โลกมีแรงโน้มถ่วง (Gravity) = 9.807 ม./วินาที²
ในขณะที่มวลจะคงเดิมเสมอ แต่น้ำหนักจะเปลี่ยนไปตามแรงโน้มถ่วง พูดให้เข้าใจง่ายขึ้น ถ้าเราอยู่บนดวงจันทร์ที่มีแรงโน้มถ่วงน้อยกว่าโลกประมาณ 6 เท่า เราอาจจะชั่งน้ำหนักแล้วรู้สึกว่า โอ๊ยยังกินได้อีกเยอะ และสบายใจดี ตราบเท่าที่ไม่เอาไปเปรียบเทียบกับคนอื่นที่ชั่งน้ำหนักบนดวงจันทร์เหมือนกันกับเรา
คนชอบดูหนังแอคชั่นอย่างเรา ดูฉากที่เล่นกับแรงโน้มถ่วงมาเป็นร้อยๆ ครั้งแล้ว (เฉพาะของทอม ครูซ คนเดียวปาไปซักร้อยได้แล้วมั้ง) เคยสงสัยว่ามันจะรู้สึกยังไงนะ เวลาที่ดิ่งลงมาจากเครื่องบินพร้อมร่มชูชีพ นี่ไม่ต้องเอ่ยถึงฉากประเภทร่มไม่กาง, กระโดดไปทั้งๆ ที่ยังไม่ได้สะพายร่มเข้ากับหลัง หรือต้องต่อสู้กลางอากาศใดๆ เคยสงสัยแต่ไม่เคยคิดจะคลายความสงสัย จนนังทูนมันเอ่ยปากชวน พินๆ ไป Sky Dive กันมั้ย
ล็อคดาวน์รอบ 3 เป็นรอบที่เราทำดีให้กับตัวเองมากที่สุด ด้วยการลดน้ำหนักลงมาเยอะเลย ช่วงที่ได้ยินคำว่า Sky Dive หลุดจากปากเพื่อนแถมยังอยู่ในประโยคเดียวกันกับคำว่า ไปกันมั้ย ตอนนั้นน้ำหนักเราต่ำกว่า 90 เล็กน้อย เราบอกมันไปว่า ไว้ชั้นหนัก 75 ก่อนค่อยไป
แปดเดือนต่อมา ตอนเราหนัก 75 เรากับทูนไปเล่น Zipline หน้านิ่งกันที่ภูเก็ต ที่หน้านิ่งเพราะ Zipline มันยังไม่เสียวพอสำหรับคนบ้าบออย่างพวกเรา (โดยเฉพาะนังทูน หน้านิ่งเกิ๊น สงสารสต๊าฟ เสียเซลฟ์หมด) นังทูนทวงสัญญาอีกครั้ง พินๆ ไป Sky Dive กันได้รึยัง เราบอกว่า น่าจะยังอ้วนเกินอยู่ ขอลดอีกซักหน่อย จริงๆ กิจกรรมนี้รับผู้โดยสารได้หนักสุดที่ 120 กก. แต่ถ้าน้ำหนักเยอะแบบมวลกล้ามเนื้อเยอะ เวลาโดนฮาร์เนสรัดมันก็คงจะพอโอเคอยู่ ต่างจากการที่น้ำหนักเยอะแบบไขมันล้วน สายรัดใดๆ ล้วนทำให้ท่านกลายร่างเป็นแหนมได้อย่างง่ายดาย เราต่อรองทูนด้วยเรื่องน้ำหนัก แต่ในใจคือ กูก็กลัวอยู่นะเฮ้ย นี่เอ็งจะเอาจริงรึ ใจนึงหวังว่ามันจะล้อเล่นแหละ
สองสามเดือนหลังจากนั้น ด้วยวินัยอันเคร่งครัด ไอ้ต้าวก้อนไขมันน้อยๆ ได้จากเราไปอีกราวๆ 10 กก. คราวนี้ไม่มีข้ออ้างแล้ว เมื่อทูนทวงสัญญาอีกรอบรัวๆ จิกกูเป็นไก่ได้หนอนเลยทีเดียวแม่คนนี้ อย่ากระนั้นเลย มีเสียงเล็กๆ จากอีกฟากฝั่ง คือนังปูสหายแบ็คแพ็คที่ต่างคนต่างอยู่มาตลอดฤดูกาลโควิด ถ้าพี่ไป Sky Dive เรียกด้วยนะพี่ อยากโดน
คนอยากโดนสามคนก็รวมตัวกัน เลือกผู้ให้บริการที่ดูน่าไว้วางใจเพื่อแขวนชีวิตไว้บนสายรัดเส้นน้อยๆ ได้หนึ่งเจ้า เขาเพิ่งย้ายกิจการจากระยองไปอยู่ปากช่อง เราเสียดายวิวทะเลอยู่เหมือนกัน เพราะเที่ยวเขาบ่อยแล้ว คิดว่าถ้าได้โดดร่มเห็นวิวทะเลครึ่งหาดและเมืองอีกครึ่งน่าจะสวยงามตาดี แต่ไม่เป็นไรปากช่องก็สวยเหมือนกันแหละ คนอยากโดนโทร.ปรึกษา PR ที่คุยดี ให้ข้อมูลดี และตรงไปตรงมา จากนั้นเลือกซื้อ Voucher กิจกรรมที่เรียกว่า Tandem ทางช้อปปี้ มีส่วนลดอีก 1,500 บาท แต่ต้องหลังไมค์ไปขอโค้ดจากแอดมิน (ไม่รู้โปรนี้มีตลอดรึเปล่านะ) ค่าบริการรุนแรงอยู่ แต่เฮ้ย มันไม่ใช่ขอซ้อนมอไซไปปากซอย ต้องเข้าใจต้นทุนมหาศาลของเขาด้วย
Tandem คำนี้แปลตรงๆ ว่า การทำกิจกรรมใดๆ แบบสองคนต่อแถวกัน คนนึงอยู่หน้าคนนึงอยู่หลัง เช่นปั่นจักรยานแบบคู่อะไรแบบนี้ สำหรับการโดดร่ม (และกิจกรรม Extreme อีกหลายอย่าง) จะมีให้บริการสำหรับผู้ที่อยากเสียวแต่ไม่อยากเรียนเองทั้งหมด ให้กลายร่างเป็นหมากระเป๋าตัวน้อย ห้อยไปกับหน้าอกของผู้ชำนาญการ มีหน้าที่เห่า เอ้ย ชมวิวและสนุกอย่างเดียว ไม่ต้องทำอะไรอื่นอีก เอาวะ หมาเป๋าก็หมาเป๋า แค่นี้ก็ยังไม่แน่ใจว่าจะสลบ หรือหัวใจวายรึเปล่า แต่รับปากเพื่อนแล้วต้องเดินหน้าอย่างเดียว
ต้นเดือนกุมภา อากาศปกติ (ถ้าคำนี้ยังจะใช้ได้อยู่ในโลกยุคปัจจุบัน) ควรจะสดใสผ่องแผ้วทีเดียวล่ะ แต่พายุลูกน้อยๆ ดันพัดผ่านปากช่อง เราสามคนไม่พรือ ยังไงก็จะไปตามแผน ได้โดดก็โดด ไม่ได้โดดก็ค่อยว่ากัน นอกจากจะไปโดด Tandem แล้ว ยังชวนเพื่อนภาคพื้นดินไปแฮงเอาท์ด้วยอีก เพราะคิดว่าถ้าโดดเสร็จเร็ว หลังจากนั้นก็ว่างตายชัก มีคุณอุ้ยแก๊งโสด กับบ้านแบนแก๊งครอบครัวลูกสองที่ไปแจมหลังจากไม่ได้เที่ยวด้วยกันมานานมากจนหลานลืมหน้าป้าแล้ว
บ้านแบนนำไปก่อนแล้วหนึ่งคืน แก๊งโสดออกจากกรุงเทพฯ เช้าตรู่วันเสาร์ บรรจุไปด้วยว่าที่หมากระเป๋า 3 กับผู้ให้กำลังใจอีก 1 คือคุณอุ้ย ฟ้าเป็นสีขาวโพลนตลอดทางตั้งแต่กรุงเทพยันปากช่อง ยิ่งขับไปใกล้จุดหมายยิ่งดูฉ่ำ เราซึ่งเป็นพลขับรู้สึกว่า ยังไงเช้านี้ก็ไม่ได้โดดแน่ๆ แต่ตั้งใจทำเวลาตามหน้าที่ สิ่งที่ไม่ได้ทำคือ ทำใจว่าจะต้องโดด เมื่อถึงสถานที่ เห็นรถจอดอยู่ข้างหน้าหลายคัน เริ่มใจไม่ดีละ หรือว่าจะโดดได้วะ
นังทูนใส่หน้ากากแล้วพุ่งลงรถไปเจรจา แป๊บเดียวก็เดินกลับมาพร้อม ATK test 4 ชุด ให้พวกเราจิ้มหมูกกันในรถ แล้วถ่ายรูปผลไปให้เขาดู จมูกเรายังซิงเพราะไม่เคยอยู่ในพื้นที่เสี่ยงเลย เลยไม่เคยมีความจำเป็นต้องเทสต์มาก่อน แต่ดูแผนภาพการจิ้มมาเยอะแล้ว และทำตามเพื่อนบอกด้วย ก็คงจะจิ้มถูกวิธีล่ะมั้ง น้ำตาไหลเอ่อกลบลูกตาอยู่พักนึง พอจะเนียนๆ ไปกับความกลัวที่อยู่ๆ ก็จะต้องโดดในท้องฟ้าฉ่ำๆ สีขาวโพลนไปด้วยเลย
คุณอุ้ยจะไม่เข้าไปรอเราในห้องรับรอง เพราะไม่รู้ว่าจะนานกี่ชั่วโมง แต่ก่อนที่ชายจะขับรถไปตามลายแทงร้านกาแฟเด็ดที่เตรียมมาแล้ว ชายก็เรียกพวกเรายืนเรียงกันแล้วถ่ายรูป ขณะที่เราพยายามดัดรอยยิ้มเจื่อนๆ ให้กลายเป็นยิ้มหวานอยู่นั้น ตาก็มองไปที่เสื้อยืดสีชมพูสดใสของตากล้อง มีตัวหนังสือฟอนต์น่ารักสีจางๆ เขียนพาดกลางหน้าอกว่า
“We’re all gonna die.”
ชั้นกรี๊ดดดด อีอุ้ยยย แกจงใจเลือกเสื้อตัวนี้มาใช่มั้ยยย ฮะะะะ!!!
เสียงล้อรถบดกับพื้นกรวดค่อยๆ ตีวงจางหายไปเมื่อประตูปิดลง เจ้าหน้าที่สาวไทยบอกให้เราชั่งน้ำหนัก เซ็นเอกสาร ซึ่งเราแทบไม่ได้อ่านเพราะมันคือ Disclaimer – Consent ที่บอกว่าพวกมึงตัดสินใจมาเล่นอีนี่เองและรู้ว่ามันมีความเสี่ยงนะ กูไม่รับผิดชอบนะ คือถ้าซีเรียสกับการเซ็นใบพวกนี้ ไม่ต้องซื้อ Voucher มาเล่นตั้งแต่แรกเลย เพราะของมันต้องเซ็นอยู่แล้ว เราหันไปยักคิ้วหลิ่วตากับสองคู่หูที่มันสองคนเพิ่งเคยเจอกัน แต่มันต่างเจอเรามายาวนานแล้ว เฮ้ย เราเซ็นอีใบพวกนี้มาเยอะแค่ไหนแล้ววะ
นั่นสินะ.. กำปากกาแล้วเซ็นมันไปอีกใบ หวังว่าจะไม่มีใครต้องเอามาใช้นะ
นี่น่าจะเป็นกิจกรรมเกี่ยวเนื่องกับอากาศยานอย่างแรกที่เราเคยเล่น ไม่นับการขึ้นเครื่องบินตามปกติ เขามีหน้าจอแสดงเวลา Boarding ด้วย จะมีชื่อของหมากระเป๋า กับคนหิ้ว (Instructor) และตากล้องของตนเองถ้าคุณซื้อ Gold Package แสดงอยู่เป็นเซ็ต หลังขั้นตอนทางด้านเอกสารกับเจ้าหน้าที่สาวไทย เราวนเวียนเข้าห้องน้ำฉี่ไปคนละสองรอบได้ ทูนใส่คอนแทคต์เลนส์อย่างขลุกขลักเพราะปกติใส่แต่แว่น เราถักเปียสองข้างชะลอวัยแบบไม่เกรงใจหนังหน้า ปูมัดผมหางม้าจุกเดียว นั่งๆ เดินๆ ดูวีดีโอและมองดูเวลา Boarding บนจอค่อยๆ ขยับ มีชายต่างชาติตัวสูงโย่งชื่อทริสเทนเข้ามาทักทายเราด้วยภาษาอังกฤษแบบไม่เนทีฟ (คุ้นๆ ว่าแกเป็นอิตาลีมั้ง) เราเข้าใจว่าแกน่าจะเป็นเหมือน Manager แหละ
และแล้วก็ถูกเรียกเข้าไปเก็บของใส่ล็อคเกอร์ ของรุงรังใดๆ เสื้อมีปกใดๆ ห้ามติดตัวไปต้องถอดเก็บให้หมดแม้แต่ MiFit จากนั้น Instructor กับตากล้องของแต่ละคนเข้ามาทักทาย และเริ่มใส่ฮาร์เนสให้เรา ตากล้องของเราชวนเราไปเก็บภาพที่ด้านหน้า เราเดินมือเย็นเฉียบไปมา พอมายืนรวมตัวกันก็บ่นว่า ตื่นเต้นมือเย็นโว้ย จับมือซิ พลางยื่นมือไปจับมือปู เอ้า แม่งเย็นกว่ากูอีก..
พวกเราได้ใส่ฮาร์เนสเดินแกว่งไปแกว่งมาอยู่พักนึงเพราะฟ้ามันฉ่ำจัด เขาบอกว่ารอให้มันดีขึ้นอีกนิดดีกว่า จากนั้นซักพักทริสเทนก็มาบอกเราตอนสิบเอ็ดโมงครึ่งว่า อากาศมันแย่ลงแฮะ ตอนนี้ขึ้นไม่ได้แล้วเพราะพายุกำลังมาอีกลูก พูดพลางชี้ไปทางด้านนึงของท้องฟ้า แกบอกให้พวกเราถอดฮาร์เนส ไปหาข้าวเที่ยงกินแล้วกลับมาอีกทีตอนเที่ยงครึ่งเพื่อเตรียมตัวบินบ่าย จงกินอาหาร อย่าอดอาหารนะ แต่อย่ากินของเหลวเยอะ และงดกาแฟกับน้ำอัดลมไปก่อน
คนที่เราเป็นห่วงคือคุณอุ้ย มันรอมาพักนึงแล้ว และไม่รู้ต้องรออีกนานแค่ไหน เลยตกลงกันว่า ให้คุณอุ้ยขับกลับมาหา เราจะพาปูกับทูนไปปล่อยร้านอาหาร เราซึ่งฟาสต์ 16/8 – 18/6 มาเป็นปีแล้ว สามารถเพิ่มเวลาฟาสต์ได้ตามใจชอบโดยแทบไม่มีผลอะไรเลย จะอาสาขับพาคุณอุ้ยไปรวมตัวกับบ้านแบนไว้ก่อน และเอารถกลับมาอยู่กับแก๊งหมากระเป๋า เพื่อที่ว่าจะได้นั่งรอฝนหยุดได้ไม่ต้องเป็นพะวงเพื่อน คุณอุ้ยขับรถกลับมาจากร้านกาแฟที่ได้คุณภาพพึงพอใจชื่อร้านระวิด (ซึ่งเราลืมชื่อนี้และต้องไลน์ไปถามอีกทีอยู่ดี) เราเปลี่ยนเป็นพลขับ พาปูทูนไปปล่อยไว้ร้านตามสั่ง แล้วบึ่งพาคุณอุ้ยไปปล่อยร้านกาแฟแห่งที่สองที่บ้านแบนกำลังมุ่งหน้ามา
ระหว่างทาง ฝนค่อยๆ ตก จากเม็ดบางๆ ก็ค่อยๆ หนาตาขึ้น เพื่อนให้กำลังใจกันดี๊ดีว่า ไม่น่าได้โดดหรอกวันเนี้ย
มันแน่อยู่แล้ว ถ้าชุ่มโชกซะขนาดนี้ ให้โดดตูก็ไม่โดดโว้ย
เราส่งคุณอุ้ยที่ร้านกาแฟแห่งที่สอง (ลืมชื่อแล้ว) จากนั้นบึ่งกลับมาบนถนนขรุขระเป็นหลุมเป็นบ่อ แต่บอกเลย เชี่ยวชาญมาก ถึงจะทะเบียนกรุงเทพ แต่ฝีตีนนี่แซงรถท้องถิ่นสบาย เพราะถนนบ้านเราก็ผิวพระจันทร์ประมาณนี้เหมือนกัน แวะรับปูทูนซึ่งกินข้าวเสร็จแล้ว กลับไปที่สนามบิน ท่ามกลางฝนโปรยปราย
เราลงจากรถ วิ่งฝ่าฝนเข้าไปข้างในอยู่ดีเพื่อฟังสรุปสถานการณ์ เจ้าหน้าที่สาวๆ อธิบายเราเป็นภาษาไทยก่อน แต่ทริสเทนยังเป็นห่วงและคงเห็นว่าพวกเราพูดอังกฤษกันได้ ก็เลยมาคุยด้วยอีกที แกอธิบายว่า การโดดร่มเป็นกิจกรรมที่ปลอดภัยมาก ถ้าทำตามกฎ และการโดดตอนอากาศเป็นแบบนี้ คือไม่ตามกฎแล้ว มันก็จะมีความเสี่ยง สรุปเรามีทางเลือกอยู่ 3 ทางตอนนั้น คือ บ่ายสามกลับมาดูใหม่อีกที หรือ พรุ่งนี้มาใหม่แต่เช้า หรือ re-schedule ยาวไปเลย เป็นสัปดาห์หน้า หรือนานกว่านั้น ซึ่ง Voucher เก็บได้ 6 เดือน
แก๊งเราเห็นว่า บ่ายสามก็คงไม่ได้มีอะไรดีขึ้น เลยบอกว่า มาใหม่พรุ่งนี้เช้าละกัน พวกเราผิดหวังนิดหน่อยที่ไม่ได้โดด แต่เฮ้ย ก็ดูอากาศดิ เราเคยพาทูนไปติดอยู่กลางพายุในทะเลปั่นป่วนบนเรือแมงมุมบอบบางที่น่านน้ำประเทศอื่น เราเคยติดเกาะอาดังกับเพื่อนกลุ่มใหญ่และกินอาหารจนหมดเกาะ วันสุดท้ายมีแต่ไข่เจียวข้าวเปล่า เคยพาปูไปหัวหกก้นขวิดมาสารพัดไล่เท่าไหร่ก็ไม่หมด หลายอย่างโทษอากาศไม่ได้ด้วยซ้ำ เราบอกทริสเทนว่า พวกเราเป็น professional ด้าน weather problem นะ ไม่เป็นไรเลย เราเข้าใจ
จากนั้นเราก็ไปร้านกาแฟ (คุณอุ้ยร้านกาแฟนั้นชื่อไรนะ) ..ระวิด นุ้งนิ้งอยู่ในนั้นนานเพราะพ่อค้าต่อนยอนจัด แต่เค้ากี๊กด้านกาแฟจริงๆ คุณอุ้ยสั่งให้ซื้อเมล็ดกาแฟให้หน่อย โดยให้ถามว่า “สู้นมมั้ย” เราไม่เคยเจอคำถามพรรค์นี้มาก่อน นี่ถ้ามึงแพรงค์กูให้ไปพูดทะลึ่งใส่คนอื่นนะเพื่อนนะ..
จากระวิด เราแวะบาร์ไอติมก่อนเข้าที่พักซึ่งเป็นบ้านหลังใหญ่ทั้งหลัง ลดราคารุนแรงสู้โควิด ปูกับทูนกินไอติม ส่วนเรากินสเต็กเป็นอาหารมื้อแรกของวัน จากนั้นเราเข้าบ้าน พบเพื่อนๆ และแฮงเอาท์อยู่ในนั้นโดยไม่ไปไหนตลอดจนเช้า อาหารสั่งแกร็บเอา ค่าส่งแกร็บปากช่องโคตรถูก รายการละ 13-15 บาทเท่านั้น ฝนตกปรอยๆ หยุดๆ ตลอดเย็น คิดถูกแล้วที่ไม่กลับไปลุ้นโดดรอบบ่ายสาม
กิจกรรมยามเย็นค่ำหลากหลายและครบถ้วนมาก เราเริ่มด้วยการผลัดกันเล่นกีตาร์ป๊องแป๊ง จากนั้นไปเล่นบาสกับปูหลังจากที่ปูเสียลูกเทนนิสให้เพื่อนข้างบ้านไปหนึ่งลูก ทูนนั่งคุยนอนคุยกับหลานๆ เรื่องการ์ตูนเป็นจริงเป็นจังจนเปรยๆ ว่าอยากเอาดาบไยบะมาจากบ้านเพื่อดวลกับหลาน ต่อด้วยแก๊งโสดเล่นเหมียวระเบิดภาคผู้ใหญ่ที่คุณอุ้ยหยิบมา หลังกินอาหารเล่นเกมที่หลานคิดหนึ่งเกม แล้วต่อด้วยเหมียวระเบิดภาคปกติที่เราหยิบมาแบบไม่ได้นัดกัน รอบนี้เด็กๆ มาเล่นด้วย พอเด็กๆ ไปนอน ก็ได้เวลาอาร์ตแคมป์ นั่งวาดรูปสีน้ำ พร้อมด้วยเสียงกีตาร์ขับกล่อม
รู้สึกว่าใช้วันหยุดได้มีคุณภาพดีจัง ขอบคุณเพื่อนๆ มา ณ ที่นี้ด้วย
เคยไหมเวลาที่นั่งรถที่ขับเร็วๆ ขึ้นแล้วลงสะพาน ถ้าสะพานนั้นสูงสักหน่อย เสาเข็มสะพานตับสุดท้ายฝังลงลึกในดิน มาต่อกับเสาเข็มถนนตับแรกที่ใช้เสาสั้น คอสะพานจะหักเล็กน้อย ถ้าถนนข้างหน้ารถไม่ติด จังหวะลงสะพานเร็วๆ จะรู้สึกวาบในท้องอยู่เสี้ยววินาที เหมือนกับความรู้สึกเวลานั่งรถไฟเหาะ, ยืนริมหน้าผาสูงๆ แล้วมีลมพัดมาซักวูบ หรือความรู้สึกเหมือนผีเสื้อกระพือปีกเวลามีใครที่เฉพาะเจาะจงคนหนึ่งเดินเข้ามาในเฟรม (หรือแค่มีคนเอ่ยถึง ถ้าอยู่ในระยะที่อาการหนักๆ น่ะนะ) เช้านั้นแก๊งเสียวสามสาวตื่นแต่เช้า อาบน้ำแต่งตัว ใส่เสื้อทีมที่ได้รับแจกมาเมื่อวาน แล้วขับรถออกไปกันเงียบๆ ด้วยกระเป๋าข้าวของของเราทั้งหมด ทิ้งให้เพื่อนๆ ตื่นสายตามสบาย เช็คเอาท์แล้วตามมาทีหลังได้เลย
เช้านั้นอากาศเย็นชื้น แต่ฝนขาดเม็ดไปแล้ว เราเชื่อมั่นว่าถ้ามันจะตกมันก็คงจะตกอีกแหละ เพราะงั้นรีบไปให้เช้าที่สุด รีบโดดให้มันเสร็จๆ ก่อนแปดโมงตรงเล็กน้อย เราสามคนก็ไปนั่งหน้าแป้นอยู่ที่ออฟฟิศ คราวนี้ไม่ต้องจิ้มหมูกและทำเอกสารใดๆ แล้ว รอโดดอย่างเดียว
ทริสเทนเข้ามาทักทายเราและขอบคุณพวกเราที่รับมือกับปัญหานี้ได้อย่างคูลๆ แกบอกงี้ แกเลยจะขึ้นไปโดดด้วยแล้วถ่ายรูปแถมให้อีก 1 กล้องฟรี เป็นการขอบคุณ แต่เนื่องจากเรากับปูเลือก Golden package อยู่แล้ว ทริสเทนก็เลยจะตามทูน (สรุปนังทูนได้วีดีโอแบบไม่ตัดต่อ ดูกันยาวๆ สุดเจ๋งเลย) ความตื่นเต้นของเช้าวันที่สองไม่เหมือนวันแรก มันน้อยลงอย่างเห็นได้ชัด คือตื่นเต้นกับการโดดยังไม่มากเท่าตื่นเต้นกับการจะไม่ได้โดดเลยแม่เอ๊ย ตานี่จ้องก้อนฝนไว้เรื่อยๆ อย่ามานะเค้าขอร้อง
ในที่สุดชื่อเราก็ขึ้นจอ เราได้ขึ้นเป็นชุดแรกของเช้านั้น Instructor และตากล้องทุกคนเป็นฝรั่งที่ไม่ Native English ยังคงคุ้นๆ ว่าเป็นอิตาลี ไพล็อตเป็นหนุ่มไทย และผู้ช่วยไพล็อตเป็นสาวไทยหน้าหมวยๆ ตัวเล็กนิดนึง การบรีฟก่อนออกบินช่างเรียบง่ายสั้นกระชับ พูดง่ายๆ ว่าเหล่าหมากระเป๋าไม่ต้องใช้สมองทำอะไรซักเท่าไหร่เลยล่ะ มีแค่สามขั้นตอนเท่านั้น
- ที่หน้าประตูเครื่องบินก่อนโดด หงายศรีษะพิงไปที่หัวไหล่ข้างขวาของ Instructor (ที่เหลือช่างแม่ง จำไว้แค่หงายหัวพอ) เก็บมือจับฮาร์เนสที่หน้าอกตนเองไว้
- พอโดดแล้ว รอสัญญาณ Instructor ตบบ่า ปุ ปุ ปุ ให้กางมือออก พยายามเหยียดขา แอ่นตัวเป็นรูปกล้วย ถ้าขาชี้ไปชี้มาไม่ต้องกลัว เดี๋ยว Instructor จับรวบเอง
- ตอนจะแลนดิ้ง พอ Instructor ให้สัญญาณ ให้ทำตัวตั้งฉาก พับขาขึ้น เหมือนจะให้ก้นลง แต่ละลงท่าไหนแล้วแต่ Instructor นะ แค่พับขาพอ ไม่ต้องคิดไรมาก
เราขึ้นรถกอล์ฟสองคันที่จอดรออยู่พร้อมกับลูกเรือทุกคน อากาศว่าเย็นแล้ว แต่ใจเย็นยิ่งกว่าอากาศ เรานั่งไขว่ห้างแบบขายาวๆ อยู่ที่นั่งกลับด้านหันหลังท้ายรถคันแรก ทอดสายตามองเพื่อนๆ พร้อมคิดทบทวนชีวิตที่ผ่านมา ทริสเทนบอก ท่านั่งยูเอลเลแก๊นมาก ไพล็อตของเรายังเป็นไดร์เวอร์รถกอล์ฟด้วย แกคุยกันโฉงเฉงเรื่องดินมันแฉะ แต่จะอัดรถกอล์ฟขึ้นเนินตรงๆ ไปหาเครื่องบินจะได้ไม่ต้องเดินเยอะ ดูจะตื่นเต้นใส่ใจกับการขับรถกอล์ฟขึ้นเนินมากกว่าสนใจเครื่องบินน้อยๆ ปีกสีส้มสดใสที่เด่นตัดกับท้องฟ้าอยู่ตรงนั้นซะอีก เราสามคนไม่ค่อยคุยกันเยอะแล้วจุดนั้น ต่างคนต่างคงอยู่กับความคิดของตัวเอง เช่น มันจะเป็นไงน้า.. เราจะอ้วกมั้ย หรือแม้กระทั่งว่า เราอาจจะต้องถึงเวลาเลิกคบอีเพื่อนคนที่ชวนมาเล่นนี่ได้แล้วมั้ง
รถกอล์ฟไต่ขึ้นเนินได้ด้วยดี อาจเพราะเราแขม่วพุงช่วยเล็กน้อย เนื่องจากเป็นไฟลท์แรกของวัน คณะโดดร่มจึงต้องยืนรอให้ไพล็อตเข้าไปทำอะไรกุ๊กๆ กิ๊กๆ ก่อนพักนึง ทริสเทนแอบเม้าท์ว่า พวกเราไม่มีสิทธิ์ถามหรือคอมเมนต์อะไรไพล็อต เขาบอกให้รอก็ต้องรอนะ ไม่นานนักพวกเราก็โดนกวาดต้อนให้เดินขึ้นตามลำดับเป็นคู่ๆ หมากระเป๋ากับแพรีสฮิลตั้นของหล่อน คู่ปูกับทูนเข้าไปก่อน เราปิดท้ายนั่งใกล้ประตูปั๊ดติกๆ นั่น เราหันไปถามตามิคกี้ Instructor ของเราที่นั่งด้านหลังเราว่า We’re first, right? ฮีผู้พูดน้อย ยิ้มๆ แล้วพยักหน้า เยส
ฉันอยากตะโกนออกมาตรงนั้นว่า เชี่ยยยย
เครื่องบินลำน้อย แม้จะให้เล่ากี่ครั้งเราก็ยังจะเรียกมันว่า เครื่องบินกระป๋อง ก็แม่งกระป๋องมากจริ๊ง.. เป็นเครื่องบินที่ใช้โดดร่มเท่านั้น และถ้าไม่ได้มีร่มชูชีพที่ไว้วางใจติดหลัง ก็คงไม่เหมาะจะโดยสารเจ้าส้มน้อยลำนี้ไปไหน เพราะประตูน้องเป็นพลาสติกบางๆ แถมมีป้าย ห้ามล็อค! ด้วยจ้า ที่นั่งเป็นม้านั่งยาวสองแถวขนานไปกับตัวลำเครื่องบิน วิธีนั่งคือคร่อมเหมือนขี่ม้า นั่งเป็นคู่ๆ Instructor อยู่หลัง และหมากระเป๋าอยู่ข้างหน้า พอเครื่องค่อยๆ ลอยขึ้นจากรันเวย์ เราก็หันไปถามมิคกี้ อีกคำถามว่า Are we attached? นี่มึงกะกูคลิปติดกันรึยัง ทำไมมันยังรู้สึกโหวงๆ วะ ตาแกตอบว่า ยัง You are attached to the plane. พลางเอื้อมมือไปจับฮาร์เนสของเราที่ล็อคกับราวจับบนเครื่องบินให้ดู
ตาคาร์ล ตากล้องของเราที่นั่งริมประตูสุด เอาตีนค้ำประตูไว้แล้วสอดกล้องออกไปถ่ายรูปข้างนอกเก็บบรรยากาศ ส้มน้อยทะยานขึ้นสู่ความสูง 5000 ม. เหนือระดับน้ำทะเลด้วยเวลาโดยประมาณ 15 นาที หันไปมองดูเพื่อนๆ ดูสงบนิ่งกันดี นั่งยิ้มกริ่มทำหน้าแบบ ไม่โดนแคนเซิล ได้โดดแล้วโว้ยวันนี้ ส่วนเรามีแพนิคแอทแทคเล็กน้อยตอนเครื่องขึ้นไปได้ซัก 5 นาที แต่จากสิ่งบรรลัยต่างๆ ที่เจอมาในชีวิต เราสามารถทำให้ตัวเองสงบลงได้ไม่ยาก เราค่อยๆ หายใจลึกๆ ยาวๆ แล้วก็ท่องคาถาที่ทำให้รอดจากทุกอย่างมาแล้วในใจ เอาไปใช้กันได้นะ มันขลังมาก คาถาอาจารย์แอ้เอง
Fuck it. Just do it.
เรานิ่งจนตามิคกี้เริ่มเป็นห่วง ถามสองสามทีว่า Are you OK? สงสัยจะกลัวอ้วกพุ่งใส่มัน เรายิ้มอ่อน บอกว่า เออ กูโอเค เมื่อความสูงใกล้ได้ระดับโดดที่ 5000 ม. วิวด้านล่างเริ่มพร่าเลือนเพราะหมอกบัง (สูงดีจังโว้ย) ด้านหลังเรา (หรือก็คือด้านหน้าเครื่องบิน เพราะเรานั่งหันหลังอยู่) เริ่มมีการเคลื่อนไหว เหล่าตากล้องคาดกล้อง ตระเตรียมนั่นนี่กันกุกกัก ตีไม้ตีมือกันไปมา บอกเลยว่าวงการโดดร่มนี่เป็นวงการที่ไฮไฟว์กันเปลืองมาก ขยับจะทำอะไรหน่อยขอให้ได้แปะมือกัน แล้ว Instructor ก็ให้เราใส่แว่นกันลมที่เป็นเหมือนพลาสติกหรือยางใสๆ ใส่แน่นจนตาตี่ๆ ชั้นรีลีบไปหมด จากนั้นก็ปลด Harness เราออกจากราวเครื่องบิน แล้วยึดตัวเราติดกับตัวแกแบบแน่นมากๆ แน่นจนรู้สึกถึงหัวใจเต้น แล้วก็ดีใจที่ทำให้ตัวเองสงบลงแล้วไม่งั้นถ้าใจเต้นถี่ยิบจะอายหน่อยๆ เมื่อรอดมาแล้ว เพื่อนๆ ที่ได้เห็นวีรกรรมนี้ แทบทุกคนต้องมีคอมเม้นต์นึงที่บอกว่า แหมดี ได้ใกล้ชิดฝรั่งหล่อๆ บอกตรงๆ ว่าจังหวะนั้นไม่มีเรื่องนี้ในหัว เราเชื่อว่าทั้งสองฝั่งด้วยนะ เมื่อคุณกำลังจะทิ้งตัวลงมาในท้องฟ้าว่างเปล่าสูง 5 กม. จากพื้นดินข้างล่าง เราว่าเรื่อง sexual น่าจะเป็นเรื่องสุดท้ายที่จะเอามาคิดตอนนั้นเลยล่ะ
อยู่ๆ พอได้ระดับโดด ก็มีการเปลี่ยนแปลงกะทันหัน ตาทริสเทนปีนออกไปยืนเกาะนอกเครื่องชิวๆ เหมือนทอมครูซในหนังซักสิบยี่สิบเรื่อง คู่ทูนเลื่อนตัวไปหน้าประตูก่อน ตามด้วยคู่ปู เราเฝ้ามองเพื่อนๆ ห้อยต่องแต่งอยู่ที่ประตู ตากล้องหย่อนตัวหงายสู่ความเวิ้งว้าง แล้วแว้บต่อมาก็ ฟุ่บ! เพื่อนๆ หายไปทีละคน ชั้นร้องเบาๆ ทู้นนนน.. ปู๊ว์ว์.. หันมาถามอีมิคกี้ วาย? อีมิคกี้บอก การ์ดกล้องโกโปรที่ข้อมือมันเต็ม มันลืมเปลี่ยนการ์ด โว้ย.. ไพล็อตขับเครื่องวนรอมันเปลี่ยนการ์ดแป๊บนึง แต่สำหรับเรารู้สึกนานมาก เราเตรียมใจมาแล้วว่าจะโดดเมื่อนาทีที่แล้ว แต่พอมันเลื่อนออกมา เราเริ่มรู้สึกว่า อยากโดดให้มันจบๆ เพราะงั้นตอนที่อีมิคกี้เหวี่ยงเรา (เหมือนเป็นหมากระเป๋าจริงๆ น่ะแหละ) มาห้อยต่องแต่งอยู่ที่หน้าประตู และรู้แน่ชัดว่าเราได้สูญเสียการควบคุมสถานการณ์นี้ไปหมดแล้ว เพราะขาสองข้างก็พ้นพื้นเครื่องบินไปแล้วด้วย เราเลยไม่รู้สึกตื่นเต้นอะไรอีกแล้ว นอกจาก ลงไปซะทีโว้ยยย เพื่อนกูหายไปหมดแล้วเนี่ย..
ขั้นตอนที่หนึ่ง หงายคอ มือจับสายรัดที่หน้าอก
ไม่มีสัญญาณอะไรจากอีมิคกี้ และแล้วมันก็ทิ้งตัวเราทั้งสองคนลงสู่ความเวิ้งว้างอันไกลโพ้น เราต้องการจะเสพทุกประสบการณ์แบบไม่อยากพลาดอะไรเลย ก็เลยพยายามลืมตาดูทุกอย่าง ภาพแรกที่เห็นคือขาตัวเองตัดกับขอบฟ้าแบบหัวทิ่มลง ถ้าสโลว์โมชั่นเหตุการณ์ตรงนั้นแล้วพูดกับตัวเองได้ เราคงหันมาพูดใส่หน้าตัวเองว่า แม่งโคตรเด็ด บรีฟก่อนมาโดดเขาบอกว่า 60 วินาทีแรกเราจะตกลงมาแบบ Free fall (ซึ่งจุดนึงความเร็วจะคงที่แล้ว) เราจับเวลาจากวีดีโอที่ได้มา พบว่า Free fall จริงประมาณ 40 วินาที เราเคยคิดว่า มันจะวาบขนาดไหนนะ เวลาเราวาบเพราะรถลงสะพาน แค่วินาทีเดียวมันยังแว้บ.. ซะขนาดนั้น แล้วการวาบ 40 วินาทีมันจะเป็นยังไง
สรุปว่ามันไม่แว้บ เพราะลมแรงมาก ลมตีรุนแรงเหมือนขี่มอเตอร์ไซค์เร็วสุดๆ แบบไม่ใส่หมวกกันน็อค เสียงลมผ่านหูดังมากๆ ได้ยินแค่เสียงมิคกี้ถามว่า Are you OK? อีกครั้ง เราตะโกนได้แค่ว่า โอเค้.. แล้วต้องรีบหุบปาก เพราะลมตีปากกระพือผับๆๆ พอร่มน้อยอันแรกถูกดึงออก เราก็หยุดหัวทิ่มหัวตำแล้วกางแขนทำตัวโค้งเป็นกล้วยหอมจอมซน ตากล้องที่ไม่กางร่มน้อยแต่ใส่เสื้อที่มีปีกค้างคาวแทนเหินตัวเข้ามาใกล้ๆ ให้กล้องบนหัวแกได้เก็บภาพ รู้สึกได้อย่างแน่ชัดว่าหนังหน้ากระพือแบบควบคุมไม่ได้ และก็ไม่รู้จะเรียกโชคดีหรือโชคร้ายที่ได้จ่ายเงินเพื่อเก็บภาพไว้เป็นหลักฐานซะด้วย คนจริงกล้าทำมันต้องกล้าโชว์แบบนี้ รู้สึกตัวเองเป็น General Mandible ในการ์ตูนเรื่อง Antz ตลอดเวลา
เมื่อเรา Free fall มาจนถึงระยะกระตุกร่ม ตามิคกี้เช็คเครื่องวัดที่ข้อมือแล้วก็กึ่งโบกมือกึ่งตะเบ๊ะให้ตากล้องจากนั้นก็กระตุกร่ม ในวีดีโอจะดูเหมือนเราพุ่งขึ้น แต่ความจริงเรายังคงตกลงไปด้วยความเร็วที่ช้ากว่าเดิม แต่เพราะตากล้องจะต้องร่วงลงไปให้ไกลกว่าถึงค่อยกระตุกร่มของเขา ทำให้ดูเหมือนเราพุ่งขึ้นแรงมากและความรู้สึกก็เป็นทำนองนั้นด้วยเช่นกัน ถ้าฮาร์เนสรัดตรงไหนไว้แน่นๆ มันจะเจ็บก็ตอนนี้ล่ะ และจากที่เราเงียบกริบมาตลอดหลังคำว่าโอเค้.. คำแรก ตอนนี้ก็เป็นเวลาที่ดีที่จะตะโกนโวยวายแล้ว
วู้ฮู้ว์ว์..
หลังร่มกางเรียบร้อย มิคกี้บอกว่า ฉันจะปลดฮาร์เนสออกนิดนึงจะได้ไม่อึดอัดนะ อั้ยย่ะ มีปลดกลางอากาศด้วยโว้ย แต่พอปรับแล้วสบายตัวขึ้นจริงๆ เราแค่ถูกหิ้วอยู่ห่างๆ ไม่ได้มัดแน่นเหมือนทีแรก แต่ตอนจะปลดตะขอ เราก็แอบกังวลนิดนึงว่ามึงอย่าปลดผิดตัวนะมึง ช่วงนี้เราจะร่อนอยู่ประมาณ 5-7 นาทีเพื่อเข้าสู่เลนที่จะแลนดิ้งตามที่มีการวางแผนไว้ พอร่มกางทุกอย่างก็เงียบสงบ มิคกี้บอกถอดแว่นได้ละ แล้วเราก็เริ่มถามนู่นนี่ตามประสาคนที่อะดรีนาลีนพุ่งแล้วพูดมาก (แถมสำเนียงเมกันมาด้วย) เราจะแลนดิ้งตรงไหนเหรอ มิคกี้บอก Right under us. เราก้มลงไปมองพื้นดินผ่านเท้าตัวเองที่ห้อยอย่างอิสระอยู่บนท้องฟ้าแล้วรู้สึกหวิวหน่อยๆ พยายามเชื่อมโยงภาพจากท้อปวิวเข้าสู่ความทรงจำก่อนจะบินขึ้นมา พบว่าสนามแลนดิ้งสีเขียวสดใสกับออฟฟิศที่ตะกี้เรานั่งอยู่ในนั้น รออยู่ด้านล่างเราจริงๆ
ในบรรดาทุกขั้นตอนที่ทำมา การเลี้ยวนี่แหละให้ความรู้สึกแว้บในท้องที่หวาดเสียวที่สุดเพราะเราจะเหวี่ยงทางคว่ำอย่างแรงและแทบจะสัมผัสได้ถึงความเวิ้งว้างเป็นกิโลเมตรที่ปลายเท้า ก่อนจะเลี้ยวแต่ละครั้งมิคกี้จะบอกว่า จะเทิร์นละนะ ตอนลงมาถึงข้างล่าง เพื่อนๆ บอกว่า เพื่อนๆ ได้ลองบังคับตอนเลี้ยวด้วย แต่เราไม่ได้ทำง่ะ อาจจะเพราะไม่มีเวลาหรืออีมิคกี้ไม่มีอารมณ์ขัน แต่เสียดาย อยากลองเลี้ยวเองมั่ง
ไม่เร็วเกินไป และไม่ช้าเกินไป ความรู้สึกคือกำลังพอดีๆ เลย ก็ได้เวลาร่อนลง มิคกี้เตี๊ยมก่อนว่า ตอนบอกอย่าลืมยกขานะ ด้วยประสบการณ์ของนาง เราค่อยๆ ร่อนลงใกล้พื้นหญ้ามากๆ แล้วไถลด้วยก้นไปบนยอดหญ้าเปียกๆ ก่อนจะหยุดนิ่ง ไม่น่ากลัวและไม่บาดเจ็บใดๆ คาร์ลซึ่งลงมาก่อน เดินเข้ามาหา ถามว่าเป็นไงบ้าง เราตอบไปว่า ชั้นเข้าใจแล้วทำไมพวกยูเลือกทำอาชีพนี้ มันสุดยอดมาก
เราแลนดิ้งตรงจุดแบบสุดๆ แค่เดินตัดสนามหญ้าไปก็ถึงประตูออฟฟิศแล้ว ปูกำลังช่วย Instructor ของนางแกะหนามกระสุนออกจากขากางเกง เพราะตกลงไปเต็มๆ กอหญ้า นังทูนหน้าระรื่น เราสามคนได้ก้าวไปสู่ชีวิตอีกพาร์ทนึงในชั่วเวลาแค่ไม่กี่นาที ในตอนนั้นอาจจะบอกได้ว่า ชีวิตมี 2 ส่วน ส่วนนึงคือก่อนโดดเครื่องบิน และส่วนที่สองคือหลังจากนั้น เราบอกสองสาวว่า จากนี้ไปเราจะไม่กลัวความเครียด ไม่กลัวความผิดหวังหรือแม้แต่อกหักแล้วแหละ ตราบใดที่หยอดกระปุกเก็บตังค์ค่าโดดเครื่องบินไว้ จากนี้ไปมันจะเป็นวิธีรีเซ็ตที่ง่ายและเร็วที่สุดสำหรับทุกๆ ความเซ็งในชีวิตเสมอ
และที่เคยตั้งใจไว้ว่า ขอทำสิ่งนี้แค่ครั้งเดียวพอในชาตินี้ สรุปตอนนี้เปลี่ยนแผนซะงั้น ทริปนี้จึงมีชื่อที่บันทึกไว้เองว่า Our first jump.
เพราะมันต้องมี Second อีกอย่างแน่นอน