ดิ่งพสุธาแบบหมากระเป๋า

โลกมีแรงโน้มถ่วง (Gravity) = 9.807 ม./วินาที²
ในขณะที่มวลจะคงเดิมเสมอ แต่น้ำหนักจะเปลี่ยนไปตามแรงโน้มถ่วง พูดให้เข้าใจง่ายขึ้น ถ้าเราอยู่บนดวงจันทร์ที่มีแรงโน้มถ่วงน้อยกว่าโลกประมาณ 6 เท่า เราอาจจะชั่งน้ำหนักแล้วรู้สึกว่า โอ๊ยยังกินได้อีกเยอะ และสบายใจดี ตราบเท่าที่ไม่เอาไปเปรียบเทียบกับคนอื่นที่ชั่งน้ำหนักบนดวงจันทร์เหมือนกันกับเรา

คนชอบดูหนังแอคชั่นอย่างเรา ดูฉากที่เล่นกับแรงโน้มถ่วงมาเป็นร้อยๆ ครั้งแล้ว (เฉพาะของทอม ครูซ คนเดียวปาไปซักร้อยได้แล้วมั้ง) เคยสงสัยว่ามันจะรู้สึกยังไงนะ เวลาที่ดิ่งลงมาจากเครื่องบินพร้อมร่มชูชีพ นี่ไม่ต้องเอ่ยถึงฉากประเภทร่มไม่กาง, กระโดดไปทั้งๆ ที่ยังไม่ได้สะพายร่มเข้ากับหลัง หรือต้องต่อสู้กลางอากาศใดๆ เคยสงสัยแต่ไม่เคยคิดจะคลายความสงสัย จนนังทูนมันเอ่ยปากชวน พินๆ ไป Sky Dive กันมั้ย

ล็อคดาวน์รอบ 3 เป็นรอบที่เราทำดีให้กับตัวเองมากที่สุด ด้วยการลดน้ำหนักลงมาเยอะเลย ช่วงที่ได้ยินคำว่า Sky Dive หลุดจากปากเพื่อนแถมยังอยู่ในประโยคเดียวกันกับคำว่า ไปกันมั้ย ตอนนั้นน้ำหนักเราต่ำกว่า 90 เล็กน้อย เราบอกมันไปว่า ไว้ชั้นหนัก 75 ก่อนค่อยไป

แปดเดือนต่อมา ตอนเราหนัก 75 เรากับทูนไปเล่น Zipline หน้านิ่งกันที่ภูเก็ต ที่หน้านิ่งเพราะ Zipline มันยังไม่เสียวพอสำหรับคนบ้าบออย่างพวกเรา (โดยเฉพาะนังทูน หน้านิ่งเกิ๊น สงสารสต๊าฟ เสียเซลฟ์หมด) นังทูนทวงสัญญาอีกครั้ง พินๆ ไป Sky Dive กันได้รึยัง เราบอกว่า น่าจะยังอ้วนเกินอยู่ ขอลดอีกซักหน่อย จริงๆ กิจกรรมนี้รับผู้โดยสารได้หนักสุดที่ 120 กก. แต่ถ้าน้ำหนักเยอะแบบมวลกล้ามเนื้อเยอะ เวลาโดนฮาร์เนสรัดมันก็คงจะพอโอเคอยู่ ต่างจากการที่น้ำหนักเยอะแบบไขมันล้วน สายรัดใดๆ ล้วนทำให้ท่านกลายร่างเป็นแหนมได้อย่างง่ายดาย เราต่อรองทูนด้วยเรื่องน้ำหนัก แต่ในใจคือ กูก็กลัวอยู่นะเฮ้ย นี่เอ็งจะเอาจริงรึ ใจนึงหวังว่ามันจะล้อเล่นแหละ

สองสามเดือนหลังจากนั้น ด้วยวินัยอันเคร่งครัด ไอ้ต้าวก้อนไขมันน้อยๆ ได้จากเราไปอีกราวๆ 10 กก. คราวนี้ไม่มีข้ออ้างแล้ว เมื่อทูนทวงสัญญาอีกรอบรัวๆ จิกกูเป็นไก่ได้หนอนเลยทีเดียวแม่คนนี้ อย่ากระนั้นเลย มีเสียงเล็กๆ จากอีกฟากฝั่ง คือนังปูสหายแบ็คแพ็คที่ต่างคนต่างอยู่มาตลอดฤดูกาลโควิด ถ้าพี่ไป Sky Dive เรียกด้วยนะพี่ อยากโดน

คนอยากโดนสามคนก็รวมตัวกัน เลือกผู้ให้บริการที่ดูน่าไว้วางใจเพื่อแขวนชีวิตไว้บนสายรัดเส้นน้อยๆ ได้หนึ่งเจ้า เขาเพิ่งย้ายกิจการจากระยองไปอยู่ปากช่อง เราเสียดายวิวทะเลอยู่เหมือนกัน เพราะเที่ยวเขาบ่อยแล้ว คิดว่าถ้าได้โดดร่มเห็นวิวทะเลครึ่งหาดและเมืองอีกครึ่งน่าจะสวยงามตาดี แต่ไม่เป็นไรปากช่องก็สวยเหมือนกันแหละ คนอยากโดนโทร.ปรึกษา PR ที่คุยดี ให้ข้อมูลดี และตรงไปตรงมา จากนั้นเลือกซื้อ Voucher กิจกรรมที่เรียกว่า Tandem ทางช้อปปี้ มีส่วนลดอีก 1,500 บาท แต่ต้องหลังไมค์ไปขอโค้ดจากแอดมิน (ไม่รู้โปรนี้มีตลอดรึเปล่านะ) ค่าบริการรุนแรงอยู่ แต่เฮ้ย มันไม่ใช่ขอซ้อนมอไซไปปากซอย ต้องเข้าใจต้นทุนมหาศาลของเขาด้วย

Tandem คำนี้แปลตรงๆ ว่า การทำกิจกรรมใดๆ แบบสองคนต่อแถวกัน คนนึงอยู่หน้าคนนึงอยู่หลัง เช่นปั่นจักรยานแบบคู่อะไรแบบนี้ สำหรับการโดดร่ม (และกิจกรรม Extreme อีกหลายอย่าง) จะมีให้บริการสำหรับผู้ที่อยากเสียวแต่ไม่อยากเรียนเองทั้งหมด ให้กลายร่างเป็นหมากระเป๋าตัวน้อย ห้อยไปกับหน้าอกของผู้ชำนาญการ มีหน้าที่เห่า เอ้ย ชมวิวและสนุกอย่างเดียว ไม่ต้องทำอะไรอื่นอีก เอาวะ หมาเป๋าก็หมาเป๋า แค่นี้ก็ยังไม่แน่ใจว่าจะสลบ หรือหัวใจวายรึเปล่า แต่รับปากเพื่อนแล้วต้องเดินหน้าอย่างเดียว

ต้นเดือนกุมภา อากาศปกติ (ถ้าคำนี้ยังจะใช้ได้อยู่ในโลกยุคปัจจุบัน) ควรจะสดใสผ่องแผ้วทีเดียวล่ะ แต่พายุลูกน้อยๆ ดันพัดผ่านปากช่อง เราสามคนไม่พรือ ยังไงก็จะไปตามแผน ได้โดดก็โดด ไม่ได้โดดก็ค่อยว่ากัน นอกจากจะไปโดด Tandem แล้ว ยังชวนเพื่อนภาคพื้นดินไปแฮงเอาท์ด้วยอีก เพราะคิดว่าถ้าโดดเสร็จเร็ว หลังจากนั้นก็ว่างตายชัก มีคุณอุ้ยแก๊งโสด กับบ้านแบนแก๊งครอบครัวลูกสองที่ไปแจมหลังจากไม่ได้เที่ยวด้วยกันมานานมากจนหลานลืมหน้าป้าแล้ว

บ้านแบนนำไปก่อนแล้วหนึ่งคืน แก๊งโสดออกจากกรุงเทพฯ เช้าตรู่วันเสาร์ บรรจุไปด้วยว่าที่หมากระเป๋า 3 กับผู้ให้กำลังใจอีก 1 คือคุณอุ้ย ฟ้าเป็นสีขาวโพลนตลอดทางตั้งแต่กรุงเทพยันปากช่อง ยิ่งขับไปใกล้จุดหมายยิ่งดูฉ่ำ เราซึ่งเป็นพลขับรู้สึกว่า ยังไงเช้านี้ก็ไม่ได้โดดแน่ๆ แต่ตั้งใจทำเวลาตามหน้าที่ สิ่งที่ไม่ได้ทำคือ ทำใจว่าจะต้องโดด เมื่อถึงสถานที่ เห็นรถจอดอยู่ข้างหน้าหลายคัน เริ่มใจไม่ดีละ หรือว่าจะโดดได้วะ

นังทูนใส่หน้ากากแล้วพุ่งลงรถไปเจรจา แป๊บเดียวก็เดินกลับมาพร้อม ATK test 4 ชุด ให้พวกเราจิ้มหมูกกันในรถ แล้วถ่ายรูปผลไปให้เขาดู จมูกเรายังซิงเพราะไม่เคยอยู่ในพื้นที่เสี่ยงเลย เลยไม่เคยมีความจำเป็นต้องเทสต์มาก่อน แต่ดูแผนภาพการจิ้มมาเยอะแล้ว และทำตามเพื่อนบอกด้วย ก็คงจะจิ้มถูกวิธีล่ะมั้ง น้ำตาไหลเอ่อกลบลูกตาอยู่พักนึง พอจะเนียนๆ ไปกับความกลัวที่อยู่ๆ ก็จะต้องโดดในท้องฟ้าฉ่ำๆ สีขาวโพลนไปด้วยเลย

คุณอุ้ยจะไม่เข้าไปรอเราในห้องรับรอง เพราะไม่รู้ว่าจะนานกี่ชั่วโมง แต่ก่อนที่ชายจะขับรถไปตามลายแทงร้านกาแฟเด็ดที่เตรียมมาแล้ว ชายก็เรียกพวกเรายืนเรียงกันแล้วถ่ายรูป ขณะที่เราพยายามดัดรอยยิ้มเจื่อนๆ ให้กลายเป็นยิ้มหวานอยู่นั้น ตาก็มองไปที่เสื้อยืดสีชมพูสดใสของตากล้อง มีตัวหนังสือฟอนต์น่ารักสีจางๆ เขียนพาดกลางหน้าอกว่า

“We’re all gonna die.”

ชั้นกรี๊ดดดด อีอุ้ยยย แกจงใจเลือกเสื้อตัวนี้มาใช่มั้ยยย ฮะะะะ!!!

เสียงล้อรถบดกับพื้นกรวดค่อยๆ ตีวงจางหายไปเมื่อประตูปิดลง เจ้าหน้าที่สาวไทยบอกให้เราชั่งน้ำหนัก เซ็นเอกสาร ซึ่งเราแทบไม่ได้อ่านเพราะมันคือ Disclaimer – Consent ที่บอกว่าพวกมึงตัดสินใจมาเล่นอีนี่เองและรู้ว่ามันมีความเสี่ยงนะ กูไม่รับผิดชอบนะ คือถ้าซีเรียสกับการเซ็นใบพวกนี้ ไม่ต้องซื้อ Voucher มาเล่นตั้งแต่แรกเลย เพราะของมันต้องเซ็นอยู่แล้ว เราหันไปยักคิ้วหลิ่วตากับสองคู่หูที่มันสองคนเพิ่งเคยเจอกัน แต่มันต่างเจอเรามายาวนานแล้ว เฮ้ย เราเซ็นอีใบพวกนี้มาเยอะแค่ไหนแล้ววะ

นั่นสินะ.. กำปากกาแล้วเซ็นมันไปอีกใบ หวังว่าจะไม่มีใครต้องเอามาใช้นะ

นี่น่าจะเป็นกิจกรรมเกี่ยวเนื่องกับอากาศยานอย่างแรกที่เราเคยเล่น ไม่นับการขึ้นเครื่องบินตามปกติ เขามีหน้าจอแสดงเวลา Boarding ด้วย จะมีชื่อของหมากระเป๋า กับคนหิ้ว (Instructor) และตากล้องของตนเองถ้าคุณซื้อ Gold Package แสดงอยู่เป็นเซ็ต หลังขั้นตอนทางด้านเอกสารกับเจ้าหน้าที่สาวไทย เราวนเวียนเข้าห้องน้ำฉี่ไปคนละสองรอบได้ ทูนใส่คอนแทคต์เลนส์อย่างขลุกขลักเพราะปกติใส่แต่แว่น เราถักเปียสองข้างชะลอวัยแบบไม่เกรงใจหนังหน้า ปูมัดผมหางม้าจุกเดียว นั่งๆ เดินๆ ดูวีดีโอและมองดูเวลา Boarding บนจอค่อยๆ ขยับ มีชายต่างชาติตัวสูงโย่งชื่อทริสเทนเข้ามาทักทายเราด้วยภาษาอังกฤษแบบไม่เนทีฟ (คุ้นๆ ว่าแกเป็นอิตาลีมั้ง) เราเข้าใจว่าแกน่าจะเป็นเหมือน Manager แหละ

และแล้วก็ถูกเรียกเข้าไปเก็บของใส่ล็อคเกอร์ ของรุงรังใดๆ เสื้อมีปกใดๆ ห้ามติดตัวไปต้องถอดเก็บให้หมดแม้แต่ MiFit จากนั้น Instructor กับตากล้องของแต่ละคนเข้ามาทักทาย และเริ่มใส่ฮาร์เนสให้เรา ตากล้องของเราชวนเราไปเก็บภาพที่ด้านหน้า เราเดินมือเย็นเฉียบไปมา พอมายืนรวมตัวกันก็บ่นว่า ตื่นเต้นมือเย็นโว้ย จับมือซิ พลางยื่นมือไปจับมือปู เอ้า แม่งเย็นกว่ากูอีก..

พวกเราได้ใส่ฮาร์เนสเดินแกว่งไปแกว่งมาอยู่พักนึงเพราะฟ้ามันฉ่ำจัด เขาบอกว่ารอให้มันดีขึ้นอีกนิดดีกว่า จากนั้นซักพักทริสเทนก็มาบอกเราตอนสิบเอ็ดโมงครึ่งว่า อากาศมันแย่ลงแฮะ ตอนนี้ขึ้นไม่ได้แล้วเพราะพายุกำลังมาอีกลูก พูดพลางชี้ไปทางด้านนึงของท้องฟ้า แกบอกให้พวกเราถอดฮาร์เนส ไปหาข้าวเที่ยงกินแล้วกลับมาอีกทีตอนเที่ยงครึ่งเพื่อเตรียมตัวบินบ่าย จงกินอาหาร อย่าอดอาหารนะ แต่อย่ากินของเหลวเยอะ และงดกาแฟกับน้ำอัดลมไปก่อน

คนที่เราเป็นห่วงคือคุณอุ้ย มันรอมาพักนึงแล้ว และไม่รู้ต้องรออีกนานแค่ไหน เลยตกลงกันว่า ให้คุณอุ้ยขับกลับมาหา เราจะพาปูกับทูนไปปล่อยร้านอาหาร เราซึ่งฟาสต์ 16/8 – 18/6 มาเป็นปีแล้ว สามารถเพิ่มเวลาฟาสต์ได้ตามใจชอบโดยแทบไม่มีผลอะไรเลย จะอาสาขับพาคุณอุ้ยไปรวมตัวกับบ้านแบนไว้ก่อน และเอารถกลับมาอยู่กับแก๊งหมากระเป๋า เพื่อที่ว่าจะได้นั่งรอฝนหยุดได้ไม่ต้องเป็นพะวงเพื่อน คุณอุ้ยขับรถกลับมาจากร้านกาแฟที่ได้คุณภาพพึงพอใจชื่อร้านระวิด (ซึ่งเราลืมชื่อนี้และต้องไลน์ไปถามอีกทีอยู่ดี) เราเปลี่ยนเป็นพลขับ พาปูทูนไปปล่อยไว้ร้านตามสั่ง แล้วบึ่งพาคุณอุ้ยไปปล่อยร้านกาแฟแห่งที่สองที่บ้านแบนกำลังมุ่งหน้ามา

ระหว่างทาง ฝนค่อยๆ ตก จากเม็ดบางๆ ก็ค่อยๆ หนาตาขึ้น เพื่อนให้กำลังใจกันดี๊ดีว่า ไม่น่าได้โดดหรอกวันเนี้ย

มันแน่อยู่แล้ว ถ้าชุ่มโชกซะขนาดนี้ ให้โดดตูก็ไม่โดดโว้ย

เราส่งคุณอุ้ยที่ร้านกาแฟแห่งที่สอง (ลืมชื่อแล้ว) จากนั้นบึ่งกลับมาบนถนนขรุขระเป็นหลุมเป็นบ่อ แต่บอกเลย เชี่ยวชาญมาก ถึงจะทะเบียนกรุงเทพ แต่ฝีตีนนี่แซงรถท้องถิ่นสบาย เพราะถนนบ้านเราก็ผิวพระจันทร์ประมาณนี้เหมือนกัน แวะรับปูทูนซึ่งกินข้าวเสร็จแล้ว กลับไปที่สนามบิน ท่ามกลางฝนโปรยปราย

เราลงจากรถ วิ่งฝ่าฝนเข้าไปข้างในอยู่ดีเพื่อฟังสรุปสถานการณ์ เจ้าหน้าที่สาวๆ อธิบายเราเป็นภาษาไทยก่อน แต่ทริสเทนยังเป็นห่วงและคงเห็นว่าพวกเราพูดอังกฤษกันได้ ก็เลยมาคุยด้วยอีกที แกอธิบายว่า การโดดร่มเป็นกิจกรรมที่ปลอดภัยมาก ถ้าทำตามกฎ และการโดดตอนอากาศเป็นแบบนี้ คือไม่ตามกฎแล้ว มันก็จะมีความเสี่ยง สรุปเรามีทางเลือกอยู่ 3 ทางตอนนั้น คือ บ่ายสามกลับมาดูใหม่อีกที หรือ พรุ่งนี้มาใหม่แต่เช้า หรือ re-schedule ยาวไปเลย เป็นสัปดาห์หน้า หรือนานกว่านั้น ซึ่ง Voucher เก็บได้ 6 เดือน

แก๊งเราเห็นว่า บ่ายสามก็คงไม่ได้มีอะไรดีขึ้น เลยบอกว่า มาใหม่พรุ่งนี้เช้าละกัน พวกเราผิดหวังนิดหน่อยที่ไม่ได้โดด แต่เฮ้ย ก็ดูอากาศดิ เราเคยพาทูนไปติดอยู่กลางพายุในทะเลปั่นป่วนบนเรือแมงมุมบอบบางที่น่านน้ำประเทศอื่น เราเคยติดเกาะอาดังกับเพื่อนกลุ่มใหญ่และกินอาหารจนหมดเกาะ วันสุดท้ายมีแต่ไข่เจียวข้าวเปล่า เคยพาปูไปหัวหกก้นขวิดมาสารพัดไล่เท่าไหร่ก็ไม่หมด หลายอย่างโทษอากาศไม่ได้ด้วยซ้ำ เราบอกทริสเทนว่า พวกเราเป็น professional ด้าน weather problem นะ ไม่เป็นไรเลย เราเข้าใจ

จากนั้นเราก็ไปร้านกาแฟ (คุณอุ้ยร้านกาแฟนั้นชื่อไรนะ) ..ระวิด นุ้งนิ้งอยู่ในนั้นนานเพราะพ่อค้าต่อนยอนจัด แต่เค้ากี๊กด้านกาแฟจริงๆ คุณอุ้ยสั่งให้ซื้อเมล็ดกาแฟให้หน่อย โดยให้ถามว่า “สู้นมมั้ย” เราไม่เคยเจอคำถามพรรค์นี้มาก่อน นี่ถ้ามึงแพรงค์กูให้ไปพูดทะลึ่งใส่คนอื่นนะเพื่อนนะ..

จากระวิด เราแวะบาร์ไอติมก่อนเข้าที่พักซึ่งเป็นบ้านหลังใหญ่ทั้งหลัง ลดราคารุนแรงสู้โควิด ปูกับทูนกินไอติม ส่วนเรากินสเต็กเป็นอาหารมื้อแรกของวัน จากนั้นเราเข้าบ้าน พบเพื่อนๆ และแฮงเอาท์อยู่ในนั้นโดยไม่ไปไหนตลอดจนเช้า อาหารสั่งแกร็บเอา ค่าส่งแกร็บปากช่องโคตรถูก รายการละ 13-15 บาทเท่านั้น ฝนตกปรอยๆ หยุดๆ ตลอดเย็น คิดถูกแล้วที่ไม่กลับไปลุ้นโดดรอบบ่ายสาม

กิจกรรมยามเย็นค่ำหลากหลายและครบถ้วนมาก เราเริ่มด้วยการผลัดกันเล่นกีตาร์ป๊องแป๊ง จากนั้นไปเล่นบาสกับปูหลังจากที่ปูเสียลูกเทนนิสให้เพื่อนข้างบ้านไปหนึ่งลูก ทูนนั่งคุยนอนคุยกับหลานๆ เรื่องการ์ตูนเป็นจริงเป็นจังจนเปรยๆ ว่าอยากเอาดาบไยบะมาจากบ้านเพื่อดวลกับหลาน ต่อด้วยแก๊งโสดเล่นเหมียวระเบิดภาคผู้ใหญ่ที่คุณอุ้ยหยิบมา หลังกินอาหารเล่นเกมที่หลานคิดหนึ่งเกม แล้วต่อด้วยเหมียวระเบิดภาคปกติที่เราหยิบมาแบบไม่ได้นัดกัน รอบนี้เด็กๆ มาเล่นด้วย พอเด็กๆ ไปนอน ก็ได้เวลาอาร์ตแคมป์ นั่งวาดรูปสีน้ำ พร้อมด้วยเสียงกีตาร์ขับกล่อม

รู้สึกว่าใช้วันหยุดได้มีคุณภาพดีจัง ขอบคุณเพื่อนๆ มา ณ ที่นี้ด้วย

painting by อีแอน วาดดีขนาดนี้ ไม่ใช่ฝีมือชั้นแน่ๆ

เคยไหมเวลาที่นั่งรถที่ขับเร็วๆ ขึ้นแล้วลงสะพาน ถ้าสะพานนั้นสูงสักหน่อย เสาเข็มสะพานตับสุดท้ายฝังลงลึกในดิน มาต่อกับเสาเข็มถนนตับแรกที่ใช้เสาสั้น คอสะพานจะหักเล็กน้อย ถ้าถนนข้างหน้ารถไม่ติด จังหวะลงสะพานเร็วๆ จะรู้สึกวาบในท้องอยู่เสี้ยววินาที เหมือนกับความรู้สึกเวลานั่งรถไฟเหาะ, ยืนริมหน้าผาสูงๆ แล้วมีลมพัดมาซักวูบ หรือความรู้สึกเหมือนผีเสื้อกระพือปีกเวลามีใครที่เฉพาะเจาะจงคนหนึ่งเดินเข้ามาในเฟรม (หรือแค่มีคนเอ่ยถึง ถ้าอยู่ในระยะที่อาการหนักๆ น่ะนะ) เช้านั้นแก๊งเสียวสามสาวตื่นแต่เช้า อาบน้ำแต่งตัว ใส่เสื้อทีมที่ได้รับแจกมาเมื่อวาน แล้วขับรถออกไปกันเงียบๆ ด้วยกระเป๋าข้าวของของเราทั้งหมด ทิ้งให้เพื่อนๆ ตื่นสายตามสบาย เช็คเอาท์แล้วตามมาทีหลังได้เลย

สิ่งแรกที่ทำตอนตื่นมาคือพุ่งไปเช็คอากาศ มีแสง มีหมอก ไม่มีฝน เอาวะ

เช้านั้นอากาศเย็นชื้น แต่ฝนขาดเม็ดไปแล้ว เราเชื่อมั่นว่าถ้ามันจะตกมันก็คงจะตกอีกแหละ เพราะงั้นรีบไปให้เช้าที่สุด รีบโดดให้มันเสร็จๆ ก่อนแปดโมงตรงเล็กน้อย เราสามคนก็ไปนั่งหน้าแป้นอยู่ที่ออฟฟิศ คราวนี้ไม่ต้องจิ้มหมูกและทำเอกสารใดๆ แล้ว รอโดดอย่างเดียว

ทริสเทนเข้ามาทักทายเราและขอบคุณพวกเราที่รับมือกับปัญหานี้ได้อย่างคูลๆ แกบอกงี้ แกเลยจะขึ้นไปโดดด้วยแล้วถ่ายรูปแถมให้อีก 1 กล้องฟรี เป็นการขอบคุณ แต่เนื่องจากเรากับปูเลือก Golden package อยู่แล้ว ทริสเทนก็เลยจะตามทูน (สรุปนังทูนได้วีดีโอแบบไม่ตัดต่อ ดูกันยาวๆ สุดเจ๋งเลย) ความตื่นเต้นของเช้าวันที่สองไม่เหมือนวันแรก มันน้อยลงอย่างเห็นได้ชัด คือตื่นเต้นกับการโดดยังไม่มากเท่าตื่นเต้นกับการจะไม่ได้โดดเลยแม่เอ๊ย ตานี่จ้องก้อนฝนไว้เรื่อยๆ อย่ามานะเค้าขอร้อง

ในที่สุดชื่อเราก็ขึ้นจอ เราได้ขึ้นเป็นชุดแรกของเช้านั้น Instructor และตากล้องทุกคนเป็นฝรั่งที่ไม่ Native English ยังคงคุ้นๆ ว่าเป็นอิตาลี ไพล็อตเป็นหนุ่มไทย และผู้ช่วยไพล็อตเป็นสาวไทยหน้าหมวยๆ ตัวเล็กนิดนึง การบรีฟก่อนออกบินช่างเรียบง่ายสั้นกระชับ พูดง่ายๆ ว่าเหล่าหมากระเป๋าไม่ต้องใช้สมองทำอะไรซักเท่าไหร่เลยล่ะ มีแค่สามขั้นตอนเท่านั้น

  1. ที่หน้าประตูเครื่องบินก่อนโดด หงายศรีษะพิงไปที่หัวไหล่ข้างขวาของ Instructor (ที่เหลือช่างแม่ง จำไว้แค่หงายหัวพอ) เก็บมือจับฮาร์เนสที่หน้าอกตนเองไว้
  2. พอโดดแล้ว รอสัญญาณ Instructor ตบบ่า ปุ ปุ ปุ ให้กางมือออก พยายามเหยียดขา แอ่นตัวเป็นรูปกล้วย ถ้าขาชี้ไปชี้มาไม่ต้องกลัว เดี๋ยว Instructor จับรวบเอง
  3. ตอนจะแลนดิ้ง พอ Instructor ให้สัญญาณ ให้ทำตัวตั้งฉาก พับขาขึ้น เหมือนจะให้ก้นลง แต่ละลงท่าไหนแล้วแต่ Instructor นะ แค่พับขาพอ ไม่ต้องคิดไรมาก

เราขึ้นรถกอล์ฟสองคันที่จอดรออยู่พร้อมกับลูกเรือทุกคน อากาศว่าเย็นแล้ว แต่ใจเย็นยิ่งกว่าอากาศ เรานั่งไขว่ห้างแบบขายาวๆ อยู่ที่นั่งกลับด้านหันหลังท้ายรถคันแรก ทอดสายตามองเพื่อนๆ พร้อมคิดทบทวนชีวิตที่ผ่านมา ทริสเทนบอก ท่านั่งยูเอลเลแก๊นมาก ไพล็อตของเรายังเป็นไดร์เวอร์รถกอล์ฟด้วย แกคุยกันโฉงเฉงเรื่องดินมันแฉะ แต่จะอัดรถกอล์ฟขึ้นเนินตรงๆ ไปหาเครื่องบินจะได้ไม่ต้องเดินเยอะ ดูจะตื่นเต้นใส่ใจกับการขับรถกอล์ฟขึ้นเนินมากกว่าสนใจเครื่องบินน้อยๆ ปีกสีส้มสดใสที่เด่นตัดกับท้องฟ้าอยู่ตรงนั้นซะอีก เราสามคนไม่ค่อยคุยกันเยอะแล้วจุดนั้น ต่างคนต่างคงอยู่กับความคิดของตัวเอง เช่น มันจะเป็นไงน้า.. เราจะอ้วกมั้ย หรือแม้กระทั่งว่า เราอาจจะต้องถึงเวลาเลิกคบอีเพื่อนคนที่ชวนมาเล่นนี่ได้แล้วมั้ง

รถกอล์ฟไต่ขึ้นเนินได้ด้วยดี อาจเพราะเราแขม่วพุงช่วยเล็กน้อย เนื่องจากเป็นไฟลท์แรกของวัน คณะโดดร่มจึงต้องยืนรอให้ไพล็อตเข้าไปทำอะไรกุ๊กๆ กิ๊กๆ ก่อนพักนึง ทริสเทนแอบเม้าท์ว่า พวกเราไม่มีสิทธิ์ถามหรือคอมเมนต์อะไรไพล็อต เขาบอกให้รอก็ต้องรอนะ ไม่นานนักพวกเราก็โดนกวาดต้อนให้เดินขึ้นตามลำดับเป็นคู่ๆ หมากระเป๋ากับแพรีสฮิลตั้นของหล่อน คู่ปูกับทูนเข้าไปก่อน เราปิดท้ายนั่งใกล้ประตูปั๊ดติกๆ นั่น เราหันไปถามตามิคกี้ Instructor ของเราที่นั่งด้านหลังเราว่า We’re first, right? ฮีผู้พูดน้อย ยิ้มๆ แล้วพยักหน้า เยส

ฉันอยากตะโกนออกมาตรงนั้นว่า เชี่ยยยย

เครื่องบินลำน้อย แม้จะให้เล่ากี่ครั้งเราก็ยังจะเรียกมันว่า เครื่องบินกระป๋อง ก็แม่งกระป๋องมากจริ๊ง.. เป็นเครื่องบินที่ใช้โดดร่มเท่านั้น และถ้าไม่ได้มีร่มชูชีพที่ไว้วางใจติดหลัง ก็คงไม่เหมาะจะโดยสารเจ้าส้มน้อยลำนี้ไปไหน เพราะประตูน้องเป็นพลาสติกบางๆ แถมมีป้าย ห้ามล็อค! ด้วยจ้า ที่นั่งเป็นม้านั่งยาวสองแถวขนานไปกับตัวลำเครื่องบิน วิธีนั่งคือคร่อมเหมือนขี่ม้า นั่งเป็นคู่ๆ Instructor อยู่หลัง และหมากระเป๋าอยู่ข้างหน้า พอเครื่องค่อยๆ ลอยขึ้นจากรันเวย์ เราก็หันไปถามมิคกี้ อีกคำถามว่า Are we attached? นี่มึงกะกูคลิปติดกันรึยัง ทำไมมันยังรู้สึกโหวงๆ วะ ตาแกตอบว่า ยัง You are attached to the plane. พลางเอื้อมมือไปจับฮาร์เนสของเราที่ล็อคกับราวจับบนเครื่องบินให้ดู

ตาคาร์ล ตากล้องของเราที่นั่งริมประตูสุด เอาตีนค้ำประตูไว้แล้วสอดกล้องออกไปถ่ายรูปข้างนอกเก็บบรรยากาศ ส้มน้อยทะยานขึ้นสู่ความสูง 5000 ม. เหนือระดับน้ำทะเลด้วยเวลาโดยประมาณ 15 นาที หันไปมองดูเพื่อนๆ ดูสงบนิ่งกันดี นั่งยิ้มกริ่มทำหน้าแบบ ไม่โดนแคนเซิล ได้โดดแล้วโว้ยวันนี้ ส่วนเรามีแพนิคแอทแทคเล็กน้อยตอนเครื่องขึ้นไปได้ซัก 5 นาที แต่จากสิ่งบรรลัยต่างๆ ที่เจอมาในชีวิต เราสามารถทำให้ตัวเองสงบลงได้ไม่ยาก เราค่อยๆ หายใจลึกๆ ยาวๆ แล้วก็ท่องคาถาที่ทำให้รอดจากทุกอย่างมาแล้วในใจ เอาไปใช้กันได้นะ มันขลังมาก คาถาอาจารย์แอ้เอง

Fuck it. Just do it.

เรานิ่งจนตามิคกี้เริ่มเป็นห่วง ถามสองสามทีว่า Are you OK? สงสัยจะกลัวอ้วกพุ่งใส่มัน เรายิ้มอ่อน บอกว่า เออ กูโอเค เมื่อความสูงใกล้ได้ระดับโดดที่ 5000 ม. วิวด้านล่างเริ่มพร่าเลือนเพราะหมอกบัง (สูงดีจังโว้ย) ด้านหลังเรา (หรือก็คือด้านหน้าเครื่องบิน เพราะเรานั่งหันหลังอยู่) เริ่มมีการเคลื่อนไหว เหล่าตากล้องคาดกล้อง ตระเตรียมนั่นนี่กันกุกกัก ตีไม้ตีมือกันไปมา บอกเลยว่าวงการโดดร่มนี่เป็นวงการที่ไฮไฟว์กันเปลืองมาก ขยับจะทำอะไรหน่อยขอให้ได้แปะมือกัน แล้ว Instructor ก็ให้เราใส่แว่นกันลมที่เป็นเหมือนพลาสติกหรือยางใสๆ ใส่แน่นจนตาตี่ๆ ชั้นรีลีบไปหมด จากนั้นก็ปลด Harness เราออกจากราวเครื่องบิน แล้วยึดตัวเราติดกับตัวแกแบบแน่นมากๆ แน่นจนรู้สึกถึงหัวใจเต้น แล้วก็ดีใจที่ทำให้ตัวเองสงบลงแล้วไม่งั้นถ้าใจเต้นถี่ยิบจะอายหน่อยๆ เมื่อรอดมาแล้ว เพื่อนๆ ที่ได้เห็นวีรกรรมนี้ แทบทุกคนต้องมีคอมเม้นต์นึงที่บอกว่า แหมดี ได้ใกล้ชิดฝรั่งหล่อๆ บอกตรงๆ ว่าจังหวะนั้นไม่มีเรื่องนี้ในหัว เราเชื่อว่าทั้งสองฝั่งด้วยนะ เมื่อคุณกำลังจะทิ้งตัวลงมาในท้องฟ้าว่างเปล่าสูง 5 กม. จากพื้นดินข้างล่าง เราว่าเรื่อง sexual น่าจะเป็นเรื่องสุดท้ายที่จะเอามาคิดตอนนั้นเลยล่ะ

อยู่ๆ พอได้ระดับโดด ก็มีการเปลี่ยนแปลงกะทันหัน ตาทริสเทนปีนออกไปยืนเกาะนอกเครื่องชิวๆ เหมือนทอมครูซในหนังซักสิบยี่สิบเรื่อง คู่ทูนเลื่อนตัวไปหน้าประตูก่อน ตามด้วยคู่ปู เราเฝ้ามองเพื่อนๆ ห้อยต่องแต่งอยู่ที่ประตู ตากล้องหย่อนตัวหงายสู่ความเวิ้งว้าง แล้วแว้บต่อมาก็ ฟุ่บ! เพื่อนๆ หายไปทีละคน ชั้นร้องเบาๆ ทู้นนนน.. ปู๊ว์ว์.. หันมาถามอีมิคกี้ วาย? อีมิคกี้บอก การ์ดกล้องโกโปรที่ข้อมือมันเต็ม มันลืมเปลี่ยนการ์ด โว้ย.. ไพล็อตขับเครื่องวนรอมันเปลี่ยนการ์ดแป๊บนึง แต่สำหรับเรารู้สึกนานมาก เราเตรียมใจมาแล้วว่าจะโดดเมื่อนาทีที่แล้ว แต่พอมันเลื่อนออกมา เราเริ่มรู้สึกว่า อยากโดดให้มันจบๆ เพราะงั้นตอนที่อีมิคกี้เหวี่ยงเรา (เหมือนเป็นหมากระเป๋าจริงๆ น่ะแหละ) มาห้อยต่องแต่งอยู่ที่หน้าประตู และรู้แน่ชัดว่าเราได้สูญเสียการควบคุมสถานการณ์นี้ไปหมดแล้ว เพราะขาสองข้างก็พ้นพื้นเครื่องบินไปแล้วด้วย เราเลยไม่รู้สึกตื่นเต้นอะไรอีกแล้ว นอกจาก ลงไปซะทีโว้ยยย เพื่อนกูหายไปหมดแล้วเนี่ย..

ขั้นตอนที่หนึ่ง หงายคอ มือจับสายรัดที่หน้าอก

ไม่มีสัญญาณอะไรจากอีมิคกี้ และแล้วมันก็ทิ้งตัวเราทั้งสองคนลงสู่ความเวิ้งว้างอันไกลโพ้น เราต้องการจะเสพทุกประสบการณ์แบบไม่อยากพลาดอะไรเลย ก็เลยพยายามลืมตาดูทุกอย่าง ภาพแรกที่เห็นคือขาตัวเองตัดกับขอบฟ้าแบบหัวทิ่มลง ถ้าสโลว์โมชั่นเหตุการณ์ตรงนั้นแล้วพูดกับตัวเองได้ เราคงหันมาพูดใส่หน้าตัวเองว่า แม่งโคตรเด็ด บรีฟก่อนมาโดดเขาบอกว่า 60 วินาทีแรกเราจะตกลงมาแบบ Free fall (ซึ่งจุดนึงความเร็วจะคงที่แล้ว) เราจับเวลาจากวีดีโอที่ได้มา พบว่า Free fall จริงประมาณ 40 วินาที เราเคยคิดว่า มันจะวาบขนาดไหนนะ เวลาเราวาบเพราะรถลงสะพาน แค่วินาทีเดียวมันยังแว้บ.. ซะขนาดนั้น แล้วการวาบ 40 วินาทีมันจะเป็นยังไง

สรุปว่ามันไม่แว้บ เพราะลมแรงมาก ลมตีรุนแรงเหมือนขี่มอเตอร์ไซค์เร็วสุดๆ แบบไม่ใส่หมวกกันน็อค เสียงลมผ่านหูดังมากๆ ได้ยินแค่เสียงมิคกี้ถามว่า Are you OK? อีกครั้ง เราตะโกนได้แค่ว่า โอเค้.. แล้วต้องรีบหุบปาก เพราะลมตีปากกระพือผับๆๆ พอร่มน้อยอันแรกถูกดึงออก เราก็หยุดหัวทิ่มหัวตำแล้วกางแขนทำตัวโค้งเป็นกล้วยหอมจอมซน ตากล้องที่ไม่กางร่มน้อยแต่ใส่เสื้อที่มีปีกค้างคาวแทนเหินตัวเข้ามาใกล้ๆ ให้กล้องบนหัวแกได้เก็บภาพ รู้สึกได้อย่างแน่ชัดว่าหนังหน้ากระพือแบบควบคุมไม่ได้ และก็ไม่รู้จะเรียกโชคดีหรือโชคร้ายที่ได้จ่ายเงินเพื่อเก็บภาพไว้เป็นหลักฐานซะด้วย คนจริงกล้าทำมันต้องกล้าโชว์แบบนี้ รู้สึกตัวเองเป็น General Mandible ในการ์ตูนเรื่อง Antz ตลอดเวลา

เพื่อนแนะนำว่าคราวหน้าถ้าจะไปโดดอีกควรโบท็อกซ์ไปก่อน มันจะดีมั้ยหรือโบท็อกซ์มันจะไปรวมอยู่หลังหู

เมื่อเรา Free fall มาจนถึงระยะกระตุกร่ม ตามิคกี้เช็คเครื่องวัดที่ข้อมือแล้วก็กึ่งโบกมือกึ่งตะเบ๊ะให้ตากล้องจากนั้นก็กระตุกร่ม ในวีดีโอจะดูเหมือนเราพุ่งขึ้น แต่ความจริงเรายังคงตกลงไปด้วยความเร็วที่ช้ากว่าเดิม แต่เพราะตากล้องจะต้องร่วงลงไปให้ไกลกว่าถึงค่อยกระตุกร่มของเขา ทำให้ดูเหมือนเราพุ่งขึ้นแรงมากและความรู้สึกก็เป็นทำนองนั้นด้วยเช่นกัน ถ้าฮาร์เนสรัดตรงไหนไว้แน่นๆ มันจะเจ็บก็ตอนนี้ล่ะ และจากที่เราเงียบกริบมาตลอดหลังคำว่าโอเค้.. คำแรก ตอนนี้ก็เป็นเวลาที่ดีที่จะตะโกนโวยวายแล้ว

วู้ฮู้ว์ว์..

หลังร่มกางเรียบร้อย มิคกี้บอกว่า ฉันจะปลดฮาร์เนสออกนิดนึงจะได้ไม่อึดอัดนะ อั้ยย่ะ มีปลดกลางอากาศด้วยโว้ย แต่พอปรับแล้วสบายตัวขึ้นจริงๆ เราแค่ถูกหิ้วอยู่ห่างๆ ไม่ได้มัดแน่นเหมือนทีแรก แต่ตอนจะปลดตะขอ เราก็แอบกังวลนิดนึงว่ามึงอย่าปลดผิดตัวนะมึง ช่วงนี้เราจะร่อนอยู่ประมาณ 5-7 นาทีเพื่อเข้าสู่เลนที่จะแลนดิ้งตามที่มีการวางแผนไว้ พอร่มกางทุกอย่างก็เงียบสงบ มิคกี้บอกถอดแว่นได้ละ แล้วเราก็เริ่มถามนู่นนี่ตามประสาคนที่อะดรีนาลีนพุ่งแล้วพูดมาก (แถมสำเนียงเมกันมาด้วย) เราจะแลนดิ้งตรงไหนเหรอ มิคกี้บอก Right under us. เราก้มลงไปมองพื้นดินผ่านเท้าตัวเองที่ห้อยอย่างอิสระอยู่บนท้องฟ้าแล้วรู้สึกหวิวหน่อยๆ พยายามเชื่อมโยงภาพจากท้อปวิวเข้าสู่ความทรงจำก่อนจะบินขึ้นมา พบว่าสนามแลนดิ้งสีเขียวสดใสกับออฟฟิศที่ตะกี้เรานั่งอยู่ในนั้น รออยู่ด้านล่างเราจริงๆ

ในบรรดาทุกขั้นตอนที่ทำมา การเลี้ยวนี่แหละให้ความรู้สึกแว้บในท้องที่หวาดเสียวที่สุดเพราะเราจะเหวี่ยงทางคว่ำอย่างแรงและแทบจะสัมผัสได้ถึงความเวิ้งว้างเป็นกิโลเมตรที่ปลายเท้า ก่อนจะเลี้ยวแต่ละครั้งมิคกี้จะบอกว่า จะเทิร์นละนะ ตอนลงมาถึงข้างล่าง เพื่อนๆ บอกว่า เพื่อนๆ ได้ลองบังคับตอนเลี้ยวด้วย แต่เราไม่ได้ทำง่ะ อาจจะเพราะไม่มีเวลาหรืออีมิคกี้ไม่มีอารมณ์ขัน แต่เสียดาย อยากลองเลี้ยวเองมั่ง

ไม่เร็วเกินไป และไม่ช้าเกินไป ความรู้สึกคือกำลังพอดีๆ เลย ก็ได้เวลาร่อนลง มิคกี้เตี๊ยมก่อนว่า ตอนบอกอย่าลืมยกขานะ ด้วยประสบการณ์ของนาง เราค่อยๆ ร่อนลงใกล้พื้นหญ้ามากๆ แล้วไถลด้วยก้นไปบนยอดหญ้าเปียกๆ ก่อนจะหยุดนิ่ง ไม่น่ากลัวและไม่บาดเจ็บใดๆ คาร์ลซึ่งลงมาก่อน เดินเข้ามาหา ถามว่าเป็นไงบ้าง เราตอบไปว่า ชั้นเข้าใจแล้วทำไมพวกยูเลือกทำอาชีพนี้ มันสุดยอดมาก

เราแลนดิ้งตรงจุดแบบสุดๆ แค่เดินตัดสนามหญ้าไปก็ถึงประตูออฟฟิศแล้ว ปูกำลังช่วย Instructor ของนางแกะหนามกระสุนออกจากขากางเกง เพราะตกลงไปเต็มๆ กอหญ้า นังทูนหน้าระรื่น เราสามคนได้ก้าวไปสู่ชีวิตอีกพาร์ทนึงในชั่วเวลาแค่ไม่กี่นาที ในตอนนั้นอาจจะบอกได้ว่า ชีวิตมี 2 ส่วน ส่วนนึงคือก่อนโดดเครื่องบิน และส่วนที่สองคือหลังจากนั้น เราบอกสองสาวว่า จากนี้ไปเราจะไม่กลัวความเครียด ไม่กลัวความผิดหวังหรือแม้แต่อกหักแล้วแหละ ตราบใดที่หยอดกระปุกเก็บตังค์ค่าโดดเครื่องบินไว้ จากนี้ไปมันจะเป็นวิธีรีเซ็ตที่ง่ายและเร็วที่สุดสำหรับทุกๆ ความเซ็งในชีวิตเสมอ

และที่เคยตั้งใจไว้ว่า ขอทำสิ่งนี้แค่ครั้งเดียวพอในชาตินี้ สรุปตอนนี้เปลี่ยนแผนซะงั้น ทริปนี้จึงมีชื่อที่บันทึกไว้เองว่า Our first jump.

เพราะมันต้องมี Second อีกอย่างแน่นอน

เที่ยวปายกับทูน – นิวนอม่อน ต่อนยอนเวอชั่น

ทูนจริงๆ ไม่ได้ชื่อทูน แต่เรียกกันแบบนี้มานานแล้ว ก็ฟังดูมีความเท่ห์ มีความเก๋าความโบราณบางอย่าง ทูนเป็นรุ่นน้องอายุห่างกับเราหลายปี แต่ด้วยความปีนเกลียวมันก็ไม่ได้ทำตัวเหมือนรุ่นน้องซักเท่าไหร่ ทูนเองก็คงบอกว่า มึงก็ไม่ได้ทำตัวสมเป็นพี่เท่าไหร่ปะวะ ก็ไม่เป็นไร ไม่ต้องไปตีความมันมาก พูดจากันรู้เรื่อง เล่นมุกแล้วเข้าใจ กินอะไรคล้ายๆ กัน ไม่ได้ชอบผู้ชายคนเดียวกันเป็นอันคบกันได้

หลังปลดล็อคดาวน์ ความผวาที่เกาะกุมหัวใจมาสามสี่เดือนค่อยๆ คลายตัวลงทีละน้อย ใครจะไปคิดว่าจะอยู่มาจนเจอสงครามเชื้อโรคระดับโลก นึกถึงวันที่ยืนพิงกรอบระเบียง มองท้องฟ้าแล้วก็คิดว่า กูจะตายซะก่อนจะได้ออกเดินทาง (อีก) รึเปล่าวะ บันทึก ณ วันนี้ 20 สิงหา 63 สถานการณ์ในบ้านเรายังโอเคอยู่นะ (ได้โปรด) เราออกเดินทางแบบนิวนอร์มัลในประเทศมาสามสี่ที่แล้วตั้งแต่ปลดล็อคทีละขั้นๆ ครั้งแรกที่ได้ออกจากกรง มันเหมือนปลาถุงถูกปล่อยลงมหาสมุทร เหมือนดอกหญ้าในทุ่งที่อับลมอยู่นานกลับได้รับลมพายุแล้วปุยดอกก็หมุนขึ้นสูงไปบนฟ้า เหมือนสะพานไบฟรอสเปิด หรือยิ่งกว่านั้นเหมือนประตูสู่อาณาจักรทั้งเก้ามาเรียงตัวกัน เหมือนสาวคนนั้นที่เต้นระบำในทุ่งหญ้าใน The sound of music  เหมือน.. พอๆๆ

ตอนแรกทูนอยากเดินทางคนเดียว เราแค่แนะนำให้ทูนไปปาย ยามนี้ที่เป็นหน้าฝน ซึ่งปกติก็เป็นหน้าโลว์อยู่แล้ว ยังมาเจอสถานการณ์ที่ไม่มีจีน ไม่มีฝรั่ง มันคงจะโล่งได้ใจ คุยไปคุยมา กลายเป็นทริปสองคนเรียบร้อย ก่อนเดินทางไม่กี่วันเรายังไปบาดเจ็บมาอีก แผลที่ต่ำสุดอยู่ระดับเข่า ทำให้อดแช่น้ำร้อนและแหวกว่ายในแหล่งน้ำธรรมชาติอย่างที่ตั้งใจเลย แต่ถามว่าไปไหม ก็ไป 

วันที่หนึ่ง

ทูนไม่เคยไปปายมาก่อน กับเราที่เป็นแฟนตัวยงเป็นส่วนผสมที่ตลกๆ ดี ต้นเดือนสิงหา เราซึ่งแยกกันเดินทางนัดเจอกันที่เชียงใหม่ในเช้าวันหนึ่ง เรารับรถยนต์เช่าจากร้านในสนามบินด้วยความขลุกขลัก เพราะเกิดการเทคโอเวอร์กิจการกันขึ้น หนุ่มส่งรถในชุดสีเขียวของรถเช่ายี่ห้อหนึ่งเป็นคนรับเรื่องให้เราโดยไม่มีเคาท์เตอร์ แต่มายืนหน้าเคาท์เตอร์ของรถเช่าเจ้าสีฟ้า-ส้มที่ปิดให้บริการอยู่ ในขณะที่เราเช่ารถจากร้านสีฟ้าอ่อน น้องมีป้ายเล็กๆ ที่เขียนว่าตัวน้องเองส่งรถของยี่ห้อฟ้าอ่อน แต่กลับยืนบังป้ายซะมิดชิด

“น้องจะให้พี่รู้ได้ไงว่าต้องติดต่อน้องล่ะค้าบ”

นอกจากเรื่องกว่าเราจะหากันจนเจอมันนานแค่ไหนที่รอเธอมา.. นอกนั้นก็เรียบร้อยดีไม่มีอะไร 

การเดินทางเริ่มต้นขึ้นทันทีที่สมาชิกพร้อมบนรถ เรามุ่งหน้าสู่ปายในอากาศครึ้มๆ ของฤดูฝน เลือกใช้เส้นทางที่ตรงที่สุดคือเส้น 1095 รถราในเชียงใหม่บางตากว่าที่จำได้มากๆ แต่ก็ยังต้องใช้เวลาและความอดทนพอสมควรเช่นเคยกับการเดินทางในระยะวนรอบตัวเมืองเชียงใหม่เพื่อไปสู่แยกแม่มาลัย เพราะถนนที่ราบก่อนขึ้นเขาเส้นนี้ เป็นทางเชื่อมสู่หลายๆ เมือง ทำให้การจราจรขวักไขว่ มีรถราทุกประเภทสมรมกันอยู่ (แต่เราเที่ยวเหนือ ทำไมเราถึงใช้คำว่าสมรมล่ะ)  ถ้าเป็นเวลาปกติ ก็จะเป็นระยะที่ทำความเร็วไม่ได้เลยเชียวแหละ 

สองชั่วโมงพอดีๆ นับจากสนามบิน เราก็มาถึงจุดหมายแรกที่จะแวะระหว่างทาง คือโป่งเดือดป่าแป๋ ที่นี่เป็นแหล่งน้ำพุร้อนไกเซอร์ (หรือเกย์เซอร์ หรือกีเซอร์ก็ได้ แล้วแต่ใครจะเรียก แต่เราเรียกไกเซอร์ตามตำราวิชา สปช.ที่เคยเรียนตอนเด็กๆ) พอแวะจ่ายค่าธรรมเนียมกับเจ้าหน้าที่ก็ต้องประหลาดใจเมื่อพบว่า เราคือนักเดินทางสองคนแรกที่มาเยือน หลังการล็อคดาวน์ เขาเพิ่งเปิดวันนั้นเป็นวันแรก (1 สิงหา 63) โอ้ว ความบังเอิญ และความพรีเมียมนี้ แล้วไม่โทร.เช็คก่อนด้วยนะ ถ้ามาไวกว่านี้วันนึงก็แห้วสิครับ

เราทั้งสองคนเพิ่งเคยมาโป่งเดือดป่าแป๋เป็นครั้งแรก บริเวณให้บริการแช่น้ำร้อนทำไว้ดีมากเลย แต่ยังปิดอยู่หลายบ่อมากๆ มีเปิดแค่บ่อแช่เท้าเท่านั้น ถ้าบ่อเปิดให้บริการทั้งหมด แล้วอากาศดี แดดอ่อนสวยๆ ได้แช่ออนเซ็นในอ้อมกอดภูเขาคงจะฟินซะไม่มี เราสองคนเดินเท้าในเส้นทางศึกษาธรรมชาติไปชมตาน้ำพุร้อนก่อน เส้นทางนี้สามารถเลือกเดินได้ 2 แบบ คือจากป้อมเจ้าหน้าที่แล้วเดินเท้าเข้ามาเลย จะได้เดิน 1.55 กม. แต่แบบของเราคือขับรถเข้ามาจอดบริเวณบ่อแช่น้ำร้อน แล้วเดินเข้าไปชมตาน้ำพุ เส้นทางจะสั้นกว่า แค่ 550 ม. เท่านั้น แน่นอนเราเลือกทางสั้นเพราะว่าบาดเจ็บอยู่ ต่อให้ไม่บาดเจ็บก็ขี้เกียจเหอะ แม่คุณ จะเพราะความหน้าฝน หรือความโควิด หรือสองอย่างรวมกัน ป่าสวยจนน่าตะลึงมาก ทางเดินคอนกรีตที่ยกสูงขึ้นเหนือพื้น ปกคลุมไปด้วยมอสสีเขียวอ่อนสดใส ทูนในวัยสาวแต่งตัวได้เหมือนคุณป้าชาวญี่ปุ่นสุดๆ เราเริ่มรู้สึกว่าทูนกับซีนต่างๆ ที่ได้เจอ ชักคล้ายๆ การ์ตูนจิบลิเข้าไปทุกที

น้ำพุร้อนโป่งเดือด เดือดสมชื่อเพราะอุณหภูมิ ณ ปากบ่อสูงถึงเกือบ 100 องศาเซลเซียส ไอน้ำอวลด้วยกลิ่นกำมะถันลอยสูงขึ้นสู่ยอดไม้ เจือจางแสงสว่างยามใกล้เที่ยงให้ดูฟุ้งๆ ฝันๆ เราเดินไปอังไอน้ำพร้อมบอกทูนว่ามันเป็นเคล็ดลับความงามของชั้น (ถ้าเธอรู้จักชั้นจะรู้ว่ามันไม่เวิร์ค) แต่หลังเที่ยงแล้วไอกำมะถันมันจะร้อนเกินออกไปทางเป็นพิษแล้วจะไม่ดีต่อร่างกาย อันนี้ไปจำมาจากนู่น ตอนไปสุมาตรานู่น ไม่รู้เมืองไทยเหมือนกันรึเปล่ามั่วไปก่อน ทูนบอก เหลืออีกสองนาทีเที่ยง รีบๆ ไปอังเร้วววว

เดินโขยกเขยกออกจากบ่อน้ำพุ ก็ได้เวลาแช่ขา เราต้องแช่อย่างระมัดระวังไม่ให้บาดแผลเก่าใกล้น้ำ ทูนซึ่งเป็นพลขับในช่วงต่อไปต้องระวังไม่แช่นานเกิน เพราะการแช่น้ำร้อนจะทำให้เลือดไหลเวียนดีขึ้นแล้วมันนำไปสู่ความง่วง ไม่รู้ทำไมแหละ แต่แช่ทีไรง่วงทุกทีสิน่า

ออกจากโป่งเดือดป่าแป๋ เรากลับสู่เส้นทางเก่าได้ไม่นาน ก็แวะชมวิวที่จุดชมวิวกิ่วลมแห่ง อช. ห้วยน้ำดัง จุดชมวิวที่นี่คือสวยอลังการเสมอ แถมด้วยอากาศที่เย็นเป็นพิเศษ ไม่ว่าที่อื่นจะเป็นฤดูไหน แต่ที่นี่เหมือนอยู่ในหน้าหนาวตลอดกาล หมอกเย็นๆ ไหลข้ามสันเขาไปมา ทำให้เรารู้สึกอยากวิ่งไปหยิบเสื้อมาใส่ทับ ผู้คนน้อยแสนน้อย และที่นี่เองก็เพิ่งจะเปิดเหมือนกัน เลยไม่มีอาหารที่เรากำลังต้องการกันอย่างจริงจัง สุดท้ายเราหากาแฟเย็นกินลูบท้อง ดูวิวให้มันฝังลงในซีรีบรัมนานพอควร แล้วก็เดินทางต่อ ตั้งใจว่าจะมองหาร้านอาหารข้างทาง แต่ไม่เจอเลย สุดท้ายก็ต้องไปกินที่ปายนั่นเอง

ปายเงียบจัดๆ 

หน้าฝนปกติปายจะคนน้อยอยู่แล้ว แต่ตอนนี้คนยิ่งน้อยไปกว่านั้นอีก เราแวะกินข้าวร้านแรกที่รู้จักและเปิดให้บริการคือบุระลำปายที่สะพานประวัติศาสตร์ ซึ่งในยามนี้มีแค่เมนูง่ายๆ ให้เลือกไม่กี่เมนู แดดออกแจ่มแจ๋จนร้อน ชะเง้อมองเหมือนไม่เห็นพี่แจ๊ค สแปโรว์หัวสะพานที่เคยเจอทุกครั้งที่มาปาย ทูนซึ่งกำลังทำความรู้จักกับเมืองดังแห่งนี้ กลับสร้างความทรงจำของตัวเองแบบที่ไม่เหมือนชาวบ้านเขา

ปายนี่เป็นเมืองเงียบๆ เนอะ

เอ่อ ไม่เงียบนะทูน ปกติคนนี่แน่นไปนู่นนนน เบียดกันแย่งวิวจะตาย

จะบ้าเหรอพิน มันจะไปเยอะแบบนั้นได้ไง ดูซิเนี่ยโล่งซะ จะไปเอาคนจากไหนมาแน่น

เราก็เถียงกันแบบนี้ทั้งทริป

ท่องเที่ยวหน้าฝนเป็นเรื่องของจังหวะ เรามีที่ที่อยากไปอยู่ในลิสต์ วันแรกมาถึงฟ้ายังเปิดเราไปที่ที่ลำบากก่อนเลย เผื่อฝนตกทีหลังจะได้ไม่เสียดายเพราะเก็บไปก่อนแล้ว หลังกินอาหารเสร็จเราไปเช็คอินที่พักที่จองมาก่อนเพียงคืนเดียว เบลล์วิลล่า เป็นรีสอร์ทขนาดใหญ่ที่เราเคยมานอนช่วงหน้าโลว์มาก่อน รักการดั๊มพ์ราคาของที่นี่มาก ครั้งนี้ก็ได้ราคาแบบหน้าโลว์มาอีก เราเลือกพักบ้านเป็นหลังๆ หันหน้าเข้าหาทุ่งหญ้า ทั้งโรงแรมมีคนมาพักแค่สามห้องเท่านั้น สู้เค้านะเบลล์ เราเอาใจช่วย พักผ่อนในบ้านราวเกือบชั่วโมง ก็ได้เวลาออกไปซิ่งกันต่อเลย 

ที่แรกที่จะพาทูนไปคือสะพานไม้ไผ่โขกู้โส่ซึ่งทางขึ้นโหดเอาเรื่อง ทั้งชันทั้งแคบ มีช่วงถนนพังๆ ด้วย เราเคยจะบิดมอไซขึ้นแต่ใจไม่ถึง ต้องรอปีถัดไปเอารถยนต์ขึ้นจนได้ จนมาถึงตอนนี้ก็เรียกได้ว่าสนิทกันดี จำทางได้หมดละ เรามาจากกรุงเทพที่ฝนตกกระหน่ำมาตลอด ก็พบว่าที่ปายนี่ฝนตกน้อยไป ทำให้ทำนาได้ช้ากว่าปกติมาก ความสวยงามของสะพานโขกู้โส่คือนาข้าวเขียวๆ เบื้องล่าง แต่คราวนี้ข้าวไม่เยอะอย่างที่ควร ถึงอย่างนั้นก็แลกกันได้กับความสงบเมื่อแทบไม่มีนักท่องเที่ยวอื่นเลยนอกจากคนไทยกลุ่มเดียวที่พาลูกเล็กเด็กแดงมาวิ่งเล่นอยู่

ในเวลาปกติ สะพานนี้จะถูกดูแลซ่อมแซมอยู่เสมอ แต่ในยามโควิด สัมผัสได้ถึงความกรอบแห้งของพื้นไม้ไผ่เลยบอกทูนว่าให้เดินตามรอยตะปูนะ มันจะตอกลงตงและกระจายสู่คานรับน้ำหนัก อย่างน้อยก็ปลอดภัยไว้ก่อนชั้นหนึ่ง เล่าให้ทูนฟังว่า ฝรั่งมันเดินเท้าเบาแบบคนไทยไม่เป็นนะ ในเวลาปกติ มาที่นี่จะต้องเจอผู้คนเยอะแยะ แย่งวิวกันถ่ายรูป เนื่องจากสะพานไม่มีราวกั้น เวลาสวนกับฝรั่งทีจะหวาดเสียว เพราะมันเดินกระแทกเท้าปั้กๆๆ ลงบนพื้นไม้ไผ่สานบอบบาง ทูนหัวเราะ ไม่เชื่อว่าคนมันจะมาเบียดกันได้ซักแค่ไหนเชียว ดีว่ามีฝรั่งกลุ่มหนึ่งเพิ่งมาถึงก็ขึ้นมาเดินกระทืบเท้าโชว์เป็นตัวอย่างประกอบคำบรรยายทันทีเหมือนโทรเรียกมา

มองไกลๆ เห็นเกษตรกรยังคงไถนาเตรียมแปลง ต้นกล้าสีเขียวเข้มรวมตัวแน่นอยู่บิ้งหนึ่ง รอเวลาปักดำ อากาศฉ่ำฝนอบอ้าว เราบ่ายหน้าลงเขาอย่างสบายๆ สองข้างทางเปลี่ยนไปพอสมควรเท่าที่จำได้ ที่เนินไร่หนึ่งที่บังเอิญมีวิวสวยมาก เราเคยจอดมอเตอร์ไซค์แวะถ่ายรูปบ่อยๆ ตอนนี้มีเรือนไม้ขึ้นโครงไว้เกือบเสร็จแล้ว น่าจะกลายร่างเป็นร้านกาแฟทันทีที่นักท่องเที่ยวกลับมา ถนนเส้นตั้งแต่ปากทางหมู่บ้านแพมบกขึ้นสู่สะพานโขกู้โส่เป็นเส้นหนึ่งที่ขับยากและอันตรายมากในปาย เพราะว่าปกติจะเต็มไปด้วยมอเตอร์ไซค์ของนักท่องเที่ยวและคนท้องที่ ทั้งที่สายแว้นฟ้าประทาน ขับกันอย่างโหด แล้วก็พวกที่ขับง่อกแง่กๆ ไต่เนิน กลางทางยังมีน้ำตกแพมบก ที่ปกติฝรั่งจะลอยตัวเกลื่อนเต็มท้องน้ำ แล้วขึ้นมาขี่มอเตอร์ไซค์ต่อทั้งๆ ที่ตัวยังเปียกๆ รถล้มนี่เป็นเรื่องปกติ เคยมีอยู่ครั้งที่ออกปากเตือนว่ายูอย่าไปต่อเลย หันกลับเถอะ เขาไม่เชื่อแล้วก็ล้มกันคาตาก็เจอมาแล้ว เอาเป็นว่า ไม่แกร่งจริงโปรดใช้บริการรถรับจ้าง หรือขับรถยนต์เองจะดีที่สุด (ไม่ต้อง 4×4 ก็ขึ้นได้จ้ะ แค่ไปช้าๆ มีสมาธิหน่อย)

เรามาถึงกองแลน หรือฝรั่งรู้จักในนามปายแคนยอนก่อนหกโมงเล็กน้อย ทันเวลารอดูพระอาทิตย์ตก ซึ่งฟ้าหลัวซะจนไม่เห็นอะไร แต่กองแลนตอนคนน้อยนี่ชิวมาก กองแลนเป็นแคนยอนที่สูงมาก ทางเดินก็แหม.. มันไม่ใช่ทางให้เดิน แต่คนมันจะเดินอะนะ นึกถึงเวลาปกติ คนขึ้นมามากๆ แต่ละคนก็อยากเดินหาวิวของตัวเอง มันก็เกิดเป็นการไต่สำรวจเกิดขึ้น เราไม่รู้ว่าเคยมีอุบัติเหตุบ้างรึเปล่า แต่การจินตนาการถึงก็ไม่ใช่เรื่องยากเลย กองแลนในตอนนี้ มีผู้คนอยู่บ้าง แต่ไม่หนาแน่น วิวเด็ดชะง่อนผาที่เคยต่อคิวกันถ่ายรูปว่างโล่งๆ ฝรั่งสองสามหย่อม นั่งเก้าอี้ใต้ร่มไม้ ต่างคนต่างก้มหน้าเล่นมือถือกับบรรยากาศสบายๆ เราสองคนขี้เกียจเดินเลยหาจุดที่ลมพัดเย็นๆ ยืนชมบรรยากาศ มีสาวเอเชียสองคนไต่ทางเดินชันๆ ไปมาอย่างคล่องแคล่วด้วยรองเท้าผู้หญิงแบบสวมมีเสริมส้นตึกราวนิ้วนึงอีกต่างหาก อยากรู้ยี่ห้อรองเท้าเลย ตอนที่สองสาวอยู่บนยอดของกองดินลูกข้างๆ เราซึ่งยืนมองอยู่ พบว่ามันสวยมากซะจนออกปากขอถ่ายรูปให้ จากนั้นก็แอดไลน์แล้วส่งรูปให้พวกเธอทางไลน์ ปรากฎว่าเธอเป็นคุณครูสอนภาษาชาวเกาหลีที่อาศัยอยู่ในกรุงเทพฯ มาตลอดตั้งแต่ก่อนมีโควิด ทูนเก่งมาก พูดเกาหลีกับเขาได้ด้วย เราคิดว่าเรื่องภาษานี่ ถ้าเราสื่อสารในหัวข้อที่ต่างคนต่างสนใจ การใช้ภาษาก็จะง่ายขึ้น สรุปพวกนางคุยเรื่องโอ๊ปป้ากันจ้ะ สนใจเรื่องผู้ชายกัน นับว่าเป็นแรงกระตุ้นที่ดีในการเรียนภาษาสินะ

ยามค่ำคืนค่อยๆ คืบคลานเข้ามา เราย้ายตัวเข้าเมือง เป้าหมายคือหาอาหารเย็นและเดินถนนคนเดิน ถนนคนเดินปายที่เคยปิดถนนและหนาแน่นไปด้วยคนซื้อคนขาย ตอนนี้เปิดเพียงร้านที่มีหน้าร้านอยู่ติดถนนเท่านั้น ถนนไม่ได้ถูกปิด แต่ก็มีรถสัญจรน้อยมาก คงเป็นความเคยชินที่เขาไม่ขับรถผ่านเส้นนี้ตอนค่ำกัน เรากินอาหารเหนือที่ร้านดวง อยู่หัวมุมสี่แยก นั่งติดหน้าต่างที่ร้านวางขายมะนาวแป้นพิจิตร นั่งกินไปก็ตะโกนขายมะนาวแป้นช่วยร้านทำมาหากินไปพลาง ฝรั่งหล่อใสๆ คนหนึ่งเดินมาซื้อมะนาวแป้น “ฟอร์มายบิวตี้” ฮีบอกพลางลากปลายนิ้วจากติ่งหูมาถึงลำคอ กินอิ่มหนำแล้วก็ไปเดินเตร่ๆ บนถนนคนเดินที่เงียบเหงา พ่อค้าแม่ค้ายังยิ้มสู้ผ่านหน้ากากลายสวยๆ และบอกว่า นี่ก็เพิ่งกลับมาเปิดร้านกันค่ะ แต่ปลายถนนช่วงที่เป็นเกสต์เฮาส์ฝรั่ง สายเมาสายควันสุมรวมตัวกันอย่างไม่แคร์เชื้อโรคก็มีให้เห็นอยู่หลายร้าน 

คืนนั้นเข้านอนอย่างผาสุก ฝนเริ่มตกจากบางๆ จนเริ่มหนาเม็ดขึ้น น้ำฝนไหลผ่านผนังกระจกบริเวณที่นั่งเล่นสะท้อนแสงไฟเป็นประกาย ที่นั่งตรงนั้นสบายจนอยากแซะกลับไปติดที่บ้าน ต้นไม้ใหญ่ด้านนอกโดนน้ำจนใบเปียกโน้มลงลูบแผ่นกระจกตามแรงลมพัด นักเดินทางนอนไม่ดึก เพราะอยากตื่นไปดูพระอาทิตย์ขึ้นในวันถัดไป

วันที่สอง  

เราสองคนตื่นแต่มืด เราขับรถฝ่าหมอกบางๆ ยามเช้ามุ่งหน้าสู่หมู่บ้านสันติชล จุดชมวิวทะเลหมอกหยุนไหล เป็นจุดที่ต้องขับ (หรือเดิน) ขึ้นสูงจากหมู่บ้าน โดยระยะทางไม่ไกล แต่แคบและชัน แถมยังต้องขับผ่านบ้านของชาวสันติชลหลังแล้วหลังเล่าโดยมีทั้งแผงขายของ ผู้คนเดินเท้าและรถราน่าหวาดเสียว ปกติทุกครั้งเราจะจอดรถแถวศาลเจ้าแล้วขึ้นสองแถวของชาวบ้านขึ้นไป ครั้งนี้ด้วยความนิวนอร์มัล หาข้อมูลมาก่อนพบว่า เนื่องจากนักท่องเที่ยวมีจำนวนเล็กน้อย เขาเลยไม่มีรถสองแถวบริการ ให้ขับขึ้นไปได้เองเลย อาศัยว่าจำทางได้พอสมควรเลยไม่ต้องลังเล อัดขึ้นไปพรวดเดียวถึง ขาสั่นเล็กๆ พอเป็นการให้เกียรติดอย

ข้างบนมืดสลัว ฟ้ายังไม่สว่าง แต่ไฟทางที่เคยเปิดก็มีอยู่น้อยมาก มีคนขึ้นไปถึงก่อนเราแค่ไม่กี่คน แต่อาแปะที่เก็บค่าชม 20 บาทแกก็มาแล้ว เราสั่งโอวัลตินร้อนคนละแก้ว แล้วไปนั่งรอพระอาทิตย์ขึ้น 

เช้านั้นมองจากที่สูงเห็นเมฆหมอกปกคลุมเมืองเบื้องล่าง อากาศชื้นสุดๆ คนค่อยๆ มาสมทบเพิ่มเติม แต่ก็นับว่าบางตามากสำหรับที่นี่ซึ่งปกตินี่เบียดกันถ่ายรูปเลยนะ ความคืบหน้าจากครั้งหลังสุดที่เรามาเยือนคือ ตอนนี้เขามีบ่อปลาคาร์ฟด้วย คือก็สวยดีนะปลาสีส้มๆ ขาวๆ ฝูงโตที่ดูหิวตลอดเวลา แต่แบบ งงๆ นิดนึงว่ามีบ่อปลาคาร์ฟ อยู่ตรงยอดเขาที่ขึ้นมาชมวิวพระอาทิตย์ขึ้นนี่เหรอ มันเกี่ยวกันตรงไหนฟะ พอถ่ายรูปไปซักพักเริ่มรู้สึกว่า เออ จะว่าไปก็เข้าท่าเหมือนกัน ตากล้องเก่งๆ คงหยิบฉวยเอาฉากบ่อนี้ไปถ่ายรูปเจ๋งๆ ได้อีกเพียบ 

ลมพัดหมอกลอยข้ามเขาลูกแล้วลูกเล่า ป้ายวิวพ้อยต์ว่างเปล่า นานๆ จะมีคนเดินไปถ่ายรูปที มีคนเอาโดรนมาขับถ่ายรูปหนึ่งลำถ้วน วันนั้นลมสงบดี คงขับสบาย ก็ดีใจด้วยละกัน (จากใจคนกลัวโดรนจะตก เลยไม่เอามาขับแม่มเลย ซื้อมาใส่ตู้ไว้เฉยๆ)

เจ็ดโมงหน่อยๆ เราก็ลงจากดอย จะกลับไปกินอาหารเช้าก่อนค่อยเช็คเอาท์ เราจะอยู่ปายอีกคืนแต่ด้วยความอยากกระจายรายได้สู่ชุมชน เราเลยจะเปลี่ยนที่กินและที่นอนให้มากที่สุด ก่อนลงสู่ถนน เราแวะสำรวจที่พักอีกแห่งที่ชื่อบ้านดาหลาซึ่งอยู่ระหว่างทาง ลงจากบ้านสันติชลมาไม่ไกลมาก ถ้าอยากขึ้นยุนไหลแล้วขี้เกียจตื่นเช้า ที่นี่เหมาะมากเลย บ้านพักจะเป็นบ้านแฝดที่ไม่รู้สึกรบกวนกันมาก ระเบียงห้องหันไปหาทิศตะวันออกและท้องนาแต่ตอนนี้ที่เราไปยังไม่มีต้นข้าว แต่ถ้ามีต้นข้าวแล้วพระอาทิตย์ขึ้นตรงหน้า คิดดูจะเลิศขนาดไหน บริเวณสวนด้านในจัดไว้สวยงามเขียวขจีไปหมด แต่ทางเข้าถนนพังโหดนิดนึง ไม่ควรจะผลุบเข้าออกบ่อยๆ และไม่เหมาะกับรถโหลดนะจ๊ะ สัญญาณมือถืออ่อนด้วย ค่าที่พักหลักร้อยเท่านั้น สุดท้ายเราไม่ได้พักที่นี่ แต่หมายตาไว้ว่าคราวหน้าจะมานอนซักคืน

ที่เบลล์ เนื่องจากมีลูกค้าแค่ 3 ห้อง อาหารเช้าเลยเป็นการให้เลือกเซ็ตเมนูแล้วทำมาเสิร์ฟ จัดโต๊ะนั่งเดี่ยวหันหน้ามองทุ่งหญ้ายามเช้าจะว่าไปอีโซเชียลดิสแทนซิ่งนี่ก็ชิลไปอีกแบบนะสำหรับพวกอินโทรเวิร์ทอย่างเรา

วันนี้เป็นวันสบายๆ พอกินอาหารเช้าเสร็จ ฝนก็พรำลงมาบางๆ เราสองคนกลับไปเก็บของและงีบอีกเล็กน้อยชดเชยที่ตื่นเช้า เช็คเอาท์สิบโมง แล้วลองไปแวะ Coffee in love ร้านดังไอคอนแห่งปายที่คนแน่นตลอด ไม่เคยได้รับความสงบสุขอะไรทั้งนั้น แต่ครั้งนี้แตกต่าง ร้านโล่งๆ มีหนุ่มฝรั่งสาวไทยจับจองมุมหนึ่งอยู่ก่อน ตาฝรั่งรื่นรมย์เลยเถิดไปหน่อย ร้องเพลงหงุงหงิงไม่ยอมหยุด แต่ไม่นานก็จ่ายตังค์แล้วออกจากร้านไป เรากับทูนตอนแรกตั้งใจจะมาแวะแป๊บเดียว แต่แล้วเราก็นั่งลงที่โต๊ะมุมทำเลทองที่สุดของร้าน สั่งทั้งกาแฟและซอฟต์ครีม แล้วนั่งดูวิวอลังการนั่นแบบไม่มีใครรบกวนเป็นเวลา 1 ชม.เต็มๆ มั่นใจว่าถ้ามาที่นี่อีกหลังโควิดจบลง จ้างให้ก็ไม่ได้แบบนี้อีกแล้วแหละ

ฝนเริ่มหนาเม็ดเหมือนพยายามจะสำแดงเดชว่า พวกเอ็งมาเที่ยวหน้าฝนนะเห้ย เรารู้ดีเพราะเราตั้งใจมาเองแหละ เลยไม่ได้ยี่หระอะไรแล้วเดินทางต่อ ยังมีอยู่ที่นึงที่เราไม่เคยไปเนื่องจากหมั่นไส้ที่ฝรั่งมันจับจองลอยฟ่องกันตลอดเวลา คือโป่งน้ำร้อนไทรงาม ที่ต้องขับไปทางแม่ฮ่องสอนอีกเกือบยี่สิบ กม. ทางเข้าเป็นถนนสายน้อยๆ พุ่งลึกเข้าไปในป่าที่เต็มไปด้วยต้นไม้ร่มครึ้ม ตอนเราไปถึงฝนยังตกอยู่ แต่ต้นไม้สูงใหญ่ใบหนาซะจนเหมือนจะบังฝนให้เราไปครึ่งค่อนได้

ในบ่อและลำธารน้ำอุ่นไม่มีฝรั่ง แต่มีคนมาก่อนแค่แก๊งหนุ่มๆ หัวเกรียนแก๊งเดียวกำลังแช่น้ำอุณหภูมิอุ่นพอเหมาะ น้ำใสปิ๊งอย่างสบายอารมณ์ เสียดายที่สุดที่เข่าดันเป็นแผล ไม่งั้นเรานี่แหละจะไปแหวกว่ายอยู่ในนั้นอีกคน โป่งน้ำร้อนนี้เจ๋งมากจริงๆ น้ำไหลเวียนตลอดเวลา ทำให้สะอาดใส และมีความอุ่นที่กำลังสบาย เหมือนได้แช่สระว่ายน้ำปรับอุณหภูมิพร้อมกับอากาศเย็นๆ รอบๆ ทูนนั่งกางร่มแกว่งขาเตะน้ำ ไม่มีอะไรจะเหมือนคุณป้าญี่ปุ่นในการ์ตูนจิบลิเท่านี้แล้ว เรานั่งเล่นและเดินเล่นรอบๆ จนฝนเริ่มตกหนักขึ้นทะลุใบไม้ลงมาปุปะๆ พร้อมกันกับความหิว ก็เลยออกเดินทางกันต่อ

สำหรับคนอื่นแบ่งปายยังไงไม่รู้ แต่สำหรับเราจะแบ่งปายเป็นโซนๆ ตามประสบการณ์ที่เคยร่อนเร่ไปเจอมา

  1. ปากทาง เข้ามาถึงเจอก่อนเลยคือสะพานประวัติศาสตร์ น้ำพุร้อนท่าปาย ปางช้าง ร้านอาหารกลุ่มบุระลำปาย ที่ขายของฝากเสื้อย่งเสื้อยืด บริเวณนี้มีที่พักหลายแห่ง เป็นที่ลุ่ม จุดเด่นคือใกล้แหล่งน้ำร้อน บางที่พักกาลักเอาน้ำร้อนเข้าไปให้แช่กันถึงห้องด้วย ที่พักไฮโซอยู่แถวนี้ก็เยอะ เดินทางต่ออีกหน่อยก็จะเจอกองแลน
  2. ขึ้นเขาเข้าป่าที่แพมๆ เลี้ยวออกจากถนนใหญ่ เดินทางบนถนนเส้นน้อยผุพังเป็นระยะ จะเจอกับแผ่นดินแยก (สวนที่เกิดแผ่นดินแยกจนทำสวนต่อไม่คุ้ม เลยเปิดเป็นที่ท่องเที่ยวซะเลย) น้ำตกแพมบก สะพานไม้ไผ่โขกู้โส่ ของกินร้านกาแฟมีบ้างประปราย ที่พักในเส้นนี้น่าจะยังมีน้อย
  3. ใจกลาง จริงๆ Coffee in love ไม่ได้อยู่ในเมืองนะ แต่อยู่บนเนิน ก่อนเข้าเมืองไม่นาน ความรู้สึกก็อยากจะรวมร้านนี้เข้าไปกับกลุ่มใจกลางเมืองด้วย บริเวณใจกลางก็จะเต็มไปด้วยที่พัก และร้านรวง มีถนนคนเดิน มีแม่น้ำปายไหลผ่าน วิวแม่น้ำสวยๆ มีทั่วไปหมด มีวินรถตู้ ร้านเช่ามอไซ ฯลฯ มีทุกอย่างยกเว้นที่จอดรถที่ดี ไฟแดงเยอะเวอร์ด้วย  
  4. ทางไปพระธาตุแม่เย็น ออกจากเมืองมุ่งหน้าไปทางตะวันออกเฉียงใต้ อีกฝั่งของแม่น้ำ ด้านนี้จะเป็นเขาสูง มีร้านอาหาร มีที่พักแนวฝรั่งๆ ราคาถูกๆ เยอะ มีท้องนาสวยด้วย ถ้าเป็นเวลาปกติขับรถมาทางนี้ต้องระวังมากๆ เพราะฝรั่งจะเดินเท้าบนถนนไม่มีไหล่ทางกันเป็นปกติ
  5. ขึ้นเหนือเลียบแม่น้ำปาย ถ้าไปทางเดียวกับพระธาตุแต่เลี้ยวซ้ายก่อน จะเป็นเส้นที่เลียบแม่น้ำปายขึ้นไปทางทิศเหนือ กลุ่มนี้จะคนน้อยกว่าบริเวณอื่น แต่ก็มีที่พักหลายแห่งกับร้านกาแฟเหมือนกัน ถ้าขับรถไปจนถึงบ้านตาลเจ็ดต้นแล้ววนซ้าย จะขับเลียบแม่น้ำปายอีกด้านกลับสู่ใจกลางเมืองผ่านด้านหลังของสนามบินด้วย เนื่องจากยังไม่มีที่พักกันสำหรับคืนนี้ เรานำเสนอบริเวณทิศเหนือของปายนี่แหละ เพราะจำได้ว่าเขามักจะทำนากันเป็นทิวสวยมาก 

คิวเราเป็นพลขับ ขับไปก็เหล่ดูที่พักไป เจอที่น่าสนใจอยู่สองสามที่เรียงกัน เรามีเงื่อนไขสำคัญอยู่แค่ข้อเดียวคือขอเตียงทวิน ยังไม่ทันได้ตัดสินใจก็หิวก่อน ตรงตีนสะพานบ้านตาลเจ็ดต้นมีป้ายร้านอาหารเห็นเด่นชัดอยู่สองร้าน เราเลือกได้ร้านหนึ่ง เพราะอีกร้านเขียนชื่อร้านด้วยตัวหนังสือแนวสยองขวัญ (ซึ่งขำกันอยู่พักนึง ขอบคุณนะที่ช่วยสร้างความขบขัน) ทำเลอยู่ริมน้ำ บรรยากาศดีมากๆ ที่นั่งเรียงรายยาวเป็นแถวมีทั้งนั่งโต๊ะ และนั่งพื้นแถมเปลยวน แต่มีลูกค้าอยู่ก่อนแค่โต๊ะเดียว ฝนยังคงพรำๆ ตลอด ช่างน่านอนซะจริงๆ เสียดายรสชาติอาหารไม่ค่อยถูกปากเท่าไหร่ ถ้าให้วิจารณ์ก็คงรู้สึกเหมือนเขาทำอาหารรสอ่อนให้ฝรั่งกินจนชิน อะไรทำนองนั้น

บ่ายนั้นเราเลือกที่พักได้สำเร็จ (ซะที) เป็นลูกค้าห้องเดียวของที่ At Pai พนักงานดูตื่นเต้นดีใจ เราแวะดูอีกที่ใกล้ๆ กันด้วยแต่ไม่ได้เลือกที่นั่น ซึ่งถ้าเราเลือกเราก็จะเป็นลูกค้าห้องเดียวของเขาเช่นกัน นี่เห็นใจมากจริงๆ นะ ยังคุยกันอยู่ว่าแยกกันนอนไหมล่ะ ช่วยอุดหนุนรีสอร์ทละห้อง แต่เราก็งกเงินที่หายากของเราเช่นกัน ก็เลยเลือกแอทปายที่ดูโปร่งตามากกว่า พอเราเข้าที่พักได้ไม่นาน ฝนที่ตกหยิมๆ มาตลอด ก็ตัดสินใจเทกระหน่ำ ทำให้เราปิดทริปของวันที่สองไว้ที่ตรงนี้เลย นอนยาวยันเย็น

ก่อนค่ำเราเพิ่งรู้ตัวว่าลืมที่ชาร์จมือถือไว้ที่เบลล์เลยขับรถกลับไปเอา แล้วขับกลับมารับทูนไปหาอาหารเย็น ฝนไม่เบาบางลง สงสารร้านค้าที่ถนนคนเดิน คงต้องนั่งเหงาไปอีกวัน ค่ำนี้เรากินมื้อเย็นกันที่ร้านอาหารบ้านปาย ซึ่งดูคึกคักกว่าร้านอื่น มีลูกค้าหลายโต๊ะเลยทีเดียว อาหารก็ใช้ได้ แต่จิ้งจกกัดกันดุเดือดมากที่ริมกำแพง นี่กินไปสะดุ้งไปกลัวน้องโดดทแยงมุมมาใส่ ขนลุก

ฝนตกตลอด และไม่มีทีท่าจะบางลง กินอิ่มกลับรีสอร์ท นอน

วันที่สาม

ถึงขามาจะแยกกันเดินทาง แต่เพื่อความสะดวกเราจองไฟลท์กลับไฟลท์เดียวกัน 

บินกี่โมงนะทูน สี่ทุ่มใช่มั้ย

อือ ทูนตอบมา

เนื่องจากฝนตกไม่ยอมหยุดทั้งคืน ตอนเช้ายิ่งหนักเข้าไปกว่าวันวาน เราตัดสินใจลงจากปายกันแต่เช้าเลย ไปลุ้นแดดเอาข้างหน้าก็ได้วะ เจ้าหน้าที่ของแอทปายฝ่าฝนไปหาอาหารเช้าที่รวมอยู่ในค่าที่พักหลักร้อยให้เรากินหลายอย่าง อร่อยด้วย กินจนอิ่มแปล้เลย แล้วเราก็เดินทางกันต่อโดยที่พี่ๆ เขายืนส่ง และอวยพรให้เดินทางโดยปลอดภัย

เราเป็นพลขับผลัดแรก ยิงยาวๆ ลงดอยท่ามกลางสายฝน ถนนมันเลื่อมและลื่นๆ ต้องอาศัยขับลงมาด้วยความชราจึงจะปลอดภัย แวะพักหนึ่งครั้งที่ร้านกาแฟ Coffee We / Witch’s House ซึ่งเห็นทุกครั้งที่เดินทางผ่านเพราะโดดเด่นมากด้วยรูปปั้นธีมแม่มดสีสันสดใส แต่ปกติรถบนถนนจะเยอะ ถ้าไม่ได้วางแผนว่าจะแวะไว้ก่อน จะเลี้ยวจอดไม่ทัน เพราะอยู่ตรงโค้งขณะกำลังลงเขาเลย แต่คราวนี้ถนนโล่งๆ เลยลองแวะดู เป็นที่พักระหว่างทางที่ใช้ได้เลย (แต่ห้องน้ำเดินลำบากนิดนึง อันนี้ความเห็นส่วนตัวจากคนขาเดี้ยง (ที่ขับรถได้) นะ)

เนื่องจากเราสองคนไม่ได้มีแผนอะไรสำหรับวันนี้เลย มีแค่จะพาทูนไปปล่อยกาดวโรรสซื้อแคบหมูกับไปเก็บตกวัดที่ทูนอยากไป เลยลองนำเสนอทูนว่า มีอยู่ที่นึง ปกติต่อคิวกันนานเลยไม่เคยได้เล่น จังหวะนี้แหละวะ เวลาของเรา ไปเล่นจังเกิลโคสเตอร์ที่แม่ริมกันไหม ทูนโอเค นิวนอร์มัลเช็คกิ้งแล้วพบว่ายังเปิดอยู่ ไปก็ไปวะ

ระหว่างทางฝนยังตกอยู่เรื่อยๆ ตลอดเวลา แต่พอถึงแม่ริม มันบางลงหน่อย เจ้าหน้าที่บอกเล่นได้ แต่ถ้าตกเยอะกว่านี้จะไม่ให้เล่น เราสองคนซื้อตั๋วคนละ 150 บาท แล้วก็เดินอาดๆ ไปขึ้นเครื่องเล่นได้เลย ไม่มีคิว ไม่มีลูกค้าอื่นอีก ใช้เวลาทั้งหมดประมาณ 2 นาทีถ้วน สนุกใช้ได้เลย ได้หวีดเบาๆ ไปเหมือนกัน เสียดายฝนตก หน้าเหน้อหัวเหอนี้เปียกไปหมด ทูนอยากเล่นซิปไลน์ด้วย แต่ตัดสินใจไม่เล่นเพราะกลัวจะเปียกไปมากกว่านี้ ได้แต่หมายตาว่าวันหลังจะกลับมาล้างแค้นเล่นให้ครบ แต่แบบไม่มีคิวคงไม่มีอีกแล้วนะเราว่า

เรากินมื้อเที่ยงเลทนิดๆ กันที่ร้านโปรดของเรา โป่งแยงแอ่งดอย หลังจากที่พยายามหาร้านโลคอลเล็กๆ เพื่อจะช่วยอุดหนุน แต่สายป่านคงยาวไม่พอจะลากทะลุฤดูโควิดอันยาวนาน พากันปิดหมด ที่โป่งแยงแอ่งดอยมีลูกค้าหลายโต๊ะ แต่เทียบกับขนาดร้านที่ทำมาเพื่อรองรับลูกค้าจำนวนมากกว่านี้สิบกว่าเท่าแล้วก็รู้สึกว่าคนน้อยมาก เราเลือกนั่งโต๊ะที่มีวิวลำธารกับสะพานข้ามน้ำ น้ำป่าเกิดจากฝนที่ตกต่อเนื่องกลายเป็นสีชานมเย็นไหลแรงโครมคราม นั่งมองพลางก็คิดว่ามันจะจู่ๆ โครมลงมาแล้วลากเอาตูไปด้วยไหมวะ

อิ่มหนำแล้ว คิวทูนขับพาเรามุ่งหน้าไปพระธาตุดอยคำ ซึ่งสำหรับตัวเราเองสักการะวัดวาด้วยกล้องและเลนส์ซะมากกว่า ท่ามกลางฝนปรอยๆ ถ่ายรูปไปก็ไม่สวย เลยตั้งหน้าตั้งตาตียิมโปเกมอนบนวัดพระธาตุดอยคำ ปล่อยให้น้องไหว้พระไป ตัวพี่ก็ทำร้ายสัตว์อย่างเมามัน ตีมันแล้วขังมันไว้ในบอลของเรา ยึดยิมมันด้วย ให้เหลืองไปทั้งดอย ฮ่าๆๆ 


เวลามีพอ เลยได้แวะวัดพระธาตุดอยสุเทพอีกแห่ง ระหว่างทางมีคนปั่นจักรยานขึ้น มีคนเดินขึ้นด้วย เราประหลาดใจ แต่ดูแล้วเหมือนเป็นสิ่งปกติของคนแถวนี้ เราเคยมาที่นี่แล้วตอนที่คนแน่นขนัด มาครั้งนี้ถึงกับลืมจับโปเกมอนไปเลย เพราะว่าวัดพระธาตุดอยสุเทพในวันที่หมอกลงจัด และมีผู้คนมาเยือนน้อยนิด ช่างสวยงามและสงบอย่างเหลือเชื่อ เป็นประสบการณ์พิเศษที่ขอบคุณตัวเองจริงๆ ที่ได้มาเห็น และขอบคุณทูนด้วยเพราะทูนเป็นคนที่อยากมา เจ้าหน้าที่หนุ่มน้อย เอาไม้ม็อบรีดน้ำค่อยๆ ดันน้ำออกจากพื้นอย่างเป็นจังหวะ ผู้มาสักการะเดินประทักษิณารอบๆ องค์เจดีย์ดูเลือนลางในหมอก ซึ่งยังทำให้เสียงกระดิ่งระฆังที่แหวกความเงียบนานๆ ครั้ง บางเบาลงกว่าปกติ ฝนยังคงโปรยเม็ดบางๆ และทุกอย่างเปียกชื้นไปหมด แต่กลับรู้สึกสบายๆ ออกจากองค์เจดีย์ เดินรอบๆ บนพื้นที่ลื่นมาก ต้องใช้ความระวังเต็มที่ วิวเมืองที่เคยยืนมองแน่นอนว่าขาวโพลนไปหมดแล้ว ถึงเวลาเย็นย่ำมากแล้วก็ต้องลงดอย แต่วันนั้นยังไม่อยากเลยจริงๆ  

ขาลงเราสลับมาขับ เพราะไม่อยากซื้อของอะไรกลับ เลยจะปล่อยทูนที่กาดวโรรส แล้วไปวนหาที่จอด นี่เป็นโปรโตคอลที่ดีในยามปกติ แต่ลืมไปว่าช่วงนี้อะไรๆ ก็กลับด้านกันหมด กาดจวนปิดแล้วตอนเราไปถึง และที่จอดก็หาไม่ยาก เลยจากจุดที่ปล่อยทูนลงนิดเดียวก็มีช่องให้จอด ที่ที่เคยคึกคักกลายเป็นเงียบเหงาชวนให้อ่อนใจอยู่เหมือนกัน เราชอบกาดวโรรส รักเอเนอร์จี้ของที่นี่ นอกจากอาหารดีๆ แล้ว เราชอบที่เราซอกแซกจนรู้ว่าก้นตลาดมีร้านขายดอกไม้ไฟเจ๋งๆ อยู่หลายร้าน ชอบร้านดอกไม้ด้านติดถนนฝั่งแม่น้ำที่คงเจอนักท่องเที่ยวมาเป็นล้านๆ คนแล้ว ก็เลยโกรธและโวยวายถ้าเราไปถ่ายรูปดอกไม้เขาโดยไม่ซื้อ ชอบร้านกาแฟวาวีริมปิงและไปรษณีย์ที่อาศัยจอดรถได้ (20 บาท) ยามที่กาดคึกคัก ก่อนมาเอารถแวะไปซื้อสแตมป์ได้อีก ตอนนี้ทุกอย่างเงียบสงบหมด เงียบจนอินโทรเวิร์ทต้องออกปากว่าเหงาจัง

ทวนกันแล้วว่าไฟลท์สี่ทุ่ม เราสองคนกะไปถึงสนามบินสองทุ่มสวยๆ เลยไปนั่งกินข้าวรอเวลาที่ร้านสวนผัก ซึ่งแน่นอนว่าโล่งๆ บรรยากาศเงียบสงบ กินไปนั่งคุยกันไปจนได้เวลาก็เดินทางไปสนามบิน เติมน้ำมันพร้อมคืนรถอย่างราบรื่น ยะทุกสิ่งแบบต่อนยอนๆ สมกับสถานที่ จนพบว่า แค่สองทุ่มต้นๆ เอง เคาท์เตอร์เช็คอินก็ขึ้นว่าปิดว่ะ ทำไมวะ

เราสองคนก้มหน้ามองมือถือของใครของมันพร้อมกัน ไถๆๆๆ ไปดูตารางบิน

ชิบหาย จำเวลาผิดพร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย ของจริงบินสามทุ่ม!

หลังจากหายตกใจแล้วก็ขำยาวๆ ขำมากๆ ขำไปเดินไปช่องขายตั๋วของเวียดเจ็ตที่มีไฟลท์ดึกเหลืออยู่ไฟลท์นึง พบว่า ซื้อหน้าเคาท์เตอร์ราคาแพงกว่ารถทัวร์นิดเดียว แล้วก็เพิ่งรู้ว่า คนเราเดินมาซื้อตั๋วเครื่องบินแล้วก็บินเลยได้ด้วยว่ะ 

จากนั้นเราก็ต่อนยอนๆ ไปนั่งรอหน้าเกตด้วยตัวเปียกชื้น บินกลับมาช้ากว่าแผนเดิม 1 ชั่วโมง โดยไฟลท์ที่ขึ้นนี้ บินเร็วกว่าตารางครึ่งชั่วโมงด้วยกัน (ซิ่งจุง) และนี่คือบันทึกความโล่งของการท่องเที่ยวในยุคโควิด สบายดีเหมือนกัน แต่จะให้ดีกลับมาเป็นแบบเดิมเร็วๆ ก็จะดีมาก สงสารคนทำมาหากินจะแย่แล้ว

สู้ๆ นะทุกคน เราจะผ่านมันไปให้ได้นะ