จะเป็นเคหะสถานคุ้มกะลาหัว พร้อมทั้งย้ายตูดเราไปทุกที่เท่าที่อีตาสองคนนั่นจะพาเราไป

โลยาประจำที่พวงมาลัยซ้าย บิลนั่งหน้าขวา
เบาะที่นั่งแถวละ ๔ ที่สำหรับลูกค้ามีสองแถวหันหน้าเข้าหากัน แต่ชีวิตจริงถ้านั่ง ๔+๔ คงจะแน่นมาก ไหนจะไหล่เกยกัน ไหนจะเสื้อโค้ทรองเท้าบู๊ทอีก เรากับปู นั่งคนละเบาะหันหน้าไปทางเดียวกับคนขับ ที่นั่ง ๒ ที่ที่หันหลังชนกับคนขับมีกระเป๋ากับถุงนอนกองสุมอยู่ พอล้อหมุน เราก็เริ่มแกะอาหารเช้าออกมากิน
แล้วรถก็.. ขยับไป.. ได้ช้ามาก แม่ง.. รถโคตรติด

เราตื่นตาตื่นใจกับการจราจรเช้าวันเสาร์ที่หิมะปกคลุมอูลานบาตาร์จนขาวโพลน เจ้าของรถยนต์หลายๆ คันคงแงะหิมะออกจากรถพอให้เห็นทางข้างหน้าโดยไม่แยแสกระจกหลัง ถึงได้ขับกันมาทั้งๆ ที่โดนหุ้มด้วยหิมะเกือบทั้งคัน ตาบิลบอกว่า เดี๋ยวเราแวะซื้อของที่ตลาดแป๊บ เป็นเสบียงห้าวันของพวกเรา ใช้เวลาซักครึ่งชั่วโมงได้ กับการแค่ขับไปตรงๆ ไม่มีซอกซอยเป็นระยะทางไม่เกิน ๙ กม. เราก็ถึงตลาด


เราสองคนลงจากรถเดินตามบิลกับโลยาเข้าประตูเล็กๆ หนักๆ ไปสู่ด้านในอาคารที่อบอุ่น ร้านขายของด้านในเป็นร้านเอกชนต่างคนต่างขาย มีขอบเขตร้านชัดเจน หน้าร้านส่วนมากเป็นกระจกหรือไม่ก็เปิดโล่ง โดยรวมสะอาดเรียบร้อยมากๆ สุดๆ ในความเงียบสงัด เสียงผู้คนพูดคุยซื้อขายกันอย่างเบาๆ ท่อเหล็กเดินรอบๆ ปล่อยความอบอุ่นจางๆ ออกมา ตาบิลบอกเราว่าจะซื้อขนมอะไรไปกินเองก็จัดไปนะ เราสองคนซื้อน้ำหวาน น้ำอัดลมนิดหน่อย


อยู่ๆ ตาบิลก็เดินถือถาดไข่สดถาดใหญ่มา แล้วยัดใส่มือปู บอกว่าช่วยถือหน่อยนะ เรารู้สึกจิ๊ดนึงนะ แบบว่ามึงเป็นไกด์ ใช้ลูกทัวร์ถือของได้ด้วย? แต่ก็ไม่ติดใจอะไรเลย คิดว่าดีออกทัวร์กันเอง เหมือนเที่ยวกับเพื่อนไง มีอะไรก็ช่วยๆ กัน หลังจากนั้นเราไปซื้อส้ม ที่ไม่เจอที่ไหนอีกเลยตลอดการเดินทาง ตาบิลค่อยๆ เข้าร้านนั้นออกร้านนี้ พิจารณาเลือกซื้อเสบียงอย่างถี่ถ้วนสุดๆ เราพบโลยากำลังเดินไปห้องน้ำด้านหลังตลาด ซึ่งเราก็กำลังวนเวียนหาอยู่ เลยตามไป ห้องน้ำมีค่าเข้านิดหน่อย ท่อเหล็กร้อนเดินตามผนังทำให้ในห้องน้ำรู้สึกอบอุ่นเป็นพิเศษ ตอนนั้นเราเข้าห้องน้ำกันไปด้วยความต้องการตามธรรมชาติ แต่ไม่ได้สำนึกรู้เลยว่า กว่าจะได้เจอห้องน้ำปกติธรรมดาแบบนี้อีก มันนานขนาดไหน

Road Trip

เราพบว่าการเดินทางถ้าจะให้ดีมันต้องมีแผ่นแปะ ไอ้อาการปวดหลังออฟฟิศซินโดรมนี่มันกัดกินนักเดินทางมาหลายปีละ เพราะนักเดินทางนั่งทำงานออฟฟิศมากว่าทศวรรษ การเดินทางครั้งนี้ รับประกันความชิว เพราะว่านักเดินทางเอาแผ่นร้อนตราเสือขนาดใหญ่สุดมาเพียบเลย เยอะกว่าจำนวนวันซะอีก สำหรับโร้ดทริปวันแรกก็แปะแผ่นก่อนออกมาแล้ว อุ่นสบาย แถมยังสามารถไถแผ่นหลังไปบดเบียดกับพนักพิงเพื่อเร่งความร้อนของแผ่นแปะได้ตามสั่งอีกด้วย

พอล้อหมุนของจริงได้ไม่นาน การจราจรก็บางตาลงเรื่อยๆ เมื่อเราเลี้ยวหนึ่งครั้ง ออกจากชานเมืองได้สำเร็จ ถนนก็เริ่มมีรถไม่มากนัก ไม่ว่าจะทางเดียวกับเราหรือสวนทาง หรืออาจจะเป็นเพราะว่าลมหิมะมันพัดตึงๆ จนมองอะไรไม่เห็นก็เป็นได้ เราเพ่งมอง เห็นรถที่สวนมาแค่ไฟหน้าที่เปิดจ้า นอกนั้นก็แทบมองไม่เห็น เราสองคนแทนที่จะกลัวหรือกังวล หรืออะไรก็ตามที่จะเป็นการให้เกียรติพลังธรรมชาติหน่อย แม่งไม่มีอะ ตื่นเต้น กินไปถ่ายรูปไป เดี๋ยวขึ้นเบาะเดี๋ยวลงเบาะ (อันนี้ตูเป็นอยู่คนเดียว รถทหารแบบนี้โขยกเขยกหนักมาก ถ้าอยากถ่ายรูปดีๆ บางทีต้องลงไปคุกเข่ากับพื้นรถจะช่วยได้นิดหน่อย)

ธรรมชาตินี่ช่างงดงามและทรงพลัง ภูเขาถูกฉาบด้วยสีขาว ม้าฝูงเริ่มมีให้เห็น มันยืนนิ่งๆ คงรอให้ยามลำบากนี้ผ่านไป นักเดินทางปลื้มถนนช่วงนี้ ชอบมากๆ ทั้งสวยทั้งน่าหวาดเสียวถนนขี้เป๊อะลื่นแป๊ด รถแต่ละคันประคองตัวไปกันอย่างช้าๆ มีไฟหน้าเท่าไหร่เปิดเต็มที่ เพราะต่างคนต่างก็มองอะไรไม่ค่อยจะเห็น อย่างน้อยให้คนอื่นเห็นเราก็ยังดี

เราเห็นรถตกข้างทาง ๒ เคส มีรถลากมีเจ้าหน้าที่ฝ่าแรงหิมะออกมาดูแลกันแล้ว จากนั้นราวหนึ่งชั่วโมงหลังล้อหมุน ฟ้าด้านบนเริ่มเป็นสีฟ้า ไม่รู้ลมกับหิมะที่โปรยปรายสลายหายไปไหน เราเริ่มเห็นทางข้างหน้าชัดขึ้น เช่นเดียวกันกับสองข้างทางอันเวิ้งว้าง สุดลูกหูลูกตา

ทิวทัศน์ต่อมาเป็นช่วงสั้นๆ ที่เราโปรดปรานสุดๆ คือเป็นช่วงที่ไม่มีหิมะก้อนๆ ปลิวว่อนแล้ว มีแต่ภูเขาราดไอซิ่งขาวๆ แดดบด และฟ้าสีฟ้าผลุบโผล่อยู่ข้างหลังเมฆเลือนๆ มันเป็นส่วนผสมที่ประหลาดสุดๆ มองดูแล้วเหมือนไม่ได้อยู่บนดาวโลก

ก่อนฟ้าจะเปิด เหมือนกำลังอยู่ตรงปลายๆ ของก้อนลมและหิมะ เราก็แวะจอดที่หัวโค้งหนึ่ง ซึ่งมีระดับสูงขึ้นกว่าถนนโดยรวมนิดหน่อย จะเรียกว่าเป็นโค้งและเนินน้อยๆ ก็คงจะได้ ลมแรงมากที่สุด ทั้งทริปไม่เจอตรงไหนอีกแล้วที่ลมแรงและหนาวหนักขนาดจุดนี้ ตาบิลบอกว่า เป็นจุดพักรถของนักเดินทาง แต่เราก็ยังไม่ได้ออกเรี่ยวออกแรงอะไรถึงจะต้องได้สิทธิ์พัก แต่ได้ลงไปวิ่งเล่นก็ดีใจ เรามีถุงมือดีๆ นะ แต่วันแรกๆ ยังลืมหยิบตลอด มือไร้ถุงมือมีชีวิตอยู่นอกกระเป๋าโค้ทได้แค่ไม่กี่วิ ต้องรีบกดชัตเตอร์แล้วซุกเข้ากระเป๋าทันที ปูวิ่งลงมาแล้ววิ่งกลับไปเอาถุงมือบนรถอีกรอบ
ตาบิลตะโกนแข่งเสียงลมอธิบายเรื่องหินนักเดินทางก่อนเดินวนรอบกองหินสามรอบ กองหินนี้นักเดินทางจะหยิบก้อนหินจากพื้นที่ด้านนอก มาสามก้อน แล้วเดินวนกองหินสามรอบ ไม่แน่ใจว่าบังคับด้านวนเหมือนเวลาเราประทักษิณาเวียนเทียนรึเปล่า แต่ละรอบจะโยนหินที่เราถืออยู่เข้าไปในกองหนึ่งก้อน เป็นการขอพรให้การเดินทางราบรื่นปลอดภัย
เราหมายตาไว้ว่าจะทำบ้าง แต่ตรงนี้ไม่ไหว หนาวไปมากโว้ย

หมายเหตุ : รูปหมาที่ถ่ายมานี่ไม่เห็นนะว่ามีแม่หมาอยู่ด้วย เห็นแต่ลูกหมาเล่นหิมะอยู่ คือลมแรงมาก ลืมตาเต็มๆ แทบไม่ได้เลย

หน้าหนาวอันขาวโพลนกำลังจะจากไปอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว มัวแต่อินหิมะมาข้ามคืน อาจจะหลงลืมไปแล้วว่า นี่ตูมาทริปทะเลทรายนะนี่นะ คิดถึงทรายทรายก็มา จากละอองหิมะสีขาวที่ฟุ้งอยู่ในอากาศ อยู่ๆ ก็เปลี่ยนไปกลายเป็นละอองสีน้ำตาล ได้ยินเสียงแสกๆ ของเม็ดทรายที่ปะทะกระจกรถตามแรงลมจะหอบมา เรายังคงเห็นริ้วขาวๆ ของหิมะที่ตกค้างตามเนินทรายและกระจุกต้นหญ้า แต่ก็เริ่มบางตาลง เผยให้เห็นพื้นที่แท้จริงของบริเวณรอบๆ ที่เป็นดินทรายสีน้ำตาลแดง ฝุ่นทรายทำให้ท้องฟ้าที่เราเห็นกลายเป็นสีเบจ จางบ้างหนาบ้างตามแต่สายลม เราเริ่มเห็นฝูงสัตว์มากขึ้น พวกมันก้มหน้าก้มตาแทะเล็มอะไรสักอย่างบนพื้นดินแดงว่างเปล่า ในสายตาเราเหมือนมันกำลังอุปาทานหมู่เดินขยับปากอย่างไร้ความหมายกันเป็นฝูงๆ

ประเทศมองโกเลียเป็นประเทศที่กว้างใหญ่มาก ภูมิประเทศก็ช่างเวิ้งว้าง ผู้คนสัญจรด้วยยานพานะอะไรสักอย่างระหว่างรถยนต์ดีๆ กับขี่สัตว์ มอเตอร์ไซค์มีให้เห็นบางตา เราเจอคันนึงฝ่าพายุทรายอยู่อย่างทรหด ช่วงพายุทรายนี้ (เอาจริงๆ คงไม่ถึงขั้นพายุ แต่สำหรับเราก็ขอเรียกให้เวอร์ๆ ไว้ก่อน) เราไม่ค่อยชอบ มันไม่สวย และออกไปทางน่ากลัว (ทีหิมะลื่นๆ ล่ะไม่กลัว) ดูจากภาพอาจจะเหมือนว่าร้อน แต่ความจริงยังคงหนาวเหน็บไม่เปลี่ยนแปลง

คณะของเราแวะทานมื้อเที่ยงที่เลทไปมากที่เมืองแห่งหนึ่งในเวลาบ่ายสาม เพิ่งเอาพิกัดไปค้นชื่อตะกี้พบว่าเมืองชื่อ Mandalgovi ถ้าค้นใน Google map จะรู้สึกว่าเป็นเมืองใหญ่ ถึงขนาดมีสนามบินด้วยนะ เมืองนี้อยู่ห่างจากอูลานบาตอร์ ๓๐๐ กิโลเมตรเป๊ะๆ ซึ่งเราใช้เวลาเดินทางปาไป ๕ ชั่วโมง นับจากตอนแวะซื้อของสด โดยแวะแค่ที่เดียวแป๊บเดียวเท่านั้นตรงจุดพักรถ

บรรยากาศเมื่อลงจากรถ ลมแรงมาก และยังหนาวจัด ลมพัดมามีแต่ฝุ่นทราย เข้าหูเข้าตา ทุกคนรีบพุ่งเข้าไปในร้านอาหาร ผลักประตูหนักๆ ปิดไว้เบื้องหลัง ถนนหน้าร้านอาหาร ร้าง ต้องใช้คำนี้ถึงจะเหมาะ มันเงียบกริบ ไร้ซึ่งสัญญาณการมีอยู่ของผู้คน อาคารแต่ละหลังไม่มีเล่าเต๊ง บ้างวัสดุฉาบกะเทาะเผยให้เห็นเนื้อปูนข้างในเว้าๆ แหว่งๆ ต้นไม้พญาไร้ใบยืนต้นโกร๋นสู้ลม โชว์กิ่งก้านฟอร์มสวยแต่ดันทำให้บรรยากาศดูหลอนเข้าไปอีก เราคุยกับปูว่า นี่แม่งฉากหนังทริลเลอร์ชัดๆ ที่ตัวเอกหลงทางมาเจอเมืองประหลาดๆ ที่เต็มไปด้วยฆาตรกรโรคจิต ส่วนมากไอ้หนังพวกนี้ ไอ้ตัวแรดๆ กับตลกๆ มันจะตายก่อน ดีนะเราเป็นคนเงียบๆ เรียบร้อย

อาหารมื้อแรก เป็นผัดผักเนื้อแกะราดข้าว
ตอนนั้นหิวมากๆ รู้สึกว่าอร่อยมาก ข้าวก็โอเค ก่อนจะมานี่เราเคยกินแกะครั้งสองครั้ง เกลียดเข้าไส้เพราะสาบมาก ต้องกินกับไอ้ดิปปิ้งที่เหมือนยาสีฟันใกล้ชิดรุ่นโบราณนั่นน่ะ แต่แกะจานนี้ไม่สาบเลย ถึงอย่างนั้นก็กินไม่หมด เพราะเขาให้มาเยอะมาก ดูจากในรูป มันมีข้าวแค่ตรงด้านขวาเท่านั้นจริงๆ ที่พูนอยู่นั่นคือเนื้อแกะทั้งหมด ระบบการย่อยตูจะปรับตัวทันมั้ย ถาม..

ที่มองโกเลียนี่ จะกล่าวว่าปลูกข้าวไม่ได้ ก็อาจจะตีรวมไปหน่อย มันคงมีบางพื้นที่ปลูกได้
แต่บอกได้ว่าข้าวสวยคือของนำเข้า เขาจึงไม่ได้ให้เรากินเยอะแยะอะไร เนื้อสัตว์ต่างๆ ต่างหาก ที่เป็นของต้นทุนต่ำ กินกันเข้าไปสิ กินเอาอิ่ม ผักก็มีให้กินน้อยเช่นกัน เพราะพื้นที่นี้ปลูกไม่ได้ ต้องขนส่งมากจากภาคเหนือและตะวันตกเฉียงเหนือที่เขียวขจี (และทีแรกมีความคิดว่าจะไปเที่ยวโซนนั้น แต่เปลี่ยนใจมาโกบี)


ที่จริงแล้วแผนวันนั้นเราจะต้องไปนอนในทะเลทรายโกบีกันเลย แต่บิลบอกแล้วว่า เนื่องจากเสียเวลาไปมากในช่วงต้นของการเดินทาง เราจะไปไม่ถึงตามเป้าแล้วนะวันนี้ โดยจะได้นอนค้างคืนในเมืองที่ขอบทะเลทรายแทน โลยาซึ่งพูดภาษาอังกฤษไม่ได้เลย เป็นสายมวลชน แกรู้จักพนักงานทุกคนในร้านอาหารก็ไม่แปลกเพราะแกคงขับรถให้คณะทัวร์มานานแสนนาน แต่แกดันทักทายพวกคนที่เข้ามากินในร้านด้วยอย่างครึกครื้น ในขณะที่ตาบิลไกด์ของเรา ซึ่งเรามีความรู้สึกว่าแกน่ะมือใหม่ กลับเงียบขรึม ออกไปทางเก๊ก ซึ่งทริปนี้เราจะเปิดฉากการเม้าท์ตาบิลไปด้วยตลอดทาง เพราะมันเป็นสิ่งที่แยกออกจากการเดินทางของเราไม่ได้เลย

บิลบอกว่า แกไปอยู่อเมริกามาสิบเอ็ดปี แต่สำนึกรักบ้านเกิดจึงกลับมาตั้งรกราก แต่งงานมีลูกที่มองโกเลีย มิน่าภาษาอังกฤษแกเลิศ แต่ทักษะการฟัง และความเข้าใจดันไม่ค่อยดี เวลาเราพูดอะไร แน่นอนสำเนียงเราห่วย แต่เขาเป็นฝ่ายคุ้นกับภาษาอังกฤษมากๆ ควรจะฟังคนพูดเหน่อได้เข้าใจมากกว่าสิ หลายๆ ครั้ง แกตีความเราผิด และด้วยทัศนคติ บางครั้งเหมือนจะเข้าใจไปคนละทิศละทางเลย ใช้เวลาสองวันถึงจะรู้ตัวว่า คุยกับคนคนนี้ (หรือคนประเทศสังคมนิยม อันนี้ไม่กล้าเหมารวม เพราะไม่ได้คุยกับคนอื่นมากนัก) ต้องระวังตัวมากๆ ความที่เราชอบคุย ชอบถามนั่นนี่ ก็มีพลาดไปหลายช็อตเหมือนกัน

มุกแรกที่ทำให้เราสงสัยว่าบิลจะนู้บ (อย่างน้อยก็เส้นทางนี้) คือที่ผนังร้านอาหารมีแผนที่แปะอยู่ บิลพาเราสองคนไปยืนดูแล้วอธิบายว่าเรามาจากตรงนี้ ตอนนี้เราอยู่ตรงนี้ และเย็นนี้เราจะไป.. เอิ่ม หยุดไปพักนึงแล้วเอานิ้วจิ้มผนังด้านล่างใต้แผนที่ราวๆ ฟุตนึง เราฮากันเพราะว่ามันทะลุแผนที่ แต่อีนี่สะดุดแว้บ ว่าถ้าแกเดินทางเส้นนี้บ่อยๆ แกก็ต้องแวะร้านอาหารนี้บ่อยๆ และทำสิ่งนี้มาหลายครั้งแล้ว แกไม่รู้ได้ไง ว่าแผนที่มันเป็นแค่แผนที่จังหวัด ไม่ใช่แผนที่ทั้งประเทศ แอบคิดในใจ กูว่าไกด์กูนู้บชัวร์ ไว้คอยดูกัน

เราเข้าห้องน้ำแบบปกติมนุษย์อีกครั้งที่ร้านอาหาร โลยาแวะเติมน้ำมันที่ปั๊ม แล้วเราก็มุ่งหน้าไปกันต่อแบบไม่มีหยุดมีพัก เป้าหมายค่ำนี้คือเราต้องไปถึงเมือง Dalanzadgad ซึ่งห่างออกไปอีก ๓๐๐ กม.เป๊ะๆ เช่นกัน

มาถึงตอนนี้ละอองฝุ่นทรายเริ่มลดลงแล้ว ถนนมองเห็นได้ชัดถนัดตา เริ่มเห็นฝูงสัตว์ดูมีชีวิตชีวาขึ้น สวนทางกับร่องรอยการมีมนุษย์ก็ค่อยๆ จางหายไป ไม่มีรถสวนทาง ไม่มีรถอยู่ข้างหน้า และข้างหลังเป็นเวลานานๆ บิลบอกว่า จะรู้ได้ไงว่าถึงโกบีแล้ว ก็เมื่อเราเริ่มเห็นฝูงอูฐ

ฝูงอูฐแรกที่เราได้เห็นปรากฏตัวขึ้นเป็นจุดดำๆ ที่เส้นขอบเขาในเวลาห้าโมงครึ่ง ตั้งแต่ออกจากร้านอาหารมา สัญญาณอินเตอร์เน็ตเราก็ออนๆ ออฟๆ เหมือนความสัมพันธ์ของชั้นกับกรุงเทพฯ นี่ขนาดใช้ยี่ห้อที่เขาบอกว่า เหมาะกับ Country side ละนะ คือติดต่อได้ แต่ไม่ได้เดี๋ยวนั้น ต้องรอแพ้บ ซึ่งความรอแพ้บนี้มันคือกินแบตเอาเรื่องอยู่ เราใช้เวลาสักพักก็เรียนรู้ว่า พอสัญญาณเข้า จะอ่านอะไรก็อ่านๆ เข้า เสร็จแล้วก็พิมพ์ตอบไปให้หมด แล้วให้มันหมุนติ้วๆ ไป พอเราเริ่มจะลืมๆ สัญญาณก็เกิดจะเข้ามา แล้วข้อความก็ถูกส่งออกไปเองแหละ เรื่องแบตเตอรี่ของอุปกรณ์อิเล็คทรอนิกส์ก็เป็นอีกปัจจัยที่เราจะต้องละเอียดถี่ถ้วนและวางแผนให้รอบคอบ ไม่งั้นเป็นอันหมดสนุกแน่นอน

เราเริ่มสังเกตเรื่องแสงแดด อีตอนที่ดูแดดเย็นแล้วคิดว่า วันนี้พระอาทิตย์ตกน่าจะสวย เลย Google ดูว่าพระอาทิตย์ตกกี่โมง พระอาทิตย์ที่นี่ตก ทุ่มสี่สิบห้าว่ะ ไม่รู้มาก่อนเลย ตอนเช้าก็สว่างเร็ว ตอนเย็นยังมืดช้าอีก คุ้มสุดคุ้ม มีเวลาเที่ยวเยอะมาก ชอบ ฮ่าๆ เราเลยบอกบิลว่า ตอนพระอาทิตย์จะลับขอบฟ้า ขอแวะถ่ายรูปหน่อยได้มั้ย บิลบอกว่าได้ และปรึกษากับโลยาว่าจะจอดตรงไหน เรากับโลยาพูดคนละภาษาแต่พูดพร้อมๆ กันด้วยความหมายเดียวกันว่า
จอดตรงที่มันมีอูฐ

ก่อนจะถึงจุดนั้นเราได้เจอไซก้าก่อน

เราไม่รู้เลยว่ามันเป็นไซก้าจนกระทั่งกลับมาไทย บิลบอกว่า เดียร์ เอิ่ม แอนทีโลปน่ะ สัตว์ป่าฝูงแรกที่เราเจอ สองหนุ่มมีเมตตาจอดรถให้ดู พวกมันอยู่ไกลมากแล้วก็รับรู้ถึงการมาของเราแล้วก็ตั้งท่าจะวิ่งหนี เราต้องค่อยๆ ขยับช้าๆ แอบอยู่ข้างรถ แล้วพยายามถ่ายรูปมันด้วยเลนส์เทเล แต่ความถ่ายไม่ชัดนี้โทษใครไม่ได้เลยนอกจากตัวเอง ทั้งมือไม่นิ่ง (โทษลมและความหนาวได้มั้ย) ทั้งไม่เอากล้องไปให้ร้านดูซะทีว่าที่โฟกัสไม่ค่อยเข้านี่อุปกรณ์มันเริ่มบุบสลายแล้วใช่ไหม มองไกลๆ มันก็กวางนั่นแหละ แต่ที่เรามาค้นจนพบว่ามันคือไซก้า ก็เพราะเวลาซูมดูรูปแล้ว หน้ามันโหนกๆ ชอบกล นี่ถ้ารู้ตั้งแต่ตอนนั้นว่าเป็นมัน จะยิ่งตื่นเต้นจนมือไม้สั่น เพราะว่าไม่เคยคิดว่าจะได้เจอตัวจริงๆ ในธรรมชาติ

ไซก้าหรืออีกชื่อคือ กุย เป็นสัตว์เฉพาะถิ่นพบได้ในไซบีเรียและมองโกเลียเท่านั้น และใกล้สูญพันธุ์โคตรๆ มันเป็นกวางตาหวาน หน้างวงๆ หน้าตาน่ารัก แบ๊วเหมือนกระต่ายยักษ์สูงโย่ง
เคยรู้จักมันจากสารคดี และมาหาอ่านเพิ่มอีก ช่างเป็นบุญตาจริงๆ ที่ได้พบ มันอยู่ในหมวดสัตว์เสี่ยงขั้นวิกฤติต่อการสูญพันธุ์ ด้วยวิถีชีวิตของมันเองและปัจจัยคุกคามภายนอก ในวิกิบอกว่าไซก้าอาจจะอยู่กับเราอีกไม่นานแล้ว เพราะว่าวิถีชีวิตมันวอนตายมาก
๑. มันฆ่ากันเองช่วงผสมพันธุ์ ต้องสู้ถึงตาย
๒. ถูกมนุษย์ล่า (อีพวกชั่ว)
๓. มันแพ้เชื้อโรคระบาดบางอย่าง การตายหมู่เริ่มพบครั้งแรกเมื่อปี ๒๐๑๕

แม้ว่าจะลำบากขนาดไหน ขอสวดแผ่เมตตาให้น้องๆ ไซก้าทั้งหลาย ได้มีชีวิตอยู่กันต่อไป ออกลูกออกหลานกันเยอะๆ ให้ชนะการสิ้นเผ่าพันธุ์ด้วยเถอะเพี้ยง

ไซก้าผ่านเลนส์ซูมคมๆ ในอินเตอร์เน็ต ตาดำขลับแป๋วแหวว ขนดูสั้นๆ นุ่มๆ โคตรอ่อนโยนน่ารัก ส่วนไซก้าในระยะห่างไกลในธรรมชาตินั้นก็น่ารักมากไม่แพ้กัน วิ่งตูดกระดุ๊กๆ หนีเปิงเวลารถเราวิ่งผ่าน และก้มหน้าก้มตาแทะความว่างเปล่ากันงิกๆๆ เวลาคิดว่าตัวเองปลอดภัยดี

หมายเหตุ : ภาพตอนพบไซก้านี่คือเวลาหนึ่งทุ่มตรงจ้ะ แสงกำลังอุ่นๆ

และแล้วก็มาถึงเวลาที่รอคอย ฝูงอูฐย้อนแสง โลยาพบฝูงอูฐในเวลาที่พระอาทิตย์กำลังร่วงลงแตะเนินเขา ตะแกหักขวาตั้งฉากกับถนน แล้วขับออกจาถนนไปเลย

เมื่อลงจากรถที่อบอุ่นด้วยฮีตเตอร์ ข้างนอกที่ดูสงบนิ่งเมื่อมองจากอีกด้านของหน้าต่าง กลับไม่เป็นอย่างที่คิด ลมแรงมากและหนาวมากเช่นเคย แสงสีส้มของพระอาทิตย์ยังให้ความอบอุ่นได้ไม่พอ อูฐฝูงยืนชิวที่เส้นขอบฟ้า เป็นแบบให้เรา ถึงเราจะวิ่งไปวิ่งมากรี๊ดกร๊าด มันก็ไม่ค่อยจะเดือดเนื้อร้อนใจเท่าไหร่ หันมามอง เลิกคิ้วนิดนึงแล้วเล็มตอหญ้าเตี้ยๆ ต่อไป

เราถึงที่พักตอนสองทุ่มนิดๆ ฟ้ายังไม่มืด ยังมองเห็นบริเวณโดยรอบ โลยาพยายามสอนเราออกเสียงชื่อเมืองนี้ Dalanzadgad มันฟังดูคล้ายๆ ดาลันซ์ข์ซัคซ์ซ์ข์กัด พยายามออกเสียงตามจนรู้สึกว่ามันไม่น่าใช่ทางของกูละ เลยเลิก

อย่างที่เล่าไปแล้วว่า เมือง Dalanzadgad นี้อยู่ขอบทะเลทรายโกบี บ้านเรือนมีทั้งแบบบ้านสมัยใหม่ แต่หนาเตอะและปิดมิดชิด และแบบเกอ เกอทูเกอ เป็นคำที่เราจะพบได้ตามบริษัททัวร์มองโกเลีย มันหมายความว่านอนเกอทุกคืนและเปลี่ยนที่นอนไปเรื่อยๆ เกอคือที่พักแบบรื้อถอนได้อย่างหนึ่ง ซึ่งเราจะอธิบายในภายหลัง แต่สำหรับคืนแรกนั้น เรานอนเกอที่อยู่ในชุมชน เจ้าของบ้านนอนบ้านอิฐปกติ แต่สร้างเกอไว้รับแขกในบริเวณรั้วล้อมมิดชิด มีเสียงหมาตัวใหญ่เห่าจากมุมบ้าน ซึ่งบิลบอกว่าเป็นหมาข้างนอก (อีบิลมึง หมาอยู่ข้างในโว้ย)


บิลกับโลยาตุ้มเอากระเป๋าเดินทางเราเข้ามาไว้ในเกอ ก่อไฟในเตาให้ความอบอุ่น แล้วบอกว่าจะไปทำอาหารเย็นละ เขาอยู่เกอข้างๆ จะเอาอะไรก็เรียก ไดอะล็อกนี้เป็นไดอะล็อกปกติ เรารับปากว่าโอเค แต่ไม่เคยเรียกขออะไรเลยตลอดทั้งทริป

เราได้เห็นหน้าเจ้าของบ้านแว้บๆ ไม่นานฟ้าก็มืดสนิท เราผลัดกันออกไปเข้าห้องน้ำที่เป็นส้วมหลุมแห่งแรกของทริปนี้ ส้วมหลุมนี้ตั้งอยู่มุมหนึ่งของบริเวณบ้าน ชิดรั้ว เป็นส้วมนั่งราบที่ต่อเนื่องกับหลุมลึกด้านล่าง ยกเว้นเรื่องระบบส้วมแล้ว ห้องน้ำเขาเหมือนปกติบ้านเราทุกอย่าง มีทิชชู่ มีชั้นวางของจุกจิก มีสเปรย์ดับกลิ่นกระป๋องโตด้วย

ห้องน้ำนี้ความที่อยู่มุมและปิดมิดชิด กลิ่นนี่ไม่ต้องพูดถึงเลย เราสองคนเริ่มต้นปรึกษากันว่างดน้ำงดอาหารแม่ง ไม่อยากเข้าส้วม แต่คิดอีกที อย่าทำร้ายร่างกายเช่นนั้นเลย เรามาตั้งหน้าตั้งตากินแม่งทุกอย่าง แล้วก็เข้าส้วม (และไม่ส้วม) ทุกครั้งที่ต้องการกันดีกว่า มันเฮ้ลที่กว่ากันเยอะ

เกอของเราเป็นเกอสองเตียง น่าจะเป็นขนาดเล็กสุดแล้ว มีหลอดไฟหนึ่งดวง และปลั๊กเสียบกาน้ำร้อน ซึ่งก่อนมาเขาบอกว่าเกอจะชาร์จแบตไม่ได้ แต่นี่เรานอนเกอในเมืองเลยมีที่ชาร์จ ถึงการลากสายพ่วงไปมา จะดูน่าหวาดเสียวโดนไฟดูด แต่เราก็จัดเต็มทุกดีไวซ์ฮะ

ความสุขของการนอนเกอก็คือตรงกลางจะมีปล่องเหล็กต่อเนื่องจากเตาเหล็กส่งควันออกสู่ภายนอก เมื่อก่อไฟในเตาเหล็ก ความร้อนจะค่อยๆ แผ่ออกมา ทั่วเกอจะอบอุ่นสบาย ระบบของเตาคงคิดมาดีมาก ควันจะแทบไม่ออกมารบกวนในเกอเลย เว้นแต่บางเกอที่เตาไม่ค่อยจะดี
ข้อเสียคือ
๑. มันใช้ฟืน เสียดายไม้ซึ่งหาได้ยากยิ่งที่โกบีนี่
๒. พอดับแล้วโคตรหนาว มันไม่อยู่ยาวไปทั้งคืน ต้องคอยตื่นมาเติม
๓. รอยต่อระหว่างปล่องกับหลังคา หลายๆ เกอต่อไม่สนิท ลมแม่งถือโอกาสสวนเข้าตรงนั้นแหละ
๔. เห็นเสาอยู่กลางบ้านไม่ได้ ชิน ชอบเอามือไปจับ ร้อนจนร้องแว้กไปหลายที

อาหารเย็นเสร็จตอนสามทุ่มครึ่ง ดึกเวอร์ แต่ก็ไม่ค่อยเดือดร้อนเพราะขนมเยอะ เอาขนมจากชุมพรติดไปด้วย มีกล้วยฉาบกับกล้วยเล็บมือนางอบน้ำผึ้ง ขนมห่อๆ น้ำหวานก็มีที่ซื้อไว้ มาม่าพกมาถึง ๖ กระป๋อง
ตาบิลทำข้าวต้มซุปมันฝรั่งใส่เนื้อแกะบางเบา แกบอกว่าสังเกตว่าเรากินเนื้อกันได้น้อย แกเลยลองใส่น้อยๆ ดู เราก็พยายามบอกแกว่า มันอร่อยแหละ แต่มันเยอะไป และหนักไปมากสำหรับเรา ลดเนื้อลงก็ดีแล้ว นี่บางทีก็สงสัยนะว่ามีแต่บ้านเรารึเปล่าวะที่กินไม่ค่อยเยอะ (แต่กินหลากหลายและจุกจิก) เวลาไปที่ไหนๆ ก็เจอปัญหาให้อาหารเยอะไปทุกครั้งเลย

เรากินเสร็จก็วางไว้ที่โต๊ะ เพราะไม่รู้ต้องเอาไปไหนอย่างไร ตอนมาถึงเกอทีแรก เราลองเอาน้ำอัดลมขวดนึงไปวางไว้บนกรอบประตูเกอด้านนอก ก็ได้อีตู้เย็นธรรมชาตินี่ล่ะ ชั่วโมงเดียวเท่านั้น เย็นเจี๊ยบชื่นใจแบบที่ตู้เย็นบ้านเรายังทำไม่ได้เลยนะ ดื่มน้ำอัดลมอร่อยมากๆ

บิลกับเจ้าของเกอเข้ามาเติมถ่านให้อีกครั้งแล้วทุกคนก็เข้านอน เราซึ่งปรับตัวเข้ากับสิ่งต่างๆ ได้เป็นอย่างดี วนเวียนเข้าห้องน้ำมันอยู่นั่น ไม่ใช่ว่าปลื้มปริ่มหรือติดกลิ่นนะ แต่เดินทางทั้งวันไม่เป็นอิสระทางการขับถ่าย พอได้มีส้วมหลุมที่เดินไปเข้าได้ตลอด มันก็เลยต้องขอทบต้นทบดอกนิดนึง

คืนนั้นกว่าจะหลับได้ เราก็วิ่งเข้าวิ่งออกถ่ายรูปดาวเต็มฟ้า ประตูเกอจะเล็กและต้องก้มตัวเวลาเข้าออก คงเพราะป้องกันการสูญเสียความร้อนด้วย และเพราะโครงสร้างของเกอด้วย กูก้มแต่ละทีก็ปวดหลังแอ้กๆ แต่ไม่ให้วิ่งไปวิ่งมาก็ทำไม่ได้ ดาวโคตรสวย อากาศโคตรหนาว ตกกลางคืนก็อยู่ประมาณ ๖ องศา และกลางดึกมีติดลบหน่อยๆ ยังได้ยินเสียงหมาเห่าทึบๆ เหมือนว่าตัวมันใหญ่มาก นอกนั้นเงียบเหลือเกิน แทบจะได้ยินเสียงดาวกระพริบ

โอมานอีสออซั่มมมม #๕

หลังจากมื้ออาหารริมชายหาดอันสวยงาม เราก็หันหลังให้ทะเลน้ำ และมุ่งหน้าเข้าสู่ทะเลทราย ด้วยสภาพที่เพลียเพราะเดินตากแดดกันมาก่อนต่อด้วยกินอิ่มเป็นงูหลามย่อมๆ ก็ห่วงเงาะว่าจะขับรถไหวไหม อย่างที่เกริ่นไว้ทีแรกว่าเราถือใบขับขี่สากล ซึ่งเงาะบอกว่าขับรถส่วนบุคคลที่โอมานไม่ได้ ตุ๊กตาหน้ารถทำอะไรมากไม่ได้เลยชวนเม้าท์รัวๆ ถ้าจะปลอดภัยเรื่องดาราเซเล็บที่เผือกๆ ไว้ก็ได้เวลางัดมาใช้กันล่ะ เป็นเซฟท็อปปิคที่ตาสว่างดีเหมือนกัน ทั้งๆ ที่ใครได้กับใครมันก็ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเราซักหน่อยนี่หว่า

ตอนมาถึงเมือง Bidiyah ปราการด่านสุดท้ายก่อนเข้าทะเลทรายเงาะก็โดนตำรวจเรียกไปทีนึง ดูเหมือนว่าเรียกเพราะเหยียดความเป็นผู้หญิงไม่คลุมผม และพอดูเอกสารพบว่าเป็นต่างชาติก็ตั้งท่าจะเล่นใหญ่ เงาะมีเอกสารครบหมดทุกอย่าง แต่หมาต๋าก็ลีลาอยู่นาน รู้สึกเหมือนพยายามถ่วงเวลาหาเรื่อง จะยังไงก็ไม่รู้แหละ ถึงมาร์คมุ้ยจะนำหน้าไปก่อนแล้ว แต่ถ้าหันหลังมาเห็นว่าไม่ตามคงย้อนกลับมาดู รู้อย่างนี้ก็อุ่นใจว่ายังไงก็มีแบ็คอัพ ถ้าไปคันเดียวผู้เป็นหญิงล้วนในประเทศที่ผู้หญิงควรเสงี่ยมเจียมตัวอยู่แต่ในรั้วบ้านก็คงเสียวๆ เหมือนกัน ชีวิตคู่ก็คงแบบนี้มะ รู้สึกมีแบ็คอัพ?

อันนี้ก็ไม่รู้สินะ ไม่มี ฮ่าๆๆ

ที่บิดิยาห์ ออกเสียงถูกรึเปล่าไม่รู้เหอะ เราเปิดกูเกิ้ลแม็พเดินทางตามปกติ แล้วก็ค้นเจอชื่อที่พักของเราซึ่งอยู่ลึกเข้าไปในทะเลทรายประมาณ ๒๐ กม. แต่การนำทางของกูเกิ้ลมันหายไป เพราะไม่มีถนนแล้ว เงาะมาร์คจอดรถปรึกษากันว่าจะเลี้ยวเข้าทะเลทรายตรงไหนดี เราอยากแสดงความเห็นว่าไปตามรอยทรายที่ดูจากแม็พแบบภาพดาวเทียมดีไหม แต่ก็ไม่มีข้อมูลอะไรมาแบ็คอัพ รอยทรายนั้นมันคืออะไรยังไม่รู้เลย สุดท้ายขบวนของเราก็มุ่งหน้าเข้าสู่ทะเลทรายด้วยเส้นทางเก่าที่เงาะมาร์คเคยมาเที่ยวก่อนหน้านี้

สองข้างทางสวยอลังการมาก ซึ่งแน่อยู่แล้วล่ะมันครั้งแรก มันต้องอู้อ้า น่าตื่นเต้นไปหมด แต่แถมพิเศษไปกว่านั้นอีกด้วยแสงเย็นสีทองที่เป็นฟิลเตอร์ฉาบทุกสิ่งทุกอย่าง ตั้งแต่หมู่บ้านน้อยๆ ชิดเนินทราย ต้นไม้ห่างๆ นานๆ ต้นที่ยืนหยัดอยู่ท่ามกลางความแห้งแล้งได้อย่างน่าประหลาด อูฐกลุ่มละสามสี่ตัวที่เดินเนิบๆ ไม่มีถนนที่มนุษย์สร้างแล้ว ยานพาหนะของเราเคลื่อนตัวไปตามรอยล้อที่ประทับบนผืนทรายของรถคันอื่นๆ ก่อนหน้า ช่วงแรกๆ ทรายนุ่มๆ หายไปจากผิวเป็นระยะทางไกล เผยให้สัมผัสถึงผิวดินแน่นๆ ด้านล่าง ที่อัดตัวเป็นคลื่นขนาดแลมบ์ดา ๐.๕ – ๑ เมตร รถเราสั่นกระพือทุกครั้งที่ขับไปบนลอนคลื่นพวกนี้จนหัวสั่นหัวคลอนไปหมด รถแดงของมาร์คขับนำหน้าไปไกล บางจุดเรางงว่าตะกี้รถพ่อบ้านเขาลงเนินไปทางซ้ายหรือขวาวะ ต้องเดาๆ ตามรอยฝุ่นกันไป รถขาวคันนี้เป็น SUV แม่บ้านที่มีระบบขับเคลื่อนสี่ล้อด้วย มาร์คอธิบายทีหลังว่า รถธรรมดาที่ไม่ได้แต่งมาเพื่อขับในทะเลทราย สามารถปล่อยลมยางออกเยอะๆ ได้เพื่อช่วยให้ล้อมันไม่จมจนติดทราย แต่แกบอกว่ารอบนี้ไม่ได้ให้ปล่อยลม เพราะขี้เกียจไปหาที่เติมลมตอนออกจากทะเลทราย ตรงจุดที่ทรายนุ่มๆ หนาๆ จึงต้องขับด้วยสกิลแทน ซึ่งจะเล่าเป็นลำดับถัดไป

ก่อนหน้าที่เราจะมา พวกเราหาข้อมูลและเจอคนไทยรีวิวการท่องเที่ยวทะเลทรายโอมานที่มีภาพประกอบทำให้เข้าใจได้ว่า พวกเขาเดินทางด้วยการขับรถเช่าคันน้อยๆ ไปเที่ยวที่ต่างๆ ตลอดจนไปนอนแค้มป์ทะเลทราย เราว่าการรีวิวแบบนี้ ไม่โอเคนะ มันอาจจะน้อยครั้งมากที่มีใครออกเดินทางอ้างอิงจากข้อมูลของเราจริงๆ แต่ถ้าเกิดมีขึ้นมา ข้อมูลแบบนั้นอาจจะเป็นอันตรายกับคนอื่นได้ โปรดฟังอีกครั้งหนึ่ง

รถ ธรรมดา ขับ เข้า ทะ เล ทราย ไม่ ได้ นะ

แม้แต่ผู้ชำนาญการยังมีพลาด เรารู้ตัวตอนที่ตำแหน่งในกูเกิ้ลมันขยับจนเรามาถึงบริเวณที่ควรจะเป็นแค้มป์แล้ว แต่ไม่เห็นแค้มป์ เพราะแค้มป์อยู่อีกฝั่งของเนินทรายสูงๆ ที่ถ้าเรามาด้วยคันแดงคันเดียว มาร์คคงพาไต่ข้ามไปละ แต่มีรถขาวด้วยเลยได้แต่มองตาปริบๆ พระอาทิตย์กำลังลับหายไปที่หลังเนินทรายอีกด้าน และความมืดมิดค่อยๆ โรยตัวลงมา ถ้ายังเร้าใจไม่พอ น้ำมันรถทั้งสองคันก็พร่องไปเยอะด้วยโดยเฉพาะคันขาวเพราะถังเล็กกว่า ตั้งแต่ออกมายังไม่ได้เติมเลย เราพยายามหาจุดที่โทรศัพท์มีคลื่น แล้วโทร.ถามที่พัก เขาบอกต้องมาเช็คอินกับเขาที่เมืองบิดิยาห์ก่อน ถึงจะนำทางเข้ามาได้ โอ้วมายก้อด พวกเราโวยวายกันใหญ่ว่าทำไมเพิ่งมาบอกวะ ก่อนจะพบว่า เขาเขียนไว้ในคอนดิชั่นตอนที่จองแล้วแหละ อ่านไม่ถึงเอง วั้ยยยย ขาเข้ามา เราชิวๆ ชมอูฐชมวิว ใช้เวลาเกือบชั่วโมง มาถึงจุดที่ต้องเลี้ยวกลับ มาร์คขับนำแบบเร็วขึ้นมาก เงาะก็เลยขับเร็วตาม แปลกมากที่พอใช้ความเร็วสองเท่าแล้ว ตอนผ่านพื้นที่เป็นคลื่นๆ นั่นมันไม่กระแทกอีกเลย เหมือนลอยผ่านไปเฉยๆ เลย ใช้เวลา ๒๐ นาทีก็กลับถึงตัวเมือง ไวจุง

หลังจากเติมน้ำมันแล้ว เราก็ไปเช็คอินที่ส่วนต้อนรับ ซึ่งเป็นชั้นสองของอาคารพาณิชย์แห่งหนึ่ง โถงนั้นตีโล่งตลอดไม่มีกั้นห้อง มีโต๊ะพนักงานต้อนรับกับชุดรับแขก ทั้งหมดตกแต่งในสไตล์สากลปนอาหรับดูแปลกตาดี เจ้าหน้าที่ให้เรานั่งพัก ดื่มน้ำ และค่อยๆ ทำตามขั้นตอนต่างๆ อย่างสโลว์โมชั่นสุดๆ แต่เราก็ไม่มีอะไรจะรีบแล้วตอนนั้น ก็เลยปล่อยให้พ่อคุณได้ละเมียดละไมไป เราต้องกรอกข้อมูล ยื่นเอกสาร และจ่ายเงินที่นั่น และรออีกพักใหญ่รถขับนำจึงมาถึง

ก่อนหนึ่งทุ่มเล็กน้อย ท่ามกลางความมืดสนิท รถสามคันขับตามกันมุ่งหน้าเข้าสู่ทะเลทรายเวิ้งว้าง เห็นแค่ไฟท้ายของคันหน้าที่วับแวมปรากฏขึ้นและหายไปตรงเนินลูกนั้นลูกนี้ หลังผ่านพื้นดินแน่นๆ มาได้ไม่นานก็ถึงจุดที่ทรายนุ่มหนา พอต้องขึ้นเนินทรายเนินแรก รถขาวก็ติดทรายทันที ยิ่งเดินหน้าล้อยิ่งปั่นจมลงไปในทราย เงาะต้องถอยหลังยาวมาตั้งต้นใหม่ สองคันหน้าวนกลับมาและแนะนำว่าให้ขับไปเลยโดยไม่หยุดไม่ชะลอ ถ้าความเร็วตก ล้อมันจะจมทรายทันที คราวนี้ยิ่งเร่งยิ่งจม พยายามอยู่พักหนึ่ง มาร์คก็มีวิธีที่ดีกว่า คือสลับคันกันขับ เพราะรถแดงแค่เหยียบคันเร่งมันก็ไปได้หมดอยู่แล้ว ส่วนแกจะมาขับคันขาว มุ้ยกับหนิงย้ายตามเงาะไปคันแดง แต่เราขออยู่คันขาวเพราะอยากดูโปรขับแบบริงไซต์

โอ้โห โปรก็คือโปร มาร์คขับรถแม่บ้านจับพวงมาลัยมือเดียว ไต่ขึ้นเนินทรายสูงๆ หนานุ่มด้วยการเลี้ยงพวงมาลัยซ้ายขวาๆ ทีละน้อยด้วยความเร็วพอสมควรและสม่ำเสมอ ทำให้รู้สึกว่ารถกำลังเลื้อยขึ้นเนินเหมือนงู ลื่นไหลเหมือนกำลังเซิร์ฟอยู่บนคลื่นทราย เป็นอะไรที่โคตรเจ๋งมาก อยากหัดขับแบบนี้บ้าง เราทักว่า นี่มันยังไม่ท้าทายพอ ยูขับวันแฮนด์เลยเหรอ มาร์คปล่อยมือทันที โนแฮนด์ก็ได้นะ แว้กกกกก

มาร์คบอกว่า เมื่อกี้ตอนหลงทางแล้วต้องขับกลับ ภาคภูมิใจภรรยามาก พอคับขันขึ้นมาก็ขับรถเร็วเป็นด้วยแฮะ เราบอกว่า ขาเข้ามัวแต่กรี๊ดกร๊าดกันไง มันเลยช้า แกตะโกนว่า ยูก็ต้องหยุดพูดบ้างเซ่ ฮ่าๆๆ

เรามาถึง Safari Desert Camp ในที่สุด พอลงรถก็พบว่าอากาศเย็นและรู้สึกเบาสบาย บ้านพักแต่ละหลังเป็นบ้านดินสีน้ำตาลเหมือนทะเลทราย กระจายตัวกันในบริเวณรั้วเตี้ยๆ แผ่กว้างบนที่ราบใกล้เนินทราย แต่ละจุดสว่างเรืองๆ ด้วยแสงไฟโซลาร์เซลล์ สำหรับคนที่ยังไม่เคยมีประสบการณ์อยู่ในพื้นที่กันดารที่สร้างแสงสว่างยามค่ำคืนด้วยไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ ต้องขออธิบายให้เห็นภาพว่า มันไม่ได้สว่างเหมือนหลอดไฟบ้าน ถ้าใช้หลอดสีเหลืองมันก็จะสว่างเหมือนแสงจันทร์ดวงน้อยๆ ที่เอามาเปิดต่อๆ กัน หลอดสีขาวอาจจะสว่างกว่าเล็กน้อย แต่ก็จะอ่อนแสงลงเรื่อยๆ เมื่อไฟเริ่มพร่องจากหม้อแบต เจ้าหน้าที่ต้อนรับพวกเราและพาพวกเราไปส่งบ้านพัก ซึ่งได้อยู่กันคนละฟากแค้มป์ เราจะเก็บข้าวของและออกมากินอาหารเย็นซึ่งรวมอยู่ในแพ็คเกจ ทางเดินน้อยๆ เชื่อมแต่ละบ้านเข้าหากัน ถึงจะไม่มีอะไรบดบังสายตาเลย แต่มันมีทางแยกเยอะ และบ้านแต่ละหลังก็เหมือนกันไปหมดจนดูงงมากๆ ในแสงสลัวๆ เราจึงท่องจำเส้นทางเดินกลับมายังห้องอาหารเอาไว้ “ขวา ถึงสามแยกแล้วซ้าย เจออีกแยกตรงไป เห็นเสาไฟเตี้ยๆ เดินเลยเสาไป เลี้ยวขวา เจอต้นไม้ หลังที่สองถัดจากต้นไม้ ฯลฯ”

เรามุ้ยหนิงนอนห้อง ๓ คน ด้วยกัน เป็นห้องที่เหมาะกับความต้องการด้วยเตียงควีนไซส์ ๒ เตียงและเตียงเดี่ยวปกติอีก ๑ เตียง มีหน้าต่างสองด้าน ห้องน้ำอยู่ด้านนอกและไม่มีหลังคา สามารถแหงนหน้าชมพระจันทร์ได้พร้อมๆ กับอาบน้ำด้วยเรนชาวเวอร์ ซึ่งความแรงของน้ำปกติจนน่าประหลาดใจ เพราะมองไม่เห็นทาวเวอร์เก็บน้ำอยู่ในระยะใกล้ๆ เลย และไม่ได้ยินเสียงปั๊มน้ำด้วย เลยเป็นปริศนาที่เพื่อนๆ อาจจะไม่สนใจ แต่เราหมกมุ่นอยู่นาน (สุดท้ายเราสมมติเอาเองว่า ถ้าเราเป็นคนออกแบบที่นี่ อยากให้น้ำแรง แต่ไม่อยากใช้ปั๊มออโต้ให้เกิดเสียงรบกวน ทางที่ดีที่สุดคือใช้แรงโน้มถ่วงสร้างแรงดันน้ำ แต่ไม่อยากตั้งทาวเวอร์ทำลายความสวยงามของทิวทัศน์ เราอาจจะเอาแทงค์น้ำไปฝังบนยอดสูงสุดของเนินทรายแล้วเดินท่อมายังจุดจ่าย ก็อาจจะเป็นไปได้..)

ในห้องอาหารที่มีแสงสว่างไม่เพียงพอ ถาดอาหารเรียงอยู่ด้านหนึ่ง ที่นั่งส่วนมากเป็นโต๊ะเก้าอี้ แต่ด้านริมสุดมีที่นั่งแบบเทรดดิชั่นนอล เป็นเหมือนโซฟาไม้ยาวๆ ชิดผนัง ประดับด้วยพรมหนาๆ ทั้งบนที่นั่งและที่พื้น มีผู้ชายอาหรับสามสี่คนนั่งชันเข่าคุยกันเบาๆ ปรายตามองนักท่องเที่ยวแบบเหยียดๆ ตามที่เกริ่นไว้ตอนต้นๆ ว่าคนโอมานแท้มีจำนวนน้อยมากจนต้องเอาท์ซอร์สต่างชาติเข้ามาทำงานมากมาย สำหรับคนจากแดนไกลอย่างเรา ตอนแรกๆ ก็ดูไม่ออกว่าใครเป็นคนโอมานใครเป็นต่างชาติ แต่หลายวันผ่านไป เริ่มบอกได้ว่าผู้ชายชุดขาวพันผ้าบนหัวที่มองคนอื่นเหยียดๆ เป็นไปได้มากว่าเป็นคนโอมานแท้

โต๊ะวางถาดอาหารอยู่ในจุดที่แสงไฟอ่อนมาก เรามะงุมมะงาหราสุ่มๆ ตักอาหารกันในความมืด พนักงานสาวภาษาอังกฤษคล่องแคล่วคนหนึ่งเข้ามาคุยด้วยและถามว่าเราต้องการขี่อูฐไปดูพระอาทิตย์ขึ้นตอนเช้าไหม เรา หนิงและมุ้ย ตกลงจองขี่อูฐซึ่งต้องตื่นตั้งแต่ตีห้า (ไม่ได้ลำบากอะไรนี่ นาฬิกาชีวภาพคือแปดโมงเช้า) ส่วนเงาะกับมาร์คเคยทำสิ่งนี้มาแล้ว เลยขอตัวนอนให้เต็มอิ่ม

หลังกินข้าวเย็นเสร็จ (อาหารอาหรับอร่อยมาก ขนาดมองไม่ค่อยเห็นว่ากินอะไรไปบ้าง แต่ก็เอนจอยสุดๆ) เราเดินเล่นรอบๆ มีเต็นท์กระโจมเปิดโล่งที่กางไว้ให้บรรดาผู้ชายไปนั่งดูดบารากู่แล้วพูดคุยกัน มาร์คไปนั่งก่อน พวกเราก็เลยตามไป เขาเอาพรมปูลงไปบนทราย แล้วมีหมอนอิงวางไว้หลายใบ เรานั่งเอนหลังตรงส่วนที่อยู่นอกหลังคาเต็นท์ หูฟังบทสนทนา ตาก็แหงนมองฟ้าที่ปราศจากแสงรบกวน ตาวเต็มฟ้า อากาศเย็นและแห้งกำลังสบายพร้อมลมพัดเบาๆ เมื่อได้เวลาพอสมควร เราก็แยกย้ายกันกลับบ้านพัก เราหนิงและมุ้ยยังลากเก้าอี้นั่งเล่นไปกลางลานหน้าบ้าน แล้วนั่งดูดาวกันอยู่อีกพักใหญ่ เนื่องจากบ้านพักไม่มีแอร์ ถึงอากาศจะกำลังสบายแต่ก็ต้องนอนเปิดหน้าต่างอยู่ดี ไม่งั้นจะเริ่มไม่เย็นสบายละ มาร์คบอกว่าให้สังเกตทิศทางลมที่พัด ให้ปิดหน้าต่างด้านที่ลมจะเข้า แล้วเปิดด้านที่อยู่ปลายลมแทน เพราะเวลาลมมันพัดมันจะหอบทรายเข้ามาด้วยตลอดเวลา

เช้าวันต่อมา เราตื่นก่อนเวลานัดเล็กน้อย เตรียมตัวไปขี่อูฐด้วยเสื้อผ้าที่กระชับ และรองเท้าผ้าใบที่ยังไม่แห้งสนิทดีจากวาดี้ชาบแต่จำเป็นแล้วล่ะ ใส่ๆ มันไป สำหรับตัวเราเอง มีประสบการณ์อยู่บ้างนิดหน่อย เคยฝึกขี่ม้าเล่นๆ มาก่อน แล้วก็เคยนั่งอูฐระหว่างไปเที่ยวมาแล้วหนึ่งครั้ง กับความคุ้นเคยในสัตว์กีบเพราะที่บ้านมีอยู่ฝูงใหญ่ ทำให้พอจะรู้ว่าต้องเตรียมอะไรไปบ้าง แต่สิ่งที่ทำให้กังวลใจคือ ตอนตีห้าครึ่งทุกอย่างยังมืดสนิท เราเดินงมทางกลับไปทางอาคารห้องอาหาร ระหว่างทางเจอซุ้ม ที่นั่งตะคุ่มในความมืดคือผู้ชายแต่งชุดขาวชาวโอมาน เขาบอกว่าเขาคือคนที่จะมาพาขี่อูฐ ตอนเดินตามเขาผ่านซุ้ม ออกนอกรั้วของแค้มป์ไป รู้สึกหวาดๆ ว่านี่ถ้าหลอกไปทิ้งกลางทะเลทรายจะทำไงวะเนี่ย

คณะน้อยๆ ของเรามีอูฐสามตัวรออยู่แล้ว เราได้ขึ้นคนแรกตัวหน้า อาจจะเพราะกล้ากว่าเพื่อนๆ หรือไม่ก็อ้วนสุด เพราะโดยมากคนจูงจะจูงเฉพาะตัวหน้า แล้วเอาเชือกผูกตัวหลังๆ ไว้กับตัวหน้าอีกที สัมภาระหนักสุดก็อาจจะเหมาะที่เอาไว้กับตัวที่เป็นผู้นำฝูง เป็นข้อดีที่ทำให้เราถ่ายรูปสวยๆ ได้ทันทีที่จับจังหวะเดินของน้องอูฐได้แล้วก็กล้าปล่อยมือ และยังหันหลังกลับไปถ่ายรูปเพื่อนๆ ได้อีกด้วย

อูฐนี่เวลาจะนั่งมันจะคุกเข่าเอาขาหน้าลงก่อน และเวลาจะลุกจะเอาขาหน้าขึ้นทีหลังเสมอ เพราะฉะนั้นช่วงเวลาน่ากลัวของเราก็จะเป็นเวลาลุกนั่งของน้องๆ นั่นเอง ตอนน้องอูฐเหยียดขาหลังขึ้นก่อน เราก็จะหน้าคะมำอย่างแรง ส่วนตอนคุกเข่าลงนั่งก็จะหัวทิ่มแรงกว่าอีกประมาณ ๒๐% ขาน้องผอมๆ แต่แข็งแรงมาก ส่วนเท้าทั้งสี่บานออกเป็นปุ้มๆ ใต้ฝ่าเท้าเป็นเนื้อนูนท่าทางจะนุ่ม เวลาเดินแล้วเกาะทรายดีเยี่ยม เห็นอูฐที่โอมานแล้วรู้สึกว่าอย่างน้อยก็ปฏิบัติกับพวกมันดีพอสมควร ไม่แทงจมูกสนตะพาย แต่ใช้วิธีผูกขุมแทน เราตั้งชื่ออูฐของพวกเราว่า อูฐหนึ่ง อูฐสอง และอูฐสาม

ทันทีที่พร้อม อูฐทั้งสามนำด้วยการเดินจูงของชายชุดขาวก็พาเราฝ่าความมืดสู่เนินทราย คนจูงอูฐสุภาพและพูดภาษาอังกฤษได้นิดหน่อย แนะนำตัวว่าเขาเป็นชาวปากีสถาน ที่มาทำงานอยู่ที่นี่ (มิน่าล่ะ ถึงได้ดูอ่อนโยนใจดี) เส้นทางการเดินก็จะไต่ระดับขึ้นไปเรื่อยๆ บางจุดที่ชันน้องๆ ก็จะเดินเลียบพื้นที่ลาดเอียงอย่างมั่นคง ถึงอย่างนั้นก็มีสไลด์เหมือนกัน เสียวมากแต่เรากับเพื่อนๆ ก็เป็นพวกไม่ส่งเสียง ยิ่งตกใจยิ่งเงียบกริบ พอแสงสว่างค่อยๆ เพิ่มมากขึ้น เราก็มองเห็นริ้วสีขาวที่ถมตรงกลางระหว่างเนินทรายสูงๆ ถึงกับตะลึงไปเลยว่า อยู่ๆ ได้ดูทะเลหมอกด้วยว่ะเฮ้ย

พอเดินมาถึงเนินทรายที่สูงสุดในละแวกนั้น ขบวนของเราก็จอดให้ลงไปนั่งรอดูพระอาทิตย์ขึ้น มีนักท่องเที่ยวเป็นฝรั่งอีก ๑ ครอบครัวที่มีเด็กด้วย แต่วิวกว้างใหญ่ระดับนี้ ต่างคนต่างก็จับจองที่ยืนที่นั่งห่างๆ กัน ทรายที่ผ่านค่ำคืนมาหยกๆ เย็นเจี๊ยบและนุ่มมากๆ ไม่เหมือนทรายทะเลโดยสิ้นเชิง ทุกๆ ก้าวของเราเป็นการประทับรอยเท้าก้าวแรกของเช้านั้น เวลาต้องเดินไปบนริ้วลายของทรายที่เป็นคลื่น ทั้งรู้สึกว่าเราทำลายความงามตามธรรมชาติ แล้วก็รู้สึกฟินไปพร้อมๆ กัน เราวางกระเป๋าลง แล้วนั่งลงบนทรายนุ่มๆ เพื่อเสพบรรยากาศ จนกลับถึงไทยแล้วถึงได้เจอว่าทรายบนยอดเนินมันไหลเข้ากระเป๋าเยอะพอสมควร ดีใจมาก รีบเทใส่ถุงเก็บไว้ ไว้เอามือล้วงบี้เล่นๆ เวลาคิดถึง

พระอาทิตย์ขึ้นแล้ว ทุกอย่างมีฟิลเตอร์สีทองมาครอบอีกครั้ง ขบวนของพวกเราออกเดินลงเขากันพร้อมๆ กับแดดที่ค่อยๆ เผาให้หมอกจางหายไป อูฐสองที่หนิงขี่ ยื่นหัวมาเสมอไหล่ของอูฐหนึ่ง แล้วหันหัวมาดูเราบ่อยๆ หันดูไม่พอ เอาตัวมาสีขาดีฉันเลยค่ะ เราจับหัวมันเล่น มันไม่ว่าอะไรด้วย เหมือนเป็นเพื่อนกันเลย แต่หนิงบอกเสียวมาก เพราะหัวมันมาเล่นกับเรา แล้วตัวมันก็เบียดอูฐหนึ่งไปด้วย เวลาเบียดกันตรงทางลาดเอียงก็น่าหวาดเสียวซะเหลือเกิน ส่วนมุ้ยบ่นว่าอูฐสองเดินไปขี้ไปตลอดเวลา

เบื้องล่างที่ซาฟารีแค้มป์ หมอกบางๆ ยังลอยปกคลุมเฉพาะบริเวณแค้มป์ ทำให้ดูสวยอย่างประหลาด หิวก็แสนจะหิวแต่เราก็วิ่งเล่นถ่ายรูปไปมาก่อนที่แสงนวลตาของยามเช้าจะจากไป

ที่ห้องอาหาร มีแสงสว่างและมองเห็นแต่ละเมนูแล้ว ทำให้พวกเรากินกันอิ่มแปล้เลย เรากับมุ้ยน่าจะวนไปตักฮัมมูสกันคนละสามรอบได้ ตั้งแต่กลับมายังไม่ได้กินอีกเลย อยากกินว้อยยยย

พนักงานสาวที่ต้อนรับเราเมื่อคืนมาทักทายว่าขี่อูฐเป็นไงบ้าง เรากำลังตื่นเต้นเลยโม้กับน้องแบบรัวๆ ว่ามันสุดยอดขนาดไหน ถึงกับวิ่งไปเอากล้องมาเปิดรูปโชว์ น้องคุยกับเราไม่หยุดเหมือนกัน แล้วก็เริ่มขอจับผม น้องบอกว่าเจ๊ (แปลเป็นไทยให้เลย น้องน่าจะเรียกเจ๊นี่แหละ) ผมเจ๊สวยจังค่ะ ยาวมากด้วย

เรามองหน้าคมๆ ของน้องซึ่งเป็นสาวโอมานแท้ โพกผ้าฮิญาบหลวมๆ มีปอยผมโผล่ออกจากผ้าโพกตรงนั้นนิดตรงนี้หน่อย แสดงว่าน้องต้องเฟี้ยวพอสมควร เลยเติมเชื้อให้ซะหน่อย “เจ๊เชื่อว่าผมหมวยก็ต้องสวยเหมือนกัน แต่หมวยต้องซ่อนมันไว้ใช่ไหมล่ะ”

เราตกลงเวลาออกเดินทางกันไม่เกินสิบโมง หลังเก็บกระเป๋าเช็คเอาท์เรียบร้อย มองเห็นรถแดงไต่เนินเล่นอยู่ไกลลิบๆ พอเราถามมาร์คว่า ทำไรน่ะ มาร์คก็อัญเชิญเราสามคนขึ้นรถทันทีเป็นการแสดงพิเศษแถมท้าย ส่วนเงาะขอยืนดูข้างล่างดีกว่า รถแดงแรงฤทธิ์ไต่เนินสูงที่เป็นทรายนิ่มๆ ขึ้นไปหน้าตาเฉย มองลงมาเห็นซาฟารีแคมป์เป็นจุดเล็กๆ หลังจากไต่ขอบตรงนั้นตรงนี้โหมโรงได้พอสมควรแล้วก็มาถึงไฮไลท์ มาร์คขับรถทิ่มลงเนินชันๆ ไปตรงๆ เลยจ้า ท่ามกลางเสียงอึกอักของผู้โดยสารที่ควรจะกรี๊ดแหละ แต่ดันเป็นพวกตกใจเงียบกัน ขณะที่รถไหลลงมาตามทางลาดชัน มันค่อนข้างไปด้วยแรงโน้มถ่วงแล้ว แต่สังเกตว่ามาร์คจะบังคับพวงมาลัยเหมือนงูเลื้อยเล็กๆ อีก คล้ายกับว่าเฉียงล้อเพื่อเพิ่มแรงต้านทานไม่ให้มันพรวดลงเร็วจนรถพลิก

รูปนี้เงาะถ่าย ไม่ใช่แค่โชว์ไต่ขอบ แต่ตอนจบดิ่งลงมาตรงๆ เลย

จะอย่างไรก็เถอะ อีนี่หนุกมากกกก มันส์มาก โอ๊ยชอบ อยากลองขับเองด้วยซ้ำ ตอนลงมาจอดหน้าแค้มป์ได้สำเร็จ เห็นครอบครัวฝรั่งครอบครัวหนึ่งยืนอึ้งอยู่ คงสงสัยว่าบริการของรีสอร์ทรึเปล่า ราคาเท่าไหร่นะ

การเดินทางกลับไม่ต้องมีคนนำแล้ว เพราะว่าสว่างมองเห็นทาง มาร์คมาขับรถขาวนำ เงาะขับรถแดงตาม ผู้โดยสารนั่งเหมือนขามา รู้สึกเหมือนได้เล่นโรเลอร์โคสเตอร์น้อยๆ แถมท้ายอีก ๒๐ กม. โคตรมันเลยท่านผู้ชม

โอมานอีสออซั่มมมม #๒

ในเวลาต่อมา..

ไม่ว่าจะนอนดึกแสนดึกยังไง เช้าวันต่อมา ตีห้าปลายๆ (แปดโมงปลายๆ บ้านเรา) ก็ตื่นละ มันลากต่อไม่ไหวจริงๆ ตื่นแล้วทีนี้ก็หิว เราเล่าข้ามเรื่องเงินไปนิดหน่อย จริงๆ ไม่อยากจะดีเทล แต่กูเขียนอะไรอยู่วะเนี่ย ทำไมมันยิบๆ
คือเรายังไม่ได้แลกเงินเรียลเลย เราซื้อซิมด้วยเงินมาร์ค ๕ เรียล จากนั้นตอนจะจ่ายเงินค่าโรงแรม เอ้าไม่มีเรียลอีก มาร์คเลยรับ USD เราไป จริงๆ แกอยากได้บาทไทยมากกว่า แต่พวกเราแลกเงินบาทไปเกลี้ยงตัวแล้ว เราขอแลกเรียลมาร์คมาแค่พอจ่ายค่าโรงแรม และคืนค่าซิมให้แก หลังเดินไปซื้อน้ำและขนม ซึ่งไม่แพงเลย เราก็เลยเหลือเงินเรียลอยู่แค่สามเรียลห้าสิบ เป็นเงินไทยก็คูณไปซักไม่เกิน ๘๕ คือเหลืออยู่สามร้อยสำหรับสามคนว่างั้นเถอะ

นาฬิกาชีวภาพบอกเวลาเก้าโมงเช้า อีนี่ก็หิวสุดๆ (ได้ข่าวว่าเมื่อคืนมึงกินไอติมในเวลาตีสองไทย) อีกห้องมีเสียงกุกกัก สองคนนั่นก็ตื่นแล้วและหิวสุดๆ เช่นกัน เมนูเดลิเวอรี่ที่ทางโรงแรมวางไว้ มีบางเมนูที่พอซื้อมาแบ่งกันกินได้ เช่นเบอร์เกอร์ ๑.๕ เรียล อะไรแบบนี้ แต่มันยังไม่หกโมงเช้าโอมานเลย เราก็โทร.เองไม่ได้ด้วย เลยอาสาเพื่อนเดินลงไปข้างล่าง ซอมเบิ่งดูพนักงานโรงแรมและบรรยากาศรอบนอก

ตอนมาถึงมืดๆ เลยไม่เห็นว่า แค่รอบๆ โรงแรมนี่ก็มีเนินสีน้ำตาลให้เห็นแล้ว รู้สึกตื่นตาตืนใจ อากาศตอนเช้าดีมาก แต่แดดแรงระดับความเข้มสูงเหลือเกิน ความจริงถ้าวัดแค่อุณหภูมิ ที่โอมานตลอดจนบริเวณทะเลทรายนี่ ร้อนเท่าๆ กับกรุงเทพฯ เลย แต่พอรวมแดดเข้าไปแล้ว เราก็หย่อนๆ ว่าเขาหน่อยนึง (เว้นแต่บางวันแดดแข็งๆ กทม.ก็ชนะทุกสถาบันได้)

แล้วเราก็พบร้านอาหารเช้าที่เปิดอยู่ เพราะอีตาคนนึงหิ้วอาหารพะรุงพะรังเดินมาส่งที่ตึกเรานี่แหละ เรายืนรอจนแกเดินกลับออกมา เราเลยถามว่า เดลิเวอรี่เหรอ เปิดแล้วใช่มั้ย งั้นชั้นตามไปสั่งที่ร้านเลยนะ ตาแกบอกโอเคแล้วเดินนำเรา นึกว่าจะไปไกล แค่ข้ามถนนเงียบๆ ไปอีกฟาก ร้านน้อยๆ นิ่งสงบ ดูด้านนอกแล้วจะนึกไม่ออกเลยว่าข้างในเริ่มทำอาหารอินเดียกันละ หนุ่มๆ ไม่อินเดียก็ปากี เปิดหม้อนู้น คนหม้อนี้ หั่นนั่นสับนี่กันโป๊กเป๊ก
เราสั่งอาหารมังสวิรัติไปสองอย่าง เพราะพร้อมขายอยู่แค่นั้น ทุกคนตื่นเต้นกิ๊วก๊าวแต่พองามที่มีลูกค้าผู้หญิงมานั่งรอในร้าน เราเพิ่งมารู้ทีหลังว่า นอกจากนักท่องเที่ยวแล้ว ผู้หญิงประเทศนี้เขาไม่ออกมาเดินถนนกัน มันเป็นของแปลกประหลาด แต่ทุกคนก็เฟรนด์ลี่ดีนะ น่ารักดี

และนี่ก็คือโฉมหน้าอาหารเช้าของเรา อร่อยดี แต่ไม่ค่อยมีเทกซ์เจอร์อะไรให้เคี้ยว ซึ่งเราชอบกินมื้อเช้าแบบจริงจัง เลยรู้สึกว่าขาดๆ เกินๆ

แต่ของงี้มันเสริมได้ เรามีหมูอร่อยจาก อตก. มากินแนม แล้วก็ยังมีทูน่ากับแครกเกอร์ อาหารกันตายของโปรดที่เราพกไปประเทศแปลกๆ ด้วยตลอด แต่เพื่อนเราสองคนนี้ดันไม่ชอบว่ะ ปกติพกไปทริปไหนก็ไม่พอกิน ให้ต่างชาติกินยังชอบ ทริปนี้ ดันไม่มีใครกินทูน่าเลย ตูก็แบกไปกินมันไปคนเดียว เหลือบาน

หลังกินเสร็จก็อาบน้ำเตรียมตัว พอได้เวลาตามนัด คุณเพื่อนก็มารับ พร้อมออกเที่ยววันแรกกันเลย

โปรแกรมแรกของเราคือ ไปนั่งเรือชมโลมากัน เราสามคนเป็นห่วงเรื่องแลกเงินมาก เพราะว่าเงินเรียลเราหมดเกลี้ยงอีกแล้ว แต่เงาะบอกว่าไม่เป็นไร เที่ยวไปก่อน วันนี้เป็นวันศุกร์ อะไรๆ ก็ปิด เราฟังสองผัวเมียพูดเรื่องนี้อยู่สองรอบ ยังงงๆ จนตัดสินใจถามสาเหตุ ถึงได้พบว่า เขาหยุดประจำสัปดาห์ในวันพฤหัสและวันศุกร์กัน ความกบในกะลา เราคิดมาตลอดว่าวันเสาร์อาทิตย์คือวันหยุดของทั้งโลกว่ะ แบบนี้ก็ดีเหมือนกันเนาะ จะได้ไม่ต้องบ่นว่าอยากให้ถึงเสาร์อาทิตย์เร็วๆ เพราะถึงปั๊บทำงานปุ๊บเลยนะเว้ย

เราจะลัดไปเล่าตอนจบของทริปชมโลมาเลยนะ ว่าอิทธิฤทธิ์นังแอ้หรือยังไงก็ไม่รู้ ไม่ได้เห็นโลมา ปลาซิวปลาสร้อยก็ไม่ได้เห็น แต่ทัวร์ดี๊ดี เรือก็ดี บรรยากาศดีเสียแต่แดดแรงเหลือเกิน เอาตาออกนอกแว่นกันแดดไม่ได้เลย ก่อนลงเรือเราพบกับเพื่อนอีกสองคนของเงาะมาร์ค เป็นสามีภรรยาชาวอังกฤษ ที่มาอยู่โอมานนานเกินสิบปี สามีชื่อไรวะ จำไม่ได้แล้วคุยกันทีเดียวตอนขึ้นจากเรือมาแล้ว แกว่าแกซื้อทัวร์ดูโลมามาราว ๑๕ ครั้งได้ มีครั้งนี้ครั้งเดียวที่ไม่เห็นโลมา ซัสสส มันต้องเป็นเพราะกูแน่ๆ ฝ่ายภรรยาชื่อนิคกี้ ทันทีที่ปล่อยเธอเข้าฝูง เราก็เม้าท์กันไม่หยุด นิคกี้คุยเก่ง พูดชัด แล้วก็เป็นมนุษย์แบบเดินทางท่องโลก แต่ยังไม่เคยมาไทย แกถามว่าไทยช่วงไหนเที่ยวดี เราก็บอกว่าวินเทอร์สิ นิคกี้ว่าหนาวแค่ไหนวินเทอร์ยู
เราบอก ต่ำกว่า ๒๐ องศาซีเราก็ขุดผ้าพันคอ สเวตเตอร์มาใส่กันแล้ว ฝรั่งตกใจปนฮา บอกว่าแถวบ้าน ๑๕ องศานี่กูยังเสื้อยืดตัวเดียวอยู่เลย

ท่าเรือที่เราใช้บริการหรูหราได้มาตรฐานสะอาดสะอ้านขาวโพลนไปหมด หรืออาจจะเป็นเพราะตาสู้แสงไม่ไหวก็เป็นได้ เรือที่พาเราชมโล.. โน.. ชมทะเล ดูก็รู้ว่าเป็นเรือราคาถูกสุดในพอร์ตนั้น แต่ก็สภาพดีฟังก์ชั่นดีมาก เขารับลูกค้าแค่พอนั่งสบายๆ ไม่ได้ให้ยัดทะนานลงไปจนต้องชมบรรยากาศไปสวดมนต์ไป เหมือนเรือท่องเที่ยวบ้านเราที่กูเกลียดความยัดนี้มากจนเสียเงินเหมาแม่งเลยมาหลายทีละ
ฝรั่งทั้งสามบอกว่า สงสัยไม่เห็นปลาเพราะเรามาสายไปหน่อย มันอิ่ม มันไปกันหมดละ
ที่ว่าอิ่มนี่ก็คือมันหาอาหารเช้าตามธรรมชาติของมัน ทัวร์เขาไม่ได้ให้อาหารล่อปลาแต่อย่างใด

เรือแล่นให้เราชมบรรยากาศอ่าวโอมาน พร้อมภูมิประเทศชายฝั่งที่เป็นภูเขาหินสีน้ำตาลเข้ม บริเวณที่เป็นชายหาดยาวๆ มีโรงแรมหรูมายึดครอง ทะเลเรียบมาก มีคลื่นเล็กๆ พอให้ประกายแดดสะท้อนน้ำระยิบระยับ เหมือนใครทำผงกากเพชรร่วงไปในทะเล นกทะเลหลายตัวบินโฉบตัดหน้าเรือบ้าง บินขนานไปกับเรือบ้าง คงเป็นบริการปลอบใจสำหรับคนไม่ได้ดูโลมา ช่วงแรกๆ ที่ยังมีความหวัง คนขับขับเรือแบบตามหาสัญญาณใดๆ ที่จะทำให้แกรู้ว่ามีโลมา (เช่นมีนกบินวนข้างบนหลายตัว รอกินปลาที่กระโดดหนีโลมา – อันนี้ดูมาจากสารคดี BBC) แต่ตอนหลังพอตัดใจแล้วว่าไม่เจอแน่ แกก็ขับพาไปชมวิวเกาะแก่งกลางอ่าว ที่รูปลักษณ์สีสันสวยประหลาด ผ่อนเครื่องเรือแล้วบอกให้ลูกทัวร์มาล้วงเอาน้ำเย็นๆ ที่แช่ในถังไปกินกัน มีน้ำหวานน้ำอัดลมให้เลือกมากมาย


ปิดท้ายก่อนกลับเข้าท่าเรือด้วยการขับมุดรูหน้าผา ซึ่งแหม่มันเหมือนจะเป็นแบบอันซีนโอมานนะ แต่ฟังไม่ได้ยิน ค้นหาชื่อก็ไม่เจอ เอาพิกัดไปคุ้ยกูเกิ้ลดูละกันนะฮะ 23.555138, 58.659148

กลับสู่ท่าเรือ นักท่องเที่ยวกระปลกกระเปลี้ยเฉาแดด เดินตามก้นกันเป็นแถวๆ ตอนนั้นเป็นเวลาที่ท้องร้องหาอาหารเที่ยงมาพักนึงแล้วสำหรับผู้อาศัยในโอมาน แต่สำหรับชาวไทยสามคน มันคือเวลาที่กระเพาะเคยคุ้นว่า กูกำลังจะได้รับอาหารเย็น โซนเวลาของโอมาน และกลุ่มตะวันออกกลาง เป็นโซนเวลาที่เหนื่อยสำหรับเราน่าดู การที่มันช้ากว่าเรา ๓ ชม. ทำให้รู้สึกว่า เฮ้ย ก็ต่างไม่มาก ใช้ชีวิตมันไปตะ แต่ความจริงมัน ..

[เขียนมาถึงจุดนี้ หยุดไปพักหนึ่ง เพราะหาคำมาอธิบายไม่ได้ หาได้คำหนึ่งก็ดันเป็นภาษาโคราช ถ้าเขียนไปจะเข้าใจกันไหม]

แต่ความจริงมันกะเทิน มันก้ำกึ่ง ครึ่งๆ กลางๆ ตื่นเจ็ดโมงโอ้เอ้จนแปดโมง ก็กลายเป็นแค่ตีห้า อาหารไม่มี แต่กูหิวหน้ามืดแล้ว เป็นทริปที่เหนื่อยตลอดเวลากับเรื่องความต่างของเวลา เหนื่อยแบบไม่หายซักที ตั้งแต่วันแรกยันวันกลับ กินข้าวเที่ยงเลท เลทไปเที่ยงครึ่งเอง แต่กระเพาะมันร้องว่า นี่มันจะห้าโมงเย็นแล้วโว้ย

เหลื่อม ๓ ชม. เป็นอะไรที่ลักลั่น ประหลาดจริง ตั้งแต่เดินทางมา
แต่ยังไม่เคยเจอเหลื่อม ๔-๕ ชม. มันจะรู้สึกยังไงกันนะ

ตอนนั้นเหล่าฝรั่งชวนกินข้าวมันซะที่ท่าเรือ ร้านหรูเชียว พวกเราโอเคไม่มีปัญหา เปิดเมนูละก็ถอนหายใจปื้ดนึง (อิ่มละ ๕๐๐ บาท+ นี่ยังไม่ถึงขั้นจัดเต็ม แต่ก็ไม่ถูกง่ะ) อาหารดูดีและอร่อยสมราคาเลยแหละ ขนมปังเรียกน้ำย่อย อบมาร้อนๆ ชิ้นเล็กๆ มีหลายแบบให้เลือกกิน ใส่ไว้ในตะกร้าเดียว ทุกคนเวียนส่งเวียนรับตะกร้าขนมปังนั่นกันจนปากมัน

มื้อนั้นผ่านไปอย่างเรียบร้อย อิ่มและอร่อยดี แต่หลังจากนั้นพอแยกกันแล้ว นิคกี้ส่งข่าวมาว่า สามีเธอเกิดอาหารภูมิแพ้อย่างหนัก ถึงกับต้องเข้าโรงพยาบาล เดาว่าน่าจะแพ้ทูน่าที่แกสั่ง

ยิ่งตอกย้ำเรื่องทูน่าสเปรดอาหารกันตายของเราเข้าไปกันใหญ่

ระหว่างกินข้าวสองผัวเมียเงาะมาร์ค กับเพื่อนฝรั่งเจ้าถิ่น ออกความเห็นถึงแพลนในวันนี้ของพวกเรา แต่ดูเหมือนกับว่ากิจกรรมย่อยต่างๆ ก็ไม่ค่อยเหมาะไปซะหมด เช่นตลาดมัทราตอนนี้ร้อนมาก ถ้ากลับบ้านก่อนแล้วมาตอนเย็นก็จะอ้อมไปอ้อมมา หลายๆ ที่ก็ปิดเพราะเป็นวันหยุด อีกอย่างเจ้าบ้านอยากให้ฝั่งเราผู้มาเยือนได้พักปรับเวลาอีกนิด ซึ่งส่วนตัวเราเสียดายอยากเที่ยวเยอะๆ แต่หนิงกับมุ้ยเห็นว่าได้พักซักหน่อยก็จะดีเหมือนกัน และนี่คือสิ่งที่ได้เรียนรู้ ว่าต้องฟังเสียงข้างมาก กลับบ้านนอนก็กลับบ้านนอน ไม่ว่ากัน

บ่ายสองเวลาโอมาน เรามุ่งหน้ากลับบ้านเพื่อนเพื่อพักผ่อนยามบ่าย รถเราแล่นปราดผ่ากลางเมืองมัสกัต ท่ามกลางอากาศร้อนระดับแผดเผา เหมือนกรรมที่เคยกินหมูกะทะมาเยอะมันตามมาเอาคืน เมืองหลวงสะอาดเรียบร้อย ดูเงียบเชียบแทบจะไร้ชีวิตชีวา ก่อนเดินทางไปโอมานเราคิดว่าบ๊ายบายต้นไม้เหอะห้าวันนี้คงมีแต่สีน้ำตาลครบทุกเฉด แต่มัสกัตมีต้นไม้ข้างทางเป็นทิวแถว พร้อมสวนสาธารณะที่ปกคลุมด้วยหญ้าเขียวที่ตัดแต่งซะเรียบกริบท่ามกลางเปลวแดด เงาะบอกว่าเงินถึงป่าก็มา จะแล้งแค่ไหนก็เขียวได้ แต่ถึงอย่างนั้น เขียวต้นไม้ที่สรรสร้างโดยมนุษย์ก็ยังเป็นเขียวอ่อนบาง หรี่ตามองแล้วเหมือนติดสีน้ำตาลนิดๆ ทำให้นึกขึ้นมาได้ว่า ป่าไม้บ้านเราส่วนมากใบเป็นสีเขียวเข้มลึก เขียวแบบที่เรารู้ว่ามันสะสมซึมซับน้ำไว้ทุกอณู ก็สวยกันไปคนละแบบ

บ้านเพื่อนอยู่ละแวกชานเมือง แต่ด้วยความที่เมืองไม่ใหญ่ ชานเมืองก็เลยเหมือนออกจากเมืองมานิดหน่อยเหมือนลาดพร้าวรัชโยไรงี้ บ้านเช่าหลังใหญ่เป็นสไตล์โอมานี่แท้ๆ ล้อมกำแพงทึบสูง ประตูรั้วไฟฟ้าเป็นแผ่นเหล็กไม่มีลายฉลุ พอเข้าบ้านปิดประตูแล้วก็เป็นโลกส่วนตัว บ้านเพื่อนเลี้ยงหมาตัวใหญ่หน้าตาซื่อๆ อ่อนโยนสองตัว ขนยาวของพวกมันยุ่งเหยิงและเหนียวพิกล เงาะบอกว่าแทบไม่อาบน้ำหมาเลยแหละ เพราะน้ำเป็นของพึงสงวนของที่นี่ แต่เจ้าสองหมา หลุยส์ กับบ๊อบก็ไม่ได้สกปรกอะไรมาก เพราะเป็นหมาเลี้ยงในรั้วบ้าน พื้นที่นอนก็ปูคอนกรีต มันมีโซนของมันเองที่กว้างสบาย กั้นด้วยประตูเหล็กดัด ทำให้มันหมดโอกาสที่จะกระโจนเข้าใส่เจ้านายและแขกเหรื่อ

เราเดาว่าบ้านชาวโอมานแท้ถูกสร้างตามหลักศาสนา นั่นก็คือผู้ชายมีเมียได้แม็กซิมั่ม ๔ คน ตราบเท่าที่เลี้ยงดูเหล่าภรรยาอย่างเท่าเทียมกัน เราซักถามเรื่องนี้เพิ่มจากเพื่อนภายหลังเดี๋ยวค่อยเล่าให้ฟัง แต่ตอนนี้สำหรับเรื่องความเท่าเทียมนั้น เราสังเกตว่ามันน่าจะสะท้อนถึงการวางผังในบ้านที่น่าสนใจ ด้วยภายนอกบ้านที่เป็นสี่เหลี่ยมจัตุรัส แต่ภายในตัดมุม ทำให้เมื่ออยู่ข้างในรู้สึกเหมือนอยู่ในรูปทรงแปดเหลี่ยม ที่ทำให้ความเป็นไปได้ในการจัดผังห้องมีมากมายนับไม่ถ้วน เมื่อเปิดประตูหน้าเข้าไป ห้องนั่งเล่นใหญ่ในบ้านกว้างมาก มีทีวีและชุดโซฟา กับโต๊ะกินข้าวขนาดใหญ่อีก ๑ ชุด เฟอร์นิเจอร์ตกแต่งต่างๆ ดูมีเอกลักษณ์มากๆ ในบ้านมีกลิ่นหอมอ่อนๆ อวลอยู่ รู้ทีหลังว่าที่นี่เขาชอบจุดเทียนหอมกันรวมถึงคุณเพื่อนเราด้วย โดยวิธีคือจุดให้กลิ่นออก แล้วดับไฟ ปล่อยให้ควันเทียนค่อยๆ ลอยเอื่อยๆ อยู่ทั่วห้อง ก่อนกลับก็ซื้อมาด้วยกระปุกหนึ่ง ทุกวันนี้ยังจุดอยู่เลย

มาร์คที่ตอนอยู่นอกบ้านดูเฟี้ยวมากๆ พอตูดแปะโซฟาก็กลายร่างเป็นลุงทันที เพื่อนจัดไฟในบ้านค่อนข้างมืด รู้สึกเหมาะแก่การนอนตลอดเวลา (หรืออาจจะเป็นเพราะเราปรับสายตาจากแดดจ้าทันทียังไม่ได้) เราชอบผังบ้านแบบครอบครัวใหญ่แบบนี้จริงๆ ยกเว้นแต่ว่าถ้าการครองคู่มันจะต้องมีเกินว่าชายหนึ่งหญิงหนึ่ง ก็ขอเป็นจำนวนผู้ชายนะที่เพิ่ม หุหุ

จากห้องนั่งเล่นใหญ่ สิ่งที่โดดเด่นมีเอกลักษณ์คือซุ้มประตูโค้งสู่ห้องนั่งเล่นเล็กอีกห้อง เงาะมีทีวีตรงนี้อีกเครื่อง เอาไว้เวลาดูละครไทยตบจูบคนเดียว ถัดไปเป็นห้องนอนแขกพร้อมห้องน้ำในตัวที่ยกให้มุ้ยกับหนิง จากนั้นเป็นทางเดินกลางบ้าน มุ่งตรงไปยังประตูเปิดออกสู่ภายนอก ห้องที่ประจันหน้ากันกับห้องแขก ๑ ก็จะเป็นห้องที่เรานอน เป็นห้องแขก ๒ มีห้องน้ำพร้อม แต่มาร์คใช้ห้องนี้เป็นห้องออกกำลังกาย มีสารพัดเครื่อง ทั้งลู่วิ่ง ทั้งอีที่ดึงๆ อีที่นอนแล้วซิตอัพ อีอันที่คล้องพุงแล้วมันสั่นๆ อีที่ขึ้นไปเดินลอยๆ (จะรู้ชื่อซักอันไหมเนี่ย) ฯลฯ และห้องนี้ก็มีเตียงหนานุ่มหนึ่งเตียง ที่จะเป็นที่พำนักของเรา อีกด้านของห้องนั่งเล่นใหญ่ก็จะเป็นห้องนอนของเงาะมาร์ค ตรงกลางผนัง ด้านหนึ่งของห้องนั่งเล่นใหญ่จะเป็นบันไดทอดขึ้นดาดฟ้า ซึ่งถ้าใครซักคนเดินลงมาด้วยหางกระโปรงยาวๆ ก็จะดูเหมือนบันไดเปิดตัวเจ้าหญิงยังไงยังงั้น

กลับมาที่ประตูหลังที่เปิดสู่ภายนอก ถ้าเปิดออกไปก็จะมีช่วงเอาท์ดอร์คั่น เป็นจุดที่แมวสองตัวนอนเหยียดยาว ขวามือมีเจ้าหมาสองตัวมาเกาะประตูรั้ว ส่ายตูดดุ๊กดิ๊ก ตรงไปข้างหน้ามีประตูเปิดเข้าโซนครัว ซึ่งเป็นอีกอาคารแยกโครงสร้างต่างหาก ครัวมีพรีครัวชั้นหนึ่งด้วย เป็นบริเวณที่เก็บอาหารหมา ตั้งตู้เย็นใหญ่ ตั้งถังขยะ เปิดประตูซ้ายมือเข้าไปอีก เป็นครัวจริง ครัวผัดฉู่ฉ่าที่โคซี่มาก ดูอบอุ่น เห็นแล้วหิวและรู้สึกว่าจะมีทุกอย่างที่เติมเต็มความหิวนี้ได้โดยพลัน

ทั้งหมดที่ว่ามานี้ ส่วนที่เป็นอินดอร์ ติดแอร์ทั้งหมด (ยกเว้นพรีครัว) หนิงถึงกับออกปากว่า ถ้าครัวติดแอร์เย็นฉ่ำขนาดนี้ ให้ทำครัวเยอะแค่ไหนก็ไหว แต่เรากับมุ้ยถึงกับซักไซ้เรื่องค่าน้ำค่าไฟกันใหญ่ คือมันดูเปลืองตังค์มาก สรุปได้ว่า การทำงานอยู่โอมาน โอเคเงินเดือนเยอะมากกว่าไทยเยอะ แต่ถ้าอยากได้วิถีชีวิตดีๆ คุณภาพชีวิตดีๆ หักค่าใช้จ่ายพวกนี้ไป ก็เหลือไม่มากนะ มันก็แพงมากอยู่

หลังจากทุกคนเริ่มเข้าสู่ภาวะจำศีลระยะสั้น เราเป็นคนไม่นอนบ่าย แถมยังตื่นเต้นกับผังบ้านที่ซับซ้อนก็จัดการข้าวของ และออกสำรวจบ้านเพื่อนและบรรยากาศโดยรอบ บนดาดฟ้าร้อนฉ่าแต่ลมยังดี เป็นทำเลดีสำหรับการสอดส่องรอบทิศทาง ซึ่งแทบไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ รถยังมานานๆ คัน

อีเด็กนี่เป็นสิ่งมีชีวิตเดียวเท่าที่มองเห็น (นอกจากเรา) ที่อยู่นอกชายคา วิ่งเล่นในทุ่งร้างๆ นั่นคนเดียว ฝุ่นฟุ้งไปหมดตามแต่ละก้าวที่ย่ำไป บางทีก็นึกเป็นห่วงว่า มันเล่นหรือมันวิ่งหนีอะไรอยู่รึเปล่าวะ

บ่ายนั้น ทั้งแขกทั้งเจ้าบ้านจำศีลกันอย่างเงียบเชียบ เราไม่นอนเลย ทำนู่นทำนี่ พอตกกลางคืนโคตรเพลียแทบสลบ แต่คนอื่นเขาหลับตุนกัน เขาก็แจ่มใสกันดี เย็นนั้นเงาะพาพวกเราไปห้างใกล้บ้านเพื่อสองวัตถุประสงค์ คือมื้อเย็นวันนั้น และอาหารสำหรับแค้มปิ้ง มาร์คไม่ได้ไปด้วย พอไปถึงห้างคาร์ฟูร์ แลกเงินเสร็จ ก็รู้สึกเป็นอิสระทางการเงินอย่างมาก เนื่องจากการจัดการด้านอาหารไม่ใช่สาขาที่เราถนัด แต่ถนัดจัดการให้มันหายไปมากกว่า เราจึงขอให้เพื่อนๆ แม่บ้านทั้งสองโปรดลีดหนทางของการผลิตอาหารได้ตามสบายเลย ตอนแรกมีความเข้าใจไม่ตรงกันเล็กน้อย เนื่องจากมัสกัตอยู่ติดชายทะเล ทำให้นักท่องเที่ยวมีอิมเมจในใจว่าอาหารทะเลจะต้องโดดเด่นเลยล่ะ ปรากฏว่า ไม่แฮะ เพื่อนอยากลองเอาปลาหมึกอ๊อคโทปุ๊ซไปปิ้งย่าง แต่มันดูแฉะมากจนน่าประหลาดใจเลยเอาไปนิดเดียวพอ และด้วยความที่ไม่มีเนื้อหมู ทำให้เกิดความขลุกขลักในด้านการคิดเมนูพอสมควร แต่สุดท้ายก็จัดการกันจนลงตัวด้วยการแบ่งซื้ออย่างละนิดอย่างละหน่อย ทั้งไก่ ทั้งแกะ เนื้อวัวและผองเพื่อน แล้วก็เอาผักผลไม้ไปตัดอารมณ์ อาหารต่างๆ ที่ซื้อไป ได้นำมากินอย่างเหมาะสม ไม่มากไม่น้อยเกิน ยกเว้นอีอ๊อคโทปุ๊ซนั่น แม่งกินไม่ได้เลยแม้แต่นิดเดียวปิ้งปุ๊บยุ่ยและย่อยสลายเกาะติดตะแกรงปิ้ง เหมือนซากตุ่มตอตะโก และในที่สุด ทุกคนก็เห็นตรงกันว่า มันเกือบจะเน่าแล้วจริงๆ ตอนเราซื้อมา

เราหนิงและมุ้ย ไปเดินหาซื้อกล่องข้าวกันคนละใบด้วย เพราะวันรุ่งขึ้นจะมีการห่อข้าวไปกินระหว่างทาง บ้านเงาะอาจจะไม่มีกล่องสำรองพอสำหรับทุกคน แต่พวกเราก็สนุกกับการได้ช้อปแผนกเครื่องครัวที่ต่างประเทศ โดยเฉพาะการซื้อภาชนะนี่ของโปรดเลย (บอกสิว่าคุณก็เป็น) ทุกวันนี้ก็ยังใช้ไปเวลาไปซื้อข้าวนอกบ้านกินอยู่เลย ของเค้าดีจริงๆ นะ

ทุ่มครึ่งเวลาโอมาน เราเดินทางกลับบ้านเงาะกันโดยไม่แวะที่ไหนอีก เพื่อนๆ ซื้ออาหารสำเร็จมาสองสามอย่าง แล้วเงาะก็จะทำเพิ่มอีกหน่อยสำหรับมื้อเย็น อยู่ๆ ฝนเม็ดบางๆ ก็ตก เป็นเม็ดฝนที่เล็กมาก ไม่เหมือนฝนปรอยบ้านเรา บอกไม่ถูกแต่มีความยูนีคจริงๆ เงาะบอกว่าปกติฝนตกปีละ ๕ วันเท่านั้นที่โอมาน เริ่มกังวลว่านี่กูเป็นมิวแต๊นท์ตัวดูดพายุจริงๆ เหรอวะ

ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง คงต้องขอยืม Quote ของสตรีผู้หนึ่งที่เคยกล่าวไว้ว่า Mutant and proud

ชมแบบภาพเคลื่อนไหวพร้อมเสียง commentary จ้ะ
https://web.facebook.com/PlaceInPeaceByAppopo/videos/3343318425685748/