บ้านน้ำราบ ทะเลป่าเขาชมวิวแอดเวนเจอร์

สงกรานต์ปีนี้วันหยุดไม่เยอะ งบประมาณยิ่งน้อยไปกันใหญ่ ไปไหนไกลมากไม่ได้เลยลงใต้กับเพื่อนๆ โร้ดทริปไปเรื่อยแบบค่ำไหนนอนนั่น (แต่วางแผนเส้นทางคร่าวๆ กับจองที่พักไว้ก่อนแล้วอะนะ) ถึงจะออกแนวพเนจรแล้วก็ตัดสินใจกันไปเรื่อยๆ ว่าจะทำอะไรดี แต่สุดท้ายก็ได้เที่ยวได้เล่นหนำใจไปเลยเหมือนกัน บ้านน้ำราบก็เป็นอีกที่หนึ่งที่ไม่ได้อยู่ในแผนเลย ก็กุ๊กเกิ้นกันสดๆ โทร.ถามวิสาหกิจชุมชนล่องแพบ้านน้ำราบ ว่ามีเรือพาเที่ยวไหมแล้วก็มุ่งหน้าไปเลย

อยากรู้ว่าคนที่คิดไอเดียของการท่องเที่ยวทริปสั้นๆ ระยะเวลาราว 3 ชั่วโมงนี้เป็นใคร โคตรจีเนียสเลย แต่ก็ต้องยอมรับว่าที่ทำได้ก็เพราะทรัพยากรเขาดีด้วย มาดูกันว่า เราจะล่องเรือ เดินเขา เข้าป่า เดินเตะขาในน้ำทะเลได้ยังไงหมดในเวลาแค่ 3 ชั่วโมง ก่อนเดินทางมาถึงทางผู้ประกอบการแจ้งว่า พวกเราควรต้องมาถึงก่อนบ่ายสาม “เพราะแสงจะหมด” เราที่เป็นสารถี ขับรถเช่าติดฟิล์มกันแดดบางแสนบางผ่าเปลวแดดเดือนเมษาจากพัทลุงที่เกือบถึงขอบด้านอ่าวไทย ข้ามมาตรังที่เกือบถึงขอบด้านอันดามันด้วยหูที่อื้อไปหมดเพราะเปิดแอร์เบอร์เบาไม่ได้เลยตลอดทาง พวกเราสี่คนตัวเหนียวเหนอะขอเข้าห้องน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้ารองเท้าสักนิด ก็เดินตามสองหนุ่มที่รอเราอยู่แล้ว พลางบ่นพึมพำไปว่า มันจะแสงหมดได้ยังไง ขนาดผิวที่ฉาบด้วยกันแดด SPF50 ยังแสบผ่าวๆ อยู่ขนาดนี้ จากนั้นพวกเราก็ไต่สะพานลงเรือหัวโทงสีสวยมีหลังคาที่พาพวกเราล่องไปตามกระแสน้ำมุ่งหน้าเข้าสู่ป่าโกงกางหนาทึบกันทันที

สิ่งแรกที่ผู้นำทางพาแวะคืออุโมงค์ป่าโกงกาง และนี่เป็นสิ่งที่ทำให้เราต้องมาถึงก่อนบ่ายสาม เพราะว่าแสงกำลังลงสวยเชียว ถ้ามาเย็นกว่านี้ อุโมงค์นี้จะมืดทึบและกระแสน้ำขึ้นน้ำลงก็จะมีผลกับการเข้ามาเที่ยวในอุโมงค์ด้วย พี่คนขับกับน้องไกด์เด็กหนุ่มน้อยปล่อยพวกเราให้ถ่ายรูปกันอย่างสบายๆ พร้อมกับอธิบายประวัติของที่นี่ว่าจากที่เคยเป็นหมู่บ้านที่ตัดต้นโกงกางไปเผาถ่านขาย พวกเขาได้เปลี่ยนมาอยู่อีกฝั่ง กลายเป็นผู้อนุรักษ์ป่า จนป่าโกงกางที่นี่เติบโตหนาแน่น ยกพูรากสูงตามน้ำขึ้นน้ำลง บางกลุ่มก้อนก็ดูเป็นระเบียบ บ้างก็ดูระเกะระกะโก่งไปทางโน้น กางมาทางนี้ แต่ถึงยังไงสิ่งที่ถูกสร้างสรรค์โดยธรรมชาติก็ยังมองแล้วเพลินตา และสีเขียวของป่าก็สวยสุดๆ แบบที่เราจะได้เห็นกันต่อไปจากมุมสูง

เรือหัวโทงพาเราล่องไปตามแม่น้ำ ขนาบข้างไปด้วยป่าโกงกางหนาแน่นจนมองไม่เห็นแสงด้านหลัง ท้องฟ้าเป็นสีฟ้าอ่อนจางแบบหน้าร้อน เราไม่ได้คุยอะไรกันเพราะขี้เกียจตะเบ็งสู้เสียงเครื่องยนต์ สักครู่ใหญ่ๆ เราก็มาถึงท่าเรือที่เป็นไม้ไผ่ประกอบๆ ขึ้นมาพร้อมด้วยบันไดขั้นห่างๆ ชันๆ พอหวาดเสียว เราสี่คนปีนขึ้นไปบนชานพักที่ประกอบด้วยไผ่เรียงกันประมาณสี่ห้าลำ มีราวจับพอให้ทรงตัวแต่ถ้าพิงไปเต็มๆ คงไหลร่วงสู่ก้อนหินตะปุ่มตะป่ำด้านล่างไปตามๆ กัน จากนั้นเราเริ่มเดินเรียงเดี่ยวมุ่งหน้าสู่ภูเขากับน้องไกด์หนุ่มน้อย ทิ้งพี่คนขับเรือให้เอ้อระเหยเพลินอารมณ์รออยู่ในลำน้ำพร้อมเรือลำอื่นอีกสองสามลำ

เส้นทางช่วงแรกที่มีสะพานไม้ไผ่แคบๆ ให้เดินผ่านก้อนหินน้อยใหญ่และเริ่มทิ้งป่าชายเลนไว้เบื้องหลังค่อยๆ เปลี่ยนไป สะพานไม้ไผ่ช่วงสุดท้ายหมดลง คราวนี้เราต้องเดินไปบนทางภูเขาซึ่งไม่ได้ยากเย็นจนท้อแต่มีโหนเชือกบ้างสลับเดินไต่ระดับ แต่มันร้อน มันอบอ้าวจนตัวชุ่มไปหมด ป่าที่หนาแน่นทำให้ลมแทบไม่พัด แต่ระยะทางเดินชมเขาจมป่านี้ ไม่ได้ยาวไกลจนเกินไป เหนื่อยแล้วก็พัก ถ่ายรูปกันเองหน้าเมือกๆ ที่อาศัยหยุดถ่ายรูปบ่อยเนี่ย ความจริงเนียนพักเหนื่อยต่างหาก เส้นทางที่วนอ้อมรอบภูเขาลูกน้อย ค่อยๆ หักชันสูงขึ้น และหินค่อยๆ แหลมคมมากขึ้น

มีกลุ่มนักเดินทางกลุ่มหนึ่งสวนลงมา เด็กน้อยคนหนึ่งเดินบ่นกระปอดกระแปดว่าผู้ใหญ่เดินไม่แข็ง เราเงยหน้าที่มันย่องมองดูสีหน้าคนที่สวนลงซึ่งเหมือนจะเยินกว่าเราอยู่นิดหน่อย ส่งยิ้มอ่อนให้กำลังใจกันแล้วปีนป่ายต่อ ใช่แล้ว ช่วงหลังสุดก่อนถึงยอดเขาเราก็ต้องหยุดใช้คำว่าเดิน เปลี่ยนเป็นปีนๆ ป่ายๆ แทนอีกสองโค้ง

บันไดลิงหนึ่งอันสุดท้ายพาเราขึ้นสู่จุดสูงสุดของเขาจมป่า แต่ยังต้องมุดโพรงหินไปอีกด้านถึงจะเห็นวิวตัวท้อป จุดนี้จะเป็นระยะที่แคบที่สุดที่ต้องสวนกันบนปลายสุดของบันไดลิง ค่อนข้างหวาดเสียวอยู่ เราขึ้นไปก่อนถึงได้เจอว่ามีอีกกลุ่มกำลังสวนลง เราคว้าได้ต้นไม้ต้นหนึ่งพอได้เอนหลบผู้คนพลางตะโกนบอกคนที่อยู่ในมุมลับตา ราวกับว่าเป็นวินมอไซจิตใจใฝ่บริการสังคมที่คอยช่วยโบกรถตามจุดคับขันที่คับแคบ

พอมุดโพรงหินเท่านั้นแหละ วิวก็เปิดมาอย่างอลังการ แม่น้ำที่คดเคี้ยวแหวกกลางป่าโกงกางที่หนาแน่นจนเหมือนผืนพรมสีเขียวนุ่มฟูจนอยากเอามือไปลูบไล้ ตัดกับท้องฟ้าสดใสของหน้าร้อน นานๆ ทีมีเรือหัวโทงลำน้อย แหวกผิวน้ำผ่านไปตรงกลาง ดูเป็นออบเจคต์ชั้นดีของทิวทัศน์พิเศษนี้ บนยอดเขามีทั้งลมเล็กน้อยและแดดที่แผดกว่าด้านล่างอีกซักสิบเท่า และหินบนยอดเขาก็คมจนน่าจะกรีดผ้าขาดได้ ต้นไม้ทิ้งใบแห้งสองสามต้นที่ชิดขอบเขาเป็นโฟร์กราวนด์ให้ถ่ายรูปอย่างสวย เราค่อยๆ ปีนขึ้นไปถึงจุดวิวพอยต์ โชคดีไม่มีนักท่องเที่ยวอื่นอยู่พักใหญ่ๆ พวกเราเลยมีพื้นที่ใช้เวลากันอย่างสนุกสนาน น้องไกด์ควักกระเป๋า แจกเครื่องดื่มเติมน้ำตาลให้คนละขวด เราที่ไม่กลัวความสูง ยืนบนพื้นหินแหลมๆ คมๆ รู้สึกได้ว่าเต็มไปด้วยแรงเสียดทาน เลยกล้าเข้าไปริมผาเพื่อวิวอันงดงาม แต่พอย่อตัวลงถ่ายรูปเพื่อนแล้วลุกขึ้นเท่านั้นแหละ วูบจ้ะ รีบถอยกลับเข้าสู่เขตปลอดภัยแทบไม่ทัน

สมควรแก่เวลาก็เดินกลับลงมาที่เรือ มีนักท่องเที่ยวกับเรือลำอื่นที่ไม่เดินและรอเพื่อนอยู่ที่เรือด้วย ถ้าให้แนะนำคงต้องบอกว่า ถ้าจะไม่เดินแต่ต้องรอเพื่อน งั้นต้องเตรียมยากันยุง เพราะว่าป่ามันทึบ จะกี่โมงก็ดูเหมือนจะเป็นบรรยากาศที่เอื้อให้ยุงได้ออกหากินอยู่ดีแหละ

เรือหัวโทงกับสองหนุ่มพาพวกเราสี่คนที่เหงื่อออกจนโชกชุ่ม มุ่งหน้าออกสู่ทะเลเพื่อชมทะเลแหวก ตอนนี้เราลงนอนราบที่หัวเรือ เอาเสื้อกันแดดคลุมหน้าเพราะหมดแรงจะทาซันบล็อกอีกรอบแล้ว ท้องฟ้าที่มองผ่านรูผ้าเล็กๆ ดูเหมือนโบเก้ที่กระพริบระยิระยับ ความสั่นน้อยๆ จากเครื่องยนต์เรือกับลมที่พัดทำเอาอยากหลับไปจริงๆ แต่ในที่สุดเรือก็จอดลงที่ลอนทรายกลางผืนน้ำเวิ้งว้าง เราลุกขึ้น หันหลังกลับไปมองเห็นพื้นหัวเรือเปียกเหงื่อเป็นรูปต้าวอ้วนขนาดใหญ่ นี่ถ้าเอาชอล์คมาขีดคงทำให้จินตนาการกว้างไกลไปอีก

ทะเลแหวกตอนนั้น เป็นฤดูที่แมงกะพรุนถล่มทะเลไทยพอดี หาดทรายไม่ได้กว้างมากมาย เราเดินไปสุดแล้วเดินกลับมากันได้ในเวลาแค่ 5-10 นาที กลับเต็มไปด้วยซากแมงกะพรุนตัวใสขนาดใหญ่ พูนอยู่ตรงนั้นตรงนี้ แอบคิดว่านี่มันเครื่องสุกี้ฟรีไม่ใช่เหรอครับเนี่ย ดีนะแค่คิด ไม่ได้ลองพกน้องกลับมาต้มด้วยจริงๆ

เราเดินทางกลับมาถึงชุมชนบ้านน้ำราบในเวลารวมสามชั่วโมงนิดๆ อากาศตอนเย็นกำลังดี แต่น้ำลงมากซะจนเราต้องไปขึ้นจากเรืออีกจุดเพราะจุดที่ลงไม่สามารถเข้าถึงได้แล้ว เพื่อนบอกเหงื่อแห้งแล้วเดี๋ยวขึ้นรถเปิดแอร์ก็จะหิวข้าว ส่วนเราที่เปียกเหมือนลูกหมูตกหม้อ ขออาบน้ำไวๆ หนึ่งรอบก่อนเดินทางกันต่อไป

ทริปนี้เป็นการตะลอนๆ แบบไม่ค่อยวางแผนแต่ดันได้ดูของดีเยอะไปหมด เอาไว้ครั้งต่อไปจะมาเล่าเรื่องที่เที่ยวอื่นๆ ที่ได้เจอได้ว้าวในการเดินทางครั้งนี้ก็แล้วกันนะ

พิดโลก-เขาค้อ 1st Trip after 2nd shot

ก่อนล็อคดาวน์หลังสงกรานต์ 2564 เพื่อนสองคนสุดท้ายที่เรากินข้าวด้วยคือกอล์ฟติ๊ก ตั้งแต่ต้นเมษาที่ทำงานให้เริ่มต้น Work from home 100% อีกครั้ง เราก็อาศัยอยู่คนเดียวในบรรยากาศซุปเปอร์แมกซ์มาตลอด ตัดความอยากได้ใคร่ดี อิสระเสรีภาพใดๆ เอาใส่กล่องแล้วเก็บซ่อนในห้องลึกสุดใน mind palace ล็อคกุญแจแล้วทำเป็นลืมไปว่ามันมีอยู่ นานจนจำไม่ได้ว่าลมพัดผ่านหน้ามันรู้สึกยังไง การได้ขับรถบนถนนโล่งๆ มันกระตุ้นหัวใจขนาดไหน จำเสียงสายน้ำอื่นนอกจากน้ำประปาไม่ได้ มีแค่เสียงนกร้องที่ระเบียงทุกวันที่คอยเชื่อมโยงคนนั่งทำงานพิมพ์คอมพ์ก๊อกๆ เข้ากับโลกข้างนอก ที่หยุดหมุนไปชั่วขณะ

ครึ่งปีต่อมา เมื่อหลายคนทยอยได้วัคซีนเข็มที่สอง เพื่อนๆ เริ่มชักชวนกันกลับสู่โลก เรามีธุระได้ออกข้างนอกมาแล้ว 2 ครั้ง แต่ยังไปด้วย Save mode ไม่ได้เปิดเครื่องแบบเต็มกำลังเหมือนเคย ครึ่งปีที่อยู่คนเดียวเงียบๆ เหมือนเก็บตัวเองให้อยู่ในโคม่า รอวันโควิดหมดไปถึงค่อยฟื้น เหมือนใช้ตัวตนอีกบุคลิกมาคุมเครื่องจักรระหว่างที่ตัวจริงหลับใหล หลังจากทบทวนอยู่หลายตลบ มันก็ถึงเวลาที่จะปลุกตัวเองให้คืนกลับสู่โลกได้แล้ว เจ้าโควิด เราต้องอยู่กับมันไปอีกนาน งั้นเริ่มเลยละกัน

และครอบครัวเพื่อนรักก็ยังคงเป็นมนุษย์กลุ่มแรกที่เราเที่ยวด้วยหลังสภาวะซุปเปอร์แมกซ์ สมัยก่อนมันสองคนมีลูก เราเคยหัวหกก้นขวิดกันอยู่ตามป่าเขาและอุทยานแห่งชาติต่างๆ พร้อมโอริหมาร้อยดอยที่สูงวัยไปดาวหมาแล้วหนึ่งตัว ถึงแม้งานการพวกเราจะค่อนข้างมั่นคง แต่พวกเรางกและชอบนอนเต็นท์ ครั้งนี้ถือว่าเป็นทริปแรกนำร่องหลังจากไม่ออกเดินทางมาซะนาน เลยเลือกนอนเต็นท์คืนแรก และนอนรีสอร์ทคืนที่สองจะได้ไม่ลำบากมาก เราเซ็ตเส้นทางที่ชำนาญจะได้ไม่ลุ้นเจอเซอร์ไพรส์โดยเดินทางเป็นวงกลมรอบทิวเขาเพชรบูรณ์ เริ่มต้นขึ้นจากทางด้านซ้ายและแวะนอนคืนแรกที่ ต.บ้านมุง อ.เนินมะปราง จ.พิษณุโลก

อากาศปีนี้และหลายปีก่อนหน้านี้แปรปรวนมากเนื่องจากสภาวะโลกร้อนที่มันเกินจะเยียวยาแล้ว ปีนี้ฝนตกชุกยาวนานและมีพายุติดๆ กันหลายลูก ณ ขณะนี้เองเราก็ยังลุ้นน้ำท่วมกันอยู่ ทั้งๆ ที่ลมหนาวก็แหลมหน้าพัดมาทักทาย เราเลือกจองที่พักที่เป็นกระท่อมไว้กางเต็นท์ด้านบน เผื่อฝนตกจะได้ไม่นอนชื้นมาก เพราะอุปกรณ์ที่เก็บกรุมานานยังไม่ค่อยพร้อม เนินมะปรางจะดัง จะดังมาหลายปี น่าจะเปรี้ยงปร้างไปกว่านี้แล้วถ้าไม่โดนคุณโควิดเตะสะกัดขา เราไปที่นี่มาหลายครั้งมาก เริ่มตั้งแต่เป็นที่รู้จักแรกๆ ที่จะนอนยังไม่ค่อยจะมี น่าดีใจที่ปีนี้มีที่ใหม่ๆ เกิดมาพร้อมรองรับนักท่องเที่ยวมากขึ้น ขณะเดียวกันก็มีร่องรอยของหลายกิจการที่ต้องพังพาบไปเพราะขาดรายได้นานเป็นปีๆ

วันแรก

สัปดาห์สุดท้ายของเดือนตุลาคม พวกเราลางานวันศุกร์และเดินทางโดยรถคุณเพื่อนขับมือเดียวถึงเนินมะปรางตอนบ่ายๆ ระหว่างทางเสียวน้ำท่วมเหมือนกันเพราะว่ากำลังเอ่อล้นเลยเชียว เราไม่ได้เช็คฤดูทำนาก่อนแต่โชคดีชะมัด มองไปทางไหนก็มีแต่ท้องนาสีเขียวสว่างสดใส ท่ามกลางแดดจ้า และฟ้าเป็นสีสดเหมือนตัดแปะ สมาชิกในทริปนอกจากผู้ใหญ่สามคนก็ยังมีน้องคุณหลานรักที่ไม่ได้เจอกันนานคิดถึงมาก เราจองที่พักเป็นแคมป์ไซต์ยี่ห้อ “บ้านมุงแค้มป์” หรืออีกชื่อคือ “หมาบ้าใจดี” ที่มีทำเลสวยสุดๆ ในอ้อมกอดภูเขาทั้งหน้าและหลัง แถมยังได้นอนกระท่อมหลังสูงที่วิวดีกว่าชาวบ้านแบบบวกเมตรครึ่ง เราสี่คนกรี๊ดกร๊าดกับวิวเสร็จแล้วก็ช่วยกันกางเต็นท์หลังยักษ์แบบสองห้องนอนที่เราเพิ่งมือลั่นกดช้อปปี้มาสดๆ เนื่องจากมีหลังคาสังกะสีคุ้มหัวอยู่แล้ว เลยเลือกที่จะไม่ปิดฟลายชีตด้านบน ปล่อยเปิดเป็นมุ้งโล่งๆ เพื่อระบายอากาศให้เย็นสบายยิ่งขึ้น

กิจกรรมบ่ายนั้นเรียบง่ายมากๆ เราขับรถเล่นชมวิว ไปตลาดหาของกินที่ยังขาด ซึ่งก็ไม่เยอะเพราะเตรียมมาแล้วพอสมควร แต่ตื่นเต้นกับมะนาวมาก ทั้งขายถูก ลูกใหญ่ น้ำเยอะ เป็นปลื้มที่สุด จากนั้นก็ไปนั่งรอชมค้างคาวออกหากิน ซึ่งเป็นไฮไลท์ของที่นี่ เรามาเนินมะปรางหลายครั้งแต่พลาดค้างคาวทุกครั้งด้วยสารพัดเหตุผล (ครั้งหนึ่งคือ ขับมอไซค์หลง กลับมาไม่ทัน) แดดอ่อนๆ ยามเย็นยังมีความร้อนหลงเหลือแต่ไม่มากมาย อากาศดีมาก ลมพัดเรื่อยๆ นักท่องเที่ยวหลายคนมานั่งรอชมค้างคาว เราใส่หน้ากากสองชั้นแนบหน้าจนหน้าเปียก ซื้ออาหารปลาไปโรยในบึงกับน้องคุณอย่างสนุกสนาน แม่ค้าและชาวบ้านพูดคุยแนะนำข้อมูลให้นักท่องเที่ยวกันคึกคัก เราสังเกตว่าของกินเล่น น้ำดื่ม อาหารปลาที่ขายได้ ไม่ได้มากมายอะไร แต่ดูจากท่าทางดีใจของคนขายแล้ว เขาก็คงอยู่กันแบบแห้งแล้งมานานเหลือเกิน มองภูเขาตรงหน้าที่ยอดสูงสุดเห็นธงแว้บๆ เลยเอาเลนส์ซูมดู พบว่ามีคนเดินเขากันอยู่ สนใจมากๆ กะว่าคราวหน้าต้องมาเดินเขาให้ได้เลย

ห้าโมงครึ่ง ฟ้ายังไม่มืด ค้างคาวเช็คเทียบเวลาแม่นเป๊ะแล้วเริ่มบินออกจากถ้ำ พวกมันบินเร็วจี๋เรียงหน้ากระดานต่อเนื่องเป็นสาย และตามที่คุณป้าร้านขายของบรีฟคือมันพยายามยังไม่บินสูงเพราะนกใหญ่อาจจะมาโฉบไปกินได้ กล้องเราเป็นคอมแพ็คล้วนๆ ไม่สามารถถ่ายให้ดีไปกว่าปื้นค้างคาวได้ ได้แต่ดูและพยายามเดินหามุม พอแสงค่อยๆ อ่อนลง สายธารค้างคาวก็ตวัดสูงขึ้นเหนือยอดเขาทำให้มองเห็นได้ชัดขึ้น เราดูอยู่นานมาก และพวกมันไม่มีทีท่าว่าจะหมด เมื่อได้ดูจนจุใจและหิวแล้ว เลยกลับแค้มป์กันดีกว่า

พอฟ้ามืดอากาศก็เย็นสบาย เราปิ้งย่างอะไรง่ายๆ กินกัน (การเผาผลาญที่ต่ำทำให้กินนิดหน่อยก็อิ่มแล้ว ดีจริงๆ) จากนั้นก็เข้าไปนั่งเล่นการ์ดเกมต่อในเต็นท์ยักษ์ที่ซื้อมาเพื่อการนี้ เนื่องจากแพ้ยุงหนักขึ้นทุกวันๆ ถ้าความสุขของการไปแค้มปิ้งคือการนั่งเล่นกับเพื่อนยันดึกดื่น ความทุกข์ก็คือการรักษาแผลยุงหลังจากนั้น 3-4 เดือน ห้องระเบียงมุ้งของเต็นท์ยักษ์จึงช่วยได้เป็นอย่างดี สามคนนั่งล้อมวง แถมเล่นเกมที่ใช้พื้นที่กางการ์ด ยังสบายๆ ยัดพัดลมเข้าไปได้อีกตัว แลกกับน้ำหนักที่ต้องแบก 14 กก. ถือว่าคุ้ม

อุปสรรคชีวิตนิดหน่อยตรงจิ้งจกทิ้งดิ่งลงมาเกาะเพดานเต็นท์ ไม่ว่าจะตรงมุ้งหรือตรงผ้าใบก็มองเห็นได้ชัดจากด้านล่าง มองทีไรก็ขนลุกเกรียวกราว แก๊งเรามีกันสี่คนกลัวจิ้งจกหมดทุกคน บ้าบอจริงๆ อีกอล์ฟเป็นที่พึ่งได้สุดแล้วคือมันดีดจิ้งจกได้สองตัว แมนมากเพื่อน

คืนนั้นนอนสบายๆ ไม่ดึกมาก ทริปผู้สูงอายุกับเด็กก็งี้ เสียงเต็นท์กลุ่มใหญ่ใกล้ๆ เมาและแฮปปี้เบิร์ธเดย์กันซ้ำไปซ้ำมา แต่เราหลับง่าย ฟังอยู่ไม่นานก็หลับ เพิ่งมารู้ตอนเช้าว่าเจ้าของสถานที่ไปตักเตือนแล้วสมาชิกในกลุ่มมีด่ากลับด้วยว่าให้ไปเปิดสถานปฏิบัติธรรมแทน ก็น่าน้อยใจแทนเจ้าของแค้มป์ที่พยายามสร้างสิ่งที่ดีงาม แต่ชีวิตก็เป็นแบบนี้ เราให้กำลังใจและบอกว่าประทับใจมาก และจะมาใหม่อย่างแน่นอน

วันที่สอง

เช้าตรู่ เราสี่คนตื่นขึ้นมาแล้วออกไปวิ่งรวม 3.5 กม. ลัดเลาะภูเขาไปจนถึงปากทางเข้าน้ำตกขุนห้วยเทินซึ่งเราจำชื่อไม่ได้ซักที แล้วก็วนกลับ (ที่พิมพ์อยู่นี่ก็ต้องไปกุ๊กเกิ้นชื่อมา) ที่ทางเข้าน้ำตกมีคุณยายที่ extrovert สุดๆ ท่านนึง โฆษณาให้เราเข้าไปเที่ยวที่น้ำตกให้ได้เลยนะ หยุดคุยกับแกอยู่นานเหมือนกัน บรรยากาศและอากาศช่างดีงาม สองข้างทางสวยมากๆ มีคนออกมาวิ่งกันพอสมควรเลย เราคุยกันว่า ถ้าบ้านอยู่แถวนี้ก็คงออกมาวิ่งทุกเช้าเหมือนกัน ข้างถนนช่วงแรกมีลำรางระบายน้ำเล็กๆ น้ำใสอย่างกับทางระบายน้ำในญี่ปุ่นและมีนกหากินอยู่ใกล้ๆ พอเราวิ่งเข้าไปมันก็บินหนีขึ้นฟ้า นกสีขาวตัดกับท้องนาและภูเขาสีเขียวอ่อนแก่ และดอกไม้ที่ถูกปลูกไว้ตรงนั้นตรงนี้ก็ออกดอกแข่งกันอวดความสดใส

สมาชิกหิวโซกลับมา ติดเตาทำอาหารเช้าง่ายๆ กิน ส่วนเราซึ่งยังไม่ออกจากโปรแกรมไดเอตขั้นรุนแรงที่เริ่มมาตั้งแต่ล็อคดาวน์ ทั้ง IF และคีโต จะว่าชีวิตง่ายก็ง่าย จะว่ายากก็.. นิดหน่อยนะ เราไม่กินข้าวเช้า แต่ใช้เวลาเตรียมอาหารเที่ยงไร้แป้งไร้น้ำตาลสำหรับตัวเองไว้ก่อน จากนั้นเราผลัดกันไปอาบน้ำ และกลับมาปลุกปล้ำเก็บเต็นท์ เก็บข้าวของพร้อมเดินทางกัน เต็นท์ยักษ์นี่เก็บและกางไม่ยากเท่าไหร่ แต่อย่างน้อยช่วยกันสองคนจะดี เพราะมันใหญ่มาก ถ้าทำคนเดียว กว่าจะเดินวน มีเหงื่อตกเหมือนกันแหละ อาจจะต้องวิ่งไปอาบน้ำใหม่อีกรอบ

ออกจากแค้มป์เราแวะที่น้ำตกขุนห้วยเทิน สำหรับเราแล้วที่นี่มีความพิเศษอย่างหนึ่ง คือเมื่อหลายปีก่อนเราบังเอิญมาที่นี่ตอนเขากำลังเปิดเป็นที่ท่องเที่ยวพอดี เรียกได้ว่าเป็นวันแรกๆ เลย หน้าน้ำตกชั้นล่างสุดชันประมาณ 60 องศา มีน้ำไหลแรง แต่ตอนนั้นชาวบ้านกลับเดินสวนน้ำขึ้นไปเฉยๆ พอลองเดินบ้างถึงได้รู้ว่า น้ำตกที่แทบไม่เคยมีใครมาเหยียบเลยเนี่ย มันมีพื้นผิวหินที่หยาบมาก มีแรงเสียดทานสูงมากจนไม่มีความลื่นเลย ถึงได้เดินตัวตรงๆ ขึ้นไปได้สบายๆ สำหรับการไปเยือนครั้งนี้ ลองไปเหยียบที่เดิมดูอีกครั้งพบว่าฟริคชั่นหายไปเยอะเหมือนกัน อีกไม่กี่ปีคงลื่นปื๊ดเหมือนน้ำตกท่องเที่ยวทั่วๆ ไปละแหละ

เราสี่คนเดินไต่ขึ้นไปได้ถึงชั้นสองก็วนกลับ เพราะว่าคนเยอะแล้วก็มีคนสูบบุหรี่ ถ้าไม่เจอคนเยอะแบบนี้ ที่นี่น่าไต่เล่นมาก ทางเดินสนุก น้ำแรง มีมุมให้ถ่ายรูปหรือลงเล่นน้ำหลายจุดเลย แต่วันนี้เราเอาเท่านี้พอ ใส่หน้ากากไต่ทางชัน หอบแฮ่กๆ เลยเหมือนกัน

จุดหมายต่อไปคือจุดชมวิวบ้านรักไทย ทิวทัศน์พิเศษของเนินมะปรางที่ไม่เหมือนที่ไหนคือเขาหินปูนสูงชันตัดกับท้องนาสไตล์ภาคกลาง บ้านรักไทยเป็นหมู่บ้านบนที่ราบบนเขา เพื่อนๆ ถามว่าทำไมได้ยินชื่อหมู่บ้านรักไทยบ่อยๆ ในหลายๆ ที่ เท่าที่จำได้ หมู่บ้านชื่อทำนองนี้ จะเป็นหมู่บ้านที่เคยมีปัญหาความขัดแย้งที่ถูกเรียกว่าคอมมิวนิสต์ ทำให้การปราบปรามต้องควบคู่ไปกับการพัฒนาชุมชน หรือเรียกว่าดูแลใกล้ชิดโดยทหาร ก็จะมีการตั้งชื่อหมู่บ้านที่เป็นเอกลักษณ์แบบนี้ แต่ทุกวันนี้หมู่บ้านรักไทยซึ่งฝั่งหนึ่งมีวิวอลังการ ได้กลายเป็นที่พักหลากหลายแนวและคาเฟ่กับร้านอาหาร หลังจากขับขึ้นถนนชันดิ๊กๆ และคดโค้ง ซึ่งพอเพื่อนบอกหวาดเสียว เราก็ได้ทีข่มเลยว่า เคยแว้นมอไซขึ้นมาแล้วนะ (คิดมาถึงตรงนี้ก็ตั้งคำถามกับตัวเองว่า ตอนนั้นทำไปได้ไงฟระ) เราแวะทานมื้อเที่ยงที่ร้านหนึ่งพร้อมชื่นชมวิวพานอรามา ท่ามกลางแสงแดดแผดๆ ยามเที่ยง แนวภูเขา ต้นไม้และท้องนาด้านล่างดูเหมือนโมเดลจำลองที่ทำขึ้นละเอียดยันดีเทลสีสันสดใส คนไดเอตเห็นตู้ไอติมแล้วก็ได้แต่ถอนใจ คิดถึงการเจออะไรก็กิน เจออะไรก็กิน แต่ก็เพราะทำแบบนั้นมาตลอด ทำให้ต้องมานั่งกินข้าวห่อคนเดียวเงียบๆ อย่างทุกวันนี้สินะ

เป้าหมายต่อไปเราจะไปนอนเขาค้อ ที่พักที่จองไว้จะอยู่ช่วงเขาค้อตอนบนๆ เส้นทางที่เรารู้จักคือขับอ้อมไปบนถนนสาย 12 แต่กุ๊กเกิ้นบอกว่ามันลัดไปลงอีกฝั่งได้จากบนบ้านรักไทยเลย ซึ่งจะประหยัดเส้นทางไปได้พอสมควรแต่ประหยัดเวลาได้แค่นิดหน่อยเพราะถนนมันเล็ก เราเลือกข้ามเขาบนเส้นทางใหม่กัน เพื่อความตื่นเต้น ถนนไม่แย่มาก มีถนนดินแดงโผล่มาสองสามแว้บ แว้บละไม่นาน ไม่ถึงกับใจเต้นตุ๊มๆ ต่อมๆ เหมือนบางที่ ทางลงฝั่งนี้มีความชันบ้าง แต่เทียบไม่ได้เลยกับทางขึ้นฝั่งเนินมะปรางที่เพิ่งผ่านกันมา

ที่พักคืนที่สองเป็นรีสอร์ทชื่อภูหมอกวิลเลจ บ่ายแก่ๆ พอไปถึงเราก็ตัดสินใจว่าจะไม่ออกไปไหนกันเลยเพราะมันชิลมาก รีสอร์ทเงียบสงบ มีแขกไม่กี่ห้อง ให้พื้นที่ส่วนกลางที่ดูแลจัดการดีไว้เยอะมากเทียบกับปริมาณห้องพัก เรียกง่ายๆ ว่า ถ้าจะงกเงิน อยากสร้างห้องพักอีกซักสองเท่าก็ยังไหว แต่ไม่ทำ ปล่อยไว้เป็นสวนกว้างๆ กับวิวภูเขาที่เห็นได้ทั้งสองฝั่งจากระเบียงห้องนอนทุกห้อง จากโถงทางเดิน และจากทุกซอกทุกมุมที่ดีไซน์ให้เข้าถึงแสงแดดและวิวภูเขา ช่วงที่แดดยังแข็ง เราเล่นการ์ดเกมกันอีกและเกิดเป็นมุกตลกส่วนตัว เมื่อเจ้าเด็กต้องการให้ผู้ใหญ่ใช้การ์ดช่วยให้หลุดจากการโดนแอทแทคต์แต่ทั้งพ่อแม่และอามันไม่ยอมช่วย น้องคุณเลยร้อง ช่วยด้วย ช่วยด้วยเป็นระยะ พวกเราขำกันว่าถ้าฟังจากข้างนอกอาจจะมีลุ้นโทร.แจ้งตำรวจว่าผู้ใหญ่บ้านนี้ทำร้ายเด็กกันบ้าง

พอแดดเย็นเป็นสีทอง พวกเราลงไปเดินเล่นที่สวน อากาศฝั่งนี้ของเขาค้อเย็นลงกว่าเนินมะปรางอย่างสัมผัสได้ ให้ความรู้สึกเหมือนหน้าหนาวมาแล้วอย่างรวดเร็วแต่ละมุนละไม หมาตาตี่ตัวนึงมาเล่นกับติ๊กอย่างสนิทสนมเหมือนพกมาเองจากบ้านซึ่งติ๊กเป็นด๊อกวิสเพอร์เรอร์อยู่แล้ว การที่หมาแปลกหน้าวิ่งมาศิโรราบไม่ใช่เรื่องใหม่ เจอบ่อยๆ แต่เราซึ่งวางกล้องเรี่ยราด แอบเสียวมันจะคาบโกโปรวิ่งหนีเหมือนกัน อาจจะได้ฟุตเตจสวยๆ ชุ่มน้ำลายแต่ไม่ลุ้นจะดีกว่า

นานแค่ไหนนะที่ไม่ได้นั่งบนสนามหญ้าแบบนี้ เพื่อเฝ้ารอดูแสงสุดท้ายของวันค่อยๆ หมดลง

คืนนั้นแก๊งเราหลับเร็วมาก เร็วแบบ กลัวใช้เตียงไม่คุ้มเหรอเพื่อนๆ

วันที่สาม

เนื่องจากนอนเร็วมาก ปลุกตอนเช้านี่ห้ามอิดออดแล้วนะ เราแต่งชุดวิ่งกัน แต่ขับรถไปจุดชมวิวทะเลหมอก มีคนมาเยอะมากเลย รถงี้จอดกันเพียบ แผงขายของก็คึกคัก เช้านั้นอากาศโปร่งมาก อาจจะลมแรงเกินไปเลยไม่มีหมอก ยืนชมวิวนิดหน่อยตียิมโปเกมอนแล้วก็ไปช้อปปิ้ง เจ้าเด็กน้อยใส่ชุดชาวเผ่าขายของเสียงใส เราซื้อยางรัดผมจากเด็กผู้หญิงตัวน้อยที่พูดจาฉะฉานเหมือนพิธีกรช่องเด็กในทีวี แล้วลองถามว่า นักท่องเที่ยวกลับมาแล้วหนูดีใจไหม เด็กน้อยตอบอย่างฉลาดว่า ดีใจค่ะ แต่ก็ไม่ดีใจมากเพราะโควิดก็จะกลับมาเหมือนกัน ยัยหนูพูดไปพลางก็กดเจลมาถูมือไปพลาง ในด้านของหลานชายช่างช้อปเป็น ได้ของเล่นจากจุดนี้มาสองชิ้นได้แก่กังหันลมสีสวยกับปืนไม้ยิงยางวง ส่วนผู้ใหญ่ได้ผลไม้นิดหน่อย

พอกลับถึงรีสอร์ท เพื่อนๆ ว่าจะไปกินข้าวเช้าเลย เราเลยขอลงที่ปากทางเข้ารีสอร์ทแล้ววิ่งขึ้น เป็นทางชันเล็กน้อย ระยะทางรวม 1 กม. ทำได้ดีกว่าสมัยก่อนเยอะ หวังว่าสุขภาพที่ดีขึ้นจะนำเราไปสู่การผจญภัยใหม่ๆ ที่สนุกขึ้นอีกในอนาคตนะ (ฉันจะไม่ยอมแก่ง่ายๆ เหอๆๆ) จากนั้นก็กลับไปที่ห้องพร้อมหลานชายซึ่งอิ่มข้าวแล้ว อยากไปลองยิงปืนของเล่นชิ้นใหม่มากกว่า เราจึงนั่งทำอาหารเตรียมสำหรับมื้อเที่ยงและช่วยทำเป้าซ้อมยิงปืนไปพร้อมๆ กัน

เราเช็คเอาท์กันประมาณสิบโมง เพราะวันนี้ต้องเดินทางกลับกรุงเทพฯ จึงจะไม่แวะเยอะแยะ เราเลือกที่แวะที่น่าสนใจแค่สองจุด ที่แรกคือกังหันลม ซึ่งเป็นการแก้มือเพราะเราเคยพยายามขึ้นไปแต่ขึ้นผิดทางจนไปเจอถนนพังต้องย้อนกลับมาแล้ว ครั้งนี้ขึ้นถูกทาง แต่ข้างบนคนค่อนข้างเยอะแฮะ ระบบการจอดรถที่จะเอาตังค์อย่างเดียว ทำให้โมโหนิดหน่อย แต่อากาศเย็นสบาย ฟ้าสวยมากๆ ทำให้โมโหไม่ได้นาน หลังจากที่จอดรถ จะมีจุดให้ซื้อตั๋วรถเวียนบริการพาไปเที่ยวด้านในทุ่งกังหันลมซึ่งไม่รู้มีอะไรบ้าง พวกเราไม่ได้ไป แค่เดินเล่นรอบๆ ตรงร้านขายต้นไม้และของฝากก็ได้รูปเพียบแล้ว น้องคุณได้ของเล่นทวนไม้มาอีกอันซึ่งรักมาก ถือตลอดทางกลับเลย (แต่พอถึงบ้านอาจจะกลายเป็นที่ค้ำประตูก็เป็นได้) เขาเรียกทวนแต่เราว่ามันไม่ใช่ทวนนะ มันเป็นดาบกวนอู ใบดาบสั้น ด้ามยาว ไม่รู้เรียกว่าอะไรแน่

สันเขารับลมเต็มที่ ลมพัดแรงดีไม่มีตก ใบกังหันทุกต้นหมุนฟึ่บๆ ตลอดเวลา คงปั่นไฟได้เยอะแยะเชียว แต่คุณค่าทางการท่องเที่ยวน่าจะเยอะไม่แพ้กัน เพราะตรงจุดนี้วิวสวยมาก และคงเป็นที่เที่ยวฮอตฮิตไปตลอด

ได้เวลาอันควรเราก็เดินทางต่อ เป้าหมายต่อไปคือล่องเรือแม่น้ำเข็ก แก่งบางระจัน ซึ่งเราเคยทำสิ่งนี้กันมาแล้วเมื่อสิบกว่าปีที่แล้ว แต่เนื่องจากบริการล่องเรือทำโดยชุมชน เราพยายามหาเบอร์โทร.เช็คว่าเปิดรึเปล่าแต่หาไม่ได้เลย โทร.ไปหลายเบอร์ที่หาเจอในอินเตอร์เน็ตก็ถูกเปลี่ยนมือไปหมดแล้ว เลยตกลงกันว่า มุ่งหน้าตรงไปดูด้วยตัวเองเลย ถ้าได้ล่องเรือก็ล่อง ถ้าไม่ได้ก็อาจจะแวะไปเดินเล่นใน อช.ทุ่งแสลงหลวงแทนก็แล้วกัน

ระหว่างทางพวกเราหยุดกินอาหารเที่ยงที่ร้านอาราบิก้าเขาค้อ ส่วนเราสั่งอเมริกาโน่โนน้ำตาลหนึ่งแก้ว และกินของพกมาเองตามเคย ร้านนี้บรรยากาศดี มีสวนให้เดินเล่นย่อยอาหารที่ดูแลดีสวยงามเลยแหละ

โชคช่างเข้าข้างเรา พอไปถึงแก่งบางระจันสิ่งแรกที่เห็นคือราวไม้ที่แขวนเสื้อชูชีพสะอาดๆ สีส้มสดใสไว้เป็นตับ ชาวชุมชนสองสามคนกำลังง่วนทำงาน พอเราไปถามว่าล่องเรือไหม คำตอบที่ได้คือ เขาเปิดบริการวันนี้วันแรก และพวกเราเป็นลูกค้ากลุ่มแรกตั้งแต่ล็อคดาวน์ที่โผล่มาเอาตอนบ่ายๆ ค่าล่องเรือทั้งหมด 800 บาท จำไม่ได้ว่า คนละ 200 บาทหรือเป็นราคาเหมา ตอนนั้นได้ล่องเรือก็ดีใจลิงโลด ไม่สนอะไรละ รีบเตรียมข้าวของน้ำขนมแล้วลงเรือกัน เราคอมเมนต์ว่าลูกค้าอยากโทร.เช็คก่อนแต่หาเบอร์ไม่ได้เลยค่ะ ผู้ดำเนินการชี้ให้ดูเบอร์ใหม่ที่เขียนไว้บนผนังและบอกว่า เบอร์ที่อยู่บนป้ายไวนิลด้านบนน่ะไม่ใช้แล้ว อันนี้คืออุปสรรคของการดำเนินธุรกิจโดยชุมชนเลย คือเขาคิดว่าเขาก็อยู่ตรงนี้ตลอด แต่คนจะมาเขามาไกลและต้องการเช็คหรือจองก่อนเฟ้ย เข้าใจกันบ้างเซ่

คนพายเรือมีหัวท้าย คุณป้าด้านหน้าบรีฟอะไรให้เราฟังเรื่อยๆ ป่าที่ไม่มีคนมาเยือนนานมาก ดูเงียบสงบแต่ก็มีชีวิตชีวา ขาขึ้นพายทวนน้ำ แดดอัดหน้า เราซึ่งหดหัวอยู่ในหลังคามานานจนซีดขาว จากคนที่ผิวสีน้ำตาลตกกระ ชอบตากแดดเป็นชีวิตจิตใจ กลายเป็นกลัวแดดและแสบผิวง่ายขนาดหนักเลยต้องใส่เสื้อแขนยาวกันยูวีโผล่แต่ลูกกะตาเหมือนจะไปรับจ๊อบตัดอ้อยแล้วกลัวใบอ้อยบาด นกกระเต็นปีกสีฟ้าสดใสโผเกาะบนกิ่งไม้สูงๆ เสียงใบพายแหวกน้ำเบาๆ ตัดสลับกับเสียงลมเสียงป่า นกร้องและจั๊กจั่นกรีดปีก เราถามว่าเดี๋ยวนี้คนลักลอบตัดไม้ยังมีอยู่ไหม คุณป้าว่าไม่ค่อยมีแล้วเพราะ อช.เขาดูแลใกล้ชิด ขอให้จริงนะป้า มองไปหลังทิวไม้ริมน้ำ ดูด้านหลังโล่งๆ เห็นท้องฟ้าง่ายๆ ยังไงชอบกล

สิบกว่าปีก่อนปลายทางของการล่องเรือคือเดินเท้าเข้าป่ารกๆ ไปดูน้ำตก แต่โปรแกรมนี้เหลือแค่ถึงแก่งกลางน้ำที่มีผีเสื้อสวยๆ มากินน้ำที่เต็มไปด้วยแร่ธาตุที่พวกมันชื่นชอบแล้วก็ยูเทิร์นกลับ เราโอเคเพราะเราต้องเดินทางกันอีกไกล ไม่เสียเวลามากก็ดีแล้ว แต่สำหรับการอ้อยอิ่งถ่ายรูปผีเสื้อ เราก็เต็มที่ไปเลยจนหลานบอกพอเฮอะอาแอ้ คุณป้าบอกว่า ให้ลองเอามือจุ่มน้ำเปียกๆ แล้วสอดเข้าที่ด้านหน้าหนวดผีเสื้อช้าๆ เข้าตรงขาหน้า มันจะเกาะนิ้วเลย ลองแล้วเวิร์คจริงๆ ด้วยแหละ ผีเสื้อที่แก่งนี้สวยมาก บางลายไม่เคยเห็นมาก่อนเลยด้วยซ้ำ คุณป้าว่า นักดูผีเสื้อหรืออาจารย์ผีเสื้อเขานิยมมา และเวลานักท่องเที่ยวมาเต็มๆ เขาจะใช้น้ำปู (น่าจะเป็นน้ำปูดอง) มาราดเพื่อเรียกผีเสื้อมาเยอะๆ แน่ะ มีสูตรลับอีก ระหว่างที่อาแอ้ง่วนถ่ายรูปผีเสื้อ หลานชายก็ลุยน้ำเย็นเจี๊ยบกลับไปกลับมาเป็นที่น่าสนุกสนาน เอาจริงถ้าลงได้ทั้งตัวคงยิ่งสนุกแหละ

ขากลับเป็นการล่องตามน้ำ เลยใช้เวลาแค่แป๊บเดียวก็ถึง ติ๊กตาดี เห็นนกเงือกแล้วเรียกให้ทุกคนดู ผู้ใหญ่ได้เห็นหมดทุกคน เสียดายน้องคุณไม่เห็น เพราะเจ้านกได้ยินเสียงคนเอะอะเรียกชื่อมัน มันเลยทิ้งตัวลงแอบซ่อนในดงไม้หนาทึบแทนที่จะบินขึ้น ทำให้มองยังไงก็หามันไม่เจออีก ก่อนถึงที่หมายเล็กน้อย เราแวะวัดซื้ออาหารปลาและเลี้ยงปลาในเขตอภัยทานบนเรือลำน้อยกราบเรือต่ำของเรา ได้เปลี่ยนกางเกงก็เพราะอีตรงนี้แหละ เหล่าปลาคงไม่ได้กินอาหารเม็ดนานสินะ น้องคุณสนุกสนานมาก นั่งหน้าเลี้ยงปลา แล้วปลาผู้หิวโหยก็ยื้อแย่งพื้นที่ผิวน้ำ ดีดตัวสาดน้ำมาข้างหลังใส่อากับแม่มันซะชุ่ม เปียกไม่ว่า ดันเหม็นคาวปลากับอาหารเม็ดด้วยเนี่ยสิ แต่เด็กเมามันมาก

ออกจากแก่งบางระจัน เรายิงยาวกลับกรุงเทพฯ เลย รถติดเป็นระยะตั้งแต่ลพบุรียันปทุม ไม่ได้น่าเกลียดมากเพราะถนนกว้าง ติดแบบไหลๆ แต่ไม่ปรู๊ดปร๊าด และแล้วทริปแรกของศักราชใหม่ก็จบลงอย่างสวยงาม ถึงกทม. ไม่ดึกมาก แต่โคตรเพลีย แล้วก็ตัวรุมๆ อยู่อีก 1.5 วันหลังจากกลับ ไม่รู้ว่ารับเชื้อมาแล้วกำลังสู้อยู่รึเปล่า ถ้าเป็บแบบนั้นก็ชนะแหละ เพราะตอนนี้สบายๆ ชิวๆ และประกาศได้อย่างเป็นทางการว่า อิชั้นตัวจริงฟื้นจากโคม่าแล้วจ้าเวิล์ด..



เที่ยวปายกับทูน – นิวนอม่อน ต่อนยอนเวอชั่น

ทูนจริงๆ ไม่ได้ชื่อทูน แต่เรียกกันแบบนี้มานานแล้ว ก็ฟังดูมีความเท่ห์ มีความเก๋าความโบราณบางอย่าง ทูนเป็นรุ่นน้องอายุห่างกับเราหลายปี แต่ด้วยความปีนเกลียวมันก็ไม่ได้ทำตัวเหมือนรุ่นน้องซักเท่าไหร่ ทูนเองก็คงบอกว่า มึงก็ไม่ได้ทำตัวสมเป็นพี่เท่าไหร่ปะวะ ก็ไม่เป็นไร ไม่ต้องไปตีความมันมาก พูดจากันรู้เรื่อง เล่นมุกแล้วเข้าใจ กินอะไรคล้ายๆ กัน ไม่ได้ชอบผู้ชายคนเดียวกันเป็นอันคบกันได้

หลังปลดล็อคดาวน์ ความผวาที่เกาะกุมหัวใจมาสามสี่เดือนค่อยๆ คลายตัวลงทีละน้อย ใครจะไปคิดว่าจะอยู่มาจนเจอสงครามเชื้อโรคระดับโลก นึกถึงวันที่ยืนพิงกรอบระเบียง มองท้องฟ้าแล้วก็คิดว่า กูจะตายซะก่อนจะได้ออกเดินทาง (อีก) รึเปล่าวะ บันทึก ณ วันนี้ 20 สิงหา 63 สถานการณ์ในบ้านเรายังโอเคอยู่นะ (ได้โปรด) เราออกเดินทางแบบนิวนอร์มัลในประเทศมาสามสี่ที่แล้วตั้งแต่ปลดล็อคทีละขั้นๆ ครั้งแรกที่ได้ออกจากกรง มันเหมือนปลาถุงถูกปล่อยลงมหาสมุทร เหมือนดอกหญ้าในทุ่งที่อับลมอยู่นานกลับได้รับลมพายุแล้วปุยดอกก็หมุนขึ้นสูงไปบนฟ้า เหมือนสะพานไบฟรอสเปิด หรือยิ่งกว่านั้นเหมือนประตูสู่อาณาจักรทั้งเก้ามาเรียงตัวกัน เหมือนสาวคนนั้นที่เต้นระบำในทุ่งหญ้าใน The sound of music  เหมือน.. พอๆๆ

ตอนแรกทูนอยากเดินทางคนเดียว เราแค่แนะนำให้ทูนไปปาย ยามนี้ที่เป็นหน้าฝน ซึ่งปกติก็เป็นหน้าโลว์อยู่แล้ว ยังมาเจอสถานการณ์ที่ไม่มีจีน ไม่มีฝรั่ง มันคงจะโล่งได้ใจ คุยไปคุยมา กลายเป็นทริปสองคนเรียบร้อย ก่อนเดินทางไม่กี่วันเรายังไปบาดเจ็บมาอีก แผลที่ต่ำสุดอยู่ระดับเข่า ทำให้อดแช่น้ำร้อนและแหวกว่ายในแหล่งน้ำธรรมชาติอย่างที่ตั้งใจเลย แต่ถามว่าไปไหม ก็ไป 

วันที่หนึ่ง

ทูนไม่เคยไปปายมาก่อน กับเราที่เป็นแฟนตัวยงเป็นส่วนผสมที่ตลกๆ ดี ต้นเดือนสิงหา เราซึ่งแยกกันเดินทางนัดเจอกันที่เชียงใหม่ในเช้าวันหนึ่ง เรารับรถยนต์เช่าจากร้านในสนามบินด้วยความขลุกขลัก เพราะเกิดการเทคโอเวอร์กิจการกันขึ้น หนุ่มส่งรถในชุดสีเขียวของรถเช่ายี่ห้อหนึ่งเป็นคนรับเรื่องให้เราโดยไม่มีเคาท์เตอร์ แต่มายืนหน้าเคาท์เตอร์ของรถเช่าเจ้าสีฟ้า-ส้มที่ปิดให้บริการอยู่ ในขณะที่เราเช่ารถจากร้านสีฟ้าอ่อน น้องมีป้ายเล็กๆ ที่เขียนว่าตัวน้องเองส่งรถของยี่ห้อฟ้าอ่อน แต่กลับยืนบังป้ายซะมิดชิด

“น้องจะให้พี่รู้ได้ไงว่าต้องติดต่อน้องล่ะค้าบ”

นอกจากเรื่องกว่าเราจะหากันจนเจอมันนานแค่ไหนที่รอเธอมา.. นอกนั้นก็เรียบร้อยดีไม่มีอะไร 

การเดินทางเริ่มต้นขึ้นทันทีที่สมาชิกพร้อมบนรถ เรามุ่งหน้าสู่ปายในอากาศครึ้มๆ ของฤดูฝน เลือกใช้เส้นทางที่ตรงที่สุดคือเส้น 1095 รถราในเชียงใหม่บางตากว่าที่จำได้มากๆ แต่ก็ยังต้องใช้เวลาและความอดทนพอสมควรเช่นเคยกับการเดินทางในระยะวนรอบตัวเมืองเชียงใหม่เพื่อไปสู่แยกแม่มาลัย เพราะถนนที่ราบก่อนขึ้นเขาเส้นนี้ เป็นทางเชื่อมสู่หลายๆ เมือง ทำให้การจราจรขวักไขว่ มีรถราทุกประเภทสมรมกันอยู่ (แต่เราเที่ยวเหนือ ทำไมเราถึงใช้คำว่าสมรมล่ะ)  ถ้าเป็นเวลาปกติ ก็จะเป็นระยะที่ทำความเร็วไม่ได้เลยเชียวแหละ 

สองชั่วโมงพอดีๆ นับจากสนามบิน เราก็มาถึงจุดหมายแรกที่จะแวะระหว่างทาง คือโป่งเดือดป่าแป๋ ที่นี่เป็นแหล่งน้ำพุร้อนไกเซอร์ (หรือเกย์เซอร์ หรือกีเซอร์ก็ได้ แล้วแต่ใครจะเรียก แต่เราเรียกไกเซอร์ตามตำราวิชา สปช.ที่เคยเรียนตอนเด็กๆ) พอแวะจ่ายค่าธรรมเนียมกับเจ้าหน้าที่ก็ต้องประหลาดใจเมื่อพบว่า เราคือนักเดินทางสองคนแรกที่มาเยือน หลังการล็อคดาวน์ เขาเพิ่งเปิดวันนั้นเป็นวันแรก (1 สิงหา 63) โอ้ว ความบังเอิญ และความพรีเมียมนี้ แล้วไม่โทร.เช็คก่อนด้วยนะ ถ้ามาไวกว่านี้วันนึงก็แห้วสิครับ

เราทั้งสองคนเพิ่งเคยมาโป่งเดือดป่าแป๋เป็นครั้งแรก บริเวณให้บริการแช่น้ำร้อนทำไว้ดีมากเลย แต่ยังปิดอยู่หลายบ่อมากๆ มีเปิดแค่บ่อแช่เท้าเท่านั้น ถ้าบ่อเปิดให้บริการทั้งหมด แล้วอากาศดี แดดอ่อนสวยๆ ได้แช่ออนเซ็นในอ้อมกอดภูเขาคงจะฟินซะไม่มี เราสองคนเดินเท้าในเส้นทางศึกษาธรรมชาติไปชมตาน้ำพุร้อนก่อน เส้นทางนี้สามารถเลือกเดินได้ 2 แบบ คือจากป้อมเจ้าหน้าที่แล้วเดินเท้าเข้ามาเลย จะได้เดิน 1.55 กม. แต่แบบของเราคือขับรถเข้ามาจอดบริเวณบ่อแช่น้ำร้อน แล้วเดินเข้าไปชมตาน้ำพุ เส้นทางจะสั้นกว่า แค่ 550 ม. เท่านั้น แน่นอนเราเลือกทางสั้นเพราะว่าบาดเจ็บอยู่ ต่อให้ไม่บาดเจ็บก็ขี้เกียจเหอะ แม่คุณ จะเพราะความหน้าฝน หรือความโควิด หรือสองอย่างรวมกัน ป่าสวยจนน่าตะลึงมาก ทางเดินคอนกรีตที่ยกสูงขึ้นเหนือพื้น ปกคลุมไปด้วยมอสสีเขียวอ่อนสดใส ทูนในวัยสาวแต่งตัวได้เหมือนคุณป้าชาวญี่ปุ่นสุดๆ เราเริ่มรู้สึกว่าทูนกับซีนต่างๆ ที่ได้เจอ ชักคล้ายๆ การ์ตูนจิบลิเข้าไปทุกที

น้ำพุร้อนโป่งเดือด เดือดสมชื่อเพราะอุณหภูมิ ณ ปากบ่อสูงถึงเกือบ 100 องศาเซลเซียส ไอน้ำอวลด้วยกลิ่นกำมะถันลอยสูงขึ้นสู่ยอดไม้ เจือจางแสงสว่างยามใกล้เที่ยงให้ดูฟุ้งๆ ฝันๆ เราเดินไปอังไอน้ำพร้อมบอกทูนว่ามันเป็นเคล็ดลับความงามของชั้น (ถ้าเธอรู้จักชั้นจะรู้ว่ามันไม่เวิร์ค) แต่หลังเที่ยงแล้วไอกำมะถันมันจะร้อนเกินออกไปทางเป็นพิษแล้วจะไม่ดีต่อร่างกาย อันนี้ไปจำมาจากนู่น ตอนไปสุมาตรานู่น ไม่รู้เมืองไทยเหมือนกันรึเปล่ามั่วไปก่อน ทูนบอก เหลืออีกสองนาทีเที่ยง รีบๆ ไปอังเร้วววว

เดินโขยกเขยกออกจากบ่อน้ำพุ ก็ได้เวลาแช่ขา เราต้องแช่อย่างระมัดระวังไม่ให้บาดแผลเก่าใกล้น้ำ ทูนซึ่งเป็นพลขับในช่วงต่อไปต้องระวังไม่แช่นานเกิน เพราะการแช่น้ำร้อนจะทำให้เลือดไหลเวียนดีขึ้นแล้วมันนำไปสู่ความง่วง ไม่รู้ทำไมแหละ แต่แช่ทีไรง่วงทุกทีสิน่า

ออกจากโป่งเดือดป่าแป๋ เรากลับสู่เส้นทางเก่าได้ไม่นาน ก็แวะชมวิวที่จุดชมวิวกิ่วลมแห่ง อช. ห้วยน้ำดัง จุดชมวิวที่นี่คือสวยอลังการเสมอ แถมด้วยอากาศที่เย็นเป็นพิเศษ ไม่ว่าที่อื่นจะเป็นฤดูไหน แต่ที่นี่เหมือนอยู่ในหน้าหนาวตลอดกาล หมอกเย็นๆ ไหลข้ามสันเขาไปมา ทำให้เรารู้สึกอยากวิ่งไปหยิบเสื้อมาใส่ทับ ผู้คนน้อยแสนน้อย และที่นี่เองก็เพิ่งจะเปิดเหมือนกัน เลยไม่มีอาหารที่เรากำลังต้องการกันอย่างจริงจัง สุดท้ายเราหากาแฟเย็นกินลูบท้อง ดูวิวให้มันฝังลงในซีรีบรัมนานพอควร แล้วก็เดินทางต่อ ตั้งใจว่าจะมองหาร้านอาหารข้างทาง แต่ไม่เจอเลย สุดท้ายก็ต้องไปกินที่ปายนั่นเอง

ปายเงียบจัดๆ 

หน้าฝนปกติปายจะคนน้อยอยู่แล้ว แต่ตอนนี้คนยิ่งน้อยไปกว่านั้นอีก เราแวะกินข้าวร้านแรกที่รู้จักและเปิดให้บริการคือบุระลำปายที่สะพานประวัติศาสตร์ ซึ่งในยามนี้มีแค่เมนูง่ายๆ ให้เลือกไม่กี่เมนู แดดออกแจ่มแจ๋จนร้อน ชะเง้อมองเหมือนไม่เห็นพี่แจ๊ค สแปโรว์หัวสะพานที่เคยเจอทุกครั้งที่มาปาย ทูนซึ่งกำลังทำความรู้จักกับเมืองดังแห่งนี้ กลับสร้างความทรงจำของตัวเองแบบที่ไม่เหมือนชาวบ้านเขา

ปายนี่เป็นเมืองเงียบๆ เนอะ

เอ่อ ไม่เงียบนะทูน ปกติคนนี่แน่นไปนู่นนนน เบียดกันแย่งวิวจะตาย

จะบ้าเหรอพิน มันจะไปเยอะแบบนั้นได้ไง ดูซิเนี่ยโล่งซะ จะไปเอาคนจากไหนมาแน่น

เราก็เถียงกันแบบนี้ทั้งทริป

ท่องเที่ยวหน้าฝนเป็นเรื่องของจังหวะ เรามีที่ที่อยากไปอยู่ในลิสต์ วันแรกมาถึงฟ้ายังเปิดเราไปที่ที่ลำบากก่อนเลย เผื่อฝนตกทีหลังจะได้ไม่เสียดายเพราะเก็บไปก่อนแล้ว หลังกินอาหารเสร็จเราไปเช็คอินที่พักที่จองมาก่อนเพียงคืนเดียว เบลล์วิลล่า เป็นรีสอร์ทขนาดใหญ่ที่เราเคยมานอนช่วงหน้าโลว์มาก่อน รักการดั๊มพ์ราคาของที่นี่มาก ครั้งนี้ก็ได้ราคาแบบหน้าโลว์มาอีก เราเลือกพักบ้านเป็นหลังๆ หันหน้าเข้าหาทุ่งหญ้า ทั้งโรงแรมมีคนมาพักแค่สามห้องเท่านั้น สู้เค้านะเบลล์ เราเอาใจช่วย พักผ่อนในบ้านราวเกือบชั่วโมง ก็ได้เวลาออกไปซิ่งกันต่อเลย 

ที่แรกที่จะพาทูนไปคือสะพานไม้ไผ่โขกู้โส่ซึ่งทางขึ้นโหดเอาเรื่อง ทั้งชันทั้งแคบ มีช่วงถนนพังๆ ด้วย เราเคยจะบิดมอไซขึ้นแต่ใจไม่ถึง ต้องรอปีถัดไปเอารถยนต์ขึ้นจนได้ จนมาถึงตอนนี้ก็เรียกได้ว่าสนิทกันดี จำทางได้หมดละ เรามาจากกรุงเทพที่ฝนตกกระหน่ำมาตลอด ก็พบว่าที่ปายนี่ฝนตกน้อยไป ทำให้ทำนาได้ช้ากว่าปกติมาก ความสวยงามของสะพานโขกู้โส่คือนาข้าวเขียวๆ เบื้องล่าง แต่คราวนี้ข้าวไม่เยอะอย่างที่ควร ถึงอย่างนั้นก็แลกกันได้กับความสงบเมื่อแทบไม่มีนักท่องเที่ยวอื่นเลยนอกจากคนไทยกลุ่มเดียวที่พาลูกเล็กเด็กแดงมาวิ่งเล่นอยู่

ในเวลาปกติ สะพานนี้จะถูกดูแลซ่อมแซมอยู่เสมอ แต่ในยามโควิด สัมผัสได้ถึงความกรอบแห้งของพื้นไม้ไผ่เลยบอกทูนว่าให้เดินตามรอยตะปูนะ มันจะตอกลงตงและกระจายสู่คานรับน้ำหนัก อย่างน้อยก็ปลอดภัยไว้ก่อนชั้นหนึ่ง เล่าให้ทูนฟังว่า ฝรั่งมันเดินเท้าเบาแบบคนไทยไม่เป็นนะ ในเวลาปกติ มาที่นี่จะต้องเจอผู้คนเยอะแยะ แย่งวิวกันถ่ายรูป เนื่องจากสะพานไม่มีราวกั้น เวลาสวนกับฝรั่งทีจะหวาดเสียว เพราะมันเดินกระแทกเท้าปั้กๆๆ ลงบนพื้นไม้ไผ่สานบอบบาง ทูนหัวเราะ ไม่เชื่อว่าคนมันจะมาเบียดกันได้ซักแค่ไหนเชียว ดีว่ามีฝรั่งกลุ่มหนึ่งเพิ่งมาถึงก็ขึ้นมาเดินกระทืบเท้าโชว์เป็นตัวอย่างประกอบคำบรรยายทันทีเหมือนโทรเรียกมา

มองไกลๆ เห็นเกษตรกรยังคงไถนาเตรียมแปลง ต้นกล้าสีเขียวเข้มรวมตัวแน่นอยู่บิ้งหนึ่ง รอเวลาปักดำ อากาศฉ่ำฝนอบอ้าว เราบ่ายหน้าลงเขาอย่างสบายๆ สองข้างทางเปลี่ยนไปพอสมควรเท่าที่จำได้ ที่เนินไร่หนึ่งที่บังเอิญมีวิวสวยมาก เราเคยจอดมอเตอร์ไซค์แวะถ่ายรูปบ่อยๆ ตอนนี้มีเรือนไม้ขึ้นโครงไว้เกือบเสร็จแล้ว น่าจะกลายร่างเป็นร้านกาแฟทันทีที่นักท่องเที่ยวกลับมา ถนนเส้นตั้งแต่ปากทางหมู่บ้านแพมบกขึ้นสู่สะพานโขกู้โส่เป็นเส้นหนึ่งที่ขับยากและอันตรายมากในปาย เพราะว่าปกติจะเต็มไปด้วยมอเตอร์ไซค์ของนักท่องเที่ยวและคนท้องที่ ทั้งที่สายแว้นฟ้าประทาน ขับกันอย่างโหด แล้วก็พวกที่ขับง่อกแง่กๆ ไต่เนิน กลางทางยังมีน้ำตกแพมบก ที่ปกติฝรั่งจะลอยตัวเกลื่อนเต็มท้องน้ำ แล้วขึ้นมาขี่มอเตอร์ไซค์ต่อทั้งๆ ที่ตัวยังเปียกๆ รถล้มนี่เป็นเรื่องปกติ เคยมีอยู่ครั้งที่ออกปากเตือนว่ายูอย่าไปต่อเลย หันกลับเถอะ เขาไม่เชื่อแล้วก็ล้มกันคาตาก็เจอมาแล้ว เอาเป็นว่า ไม่แกร่งจริงโปรดใช้บริการรถรับจ้าง หรือขับรถยนต์เองจะดีที่สุด (ไม่ต้อง 4×4 ก็ขึ้นได้จ้ะ แค่ไปช้าๆ มีสมาธิหน่อย)

เรามาถึงกองแลน หรือฝรั่งรู้จักในนามปายแคนยอนก่อนหกโมงเล็กน้อย ทันเวลารอดูพระอาทิตย์ตก ซึ่งฟ้าหลัวซะจนไม่เห็นอะไร แต่กองแลนตอนคนน้อยนี่ชิวมาก กองแลนเป็นแคนยอนที่สูงมาก ทางเดินก็แหม.. มันไม่ใช่ทางให้เดิน แต่คนมันจะเดินอะนะ นึกถึงเวลาปกติ คนขึ้นมามากๆ แต่ละคนก็อยากเดินหาวิวของตัวเอง มันก็เกิดเป็นการไต่สำรวจเกิดขึ้น เราไม่รู้ว่าเคยมีอุบัติเหตุบ้างรึเปล่า แต่การจินตนาการถึงก็ไม่ใช่เรื่องยากเลย กองแลนในตอนนี้ มีผู้คนอยู่บ้าง แต่ไม่หนาแน่น วิวเด็ดชะง่อนผาที่เคยต่อคิวกันถ่ายรูปว่างโล่งๆ ฝรั่งสองสามหย่อม นั่งเก้าอี้ใต้ร่มไม้ ต่างคนต่างก้มหน้าเล่นมือถือกับบรรยากาศสบายๆ เราสองคนขี้เกียจเดินเลยหาจุดที่ลมพัดเย็นๆ ยืนชมบรรยากาศ มีสาวเอเชียสองคนไต่ทางเดินชันๆ ไปมาอย่างคล่องแคล่วด้วยรองเท้าผู้หญิงแบบสวมมีเสริมส้นตึกราวนิ้วนึงอีกต่างหาก อยากรู้ยี่ห้อรองเท้าเลย ตอนที่สองสาวอยู่บนยอดของกองดินลูกข้างๆ เราซึ่งยืนมองอยู่ พบว่ามันสวยมากซะจนออกปากขอถ่ายรูปให้ จากนั้นก็แอดไลน์แล้วส่งรูปให้พวกเธอทางไลน์ ปรากฎว่าเธอเป็นคุณครูสอนภาษาชาวเกาหลีที่อาศัยอยู่ในกรุงเทพฯ มาตลอดตั้งแต่ก่อนมีโควิด ทูนเก่งมาก พูดเกาหลีกับเขาได้ด้วย เราคิดว่าเรื่องภาษานี่ ถ้าเราสื่อสารในหัวข้อที่ต่างคนต่างสนใจ การใช้ภาษาก็จะง่ายขึ้น สรุปพวกนางคุยเรื่องโอ๊ปป้ากันจ้ะ สนใจเรื่องผู้ชายกัน นับว่าเป็นแรงกระตุ้นที่ดีในการเรียนภาษาสินะ

ยามค่ำคืนค่อยๆ คืบคลานเข้ามา เราย้ายตัวเข้าเมือง เป้าหมายคือหาอาหารเย็นและเดินถนนคนเดิน ถนนคนเดินปายที่เคยปิดถนนและหนาแน่นไปด้วยคนซื้อคนขาย ตอนนี้เปิดเพียงร้านที่มีหน้าร้านอยู่ติดถนนเท่านั้น ถนนไม่ได้ถูกปิด แต่ก็มีรถสัญจรน้อยมาก คงเป็นความเคยชินที่เขาไม่ขับรถผ่านเส้นนี้ตอนค่ำกัน เรากินอาหารเหนือที่ร้านดวง อยู่หัวมุมสี่แยก นั่งติดหน้าต่างที่ร้านวางขายมะนาวแป้นพิจิตร นั่งกินไปก็ตะโกนขายมะนาวแป้นช่วยร้านทำมาหากินไปพลาง ฝรั่งหล่อใสๆ คนหนึ่งเดินมาซื้อมะนาวแป้น “ฟอร์มายบิวตี้” ฮีบอกพลางลากปลายนิ้วจากติ่งหูมาถึงลำคอ กินอิ่มหนำแล้วก็ไปเดินเตร่ๆ บนถนนคนเดินที่เงียบเหงา พ่อค้าแม่ค้ายังยิ้มสู้ผ่านหน้ากากลายสวยๆ และบอกว่า นี่ก็เพิ่งกลับมาเปิดร้านกันค่ะ แต่ปลายถนนช่วงที่เป็นเกสต์เฮาส์ฝรั่ง สายเมาสายควันสุมรวมตัวกันอย่างไม่แคร์เชื้อโรคก็มีให้เห็นอยู่หลายร้าน 

คืนนั้นเข้านอนอย่างผาสุก ฝนเริ่มตกจากบางๆ จนเริ่มหนาเม็ดขึ้น น้ำฝนไหลผ่านผนังกระจกบริเวณที่นั่งเล่นสะท้อนแสงไฟเป็นประกาย ที่นั่งตรงนั้นสบายจนอยากแซะกลับไปติดที่บ้าน ต้นไม้ใหญ่ด้านนอกโดนน้ำจนใบเปียกโน้มลงลูบแผ่นกระจกตามแรงลมพัด นักเดินทางนอนไม่ดึก เพราะอยากตื่นไปดูพระอาทิตย์ขึ้นในวันถัดไป

วันที่สอง  

เราสองคนตื่นแต่มืด เราขับรถฝ่าหมอกบางๆ ยามเช้ามุ่งหน้าสู่หมู่บ้านสันติชล จุดชมวิวทะเลหมอกหยุนไหล เป็นจุดที่ต้องขับ (หรือเดิน) ขึ้นสูงจากหมู่บ้าน โดยระยะทางไม่ไกล แต่แคบและชัน แถมยังต้องขับผ่านบ้านของชาวสันติชลหลังแล้วหลังเล่าโดยมีทั้งแผงขายของ ผู้คนเดินเท้าและรถราน่าหวาดเสียว ปกติทุกครั้งเราจะจอดรถแถวศาลเจ้าแล้วขึ้นสองแถวของชาวบ้านขึ้นไป ครั้งนี้ด้วยความนิวนอร์มัล หาข้อมูลมาก่อนพบว่า เนื่องจากนักท่องเที่ยวมีจำนวนเล็กน้อย เขาเลยไม่มีรถสองแถวบริการ ให้ขับขึ้นไปได้เองเลย อาศัยว่าจำทางได้พอสมควรเลยไม่ต้องลังเล อัดขึ้นไปพรวดเดียวถึง ขาสั่นเล็กๆ พอเป็นการให้เกียรติดอย

ข้างบนมืดสลัว ฟ้ายังไม่สว่าง แต่ไฟทางที่เคยเปิดก็มีอยู่น้อยมาก มีคนขึ้นไปถึงก่อนเราแค่ไม่กี่คน แต่อาแปะที่เก็บค่าชม 20 บาทแกก็มาแล้ว เราสั่งโอวัลตินร้อนคนละแก้ว แล้วไปนั่งรอพระอาทิตย์ขึ้น 

เช้านั้นมองจากที่สูงเห็นเมฆหมอกปกคลุมเมืองเบื้องล่าง อากาศชื้นสุดๆ คนค่อยๆ มาสมทบเพิ่มเติม แต่ก็นับว่าบางตามากสำหรับที่นี่ซึ่งปกตินี่เบียดกันถ่ายรูปเลยนะ ความคืบหน้าจากครั้งหลังสุดที่เรามาเยือนคือ ตอนนี้เขามีบ่อปลาคาร์ฟด้วย คือก็สวยดีนะปลาสีส้มๆ ขาวๆ ฝูงโตที่ดูหิวตลอดเวลา แต่แบบ งงๆ นิดนึงว่ามีบ่อปลาคาร์ฟ อยู่ตรงยอดเขาที่ขึ้นมาชมวิวพระอาทิตย์ขึ้นนี่เหรอ มันเกี่ยวกันตรงไหนฟะ พอถ่ายรูปไปซักพักเริ่มรู้สึกว่า เออ จะว่าไปก็เข้าท่าเหมือนกัน ตากล้องเก่งๆ คงหยิบฉวยเอาฉากบ่อนี้ไปถ่ายรูปเจ๋งๆ ได้อีกเพียบ 

ลมพัดหมอกลอยข้ามเขาลูกแล้วลูกเล่า ป้ายวิวพ้อยต์ว่างเปล่า นานๆ จะมีคนเดินไปถ่ายรูปที มีคนเอาโดรนมาขับถ่ายรูปหนึ่งลำถ้วน วันนั้นลมสงบดี คงขับสบาย ก็ดีใจด้วยละกัน (จากใจคนกลัวโดรนจะตก เลยไม่เอามาขับแม่มเลย ซื้อมาใส่ตู้ไว้เฉยๆ)

เจ็ดโมงหน่อยๆ เราก็ลงจากดอย จะกลับไปกินอาหารเช้าก่อนค่อยเช็คเอาท์ เราจะอยู่ปายอีกคืนแต่ด้วยความอยากกระจายรายได้สู่ชุมชน เราเลยจะเปลี่ยนที่กินและที่นอนให้มากที่สุด ก่อนลงสู่ถนน เราแวะสำรวจที่พักอีกแห่งที่ชื่อบ้านดาหลาซึ่งอยู่ระหว่างทาง ลงจากบ้านสันติชลมาไม่ไกลมาก ถ้าอยากขึ้นยุนไหลแล้วขี้เกียจตื่นเช้า ที่นี่เหมาะมากเลย บ้านพักจะเป็นบ้านแฝดที่ไม่รู้สึกรบกวนกันมาก ระเบียงห้องหันไปหาทิศตะวันออกและท้องนาแต่ตอนนี้ที่เราไปยังไม่มีต้นข้าว แต่ถ้ามีต้นข้าวแล้วพระอาทิตย์ขึ้นตรงหน้า คิดดูจะเลิศขนาดไหน บริเวณสวนด้านในจัดไว้สวยงามเขียวขจีไปหมด แต่ทางเข้าถนนพังโหดนิดนึง ไม่ควรจะผลุบเข้าออกบ่อยๆ และไม่เหมาะกับรถโหลดนะจ๊ะ สัญญาณมือถืออ่อนด้วย ค่าที่พักหลักร้อยเท่านั้น สุดท้ายเราไม่ได้พักที่นี่ แต่หมายตาไว้ว่าคราวหน้าจะมานอนซักคืน

ที่เบลล์ เนื่องจากมีลูกค้าแค่ 3 ห้อง อาหารเช้าเลยเป็นการให้เลือกเซ็ตเมนูแล้วทำมาเสิร์ฟ จัดโต๊ะนั่งเดี่ยวหันหน้ามองทุ่งหญ้ายามเช้าจะว่าไปอีโซเชียลดิสแทนซิ่งนี่ก็ชิลไปอีกแบบนะสำหรับพวกอินโทรเวิร์ทอย่างเรา

วันนี้เป็นวันสบายๆ พอกินอาหารเช้าเสร็จ ฝนก็พรำลงมาบางๆ เราสองคนกลับไปเก็บของและงีบอีกเล็กน้อยชดเชยที่ตื่นเช้า เช็คเอาท์สิบโมง แล้วลองไปแวะ Coffee in love ร้านดังไอคอนแห่งปายที่คนแน่นตลอด ไม่เคยได้รับความสงบสุขอะไรทั้งนั้น แต่ครั้งนี้แตกต่าง ร้านโล่งๆ มีหนุ่มฝรั่งสาวไทยจับจองมุมหนึ่งอยู่ก่อน ตาฝรั่งรื่นรมย์เลยเถิดไปหน่อย ร้องเพลงหงุงหงิงไม่ยอมหยุด แต่ไม่นานก็จ่ายตังค์แล้วออกจากร้านไป เรากับทูนตอนแรกตั้งใจจะมาแวะแป๊บเดียว แต่แล้วเราก็นั่งลงที่โต๊ะมุมทำเลทองที่สุดของร้าน สั่งทั้งกาแฟและซอฟต์ครีม แล้วนั่งดูวิวอลังการนั่นแบบไม่มีใครรบกวนเป็นเวลา 1 ชม.เต็มๆ มั่นใจว่าถ้ามาที่นี่อีกหลังโควิดจบลง จ้างให้ก็ไม่ได้แบบนี้อีกแล้วแหละ

ฝนเริ่มหนาเม็ดเหมือนพยายามจะสำแดงเดชว่า พวกเอ็งมาเที่ยวหน้าฝนนะเห้ย เรารู้ดีเพราะเราตั้งใจมาเองแหละ เลยไม่ได้ยี่หระอะไรแล้วเดินทางต่อ ยังมีอยู่ที่นึงที่เราไม่เคยไปเนื่องจากหมั่นไส้ที่ฝรั่งมันจับจองลอยฟ่องกันตลอดเวลา คือโป่งน้ำร้อนไทรงาม ที่ต้องขับไปทางแม่ฮ่องสอนอีกเกือบยี่สิบ กม. ทางเข้าเป็นถนนสายน้อยๆ พุ่งลึกเข้าไปในป่าที่เต็มไปด้วยต้นไม้ร่มครึ้ม ตอนเราไปถึงฝนยังตกอยู่ แต่ต้นไม้สูงใหญ่ใบหนาซะจนเหมือนจะบังฝนให้เราไปครึ่งค่อนได้

ในบ่อและลำธารน้ำอุ่นไม่มีฝรั่ง แต่มีคนมาก่อนแค่แก๊งหนุ่มๆ หัวเกรียนแก๊งเดียวกำลังแช่น้ำอุณหภูมิอุ่นพอเหมาะ น้ำใสปิ๊งอย่างสบายอารมณ์ เสียดายที่สุดที่เข่าดันเป็นแผล ไม่งั้นเรานี่แหละจะไปแหวกว่ายอยู่ในนั้นอีกคน โป่งน้ำร้อนนี้เจ๋งมากจริงๆ น้ำไหลเวียนตลอดเวลา ทำให้สะอาดใส และมีความอุ่นที่กำลังสบาย เหมือนได้แช่สระว่ายน้ำปรับอุณหภูมิพร้อมกับอากาศเย็นๆ รอบๆ ทูนนั่งกางร่มแกว่งขาเตะน้ำ ไม่มีอะไรจะเหมือนคุณป้าญี่ปุ่นในการ์ตูนจิบลิเท่านี้แล้ว เรานั่งเล่นและเดินเล่นรอบๆ จนฝนเริ่มตกหนักขึ้นทะลุใบไม้ลงมาปุปะๆ พร้อมกันกับความหิว ก็เลยออกเดินทางกันต่อ

สำหรับคนอื่นแบ่งปายยังไงไม่รู้ แต่สำหรับเราจะแบ่งปายเป็นโซนๆ ตามประสบการณ์ที่เคยร่อนเร่ไปเจอมา

  1. ปากทาง เข้ามาถึงเจอก่อนเลยคือสะพานประวัติศาสตร์ น้ำพุร้อนท่าปาย ปางช้าง ร้านอาหารกลุ่มบุระลำปาย ที่ขายของฝากเสื้อย่งเสื้อยืด บริเวณนี้มีที่พักหลายแห่ง เป็นที่ลุ่ม จุดเด่นคือใกล้แหล่งน้ำร้อน บางที่พักกาลักเอาน้ำร้อนเข้าไปให้แช่กันถึงห้องด้วย ที่พักไฮโซอยู่แถวนี้ก็เยอะ เดินทางต่ออีกหน่อยก็จะเจอกองแลน
  2. ขึ้นเขาเข้าป่าที่แพมๆ เลี้ยวออกจากถนนใหญ่ เดินทางบนถนนเส้นน้อยผุพังเป็นระยะ จะเจอกับแผ่นดินแยก (สวนที่เกิดแผ่นดินแยกจนทำสวนต่อไม่คุ้ม เลยเปิดเป็นที่ท่องเที่ยวซะเลย) น้ำตกแพมบก สะพานไม้ไผ่โขกู้โส่ ของกินร้านกาแฟมีบ้างประปราย ที่พักในเส้นนี้น่าจะยังมีน้อย
  3. ใจกลาง จริงๆ Coffee in love ไม่ได้อยู่ในเมืองนะ แต่อยู่บนเนิน ก่อนเข้าเมืองไม่นาน ความรู้สึกก็อยากจะรวมร้านนี้เข้าไปกับกลุ่มใจกลางเมืองด้วย บริเวณใจกลางก็จะเต็มไปด้วยที่พัก และร้านรวง มีถนนคนเดิน มีแม่น้ำปายไหลผ่าน วิวแม่น้ำสวยๆ มีทั่วไปหมด มีวินรถตู้ ร้านเช่ามอไซ ฯลฯ มีทุกอย่างยกเว้นที่จอดรถที่ดี ไฟแดงเยอะเวอร์ด้วย  
  4. ทางไปพระธาตุแม่เย็น ออกจากเมืองมุ่งหน้าไปทางตะวันออกเฉียงใต้ อีกฝั่งของแม่น้ำ ด้านนี้จะเป็นเขาสูง มีร้านอาหาร มีที่พักแนวฝรั่งๆ ราคาถูกๆ เยอะ มีท้องนาสวยด้วย ถ้าเป็นเวลาปกติขับรถมาทางนี้ต้องระวังมากๆ เพราะฝรั่งจะเดินเท้าบนถนนไม่มีไหล่ทางกันเป็นปกติ
  5. ขึ้นเหนือเลียบแม่น้ำปาย ถ้าไปทางเดียวกับพระธาตุแต่เลี้ยวซ้ายก่อน จะเป็นเส้นที่เลียบแม่น้ำปายขึ้นไปทางทิศเหนือ กลุ่มนี้จะคนน้อยกว่าบริเวณอื่น แต่ก็มีที่พักหลายแห่งกับร้านกาแฟเหมือนกัน ถ้าขับรถไปจนถึงบ้านตาลเจ็ดต้นแล้ววนซ้าย จะขับเลียบแม่น้ำปายอีกด้านกลับสู่ใจกลางเมืองผ่านด้านหลังของสนามบินด้วย เนื่องจากยังไม่มีที่พักกันสำหรับคืนนี้ เรานำเสนอบริเวณทิศเหนือของปายนี่แหละ เพราะจำได้ว่าเขามักจะทำนากันเป็นทิวสวยมาก 

คิวเราเป็นพลขับ ขับไปก็เหล่ดูที่พักไป เจอที่น่าสนใจอยู่สองสามที่เรียงกัน เรามีเงื่อนไขสำคัญอยู่แค่ข้อเดียวคือขอเตียงทวิน ยังไม่ทันได้ตัดสินใจก็หิวก่อน ตรงตีนสะพานบ้านตาลเจ็ดต้นมีป้ายร้านอาหารเห็นเด่นชัดอยู่สองร้าน เราเลือกได้ร้านหนึ่ง เพราะอีกร้านเขียนชื่อร้านด้วยตัวหนังสือแนวสยองขวัญ (ซึ่งขำกันอยู่พักนึง ขอบคุณนะที่ช่วยสร้างความขบขัน) ทำเลอยู่ริมน้ำ บรรยากาศดีมากๆ ที่นั่งเรียงรายยาวเป็นแถวมีทั้งนั่งโต๊ะ และนั่งพื้นแถมเปลยวน แต่มีลูกค้าอยู่ก่อนแค่โต๊ะเดียว ฝนยังคงพรำๆ ตลอด ช่างน่านอนซะจริงๆ เสียดายรสชาติอาหารไม่ค่อยถูกปากเท่าไหร่ ถ้าให้วิจารณ์ก็คงรู้สึกเหมือนเขาทำอาหารรสอ่อนให้ฝรั่งกินจนชิน อะไรทำนองนั้น

บ่ายนั้นเราเลือกที่พักได้สำเร็จ (ซะที) เป็นลูกค้าห้องเดียวของที่ At Pai พนักงานดูตื่นเต้นดีใจ เราแวะดูอีกที่ใกล้ๆ กันด้วยแต่ไม่ได้เลือกที่นั่น ซึ่งถ้าเราเลือกเราก็จะเป็นลูกค้าห้องเดียวของเขาเช่นกัน นี่เห็นใจมากจริงๆ นะ ยังคุยกันอยู่ว่าแยกกันนอนไหมล่ะ ช่วยอุดหนุนรีสอร์ทละห้อง แต่เราก็งกเงินที่หายากของเราเช่นกัน ก็เลยเลือกแอทปายที่ดูโปร่งตามากกว่า พอเราเข้าที่พักได้ไม่นาน ฝนที่ตกหยิมๆ มาตลอด ก็ตัดสินใจเทกระหน่ำ ทำให้เราปิดทริปของวันที่สองไว้ที่ตรงนี้เลย นอนยาวยันเย็น

ก่อนค่ำเราเพิ่งรู้ตัวว่าลืมที่ชาร์จมือถือไว้ที่เบลล์เลยขับรถกลับไปเอา แล้วขับกลับมารับทูนไปหาอาหารเย็น ฝนไม่เบาบางลง สงสารร้านค้าที่ถนนคนเดิน คงต้องนั่งเหงาไปอีกวัน ค่ำนี้เรากินมื้อเย็นกันที่ร้านอาหารบ้านปาย ซึ่งดูคึกคักกว่าร้านอื่น มีลูกค้าหลายโต๊ะเลยทีเดียว อาหารก็ใช้ได้ แต่จิ้งจกกัดกันดุเดือดมากที่ริมกำแพง นี่กินไปสะดุ้งไปกลัวน้องโดดทแยงมุมมาใส่ ขนลุก

ฝนตกตลอด และไม่มีทีท่าจะบางลง กินอิ่มกลับรีสอร์ท นอน

วันที่สาม

ถึงขามาจะแยกกันเดินทาง แต่เพื่อความสะดวกเราจองไฟลท์กลับไฟลท์เดียวกัน 

บินกี่โมงนะทูน สี่ทุ่มใช่มั้ย

อือ ทูนตอบมา

เนื่องจากฝนตกไม่ยอมหยุดทั้งคืน ตอนเช้ายิ่งหนักเข้าไปกว่าวันวาน เราตัดสินใจลงจากปายกันแต่เช้าเลย ไปลุ้นแดดเอาข้างหน้าก็ได้วะ เจ้าหน้าที่ของแอทปายฝ่าฝนไปหาอาหารเช้าที่รวมอยู่ในค่าที่พักหลักร้อยให้เรากินหลายอย่าง อร่อยด้วย กินจนอิ่มแปล้เลย แล้วเราก็เดินทางกันต่อโดยที่พี่ๆ เขายืนส่ง และอวยพรให้เดินทางโดยปลอดภัย

เราเป็นพลขับผลัดแรก ยิงยาวๆ ลงดอยท่ามกลางสายฝน ถนนมันเลื่อมและลื่นๆ ต้องอาศัยขับลงมาด้วยความชราจึงจะปลอดภัย แวะพักหนึ่งครั้งที่ร้านกาแฟ Coffee We / Witch’s House ซึ่งเห็นทุกครั้งที่เดินทางผ่านเพราะโดดเด่นมากด้วยรูปปั้นธีมแม่มดสีสันสดใส แต่ปกติรถบนถนนจะเยอะ ถ้าไม่ได้วางแผนว่าจะแวะไว้ก่อน จะเลี้ยวจอดไม่ทัน เพราะอยู่ตรงโค้งขณะกำลังลงเขาเลย แต่คราวนี้ถนนโล่งๆ เลยลองแวะดู เป็นที่พักระหว่างทางที่ใช้ได้เลย (แต่ห้องน้ำเดินลำบากนิดนึง อันนี้ความเห็นส่วนตัวจากคนขาเดี้ยง (ที่ขับรถได้) นะ)

เนื่องจากเราสองคนไม่ได้มีแผนอะไรสำหรับวันนี้เลย มีแค่จะพาทูนไปปล่อยกาดวโรรสซื้อแคบหมูกับไปเก็บตกวัดที่ทูนอยากไป เลยลองนำเสนอทูนว่า มีอยู่ที่นึง ปกติต่อคิวกันนานเลยไม่เคยได้เล่น จังหวะนี้แหละวะ เวลาของเรา ไปเล่นจังเกิลโคสเตอร์ที่แม่ริมกันไหม ทูนโอเค นิวนอร์มัลเช็คกิ้งแล้วพบว่ายังเปิดอยู่ ไปก็ไปวะ

ระหว่างทางฝนยังตกอยู่เรื่อยๆ ตลอดเวลา แต่พอถึงแม่ริม มันบางลงหน่อย เจ้าหน้าที่บอกเล่นได้ แต่ถ้าตกเยอะกว่านี้จะไม่ให้เล่น เราสองคนซื้อตั๋วคนละ 150 บาท แล้วก็เดินอาดๆ ไปขึ้นเครื่องเล่นได้เลย ไม่มีคิว ไม่มีลูกค้าอื่นอีก ใช้เวลาทั้งหมดประมาณ 2 นาทีถ้วน สนุกใช้ได้เลย ได้หวีดเบาๆ ไปเหมือนกัน เสียดายฝนตก หน้าเหน้อหัวเหอนี้เปียกไปหมด ทูนอยากเล่นซิปไลน์ด้วย แต่ตัดสินใจไม่เล่นเพราะกลัวจะเปียกไปมากกว่านี้ ได้แต่หมายตาว่าวันหลังจะกลับมาล้างแค้นเล่นให้ครบ แต่แบบไม่มีคิวคงไม่มีอีกแล้วนะเราว่า

เรากินมื้อเที่ยงเลทนิดๆ กันที่ร้านโปรดของเรา โป่งแยงแอ่งดอย หลังจากที่พยายามหาร้านโลคอลเล็กๆ เพื่อจะช่วยอุดหนุน แต่สายป่านคงยาวไม่พอจะลากทะลุฤดูโควิดอันยาวนาน พากันปิดหมด ที่โป่งแยงแอ่งดอยมีลูกค้าหลายโต๊ะ แต่เทียบกับขนาดร้านที่ทำมาเพื่อรองรับลูกค้าจำนวนมากกว่านี้สิบกว่าเท่าแล้วก็รู้สึกว่าคนน้อยมาก เราเลือกนั่งโต๊ะที่มีวิวลำธารกับสะพานข้ามน้ำ น้ำป่าเกิดจากฝนที่ตกต่อเนื่องกลายเป็นสีชานมเย็นไหลแรงโครมคราม นั่งมองพลางก็คิดว่ามันจะจู่ๆ โครมลงมาแล้วลากเอาตูไปด้วยไหมวะ

อิ่มหนำแล้ว คิวทูนขับพาเรามุ่งหน้าไปพระธาตุดอยคำ ซึ่งสำหรับตัวเราเองสักการะวัดวาด้วยกล้องและเลนส์ซะมากกว่า ท่ามกลางฝนปรอยๆ ถ่ายรูปไปก็ไม่สวย เลยตั้งหน้าตั้งตาตียิมโปเกมอนบนวัดพระธาตุดอยคำ ปล่อยให้น้องไหว้พระไป ตัวพี่ก็ทำร้ายสัตว์อย่างเมามัน ตีมันแล้วขังมันไว้ในบอลของเรา ยึดยิมมันด้วย ให้เหลืองไปทั้งดอย ฮ่าๆๆ 


เวลามีพอ เลยได้แวะวัดพระธาตุดอยสุเทพอีกแห่ง ระหว่างทางมีคนปั่นจักรยานขึ้น มีคนเดินขึ้นด้วย เราประหลาดใจ แต่ดูแล้วเหมือนเป็นสิ่งปกติของคนแถวนี้ เราเคยมาที่นี่แล้วตอนที่คนแน่นขนัด มาครั้งนี้ถึงกับลืมจับโปเกมอนไปเลย เพราะว่าวัดพระธาตุดอยสุเทพในวันที่หมอกลงจัด และมีผู้คนมาเยือนน้อยนิด ช่างสวยงามและสงบอย่างเหลือเชื่อ เป็นประสบการณ์พิเศษที่ขอบคุณตัวเองจริงๆ ที่ได้มาเห็น และขอบคุณทูนด้วยเพราะทูนเป็นคนที่อยากมา เจ้าหน้าที่หนุ่มน้อย เอาไม้ม็อบรีดน้ำค่อยๆ ดันน้ำออกจากพื้นอย่างเป็นจังหวะ ผู้มาสักการะเดินประทักษิณารอบๆ องค์เจดีย์ดูเลือนลางในหมอก ซึ่งยังทำให้เสียงกระดิ่งระฆังที่แหวกความเงียบนานๆ ครั้ง บางเบาลงกว่าปกติ ฝนยังคงโปรยเม็ดบางๆ และทุกอย่างเปียกชื้นไปหมด แต่กลับรู้สึกสบายๆ ออกจากองค์เจดีย์ เดินรอบๆ บนพื้นที่ลื่นมาก ต้องใช้ความระวังเต็มที่ วิวเมืองที่เคยยืนมองแน่นอนว่าขาวโพลนไปหมดแล้ว ถึงเวลาเย็นย่ำมากแล้วก็ต้องลงดอย แต่วันนั้นยังไม่อยากเลยจริงๆ  

ขาลงเราสลับมาขับ เพราะไม่อยากซื้อของอะไรกลับ เลยจะปล่อยทูนที่กาดวโรรส แล้วไปวนหาที่จอด นี่เป็นโปรโตคอลที่ดีในยามปกติ แต่ลืมไปว่าช่วงนี้อะไรๆ ก็กลับด้านกันหมด กาดจวนปิดแล้วตอนเราไปถึง และที่จอดก็หาไม่ยาก เลยจากจุดที่ปล่อยทูนลงนิดเดียวก็มีช่องให้จอด ที่ที่เคยคึกคักกลายเป็นเงียบเหงาชวนให้อ่อนใจอยู่เหมือนกัน เราชอบกาดวโรรส รักเอเนอร์จี้ของที่นี่ นอกจากอาหารดีๆ แล้ว เราชอบที่เราซอกแซกจนรู้ว่าก้นตลาดมีร้านขายดอกไม้ไฟเจ๋งๆ อยู่หลายร้าน ชอบร้านดอกไม้ด้านติดถนนฝั่งแม่น้ำที่คงเจอนักท่องเที่ยวมาเป็นล้านๆ คนแล้ว ก็เลยโกรธและโวยวายถ้าเราไปถ่ายรูปดอกไม้เขาโดยไม่ซื้อ ชอบร้านกาแฟวาวีริมปิงและไปรษณีย์ที่อาศัยจอดรถได้ (20 บาท) ยามที่กาดคึกคัก ก่อนมาเอารถแวะไปซื้อสแตมป์ได้อีก ตอนนี้ทุกอย่างเงียบสงบหมด เงียบจนอินโทรเวิร์ทต้องออกปากว่าเหงาจัง

ทวนกันแล้วว่าไฟลท์สี่ทุ่ม เราสองคนกะไปถึงสนามบินสองทุ่มสวยๆ เลยไปนั่งกินข้าวรอเวลาที่ร้านสวนผัก ซึ่งแน่นอนว่าโล่งๆ บรรยากาศเงียบสงบ กินไปนั่งคุยกันไปจนได้เวลาก็เดินทางไปสนามบิน เติมน้ำมันพร้อมคืนรถอย่างราบรื่น ยะทุกสิ่งแบบต่อนยอนๆ สมกับสถานที่ จนพบว่า แค่สองทุ่มต้นๆ เอง เคาท์เตอร์เช็คอินก็ขึ้นว่าปิดว่ะ ทำไมวะ

เราสองคนก้มหน้ามองมือถือของใครของมันพร้อมกัน ไถๆๆๆ ไปดูตารางบิน

ชิบหาย จำเวลาผิดพร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย ของจริงบินสามทุ่ม!

หลังจากหายตกใจแล้วก็ขำยาวๆ ขำมากๆ ขำไปเดินไปช่องขายตั๋วของเวียดเจ็ตที่มีไฟลท์ดึกเหลืออยู่ไฟลท์นึง พบว่า ซื้อหน้าเคาท์เตอร์ราคาแพงกว่ารถทัวร์นิดเดียว แล้วก็เพิ่งรู้ว่า คนเราเดินมาซื้อตั๋วเครื่องบินแล้วก็บินเลยได้ด้วยว่ะ 

จากนั้นเราก็ต่อนยอนๆ ไปนั่งรอหน้าเกตด้วยตัวเปียกชื้น บินกลับมาช้ากว่าแผนเดิม 1 ชั่วโมง โดยไฟลท์ที่ขึ้นนี้ บินเร็วกว่าตารางครึ่งชั่วโมงด้วยกัน (ซิ่งจุง) และนี่คือบันทึกความโล่งของการท่องเที่ยวในยุคโควิด สบายดีเหมือนกัน แต่จะให้ดีกลับมาเป็นแบบเดิมเร็วๆ ก็จะดีมาก สงสารคนทำมาหากินจะแย่แล้ว

สู้ๆ นะทุกคน เราจะผ่านมันไปให้ได้นะ

มองโกเลีย – ทะเลทรายโกบี #๒

เช้าวันต่อมา เราตื่นราวหกโมงครึ่ง นอกหน้าต่างยังขาวโพลน แต่หิมะหยุดตกแล้ว หิมะตอนเช้าหลังชีวิตผู้คนเริ่มต้นสัญจร ตรงกลางถนนละลายกลายเป็นโคลนแหยะๆ แต่บริเวณรอบๆ ยังขาวสวยดูนุ่มฟูอยู่ ต้นไม้พญาไร้ใบรอบๆ โดนหิมะตกปกคลุมกลายเป็นช่อขาวๆ เหมือนแตกดอกออกใบชั่วข้ามคืน
เราบอกปูว่า ขอวิ่งออกไป Circle K ซักหน่อย อยากซื้ออะไรเพิ่มนิด และจะดูอาหารเช้าด้วย คืนนั้นก่อนเรานอนอากาศลดถึง -๑๑ องศา และลงต่ำไปถึง -๑๔ องศาในกลางดึก ตอนเช้าอุณหภูมิวิ่งไปมาระหว่าง -๑ ถึง ๑ องศา ตรงโถงบันไดทางลงตึก มีคนจรจัดนอนหลบหนาวอยู่ จะเรียกว่ารอดตายไปอีกคืนเพราะมีคนเปิดประตูทิ้งไว้ก็คงไม่ผิด คือก่อนนอนตอนเราวิ่งลงไปถ่ายรูปเล่นรอบสุดท้าย ประตูเหล็กถูกเอาก้อนหินดันให้เปิดค้างไว้ เราสองคนไม่กล้าปิดเพราะคิดว่าคนที่ตั้งใจเปิดไว้อาจจะมีเหตุผล เข้าตึกไม่ได้สำหรับบ้านเราอาจจะแค่หงุดหงิด แต่สำหรับค่ำคืนที่หิมะกระหน่ำเหมือนในนิทานเด็กน้อยขายไม้ขีดที่ตายอนาถตอนจบ อาจจะมีคนเดือดร้อนจริงๆ ก็ได้


ตอนแรกเกิดลังเลไม่กล้าเดินผ่านคนจรจัด เพราะชานบันไดมันแคบ เขาตื่นมาเห็นเลยขดตัวให้เล็กลงอีกแล้วโบกมือให้เดินผ่านไป

เมื่อเปิดประตูเหล็กบานหนาออก ก็พบกับลมที่พัดแรง ลากเอาละอองหิมะฟุ้งกระจาย สูดลมหายใจเข้าไปมันเยือกเย็นลงไปในอกจนต้องยกปกเสื้อขึ้นปิดจมูก หิมะเกาะกิ่งก้านแห้งๆ ของต้นไม้ ดูเป็นปุ้มๆ เหมือนทำขนมสายไหมแล้วลืมใส่สี หรือไม่ก็ใครซักคนตีฟองผงซักฟอกมากเกินไป เห็นแล้วอยากเอานิ้วจิ้มให้มันแตก วีดีโอคอลหาเพื่อน กรี๊ดกร๊าดได้นิดหน่อย เพราะว่าทางเท้ามันกลายเป็นโคลนเมือกๆ กรี๊ดมากถ้าร่วงไปกองจะลำบากไปทั้งทริป เพราะมีโค้ทอยู่กับเขาตัวเดียว

ใน Circle K ผู้คนเยอะแยะตั้งแต่เช้า เราสำรวจอาหารแล้วโทร.ไลน์หาปูว่าจะซื้ออาหารเช้าอะไรไปฝากดี ปกติปูไม่กินเนื้อวัว และที่เรากั๊กไว้ยังไม่เล่าคือ มองโกเลียเป็นประเทศที่กินเนื้อหนักมาก กินทุกเนื้อ กินเอาอิ่ม กินต่างข้าว และในทางกลับกัน ไม่ค่อยมีหมูกิน ไก่ก็เป็นของแรร์ หายาก
เรารู้ว่าตอนไปอยู่ทะเลทราย ปูคงต้องโดนเนื้อเข้าบ้าง แต่ก็พยายามลดความน่าจะเป็นให้มันน้อยที่สุด ส่วนของอีนี่ไม่มีกฎเกณฑ์อะไรในชีวิต เลยจัดฮอตด็อกเนื้อ Circle K เป็นอาหารเช้า (ติดเค็มไปนิดแต่อร่อยมาก) ส่วนของปูหาได้แค่แซนวิชทูน่าอย่างเดียวเท่านั้นที่ไม่เนื้อ เราสองคนเก็บอาหารไว้กินบนรถตอนออกเดินทาง

เราผลัดกันอาบน้ำสระผมอย่างสะอาดเพราะรู้ชะตาว่าเราจะไม่ได้ข้องแวะกับน้ำอื่นใดนอกจากน้ำดื่มสักพัก เก้าโมง หอบร่างไปที่สำนักงาน ยังคงไม่มีใครรับเงินค่าทัวร์เรา และคุณผู้จัดการทัวร์ก็ยังไม่อยู่ แต่เราก็ได้พบกับอีไกด์ของเรา กับตาคนขับรถในตอนนั้น ผู้ชายสองคนที่จะใช้ชีวิตอยู่กับเราตลอดเป็นเวลา ๕ วัน ไกด์เป็นผู้ชายตัวโต สูงและตัวอวบๆ หนาๆ หน่อย ฮีแนะนำตัวด้วยภาษาอังกฤษสำเนียงอเมริกันอย่างเลิศ ว่าชื่อบิล ส่วนคนขับรถพูดอังกฤษแทบไม่ได้เลย หน้าตายิ้มแย้ม บิลบอกเราว่าเขาชื่อโลยา (ออกเสียงคล้ายๆ ลอว์เยอร์ เราเลยจำชื่อเขาได้ทันที) สมาชิกในเกสต์เฮาส์ ยิ้มแย้มส่งเรา บิลกับโลยาตุ้มๆ เอากระเป๋าเราสองคน ลงบันไดไป
คนจรที่นอนชานบันไดหายไปแล้ว

รถที่จอดรอเราอยู่เป็นรถตู้รัสเซียคันโตหน้าตาอินดี๊อินดี้ ล้อสูงกว่าเข่าตูอีก (รถสูงมากเหรอ อ๋อเปล่า อีนี่เตี้ย) เห็นแล้วรู้เลยว่า ยกเว้นบินกับดำน้ำ อีรถคันนี้ต้องไปได้หมดเกือบทุกหนแห่งแถมยังถ่ายรูปขึ้นสุดๆ แต่ถึงกระนั้นตอนนั้นก็ยังนึกถึงแสนยานุภาพของรถคันนี้ไม่ออก
เราเดินอุ้ยอ้ายฝ่าลมแรงที่พัดเอาหัวกระเจิงเปิดเปิง พร้อมก้อนหิมะที่กระจุยกระจายจนกะไม่ถูกว่าฝนตกลงมาอีก หรือว่าละอองน้ำอะไรวะ กระเป๋าถูกเก็บไว้ท้ายรถ แล้วเราก็ถูกต้อนขึ้นไปบนรถที่จะเป็นเคหะสถานคุ้มกะลาหัว พร้อมทั้งย้ายตูดเราไปทุกที่เท่าที่อีตาสองคนนั่นจะพาเราไป

โลยาประจำที่พวงมาลัยซ้าย บิลนั่งหน้าขวา
เบาะที่นั่งแถวละ ๔ ที่สำหรับลูกค้ามีสองแถวหันหน้าเข้าหากัน แต่ชีวิตจริงถ้านั่ง ๔+๔ คงจะแน่นมาก ไหนจะไหล่เกยกัน ไหนจะเสื้อโค้ทรองเท้าบู๊ทอีก เรากับปู นั่งคนละเบาะหันหน้าไปทางเดียวกับคนขับ ที่นั่ง ๒ ที่ที่หันหลังชนกับคนขับมีกระเป๋ากับถุงนอนกองสุมอยู่ พอล้อหมุน เราก็เริ่มแกะอาหารเช้าออกมากิน
แล้วรถก็.. ขยับไป.. ได้ช้ามาก แม่ง.. รถโคตรติด

เราตื่นตาตื่นใจกับการจราจรเช้าวันเสาร์ที่หิมะปกคลุมอูลานบาตาร์จนขาวโพลน เจ้าของรถยนต์หลายๆ คันคงแงะหิมะออกจากรถพอให้เห็นทางข้างหน้าโดยไม่แยแสกระจกหลัง ถึงได้ขับกันมาทั้งๆ ที่โดนหุ้มด้วยหิมะเกือบทั้งคัน ตาบิลบอกว่า เดี๋ยวเราแวะซื้อของที่ตลาดแป๊บ เป็นเสบียงห้าวันของพวกเรา ใช้เวลาซักครึ่งชั่วโมงได้ กับการแค่ขับไปตรงๆ ไม่มีซอกซอยเป็นระยะทางไม่เกิน ๙ กม. เราก็ถึงตลาด


เราสองคนลงจากรถเดินตามบิลกับโลยาเข้าประตูเล็กๆ หนักๆ ไปสู่ด้านในอาคารที่อบอุ่น ร้านขายของด้านในเป็นร้านเอกชนต่างคนต่างขาย มีขอบเขตร้านชัดเจน หน้าร้านส่วนมากเป็นกระจกหรือไม่ก็เปิดโล่ง โดยรวมสะอาดเรียบร้อยมากๆ สุดๆ ในความเงียบสงัด เสียงผู้คนพูดคุยซื้อขายกันอย่างเบาๆ ท่อเหล็กเดินรอบๆ ปล่อยความอบอุ่นจางๆ ออกมา ตาบิลบอกเราว่าจะซื้อขนมอะไรไปกินเองก็จัดไปนะ เราสองคนซื้อน้ำหวาน น้ำอัดลมนิดหน่อย


อยู่ๆ ตาบิลก็เดินถือถาดไข่สดถาดใหญ่มา แล้วยัดใส่มือปู บอกว่าช่วยถือหน่อยนะ เรารู้สึกจิ๊ดนึงนะ แบบว่ามึงเป็นไกด์ ใช้ลูกทัวร์ถือของได้ด้วย? แต่ก็ไม่ติดใจอะไรเลย คิดว่าดีออกทัวร์กันเอง เหมือนเที่ยวกับเพื่อนไง มีอะไรก็ช่วยๆ กัน หลังจากนั้นเราไปซื้อส้ม ที่ไม่เจอที่ไหนอีกเลยตลอดการเดินทาง ตาบิลค่อยๆ เข้าร้านนั้นออกร้านนี้ พิจารณาเลือกซื้อเสบียงอย่างถี่ถ้วนสุดๆ เราพบโลยากำลังเดินไปห้องน้ำด้านหลังตลาด ซึ่งเราก็กำลังวนเวียนหาอยู่ เลยตามไป ห้องน้ำมีค่าเข้านิดหน่อย ท่อเหล็กร้อนเดินตามผนังทำให้ในห้องน้ำรู้สึกอบอุ่นเป็นพิเศษ ตอนนั้นเราเข้าห้องน้ำกันไปด้วยความต้องการตามธรรมชาติ แต่ไม่ได้สำนึกรู้เลยว่า กว่าจะได้เจอห้องน้ำปกติธรรมดาแบบนี้อีก มันนานขนาดไหน

Road Trip

เราพบว่าการเดินทางถ้าจะให้ดีมันต้องมีแผ่นแปะ ไอ้อาการปวดหลังออฟฟิศซินโดรมนี่มันกัดกินนักเดินทางมาหลายปีละ เพราะนักเดินทางนั่งทำงานออฟฟิศมากว่าทศวรรษ การเดินทางครั้งนี้ รับประกันความชิว เพราะว่านักเดินทางเอาแผ่นร้อนตราเสือขนาดใหญ่สุดมาเพียบเลย เยอะกว่าจำนวนวันซะอีก สำหรับโร้ดทริปวันแรกก็แปะแผ่นก่อนออกมาแล้ว อุ่นสบาย แถมยังสามารถไถแผ่นหลังไปบดเบียดกับพนักพิงเพื่อเร่งความร้อนของแผ่นแปะได้ตามสั่งอีกด้วย

พอล้อหมุนของจริงได้ไม่นาน การจราจรก็บางตาลงเรื่อยๆ เมื่อเราเลี้ยวหนึ่งครั้ง ออกจากชานเมืองได้สำเร็จ ถนนก็เริ่มมีรถไม่มากนัก ไม่ว่าจะทางเดียวกับเราหรือสวนทาง หรืออาจจะเป็นเพราะว่าลมหิมะมันพัดตึงๆ จนมองอะไรไม่เห็นก็เป็นได้ เราเพ่งมอง เห็นรถที่สวนมาแค่ไฟหน้าที่เปิดจ้า นอกนั้นก็แทบมองไม่เห็น เราสองคนแทนที่จะกลัวหรือกังวล หรืออะไรก็ตามที่จะเป็นการให้เกียรติพลังธรรมชาติหน่อย แม่งไม่มีอะ ตื่นเต้น กินไปถ่ายรูปไป เดี๋ยวขึ้นเบาะเดี๋ยวลงเบาะ (อันนี้ตูเป็นอยู่คนเดียว รถทหารแบบนี้โขยกเขยกหนักมาก ถ้าอยากถ่ายรูปดีๆ บางทีต้องลงไปคุกเข่ากับพื้นรถจะช่วยได้นิดหน่อย)

ธรรมชาตินี่ช่างงดงามและทรงพลัง ภูเขาถูกฉาบด้วยสีขาว ม้าฝูงเริ่มมีให้เห็น มันยืนนิ่งๆ คงรอให้ยามลำบากนี้ผ่านไป นักเดินทางปลื้มถนนช่วงนี้ ชอบมากๆ ทั้งสวยทั้งน่าหวาดเสียวถนนขี้เป๊อะลื่นแป๊ด รถแต่ละคันประคองตัวไปกันอย่างช้าๆ มีไฟหน้าเท่าไหร่เปิดเต็มที่ เพราะต่างคนต่างก็มองอะไรไม่ค่อยจะเห็น อย่างน้อยให้คนอื่นเห็นเราก็ยังดี

เราเห็นรถตกข้างทาง ๒ เคส มีรถลากมีเจ้าหน้าที่ฝ่าแรงหิมะออกมาดูแลกันแล้ว จากนั้นราวหนึ่งชั่วโมงหลังล้อหมุน ฟ้าด้านบนเริ่มเป็นสีฟ้า ไม่รู้ลมกับหิมะที่โปรยปรายสลายหายไปไหน เราเริ่มเห็นทางข้างหน้าชัดขึ้น เช่นเดียวกันกับสองข้างทางอันเวิ้งว้าง สุดลูกหูลูกตา

ทิวทัศน์ต่อมาเป็นช่วงสั้นๆ ที่เราโปรดปรานสุดๆ คือเป็นช่วงที่ไม่มีหิมะก้อนๆ ปลิวว่อนแล้ว มีแต่ภูเขาราดไอซิ่งขาวๆ แดดบด และฟ้าสีฟ้าผลุบโผล่อยู่ข้างหลังเมฆเลือนๆ มันเป็นส่วนผสมที่ประหลาดสุดๆ มองดูแล้วเหมือนไม่ได้อยู่บนดาวโลก

ก่อนฟ้าจะเปิด เหมือนกำลังอยู่ตรงปลายๆ ของก้อนลมและหิมะ เราก็แวะจอดที่หัวโค้งหนึ่ง ซึ่งมีระดับสูงขึ้นกว่าถนนโดยรวมนิดหน่อย จะเรียกว่าเป็นโค้งและเนินน้อยๆ ก็คงจะได้ ลมแรงมากที่สุด ทั้งทริปไม่เจอตรงไหนอีกแล้วที่ลมแรงและหนาวหนักขนาดจุดนี้ ตาบิลบอกว่า เป็นจุดพักรถของนักเดินทาง แต่เราก็ยังไม่ได้ออกเรี่ยวออกแรงอะไรถึงจะต้องได้สิทธิ์พัก แต่ได้ลงไปวิ่งเล่นก็ดีใจ เรามีถุงมือดีๆ นะ แต่วันแรกๆ ยังลืมหยิบตลอด มือไร้ถุงมือมีชีวิตอยู่นอกกระเป๋าโค้ทได้แค่ไม่กี่วิ ต้องรีบกดชัตเตอร์แล้วซุกเข้ากระเป๋าทันที ปูวิ่งลงมาแล้ววิ่งกลับไปเอาถุงมือบนรถอีกรอบ
ตาบิลตะโกนแข่งเสียงลมอธิบายเรื่องหินนักเดินทางก่อนเดินวนรอบกองหินสามรอบ กองหินนี้นักเดินทางจะหยิบก้อนหินจากพื้นที่ด้านนอก มาสามก้อน แล้วเดินวนกองหินสามรอบ ไม่แน่ใจว่าบังคับด้านวนเหมือนเวลาเราประทักษิณาเวียนเทียนรึเปล่า แต่ละรอบจะโยนหินที่เราถืออยู่เข้าไปในกองหนึ่งก้อน เป็นการขอพรให้การเดินทางราบรื่นปลอดภัย
เราหมายตาไว้ว่าจะทำบ้าง แต่ตรงนี้ไม่ไหว หนาวไปมากโว้ย

หมายเหตุ : รูปหมาที่ถ่ายมานี่ไม่เห็นนะว่ามีแม่หมาอยู่ด้วย เห็นแต่ลูกหมาเล่นหิมะอยู่ คือลมแรงมาก ลืมตาเต็มๆ แทบไม่ได้เลย

หน้าหนาวอันขาวโพลนกำลังจะจากไปอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว มัวแต่อินหิมะมาข้ามคืน อาจจะหลงลืมไปแล้วว่า นี่ตูมาทริปทะเลทรายนะนี่นะ คิดถึงทรายทรายก็มา จากละอองหิมะสีขาวที่ฟุ้งอยู่ในอากาศ อยู่ๆ ก็เปลี่ยนไปกลายเป็นละอองสีน้ำตาล ได้ยินเสียงแสกๆ ของเม็ดทรายที่ปะทะกระจกรถตามแรงลมจะหอบมา เรายังคงเห็นริ้วขาวๆ ของหิมะที่ตกค้างตามเนินทรายและกระจุกต้นหญ้า แต่ก็เริ่มบางตาลง เผยให้เห็นพื้นที่แท้จริงของบริเวณรอบๆ ที่เป็นดินทรายสีน้ำตาลแดง ฝุ่นทรายทำให้ท้องฟ้าที่เราเห็นกลายเป็นสีเบจ จางบ้างหนาบ้างตามแต่สายลม เราเริ่มเห็นฝูงสัตว์มากขึ้น พวกมันก้มหน้าก้มตาแทะเล็มอะไรสักอย่างบนพื้นดินแดงว่างเปล่า ในสายตาเราเหมือนมันกำลังอุปาทานหมู่เดินขยับปากอย่างไร้ความหมายกันเป็นฝูงๆ

ประเทศมองโกเลียเป็นประเทศที่กว้างใหญ่มาก ภูมิประเทศก็ช่างเวิ้งว้าง ผู้คนสัญจรด้วยยานพานะอะไรสักอย่างระหว่างรถยนต์ดีๆ กับขี่สัตว์ มอเตอร์ไซค์มีให้เห็นบางตา เราเจอคันนึงฝ่าพายุทรายอยู่อย่างทรหด ช่วงพายุทรายนี้ (เอาจริงๆ คงไม่ถึงขั้นพายุ แต่สำหรับเราก็ขอเรียกให้เวอร์ๆ ไว้ก่อน) เราไม่ค่อยชอบ มันไม่สวย และออกไปทางน่ากลัว (ทีหิมะลื่นๆ ล่ะไม่กลัว) ดูจากภาพอาจจะเหมือนว่าร้อน แต่ความจริงยังคงหนาวเหน็บไม่เปลี่ยนแปลง

คณะของเราแวะทานมื้อเที่ยงที่เลทไปมากที่เมืองแห่งหนึ่งในเวลาบ่ายสาม เพิ่งเอาพิกัดไปค้นชื่อตะกี้พบว่าเมืองชื่อ Mandalgovi ถ้าค้นใน Google map จะรู้สึกว่าเป็นเมืองใหญ่ ถึงขนาดมีสนามบินด้วยนะ เมืองนี้อยู่ห่างจากอูลานบาตอร์ ๓๐๐ กิโลเมตรเป๊ะๆ ซึ่งเราใช้เวลาเดินทางปาไป ๕ ชั่วโมง นับจากตอนแวะซื้อของสด โดยแวะแค่ที่เดียวแป๊บเดียวเท่านั้นตรงจุดพักรถ

บรรยากาศเมื่อลงจากรถ ลมแรงมาก และยังหนาวจัด ลมพัดมามีแต่ฝุ่นทราย เข้าหูเข้าตา ทุกคนรีบพุ่งเข้าไปในร้านอาหาร ผลักประตูหนักๆ ปิดไว้เบื้องหลัง ถนนหน้าร้านอาหาร ร้าง ต้องใช้คำนี้ถึงจะเหมาะ มันเงียบกริบ ไร้ซึ่งสัญญาณการมีอยู่ของผู้คน อาคารแต่ละหลังไม่มีเล่าเต๊ง บ้างวัสดุฉาบกะเทาะเผยให้เห็นเนื้อปูนข้างในเว้าๆ แหว่งๆ ต้นไม้พญาไร้ใบยืนต้นโกร๋นสู้ลม โชว์กิ่งก้านฟอร์มสวยแต่ดันทำให้บรรยากาศดูหลอนเข้าไปอีก เราคุยกับปูว่า นี่แม่งฉากหนังทริลเลอร์ชัดๆ ที่ตัวเอกหลงทางมาเจอเมืองประหลาดๆ ที่เต็มไปด้วยฆาตรกรโรคจิต ส่วนมากไอ้หนังพวกนี้ ไอ้ตัวแรดๆ กับตลกๆ มันจะตายก่อน ดีนะเราเป็นคนเงียบๆ เรียบร้อย

อาหารมื้อแรก เป็นผัดผักเนื้อแกะราดข้าว
ตอนนั้นหิวมากๆ รู้สึกว่าอร่อยมาก ข้าวก็โอเค ก่อนจะมานี่เราเคยกินแกะครั้งสองครั้ง เกลียดเข้าไส้เพราะสาบมาก ต้องกินกับไอ้ดิปปิ้งที่เหมือนยาสีฟันใกล้ชิดรุ่นโบราณนั่นน่ะ แต่แกะจานนี้ไม่สาบเลย ถึงอย่างนั้นก็กินไม่หมด เพราะเขาให้มาเยอะมาก ดูจากในรูป มันมีข้าวแค่ตรงด้านขวาเท่านั้นจริงๆ ที่พูนอยู่นั่นคือเนื้อแกะทั้งหมด ระบบการย่อยตูจะปรับตัวทันมั้ย ถาม..

ที่มองโกเลียนี่ จะกล่าวว่าปลูกข้าวไม่ได้ ก็อาจจะตีรวมไปหน่อย มันคงมีบางพื้นที่ปลูกได้
แต่บอกได้ว่าข้าวสวยคือของนำเข้า เขาจึงไม่ได้ให้เรากินเยอะแยะอะไร เนื้อสัตว์ต่างๆ ต่างหาก ที่เป็นของต้นทุนต่ำ กินกันเข้าไปสิ กินเอาอิ่ม ผักก็มีให้กินน้อยเช่นกัน เพราะพื้นที่นี้ปลูกไม่ได้ ต้องขนส่งมากจากภาคเหนือและตะวันตกเฉียงเหนือที่เขียวขจี (และทีแรกมีความคิดว่าจะไปเที่ยวโซนนั้น แต่เปลี่ยนใจมาโกบี)


ที่จริงแล้วแผนวันนั้นเราจะต้องไปนอนในทะเลทรายโกบีกันเลย แต่บิลบอกแล้วว่า เนื่องจากเสียเวลาไปมากในช่วงต้นของการเดินทาง เราจะไปไม่ถึงตามเป้าแล้วนะวันนี้ โดยจะได้นอนค้างคืนในเมืองที่ขอบทะเลทรายแทน โลยาซึ่งพูดภาษาอังกฤษไม่ได้เลย เป็นสายมวลชน แกรู้จักพนักงานทุกคนในร้านอาหารก็ไม่แปลกเพราะแกคงขับรถให้คณะทัวร์มานานแสนนาน แต่แกดันทักทายพวกคนที่เข้ามากินในร้านด้วยอย่างครึกครื้น ในขณะที่ตาบิลไกด์ของเรา ซึ่งเรามีความรู้สึกว่าแกน่ะมือใหม่ กลับเงียบขรึม ออกไปทางเก๊ก ซึ่งทริปนี้เราจะเปิดฉากการเม้าท์ตาบิลไปด้วยตลอดทาง เพราะมันเป็นสิ่งที่แยกออกจากการเดินทางของเราไม่ได้เลย

บิลบอกว่า แกไปอยู่อเมริกามาสิบเอ็ดปี แต่สำนึกรักบ้านเกิดจึงกลับมาตั้งรกราก แต่งงานมีลูกที่มองโกเลีย มิน่าภาษาอังกฤษแกเลิศ แต่ทักษะการฟัง และความเข้าใจดันไม่ค่อยดี เวลาเราพูดอะไร แน่นอนสำเนียงเราห่วย แต่เขาเป็นฝ่ายคุ้นกับภาษาอังกฤษมากๆ ควรจะฟังคนพูดเหน่อได้เข้าใจมากกว่าสิ หลายๆ ครั้ง แกตีความเราผิด และด้วยทัศนคติ บางครั้งเหมือนจะเข้าใจไปคนละทิศละทางเลย ใช้เวลาสองวันถึงจะรู้ตัวว่า คุยกับคนคนนี้ (หรือคนประเทศสังคมนิยม อันนี้ไม่กล้าเหมารวม เพราะไม่ได้คุยกับคนอื่นมากนัก) ต้องระวังตัวมากๆ ความที่เราชอบคุย ชอบถามนั่นนี่ ก็มีพลาดไปหลายช็อตเหมือนกัน

มุกแรกที่ทำให้เราสงสัยว่าบิลจะนู้บ (อย่างน้อยก็เส้นทางนี้) คือที่ผนังร้านอาหารมีแผนที่แปะอยู่ บิลพาเราสองคนไปยืนดูแล้วอธิบายว่าเรามาจากตรงนี้ ตอนนี้เราอยู่ตรงนี้ และเย็นนี้เราจะไป.. เอิ่ม หยุดไปพักนึงแล้วเอานิ้วจิ้มผนังด้านล่างใต้แผนที่ราวๆ ฟุตนึง เราฮากันเพราะว่ามันทะลุแผนที่ แต่อีนี่สะดุดแว้บ ว่าถ้าแกเดินทางเส้นนี้บ่อยๆ แกก็ต้องแวะร้านอาหารนี้บ่อยๆ และทำสิ่งนี้มาหลายครั้งแล้ว แกไม่รู้ได้ไง ว่าแผนที่มันเป็นแค่แผนที่จังหวัด ไม่ใช่แผนที่ทั้งประเทศ แอบคิดในใจ กูว่าไกด์กูนู้บชัวร์ ไว้คอยดูกัน

เราเข้าห้องน้ำแบบปกติมนุษย์อีกครั้งที่ร้านอาหาร โลยาแวะเติมน้ำมันที่ปั๊ม แล้วเราก็มุ่งหน้าไปกันต่อแบบไม่มีหยุดมีพัก เป้าหมายค่ำนี้คือเราต้องไปถึงเมือง Dalanzadgad ซึ่งห่างออกไปอีก ๓๐๐ กม.เป๊ะๆ เช่นกัน

มาถึงตอนนี้ละอองฝุ่นทรายเริ่มลดลงแล้ว ถนนมองเห็นได้ชัดถนัดตา เริ่มเห็นฝูงสัตว์ดูมีชีวิตชีวาขึ้น สวนทางกับร่องรอยการมีมนุษย์ก็ค่อยๆ จางหายไป ไม่มีรถสวนทาง ไม่มีรถอยู่ข้างหน้า และข้างหลังเป็นเวลานานๆ บิลบอกว่า จะรู้ได้ไงว่าถึงโกบีแล้ว ก็เมื่อเราเริ่มเห็นฝูงอูฐ

ฝูงอูฐแรกที่เราได้เห็นปรากฏตัวขึ้นเป็นจุดดำๆ ที่เส้นขอบเขาในเวลาห้าโมงครึ่ง ตั้งแต่ออกจากร้านอาหารมา สัญญาณอินเตอร์เน็ตเราก็ออนๆ ออฟๆ เหมือนความสัมพันธ์ของชั้นกับกรุงเทพฯ นี่ขนาดใช้ยี่ห้อที่เขาบอกว่า เหมาะกับ Country side ละนะ คือติดต่อได้ แต่ไม่ได้เดี๋ยวนั้น ต้องรอแพ้บ ซึ่งความรอแพ้บนี้มันคือกินแบตเอาเรื่องอยู่ เราใช้เวลาสักพักก็เรียนรู้ว่า พอสัญญาณเข้า จะอ่านอะไรก็อ่านๆ เข้า เสร็จแล้วก็พิมพ์ตอบไปให้หมด แล้วให้มันหมุนติ้วๆ ไป พอเราเริ่มจะลืมๆ สัญญาณก็เกิดจะเข้ามา แล้วข้อความก็ถูกส่งออกไปเองแหละ เรื่องแบตเตอรี่ของอุปกรณ์อิเล็คทรอนิกส์ก็เป็นอีกปัจจัยที่เราจะต้องละเอียดถี่ถ้วนและวางแผนให้รอบคอบ ไม่งั้นเป็นอันหมดสนุกแน่นอน

เราเริ่มสังเกตเรื่องแสงแดด อีตอนที่ดูแดดเย็นแล้วคิดว่า วันนี้พระอาทิตย์ตกน่าจะสวย เลย Google ดูว่าพระอาทิตย์ตกกี่โมง พระอาทิตย์ที่นี่ตก ทุ่มสี่สิบห้าว่ะ ไม่รู้มาก่อนเลย ตอนเช้าก็สว่างเร็ว ตอนเย็นยังมืดช้าอีก คุ้มสุดคุ้ม มีเวลาเที่ยวเยอะมาก ชอบ ฮ่าๆ เราเลยบอกบิลว่า ตอนพระอาทิตย์จะลับขอบฟ้า ขอแวะถ่ายรูปหน่อยได้มั้ย บิลบอกว่าได้ และปรึกษากับโลยาว่าจะจอดตรงไหน เรากับโลยาพูดคนละภาษาแต่พูดพร้อมๆ กันด้วยความหมายเดียวกันว่า
จอดตรงที่มันมีอูฐ

ก่อนจะถึงจุดนั้นเราได้เจอไซก้าก่อน

เราไม่รู้เลยว่ามันเป็นไซก้าจนกระทั่งกลับมาไทย บิลบอกว่า เดียร์ เอิ่ม แอนทีโลปน่ะ สัตว์ป่าฝูงแรกที่เราเจอ สองหนุ่มมีเมตตาจอดรถให้ดู พวกมันอยู่ไกลมากแล้วก็รับรู้ถึงการมาของเราแล้วก็ตั้งท่าจะวิ่งหนี เราต้องค่อยๆ ขยับช้าๆ แอบอยู่ข้างรถ แล้วพยายามถ่ายรูปมันด้วยเลนส์เทเล แต่ความถ่ายไม่ชัดนี้โทษใครไม่ได้เลยนอกจากตัวเอง ทั้งมือไม่นิ่ง (โทษลมและความหนาวได้มั้ย) ทั้งไม่เอากล้องไปให้ร้านดูซะทีว่าที่โฟกัสไม่ค่อยเข้านี่อุปกรณ์มันเริ่มบุบสลายแล้วใช่ไหม มองไกลๆ มันก็กวางนั่นแหละ แต่ที่เรามาค้นจนพบว่ามันคือไซก้า ก็เพราะเวลาซูมดูรูปแล้ว หน้ามันโหนกๆ ชอบกล นี่ถ้ารู้ตั้งแต่ตอนนั้นว่าเป็นมัน จะยิ่งตื่นเต้นจนมือไม้สั่น เพราะว่าไม่เคยคิดว่าจะได้เจอตัวจริงๆ ในธรรมชาติ

ไซก้าหรืออีกชื่อคือ กุย เป็นสัตว์เฉพาะถิ่นพบได้ในไซบีเรียและมองโกเลียเท่านั้น และใกล้สูญพันธุ์โคตรๆ มันเป็นกวางตาหวาน หน้างวงๆ หน้าตาน่ารัก แบ๊วเหมือนกระต่ายยักษ์สูงโย่ง
เคยรู้จักมันจากสารคดี และมาหาอ่านเพิ่มอีก ช่างเป็นบุญตาจริงๆ ที่ได้พบ มันอยู่ในหมวดสัตว์เสี่ยงขั้นวิกฤติต่อการสูญพันธุ์ ด้วยวิถีชีวิตของมันเองและปัจจัยคุกคามภายนอก ในวิกิบอกว่าไซก้าอาจจะอยู่กับเราอีกไม่นานแล้ว เพราะว่าวิถีชีวิตมันวอนตายมาก
๑. มันฆ่ากันเองช่วงผสมพันธุ์ ต้องสู้ถึงตาย
๒. ถูกมนุษย์ล่า (อีพวกชั่ว)
๓. มันแพ้เชื้อโรคระบาดบางอย่าง การตายหมู่เริ่มพบครั้งแรกเมื่อปี ๒๐๑๕

แม้ว่าจะลำบากขนาดไหน ขอสวดแผ่เมตตาให้น้องๆ ไซก้าทั้งหลาย ได้มีชีวิตอยู่กันต่อไป ออกลูกออกหลานกันเยอะๆ ให้ชนะการสิ้นเผ่าพันธุ์ด้วยเถอะเพี้ยง

ไซก้าผ่านเลนส์ซูมคมๆ ในอินเตอร์เน็ต ตาดำขลับแป๋วแหวว ขนดูสั้นๆ นุ่มๆ โคตรอ่อนโยนน่ารัก ส่วนไซก้าในระยะห่างไกลในธรรมชาตินั้นก็น่ารักมากไม่แพ้กัน วิ่งตูดกระดุ๊กๆ หนีเปิงเวลารถเราวิ่งผ่าน และก้มหน้าก้มตาแทะความว่างเปล่ากันงิกๆๆ เวลาคิดว่าตัวเองปลอดภัยดี

หมายเหตุ : ภาพตอนพบไซก้านี่คือเวลาหนึ่งทุ่มตรงจ้ะ แสงกำลังอุ่นๆ

และแล้วก็มาถึงเวลาที่รอคอย ฝูงอูฐย้อนแสง โลยาพบฝูงอูฐในเวลาที่พระอาทิตย์กำลังร่วงลงแตะเนินเขา ตะแกหักขวาตั้งฉากกับถนน แล้วขับออกจาถนนไปเลย

เมื่อลงจากรถที่อบอุ่นด้วยฮีตเตอร์ ข้างนอกที่ดูสงบนิ่งเมื่อมองจากอีกด้านของหน้าต่าง กลับไม่เป็นอย่างที่คิด ลมแรงมากและหนาวมากเช่นเคย แสงสีส้มของพระอาทิตย์ยังให้ความอบอุ่นได้ไม่พอ อูฐฝูงยืนชิวที่เส้นขอบฟ้า เป็นแบบให้เรา ถึงเราจะวิ่งไปวิ่งมากรี๊ดกร๊าด มันก็ไม่ค่อยจะเดือดเนื้อร้อนใจเท่าไหร่ หันมามอง เลิกคิ้วนิดนึงแล้วเล็มตอหญ้าเตี้ยๆ ต่อไป

เราถึงที่พักตอนสองทุ่มนิดๆ ฟ้ายังไม่มืด ยังมองเห็นบริเวณโดยรอบ โลยาพยายามสอนเราออกเสียงชื่อเมืองนี้ Dalanzadgad มันฟังดูคล้ายๆ ดาลันซ์ข์ซัคซ์ซ์ข์กัด พยายามออกเสียงตามจนรู้สึกว่ามันไม่น่าใช่ทางของกูละ เลยเลิก

อย่างที่เล่าไปแล้วว่า เมือง Dalanzadgad นี้อยู่ขอบทะเลทรายโกบี บ้านเรือนมีทั้งแบบบ้านสมัยใหม่ แต่หนาเตอะและปิดมิดชิด และแบบเกอ เกอทูเกอ เป็นคำที่เราจะพบได้ตามบริษัททัวร์มองโกเลีย มันหมายความว่านอนเกอทุกคืนและเปลี่ยนที่นอนไปเรื่อยๆ เกอคือที่พักแบบรื้อถอนได้อย่างหนึ่ง ซึ่งเราจะอธิบายในภายหลัง แต่สำหรับคืนแรกนั้น เรานอนเกอที่อยู่ในชุมชน เจ้าของบ้านนอนบ้านอิฐปกติ แต่สร้างเกอไว้รับแขกในบริเวณรั้วล้อมมิดชิด มีเสียงหมาตัวใหญ่เห่าจากมุมบ้าน ซึ่งบิลบอกว่าเป็นหมาข้างนอก (อีบิลมึง หมาอยู่ข้างในโว้ย)


บิลกับโลยาตุ้มเอากระเป๋าเดินทางเราเข้ามาไว้ในเกอ ก่อไฟในเตาให้ความอบอุ่น แล้วบอกว่าจะไปทำอาหารเย็นละ เขาอยู่เกอข้างๆ จะเอาอะไรก็เรียก ไดอะล็อกนี้เป็นไดอะล็อกปกติ เรารับปากว่าโอเค แต่ไม่เคยเรียกขออะไรเลยตลอดทั้งทริป

เราได้เห็นหน้าเจ้าของบ้านแว้บๆ ไม่นานฟ้าก็มืดสนิท เราผลัดกันออกไปเข้าห้องน้ำที่เป็นส้วมหลุมแห่งแรกของทริปนี้ ส้วมหลุมนี้ตั้งอยู่มุมหนึ่งของบริเวณบ้าน ชิดรั้ว เป็นส้วมนั่งราบที่ต่อเนื่องกับหลุมลึกด้านล่าง ยกเว้นเรื่องระบบส้วมแล้ว ห้องน้ำเขาเหมือนปกติบ้านเราทุกอย่าง มีทิชชู่ มีชั้นวางของจุกจิก มีสเปรย์ดับกลิ่นกระป๋องโตด้วย

ห้องน้ำนี้ความที่อยู่มุมและปิดมิดชิด กลิ่นนี่ไม่ต้องพูดถึงเลย เราสองคนเริ่มต้นปรึกษากันว่างดน้ำงดอาหารแม่ง ไม่อยากเข้าส้วม แต่คิดอีกที อย่าทำร้ายร่างกายเช่นนั้นเลย เรามาตั้งหน้าตั้งตากินแม่งทุกอย่าง แล้วก็เข้าส้วม (และไม่ส้วม) ทุกครั้งที่ต้องการกันดีกว่า มันเฮ้ลที่กว่ากันเยอะ

เกอของเราเป็นเกอสองเตียง น่าจะเป็นขนาดเล็กสุดแล้ว มีหลอดไฟหนึ่งดวง และปลั๊กเสียบกาน้ำร้อน ซึ่งก่อนมาเขาบอกว่าเกอจะชาร์จแบตไม่ได้ แต่นี่เรานอนเกอในเมืองเลยมีที่ชาร์จ ถึงการลากสายพ่วงไปมา จะดูน่าหวาดเสียวโดนไฟดูด แต่เราก็จัดเต็มทุกดีไวซ์ฮะ

ความสุขของการนอนเกอก็คือตรงกลางจะมีปล่องเหล็กต่อเนื่องจากเตาเหล็กส่งควันออกสู่ภายนอก เมื่อก่อไฟในเตาเหล็ก ความร้อนจะค่อยๆ แผ่ออกมา ทั่วเกอจะอบอุ่นสบาย ระบบของเตาคงคิดมาดีมาก ควันจะแทบไม่ออกมารบกวนในเกอเลย เว้นแต่บางเกอที่เตาไม่ค่อยจะดี
ข้อเสียคือ
๑. มันใช้ฟืน เสียดายไม้ซึ่งหาได้ยากยิ่งที่โกบีนี่
๒. พอดับแล้วโคตรหนาว มันไม่อยู่ยาวไปทั้งคืน ต้องคอยตื่นมาเติม
๓. รอยต่อระหว่างปล่องกับหลังคา หลายๆ เกอต่อไม่สนิท ลมแม่งถือโอกาสสวนเข้าตรงนั้นแหละ
๔. เห็นเสาอยู่กลางบ้านไม่ได้ ชิน ชอบเอามือไปจับ ร้อนจนร้องแว้กไปหลายที

อาหารเย็นเสร็จตอนสามทุ่มครึ่ง ดึกเวอร์ แต่ก็ไม่ค่อยเดือดร้อนเพราะขนมเยอะ เอาขนมจากชุมพรติดไปด้วย มีกล้วยฉาบกับกล้วยเล็บมือนางอบน้ำผึ้ง ขนมห่อๆ น้ำหวานก็มีที่ซื้อไว้ มาม่าพกมาถึง ๖ กระป๋อง
ตาบิลทำข้าวต้มซุปมันฝรั่งใส่เนื้อแกะบางเบา แกบอกว่าสังเกตว่าเรากินเนื้อกันได้น้อย แกเลยลองใส่น้อยๆ ดู เราก็พยายามบอกแกว่า มันอร่อยแหละ แต่มันเยอะไป และหนักไปมากสำหรับเรา ลดเนื้อลงก็ดีแล้ว นี่บางทีก็สงสัยนะว่ามีแต่บ้านเรารึเปล่าวะที่กินไม่ค่อยเยอะ (แต่กินหลากหลายและจุกจิก) เวลาไปที่ไหนๆ ก็เจอปัญหาให้อาหารเยอะไปทุกครั้งเลย

เรากินเสร็จก็วางไว้ที่โต๊ะ เพราะไม่รู้ต้องเอาไปไหนอย่างไร ตอนมาถึงเกอทีแรก เราลองเอาน้ำอัดลมขวดนึงไปวางไว้บนกรอบประตูเกอด้านนอก ก็ได้อีตู้เย็นธรรมชาตินี่ล่ะ ชั่วโมงเดียวเท่านั้น เย็นเจี๊ยบชื่นใจแบบที่ตู้เย็นบ้านเรายังทำไม่ได้เลยนะ ดื่มน้ำอัดลมอร่อยมากๆ

บิลกับเจ้าของเกอเข้ามาเติมถ่านให้อีกครั้งแล้วทุกคนก็เข้านอน เราซึ่งปรับตัวเข้ากับสิ่งต่างๆ ได้เป็นอย่างดี วนเวียนเข้าห้องน้ำมันอยู่นั่น ไม่ใช่ว่าปลื้มปริ่มหรือติดกลิ่นนะ แต่เดินทางทั้งวันไม่เป็นอิสระทางการขับถ่าย พอได้มีส้วมหลุมที่เดินไปเข้าได้ตลอด มันก็เลยต้องขอทบต้นทบดอกนิดนึง

คืนนั้นกว่าจะหลับได้ เราก็วิ่งเข้าวิ่งออกถ่ายรูปดาวเต็มฟ้า ประตูเกอจะเล็กและต้องก้มตัวเวลาเข้าออก คงเพราะป้องกันการสูญเสียความร้อนด้วย และเพราะโครงสร้างของเกอด้วย กูก้มแต่ละทีก็ปวดหลังแอ้กๆ แต่ไม่ให้วิ่งไปวิ่งมาก็ทำไม่ได้ ดาวโคตรสวย อากาศโคตรหนาว ตกกลางคืนก็อยู่ประมาณ ๖ องศา และกลางดึกมีติดลบหน่อยๆ ยังได้ยินเสียงหมาเห่าทึบๆ เหมือนว่าตัวมันใหญ่มาก นอกนั้นเงียบเหลือเกิน แทบจะได้ยินเสียงดาวกระพริบ

โอมานอีสออซั่มมมม #๖

เมื่อถึงเวลาต้องบอกลาทะเลทราย เรามุ่งหน้ากลับสู่บ้านเงาะมาร์คแบบรวดเดียว มีแวะปั๊มกลางทางครั้งนึง เสาะหากาแฟเย็นหอมหวานที่ติดใจกันไปซะแล้ว ตอนแวะปั๊มมีเรื่องน่าเล่าอยู่เรื่องหนึ่ง แต่ไม่ใช่ของวันนี้ เป็นของวันที่เราเพิ่งออกจากแค้มปิ้งริมทะเล คือเงาะปวดฉี่มาก แต่อยู่ในชุดเสื้อกล้ามกางเกงขาสั้นสบายๆ จากชายหาดแล้วโดดขึ้นมาขับรถเลย พอถึงปั๊มจะลงรถ ก็คิดได้ว่าชุดไม่เหมาะสม ถ้าลงไปแบบนี้ชาวบ้านอาจจะไม่ชอบใจ เลยต้องเอาผ้าคุลมสองผืนให้พันตัวไปเข้าห้องน้ำ แต่ละครั้งที่เราซื้อของที่ปั๊มก็จะเจอรีแอคสองแบบ แบบหนึ่งคือเหยียดเลยตรงๆ ไม่เก็บอาการ อีชะนีผมยาว เอาเงินมาแล้วรีบไปซะมึง ชิ้วๆ อีกแบบคือบริการปกติ เพิ่มเติมคือมองมากเป็นพิเศษนิดหน่อยไม่น่าเกลียดอะไร อย่างหลังนี่เดาว่าเป็นพวก Expat เข้ามาทำงาน และพนักงานที่ปั๊มที่เจอก็ล้วนแต่เป็นผู้ชาย ไม่มีผู้หญิงเลย

สองข้างทางค่อยๆ แปรสภาพจากทะเลทรายกลายเป็นพื้นที่แห้งแล้ง ภูเขาหินสลับซับซ้อน และพอใกล้เมือง สีเขียวของต้นไม้ต้นไร่ก็เริ่มแต่งแต้มทิวทัศน์ของเราอีกครั้ง ฝ่ารถติดเล็กน้อยที่มัสกัต ถ้าเข้าใจไม่ผิด เราเจอเข้ากับขบวนเสด็จของสุลต่านด้วย ราวๆ เที่ยงวัน พระอาทิตย์กำลังขยันทำงานเต็มกำลัง เราก็ถึงบ้าน

ทุกคนช่วยกันเอาของลงจากรถ แขก (ดอย) อย่างพวกเราทำได้แค่ช่วยยกเข้าบ้าน แต่เรื่องจัดเข้าที่คงต้องเหนื่อยเจ้าบ้านแล้ว ทุกคนอาจจะกำลังมึนแดด ตอนกำลังมุดหัวเช็คของจากประตูท้ายของรถขาว มุ้ยบอกด้วยความเป็นห่วงว่า แอ้ระวังมือนะ เราหันไปถามว่า แกห่วงอะไรมือชั้น หัวชั้นนี่มุดอยู่ทั้งหัว กลายเป็นมุกประจำกลุ่มกันไป

หลังจากนั้นทุกคนก็แยกย้ายกันไปพักผ่อนคนละมุม มุ้ยเอารองเท้าอับชื้นมาล้างอย่างสะอาดแล้วปิ้งแดดที่แรงระดับที่ว่า ถ้ามีไอน้ำลอยขึ้นต่อหน้าต่อตาจะไม่แปลกใจ เราทำตามบ้าง แต่ไม่ล้างสะอาดเท่ามุ้ย กรรมเข้าภายหลังคือกลับมาแล้วรองเท้าเหม็นอยู่ ๓ เดือน ใส่ไม่ได้เลย ซักไปไม่รู้กี่รอบกว่ากลิ่นจะหาย ในขณะที่คนอื่นพักผ่อน เราต้องหาอะไรเล่นอีกเช่นเคย ด้วยความคึก และความประทับใจในรถแดง เลยเอาอุปกรณ์ออกมานั่งวาดรูปรถแดงนอกบ้าน เสียงคอมแอร์ครางต่ำๆ ได้ยินเหมือนมันกำลังพูดว่า เข้ามาตากแอร์ เข้ามาตากแอร์

ก่อนสีโมงเย็นเล็กน้อย แดดลดกำลังลงนิดหน่อย ท้องฟ้าเริ่มมีสีสวย มาร์คสลัดคราบสิงห์ทะเลทรายทิ้งไว้ที่ประตูบ้าน และใช้เวลาลุงๆ หน้าทีวี เงาะพาเราสามคนออกไปเที่ยวตลาดมัทรายามเย็น ซึ่งเป็นเวลาที่เจ้าถิ่นแนะนำว่าจะไม่ร้อนจนทรมานมากนัก

ตอนไปถึง พวกเราก็พบว่าที่จอดรถมันเป็นแบบออโต้ หยอดเงินรับการ์ดอะไรสักอย่าง ซึ่งโคตรงงเลย ต้องสะกดรอยดูว่าชาวบ้านเขาทำกันยังไง กว่าจะจอดรถได้ แดดก็กลายเป็นสีทองสวยพอดิบพอดี เราจอดรถบริเวณที่เป็นเวิ้งอ่าวที่เรือสุลต่านจอดอยู่ นกหลายตัวบินฉวัดเฉวียนใกล้ผิวน้ำ มันคงชวนเพื่อนมากินมื้อเย็นกัน ฟุตปาธตรงนี้กว้างและสวย มีคนเดินไปมาขวักไขว่ ทั้งคนท้องถิ่นและนักท่องเที่ยว เวลาถ่ายรูปต้องพยายามหลบๆ ผู้คนท้องถิ่นโดยเฉพาะผู้หญิง ไม่อยากจะมีเรื่อง

ระหว่างเดินไปยังตลาดมัทรา ทอดสายตาเลยไปนิดหน่อยจะเห็นมัทราฟอร์ทเด่นเป็นสง่าอยูบนยอดเขา ฟอร์ทนี้มีอายุเก่าแก่ถึงสี่ร้อยกว่าปี สร้างขึ้นโดยชาวโปรตุเกสเพื่อต้านทานการรุกรานของออตโตมัน สมัยที่จักรวรรดิออตโตมันกำลังรุ่งเรืองและขยายอาณาเขต พระจันทร์ใจร้อนรีบขึ้นมาพ้นขอบฟ้า โผล่หลังฟอร์ทเหมือนเรียกร้องว่า ถ่ายรูปฉันสิ

ที่ตลาดมัทรา คนเดินด้านหน้าปากทางเข้ากันขวักไขว่ เงาะบอกให้ระวังพวกคนโอมานแก่ๆ ที่ดูรวยๆ ถือไม้ตะพด บางทีไม่ชอบใจใครก็เอาไม้ฟาดดื้อๆ โดยเฉพาะผู้หญิง นี่คิดนะว่าถ้ามึงเงื้อมา กูคว้าอีกปลายละฟาดกลับแน่ๆ ฟาดมาฟาดกลับไม่โกง สัญญาเลย ดีที่ไม่มีใครเปิดก่อน เลยได้เดินตลาดอย่างสงบสุข

ร้านรวงในตลาดเปิดแผงหน้าร้านกว้างกว่าจตุจักร ข้าวของเยอะ สวยๆ แปลกตาทั้งนั้น แต่เรางกเลยช้อปมาแค่ไม่กี่อย่าง สิ่งที่พุ่งเข้าใส่เป็นอย่างแรกคือผ้าคลุมผืนใหญ่ จับแล้วรู้สึกดีว่ะ ไม่เหมือนผืนละร้อยสองร้อยที่ใช้อยู่ หลังจากต่อราคากันอย่างเมามัน ก็ดีลในที่สุด ทุกวันนี้ผ้าผืนนี้ก็ยังเป็นผืนโปรด ไปไหนมาไหนด้วยกันมาหลายทริปแล้ว นอกจากผ้า เราซื้อโปสการ์ดมาปึกหนึ่ง แล้วเห็นคนขายท่าทางใจดี เลยถามว่าเขียนภาษาโอมาน (Omani Arabic) ได้ไหม แกบอกแกเขียนไม่ได้เพราะไม่ใช่คนโอมาน แต่แกเรียกลุงท่าทางใจดีอีกคนนึงมาเขียนให้ บอกว่าลุงเนี่ยเขียนได้ เราออกเสียงชื่อตัวเองให้แกฟังสามสี่ครั้ง แกบอกเขียนให้ตรงเป๊ะๆ ภาษาโอมานไม่มีนะหมวย เลยสะกดชื่อเราออกมาคล้ายๆ ภาษาญี่ปุ่น พิทิปุ เรามีความสนใจในตัวหนังสือภาษาต่างๆ อย่างสม่ำเสมอ และปิ๊งภาษาอาหรับมาก เราว่าโคตรเท่ห์เลย พอได้ตัวสะกดชื่อตัวเองมา กลับมาก็มากูเกิ้ลดูพวก Arabic for dummies จนสะกดชื่อเพื่อนๆ ได้หมดทุกคนเลย (ที่รู้เพราะผสมอักษรแล้วเอาไปให้กูเกิ้ลอ่าน มันอ่านออกมาได้ใกล้เคียงมาก) นอกจากนั้นก็ได้หมึกเขียนเฮนน่ามาเล่น แต่สุดท้ายลองนิดหน่อยแล้วล้างไม่ค่อยออก เลยไม่กล้าเล่นเลยจ้า กลัวต้องไปเลเซอร์ลบรอยสักปานแดงปานดำ

พวกเราใช้เวลากันพอสมควรในตลาดมัทรา ถ้าเป็นคนถ่ายรูปเก่งๆ เราว่าถ่ายรูปสนุกเลยแหละ ตอนเดินกลับฟ้าก็มืดหมดแล้ว เพื่อนๆ โดนป้าร้านอินทผาลัมตกอย่างจัง ช้อปป้าไม่พอ ยังไปช้อปห้างต่ออีกคนละถังใหญ่ๆ อินทผาลัมหรือ Date บ้านเราก็ปลูกได้ แต่แปลก บ้านเราน้ำมากกว่า ลูกมันกลับไม่หวานหอมเหมือนของปลูกทะเลทรายแท้ๆ พอออกจากตลาด เราสี่คนก็เลยมุ่งหน้าไปห้างสำหรับมื้อเย็น และสำรวจซุปเปอร์มาร์เก็ตก่อนกลับ รีวิวแบบเร็วๆ เลยนะ อาหารญี่ปุ่นไม่อร่อย อินทผาลัมถูก และชีสต่างๆ ราคาถูกมาก

ด้วยความกระหายอาหารญี่ปุ่นเลยลองไปจัดดูซักหน่อย ปรากฏว่าสวยแต่รูปว่ะ ความอร่อยไม่สมราคาเท่าไหร่ แต่ก็แก้ขัดพอได้

เช้าวันถัดมา เราตื่นแต่เช้าเฝ้าตะวันขึ้นบนดาดฟ้าตามปกติ จากนั้นก็แพ็คกระเป๋าอย่างยากลำบากเพราะต้องหาที่ยัดชีสกับอินทผาลัมถังย่อมๆ เนื่องจากสายวันนั้นเราจะไปชมแกรนด์มอสก์ ซึ่งเราขอแปลเองว่ามัสยิดหลวงก็แล้วกัน ในมัสยิดย่อมจะมีเดรสโค้ด ซึ่งก็ไม่ยากแค่ปิดแขนขาและผม ชุดเราเตรียมมาแล้ว ผ้ามี แต่โพกผ้าไม่เป็นเลยเปิดยูทูปทำตาม ซ้อมอยู่หลายรอบกว่าจะโพกให้แน่นได้ แต่ออกมาแล้วดูไม่จืดเลย การโพกผ้าฺฮิญาบน่าจะเหมาะกับคนที่หน้าคมๆ ตาโตๆ เพราะสีเข้มของผ้าจะไม่สามารถกลบเครื่องหน้าได้ แต่อีป้าตาตี่แบบเรา แม่งขนมเข่งมากๆ อะ แก้มมันล้นออกมาแล้วตาเป็นขีดๆ บัดซบ

มาถึงตรงนี้ เราเสียใจที่จะต้องเล่าตามตรงว่า เราไปถึงลานจอดรถของมัสยิดหลวงซึ่งค่อนข้างกว้างและอยู่ด้านหลัง ต้องอ้อมประมาณนึงถึงจะเจอทางเข้าตอนเวลา ๑๐:๔๐ ด้านในสุดของมัสยิดเปิดให้ชมถึง ๑๑:๐๐ โดยเวลาที่เหลือเดินภายนอกได้อีกนิดหน่อยก่อนถูกกวาดต้อนออก โอ๊ย.. รีบมาก ลนลานที่สุด เสียดายที่ไม่ได้ใช้เวลาชมช้าๆ คนไม่เยอะเท่าไหร่ มัสยิดหลวงสวยงามและโอ่โถงมากๆ แดดแจ่มจ้ายามสายซอกซอนเข้าไปทุกอณูที่จะเข้าได้

เขียนยังไม่เสร็จ ไปนอนละ พรุ่งนี้ต้องตื่นเช้า เดี๋ยวมาแก้วันหลัง บั๊ย..

โอมานอีสออซั่มมมม #๕

หลังจากมื้ออาหารริมชายหาดอันสวยงาม เราก็หันหลังให้ทะเลน้ำ และมุ่งหน้าเข้าสู่ทะเลทราย ด้วยสภาพที่เพลียเพราะเดินตากแดดกันมาก่อนต่อด้วยกินอิ่มเป็นงูหลามย่อมๆ ก็ห่วงเงาะว่าจะขับรถไหวไหม อย่างที่เกริ่นไว้ทีแรกว่าเราถือใบขับขี่สากล ซึ่งเงาะบอกว่าขับรถส่วนบุคคลที่โอมานไม่ได้ ตุ๊กตาหน้ารถทำอะไรมากไม่ได้เลยชวนเม้าท์รัวๆ ถ้าจะปลอดภัยเรื่องดาราเซเล็บที่เผือกๆ ไว้ก็ได้เวลางัดมาใช้กันล่ะ เป็นเซฟท็อปปิคที่ตาสว่างดีเหมือนกัน ทั้งๆ ที่ใครได้กับใครมันก็ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเราซักหน่อยนี่หว่า

ตอนมาถึงเมือง Bidiyah ปราการด่านสุดท้ายก่อนเข้าทะเลทรายเงาะก็โดนตำรวจเรียกไปทีนึง ดูเหมือนว่าเรียกเพราะเหยียดความเป็นผู้หญิงไม่คลุมผม และพอดูเอกสารพบว่าเป็นต่างชาติก็ตั้งท่าจะเล่นใหญ่ เงาะมีเอกสารครบหมดทุกอย่าง แต่หมาต๋าก็ลีลาอยู่นาน รู้สึกเหมือนพยายามถ่วงเวลาหาเรื่อง จะยังไงก็ไม่รู้แหละ ถึงมาร์คมุ้ยจะนำหน้าไปก่อนแล้ว แต่ถ้าหันหลังมาเห็นว่าไม่ตามคงย้อนกลับมาดู รู้อย่างนี้ก็อุ่นใจว่ายังไงก็มีแบ็คอัพ ถ้าไปคันเดียวผู้เป็นหญิงล้วนในประเทศที่ผู้หญิงควรเสงี่ยมเจียมตัวอยู่แต่ในรั้วบ้านก็คงเสียวๆ เหมือนกัน ชีวิตคู่ก็คงแบบนี้มะ รู้สึกมีแบ็คอัพ?

อันนี้ก็ไม่รู้สินะ ไม่มี ฮ่าๆๆ

ที่บิดิยาห์ ออกเสียงถูกรึเปล่าไม่รู้เหอะ เราเปิดกูเกิ้ลแม็พเดินทางตามปกติ แล้วก็ค้นเจอชื่อที่พักของเราซึ่งอยู่ลึกเข้าไปในทะเลทรายประมาณ ๒๐ กม. แต่การนำทางของกูเกิ้ลมันหายไป เพราะไม่มีถนนแล้ว เงาะมาร์คจอดรถปรึกษากันว่าจะเลี้ยวเข้าทะเลทรายตรงไหนดี เราอยากแสดงความเห็นว่าไปตามรอยทรายที่ดูจากแม็พแบบภาพดาวเทียมดีไหม แต่ก็ไม่มีข้อมูลอะไรมาแบ็คอัพ รอยทรายนั้นมันคืออะไรยังไม่รู้เลย สุดท้ายขบวนของเราก็มุ่งหน้าเข้าสู่ทะเลทรายด้วยเส้นทางเก่าที่เงาะมาร์คเคยมาเที่ยวก่อนหน้านี้

สองข้างทางสวยอลังการมาก ซึ่งแน่อยู่แล้วล่ะมันครั้งแรก มันต้องอู้อ้า น่าตื่นเต้นไปหมด แต่แถมพิเศษไปกว่านั้นอีกด้วยแสงเย็นสีทองที่เป็นฟิลเตอร์ฉาบทุกสิ่งทุกอย่าง ตั้งแต่หมู่บ้านน้อยๆ ชิดเนินทราย ต้นไม้ห่างๆ นานๆ ต้นที่ยืนหยัดอยู่ท่ามกลางความแห้งแล้งได้อย่างน่าประหลาด อูฐกลุ่มละสามสี่ตัวที่เดินเนิบๆ ไม่มีถนนที่มนุษย์สร้างแล้ว ยานพาหนะของเราเคลื่อนตัวไปตามรอยล้อที่ประทับบนผืนทรายของรถคันอื่นๆ ก่อนหน้า ช่วงแรกๆ ทรายนุ่มๆ หายไปจากผิวเป็นระยะทางไกล เผยให้สัมผัสถึงผิวดินแน่นๆ ด้านล่าง ที่อัดตัวเป็นคลื่นขนาดแลมบ์ดา ๐.๕ – ๑ เมตร รถเราสั่นกระพือทุกครั้งที่ขับไปบนลอนคลื่นพวกนี้จนหัวสั่นหัวคลอนไปหมด รถแดงของมาร์คขับนำหน้าไปไกล บางจุดเรางงว่าตะกี้รถพ่อบ้านเขาลงเนินไปทางซ้ายหรือขวาวะ ต้องเดาๆ ตามรอยฝุ่นกันไป รถขาวคันนี้เป็น SUV แม่บ้านที่มีระบบขับเคลื่อนสี่ล้อด้วย มาร์คอธิบายทีหลังว่า รถธรรมดาที่ไม่ได้แต่งมาเพื่อขับในทะเลทราย สามารถปล่อยลมยางออกเยอะๆ ได้เพื่อช่วยให้ล้อมันไม่จมจนติดทราย แต่แกบอกว่ารอบนี้ไม่ได้ให้ปล่อยลม เพราะขี้เกียจไปหาที่เติมลมตอนออกจากทะเลทราย ตรงจุดที่ทรายนุ่มๆ หนาๆ จึงต้องขับด้วยสกิลแทน ซึ่งจะเล่าเป็นลำดับถัดไป

ก่อนหน้าที่เราจะมา พวกเราหาข้อมูลและเจอคนไทยรีวิวการท่องเที่ยวทะเลทรายโอมานที่มีภาพประกอบทำให้เข้าใจได้ว่า พวกเขาเดินทางด้วยการขับรถเช่าคันน้อยๆ ไปเที่ยวที่ต่างๆ ตลอดจนไปนอนแค้มป์ทะเลทราย เราว่าการรีวิวแบบนี้ ไม่โอเคนะ มันอาจจะน้อยครั้งมากที่มีใครออกเดินทางอ้างอิงจากข้อมูลของเราจริงๆ แต่ถ้าเกิดมีขึ้นมา ข้อมูลแบบนั้นอาจจะเป็นอันตรายกับคนอื่นได้ โปรดฟังอีกครั้งหนึ่ง

รถ ธรรมดา ขับ เข้า ทะ เล ทราย ไม่ ได้ นะ

แม้แต่ผู้ชำนาญการยังมีพลาด เรารู้ตัวตอนที่ตำแหน่งในกูเกิ้ลมันขยับจนเรามาถึงบริเวณที่ควรจะเป็นแค้มป์แล้ว แต่ไม่เห็นแค้มป์ เพราะแค้มป์อยู่อีกฝั่งของเนินทรายสูงๆ ที่ถ้าเรามาด้วยคันแดงคันเดียว มาร์คคงพาไต่ข้ามไปละ แต่มีรถขาวด้วยเลยได้แต่มองตาปริบๆ พระอาทิตย์กำลังลับหายไปที่หลังเนินทรายอีกด้าน และความมืดมิดค่อยๆ โรยตัวลงมา ถ้ายังเร้าใจไม่พอ น้ำมันรถทั้งสองคันก็พร่องไปเยอะด้วยโดยเฉพาะคันขาวเพราะถังเล็กกว่า ตั้งแต่ออกมายังไม่ได้เติมเลย เราพยายามหาจุดที่โทรศัพท์มีคลื่น แล้วโทร.ถามที่พัก เขาบอกต้องมาเช็คอินกับเขาที่เมืองบิดิยาห์ก่อน ถึงจะนำทางเข้ามาได้ โอ้วมายก้อด พวกเราโวยวายกันใหญ่ว่าทำไมเพิ่งมาบอกวะ ก่อนจะพบว่า เขาเขียนไว้ในคอนดิชั่นตอนที่จองแล้วแหละ อ่านไม่ถึงเอง วั้ยยยย ขาเข้ามา เราชิวๆ ชมอูฐชมวิว ใช้เวลาเกือบชั่วโมง มาถึงจุดที่ต้องเลี้ยวกลับ มาร์คขับนำแบบเร็วขึ้นมาก เงาะก็เลยขับเร็วตาม แปลกมากที่พอใช้ความเร็วสองเท่าแล้ว ตอนผ่านพื้นที่เป็นคลื่นๆ นั่นมันไม่กระแทกอีกเลย เหมือนลอยผ่านไปเฉยๆ เลย ใช้เวลา ๒๐ นาทีก็กลับถึงตัวเมือง ไวจุง

หลังจากเติมน้ำมันแล้ว เราก็ไปเช็คอินที่ส่วนต้อนรับ ซึ่งเป็นชั้นสองของอาคารพาณิชย์แห่งหนึ่ง โถงนั้นตีโล่งตลอดไม่มีกั้นห้อง มีโต๊ะพนักงานต้อนรับกับชุดรับแขก ทั้งหมดตกแต่งในสไตล์สากลปนอาหรับดูแปลกตาดี เจ้าหน้าที่ให้เรานั่งพัก ดื่มน้ำ และค่อยๆ ทำตามขั้นตอนต่างๆ อย่างสโลว์โมชั่นสุดๆ แต่เราก็ไม่มีอะไรจะรีบแล้วตอนนั้น ก็เลยปล่อยให้พ่อคุณได้ละเมียดละไมไป เราต้องกรอกข้อมูล ยื่นเอกสาร และจ่ายเงินที่นั่น และรออีกพักใหญ่รถขับนำจึงมาถึง

ก่อนหนึ่งทุ่มเล็กน้อย ท่ามกลางความมืดสนิท รถสามคันขับตามกันมุ่งหน้าเข้าสู่ทะเลทรายเวิ้งว้าง เห็นแค่ไฟท้ายของคันหน้าที่วับแวมปรากฏขึ้นและหายไปตรงเนินลูกนั้นลูกนี้ หลังผ่านพื้นดินแน่นๆ มาได้ไม่นานก็ถึงจุดที่ทรายนุ่มหนา พอต้องขึ้นเนินทรายเนินแรก รถขาวก็ติดทรายทันที ยิ่งเดินหน้าล้อยิ่งปั่นจมลงไปในทราย เงาะต้องถอยหลังยาวมาตั้งต้นใหม่ สองคันหน้าวนกลับมาและแนะนำว่าให้ขับไปเลยโดยไม่หยุดไม่ชะลอ ถ้าความเร็วตก ล้อมันจะจมทรายทันที คราวนี้ยิ่งเร่งยิ่งจม พยายามอยู่พักหนึ่ง มาร์คก็มีวิธีที่ดีกว่า คือสลับคันกันขับ เพราะรถแดงแค่เหยียบคันเร่งมันก็ไปได้หมดอยู่แล้ว ส่วนแกจะมาขับคันขาว มุ้ยกับหนิงย้ายตามเงาะไปคันแดง แต่เราขออยู่คันขาวเพราะอยากดูโปรขับแบบริงไซต์

โอ้โห โปรก็คือโปร มาร์คขับรถแม่บ้านจับพวงมาลัยมือเดียว ไต่ขึ้นเนินทรายสูงๆ หนานุ่มด้วยการเลี้ยงพวงมาลัยซ้ายขวาๆ ทีละน้อยด้วยความเร็วพอสมควรและสม่ำเสมอ ทำให้รู้สึกว่ารถกำลังเลื้อยขึ้นเนินเหมือนงู ลื่นไหลเหมือนกำลังเซิร์ฟอยู่บนคลื่นทราย เป็นอะไรที่โคตรเจ๋งมาก อยากหัดขับแบบนี้บ้าง เราทักว่า นี่มันยังไม่ท้าทายพอ ยูขับวันแฮนด์เลยเหรอ มาร์คปล่อยมือทันที โนแฮนด์ก็ได้นะ แว้กกกกก

มาร์คบอกว่า เมื่อกี้ตอนหลงทางแล้วต้องขับกลับ ภาคภูมิใจภรรยามาก พอคับขันขึ้นมาก็ขับรถเร็วเป็นด้วยแฮะ เราบอกว่า ขาเข้ามัวแต่กรี๊ดกร๊าดกันไง มันเลยช้า แกตะโกนว่า ยูก็ต้องหยุดพูดบ้างเซ่ ฮ่าๆๆ

เรามาถึง Safari Desert Camp ในที่สุด พอลงรถก็พบว่าอากาศเย็นและรู้สึกเบาสบาย บ้านพักแต่ละหลังเป็นบ้านดินสีน้ำตาลเหมือนทะเลทราย กระจายตัวกันในบริเวณรั้วเตี้ยๆ แผ่กว้างบนที่ราบใกล้เนินทราย แต่ละจุดสว่างเรืองๆ ด้วยแสงไฟโซลาร์เซลล์ สำหรับคนที่ยังไม่เคยมีประสบการณ์อยู่ในพื้นที่กันดารที่สร้างแสงสว่างยามค่ำคืนด้วยไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ ต้องขออธิบายให้เห็นภาพว่า มันไม่ได้สว่างเหมือนหลอดไฟบ้าน ถ้าใช้หลอดสีเหลืองมันก็จะสว่างเหมือนแสงจันทร์ดวงน้อยๆ ที่เอามาเปิดต่อๆ กัน หลอดสีขาวอาจจะสว่างกว่าเล็กน้อย แต่ก็จะอ่อนแสงลงเรื่อยๆ เมื่อไฟเริ่มพร่องจากหม้อแบต เจ้าหน้าที่ต้อนรับพวกเราและพาพวกเราไปส่งบ้านพัก ซึ่งได้อยู่กันคนละฟากแค้มป์ เราจะเก็บข้าวของและออกมากินอาหารเย็นซึ่งรวมอยู่ในแพ็คเกจ ทางเดินน้อยๆ เชื่อมแต่ละบ้านเข้าหากัน ถึงจะไม่มีอะไรบดบังสายตาเลย แต่มันมีทางแยกเยอะ และบ้านแต่ละหลังก็เหมือนกันไปหมดจนดูงงมากๆ ในแสงสลัวๆ เราจึงท่องจำเส้นทางเดินกลับมายังห้องอาหารเอาไว้ “ขวา ถึงสามแยกแล้วซ้าย เจออีกแยกตรงไป เห็นเสาไฟเตี้ยๆ เดินเลยเสาไป เลี้ยวขวา เจอต้นไม้ หลังที่สองถัดจากต้นไม้ ฯลฯ”

เรามุ้ยหนิงนอนห้อง ๓ คน ด้วยกัน เป็นห้องที่เหมาะกับความต้องการด้วยเตียงควีนไซส์ ๒ เตียงและเตียงเดี่ยวปกติอีก ๑ เตียง มีหน้าต่างสองด้าน ห้องน้ำอยู่ด้านนอกและไม่มีหลังคา สามารถแหงนหน้าชมพระจันทร์ได้พร้อมๆ กับอาบน้ำด้วยเรนชาวเวอร์ ซึ่งความแรงของน้ำปกติจนน่าประหลาดใจ เพราะมองไม่เห็นทาวเวอร์เก็บน้ำอยู่ในระยะใกล้ๆ เลย และไม่ได้ยินเสียงปั๊มน้ำด้วย เลยเป็นปริศนาที่เพื่อนๆ อาจจะไม่สนใจ แต่เราหมกมุ่นอยู่นาน (สุดท้ายเราสมมติเอาเองว่า ถ้าเราเป็นคนออกแบบที่นี่ อยากให้น้ำแรง แต่ไม่อยากใช้ปั๊มออโต้ให้เกิดเสียงรบกวน ทางที่ดีที่สุดคือใช้แรงโน้มถ่วงสร้างแรงดันน้ำ แต่ไม่อยากตั้งทาวเวอร์ทำลายความสวยงามของทิวทัศน์ เราอาจจะเอาแทงค์น้ำไปฝังบนยอดสูงสุดของเนินทรายแล้วเดินท่อมายังจุดจ่าย ก็อาจจะเป็นไปได้..)

ในห้องอาหารที่มีแสงสว่างไม่เพียงพอ ถาดอาหารเรียงอยู่ด้านหนึ่ง ที่นั่งส่วนมากเป็นโต๊ะเก้าอี้ แต่ด้านริมสุดมีที่นั่งแบบเทรดดิชั่นนอล เป็นเหมือนโซฟาไม้ยาวๆ ชิดผนัง ประดับด้วยพรมหนาๆ ทั้งบนที่นั่งและที่พื้น มีผู้ชายอาหรับสามสี่คนนั่งชันเข่าคุยกันเบาๆ ปรายตามองนักท่องเที่ยวแบบเหยียดๆ ตามที่เกริ่นไว้ตอนต้นๆ ว่าคนโอมานแท้มีจำนวนน้อยมากจนต้องเอาท์ซอร์สต่างชาติเข้ามาทำงานมากมาย สำหรับคนจากแดนไกลอย่างเรา ตอนแรกๆ ก็ดูไม่ออกว่าใครเป็นคนโอมานใครเป็นต่างชาติ แต่หลายวันผ่านไป เริ่มบอกได้ว่าผู้ชายชุดขาวพันผ้าบนหัวที่มองคนอื่นเหยียดๆ เป็นไปได้มากว่าเป็นคนโอมานแท้

โต๊ะวางถาดอาหารอยู่ในจุดที่แสงไฟอ่อนมาก เรามะงุมมะงาหราสุ่มๆ ตักอาหารกันในความมืด พนักงานสาวภาษาอังกฤษคล่องแคล่วคนหนึ่งเข้ามาคุยด้วยและถามว่าเราต้องการขี่อูฐไปดูพระอาทิตย์ขึ้นตอนเช้าไหม เรา หนิงและมุ้ย ตกลงจองขี่อูฐซึ่งต้องตื่นตั้งแต่ตีห้า (ไม่ได้ลำบากอะไรนี่ นาฬิกาชีวภาพคือแปดโมงเช้า) ส่วนเงาะกับมาร์คเคยทำสิ่งนี้มาแล้ว เลยขอตัวนอนให้เต็มอิ่ม

หลังกินข้าวเย็นเสร็จ (อาหารอาหรับอร่อยมาก ขนาดมองไม่ค่อยเห็นว่ากินอะไรไปบ้าง แต่ก็เอนจอยสุดๆ) เราเดินเล่นรอบๆ มีเต็นท์กระโจมเปิดโล่งที่กางไว้ให้บรรดาผู้ชายไปนั่งดูดบารากู่แล้วพูดคุยกัน มาร์คไปนั่งก่อน พวกเราก็เลยตามไป เขาเอาพรมปูลงไปบนทราย แล้วมีหมอนอิงวางไว้หลายใบ เรานั่งเอนหลังตรงส่วนที่อยู่นอกหลังคาเต็นท์ หูฟังบทสนทนา ตาก็แหงนมองฟ้าที่ปราศจากแสงรบกวน ตาวเต็มฟ้า อากาศเย็นและแห้งกำลังสบายพร้อมลมพัดเบาๆ เมื่อได้เวลาพอสมควร เราก็แยกย้ายกันกลับบ้านพัก เราหนิงและมุ้ยยังลากเก้าอี้นั่งเล่นไปกลางลานหน้าบ้าน แล้วนั่งดูดาวกันอยู่อีกพักใหญ่ เนื่องจากบ้านพักไม่มีแอร์ ถึงอากาศจะกำลังสบายแต่ก็ต้องนอนเปิดหน้าต่างอยู่ดี ไม่งั้นจะเริ่มไม่เย็นสบายละ มาร์คบอกว่าให้สังเกตทิศทางลมที่พัด ให้ปิดหน้าต่างด้านที่ลมจะเข้า แล้วเปิดด้านที่อยู่ปลายลมแทน เพราะเวลาลมมันพัดมันจะหอบทรายเข้ามาด้วยตลอดเวลา

เช้าวันต่อมา เราตื่นก่อนเวลานัดเล็กน้อย เตรียมตัวไปขี่อูฐด้วยเสื้อผ้าที่กระชับ และรองเท้าผ้าใบที่ยังไม่แห้งสนิทดีจากวาดี้ชาบแต่จำเป็นแล้วล่ะ ใส่ๆ มันไป สำหรับตัวเราเอง มีประสบการณ์อยู่บ้างนิดหน่อย เคยฝึกขี่ม้าเล่นๆ มาก่อน แล้วก็เคยนั่งอูฐระหว่างไปเที่ยวมาแล้วหนึ่งครั้ง กับความคุ้นเคยในสัตว์กีบเพราะที่บ้านมีอยู่ฝูงใหญ่ ทำให้พอจะรู้ว่าต้องเตรียมอะไรไปบ้าง แต่สิ่งที่ทำให้กังวลใจคือ ตอนตีห้าครึ่งทุกอย่างยังมืดสนิท เราเดินงมทางกลับไปทางอาคารห้องอาหาร ระหว่างทางเจอซุ้ม ที่นั่งตะคุ่มในความมืดคือผู้ชายแต่งชุดขาวชาวโอมาน เขาบอกว่าเขาคือคนที่จะมาพาขี่อูฐ ตอนเดินตามเขาผ่านซุ้ม ออกนอกรั้วของแค้มป์ไป รู้สึกหวาดๆ ว่านี่ถ้าหลอกไปทิ้งกลางทะเลทรายจะทำไงวะเนี่ย

คณะน้อยๆ ของเรามีอูฐสามตัวรออยู่แล้ว เราได้ขึ้นคนแรกตัวหน้า อาจจะเพราะกล้ากว่าเพื่อนๆ หรือไม่ก็อ้วนสุด เพราะโดยมากคนจูงจะจูงเฉพาะตัวหน้า แล้วเอาเชือกผูกตัวหลังๆ ไว้กับตัวหน้าอีกที สัมภาระหนักสุดก็อาจจะเหมาะที่เอาไว้กับตัวที่เป็นผู้นำฝูง เป็นข้อดีที่ทำให้เราถ่ายรูปสวยๆ ได้ทันทีที่จับจังหวะเดินของน้องอูฐได้แล้วก็กล้าปล่อยมือ และยังหันหลังกลับไปถ่ายรูปเพื่อนๆ ได้อีกด้วย

อูฐนี่เวลาจะนั่งมันจะคุกเข่าเอาขาหน้าลงก่อน และเวลาจะลุกจะเอาขาหน้าขึ้นทีหลังเสมอ เพราะฉะนั้นช่วงเวลาน่ากลัวของเราก็จะเป็นเวลาลุกนั่งของน้องๆ นั่นเอง ตอนน้องอูฐเหยียดขาหลังขึ้นก่อน เราก็จะหน้าคะมำอย่างแรง ส่วนตอนคุกเข่าลงนั่งก็จะหัวทิ่มแรงกว่าอีกประมาณ ๒๐% ขาน้องผอมๆ แต่แข็งแรงมาก ส่วนเท้าทั้งสี่บานออกเป็นปุ้มๆ ใต้ฝ่าเท้าเป็นเนื้อนูนท่าทางจะนุ่ม เวลาเดินแล้วเกาะทรายดีเยี่ยม เห็นอูฐที่โอมานแล้วรู้สึกว่าอย่างน้อยก็ปฏิบัติกับพวกมันดีพอสมควร ไม่แทงจมูกสนตะพาย แต่ใช้วิธีผูกขุมแทน เราตั้งชื่ออูฐของพวกเราว่า อูฐหนึ่ง อูฐสอง และอูฐสาม

ทันทีที่พร้อม อูฐทั้งสามนำด้วยการเดินจูงของชายชุดขาวก็พาเราฝ่าความมืดสู่เนินทราย คนจูงอูฐสุภาพและพูดภาษาอังกฤษได้นิดหน่อย แนะนำตัวว่าเขาเป็นชาวปากีสถาน ที่มาทำงานอยู่ที่นี่ (มิน่าล่ะ ถึงได้ดูอ่อนโยนใจดี) เส้นทางการเดินก็จะไต่ระดับขึ้นไปเรื่อยๆ บางจุดที่ชันน้องๆ ก็จะเดินเลียบพื้นที่ลาดเอียงอย่างมั่นคง ถึงอย่างนั้นก็มีสไลด์เหมือนกัน เสียวมากแต่เรากับเพื่อนๆ ก็เป็นพวกไม่ส่งเสียง ยิ่งตกใจยิ่งเงียบกริบ พอแสงสว่างค่อยๆ เพิ่มมากขึ้น เราก็มองเห็นริ้วสีขาวที่ถมตรงกลางระหว่างเนินทรายสูงๆ ถึงกับตะลึงไปเลยว่า อยู่ๆ ได้ดูทะเลหมอกด้วยว่ะเฮ้ย

พอเดินมาถึงเนินทรายที่สูงสุดในละแวกนั้น ขบวนของเราก็จอดให้ลงไปนั่งรอดูพระอาทิตย์ขึ้น มีนักท่องเที่ยวเป็นฝรั่งอีก ๑ ครอบครัวที่มีเด็กด้วย แต่วิวกว้างใหญ่ระดับนี้ ต่างคนต่างก็จับจองที่ยืนที่นั่งห่างๆ กัน ทรายที่ผ่านค่ำคืนมาหยกๆ เย็นเจี๊ยบและนุ่มมากๆ ไม่เหมือนทรายทะเลโดยสิ้นเชิง ทุกๆ ก้าวของเราเป็นการประทับรอยเท้าก้าวแรกของเช้านั้น เวลาต้องเดินไปบนริ้วลายของทรายที่เป็นคลื่น ทั้งรู้สึกว่าเราทำลายความงามตามธรรมชาติ แล้วก็รู้สึกฟินไปพร้อมๆ กัน เราวางกระเป๋าลง แล้วนั่งลงบนทรายนุ่มๆ เพื่อเสพบรรยากาศ จนกลับถึงไทยแล้วถึงได้เจอว่าทรายบนยอดเนินมันไหลเข้ากระเป๋าเยอะพอสมควร ดีใจมาก รีบเทใส่ถุงเก็บไว้ ไว้เอามือล้วงบี้เล่นๆ เวลาคิดถึง

พระอาทิตย์ขึ้นแล้ว ทุกอย่างมีฟิลเตอร์สีทองมาครอบอีกครั้ง ขบวนของพวกเราออกเดินลงเขากันพร้อมๆ กับแดดที่ค่อยๆ เผาให้หมอกจางหายไป อูฐสองที่หนิงขี่ ยื่นหัวมาเสมอไหล่ของอูฐหนึ่ง แล้วหันหัวมาดูเราบ่อยๆ หันดูไม่พอ เอาตัวมาสีขาดีฉันเลยค่ะ เราจับหัวมันเล่น มันไม่ว่าอะไรด้วย เหมือนเป็นเพื่อนกันเลย แต่หนิงบอกเสียวมาก เพราะหัวมันมาเล่นกับเรา แล้วตัวมันก็เบียดอูฐหนึ่งไปด้วย เวลาเบียดกันตรงทางลาดเอียงก็น่าหวาดเสียวซะเหลือเกิน ส่วนมุ้ยบ่นว่าอูฐสองเดินไปขี้ไปตลอดเวลา

เบื้องล่างที่ซาฟารีแค้มป์ หมอกบางๆ ยังลอยปกคลุมเฉพาะบริเวณแค้มป์ ทำให้ดูสวยอย่างประหลาด หิวก็แสนจะหิวแต่เราก็วิ่งเล่นถ่ายรูปไปมาก่อนที่แสงนวลตาของยามเช้าจะจากไป

ที่ห้องอาหาร มีแสงสว่างและมองเห็นแต่ละเมนูแล้ว ทำให้พวกเรากินกันอิ่มแปล้เลย เรากับมุ้ยน่าจะวนไปตักฮัมมูสกันคนละสามรอบได้ ตั้งแต่กลับมายังไม่ได้กินอีกเลย อยากกินว้อยยยย

พนักงานสาวที่ต้อนรับเราเมื่อคืนมาทักทายว่าขี่อูฐเป็นไงบ้าง เรากำลังตื่นเต้นเลยโม้กับน้องแบบรัวๆ ว่ามันสุดยอดขนาดไหน ถึงกับวิ่งไปเอากล้องมาเปิดรูปโชว์ น้องคุยกับเราไม่หยุดเหมือนกัน แล้วก็เริ่มขอจับผม น้องบอกว่าเจ๊ (แปลเป็นไทยให้เลย น้องน่าจะเรียกเจ๊นี่แหละ) ผมเจ๊สวยจังค่ะ ยาวมากด้วย

เรามองหน้าคมๆ ของน้องซึ่งเป็นสาวโอมานแท้ โพกผ้าฮิญาบหลวมๆ มีปอยผมโผล่ออกจากผ้าโพกตรงนั้นนิดตรงนี้หน่อย แสดงว่าน้องต้องเฟี้ยวพอสมควร เลยเติมเชื้อให้ซะหน่อย “เจ๊เชื่อว่าผมหมวยก็ต้องสวยเหมือนกัน แต่หมวยต้องซ่อนมันไว้ใช่ไหมล่ะ”

เราตกลงเวลาออกเดินทางกันไม่เกินสิบโมง หลังเก็บกระเป๋าเช็คเอาท์เรียบร้อย มองเห็นรถแดงไต่เนินเล่นอยู่ไกลลิบๆ พอเราถามมาร์คว่า ทำไรน่ะ มาร์คก็อัญเชิญเราสามคนขึ้นรถทันทีเป็นการแสดงพิเศษแถมท้าย ส่วนเงาะขอยืนดูข้างล่างดีกว่า รถแดงแรงฤทธิ์ไต่เนินสูงที่เป็นทรายนิ่มๆ ขึ้นไปหน้าตาเฉย มองลงมาเห็นซาฟารีแคมป์เป็นจุดเล็กๆ หลังจากไต่ขอบตรงนั้นตรงนี้โหมโรงได้พอสมควรแล้วก็มาถึงไฮไลท์ มาร์คขับรถทิ่มลงเนินชันๆ ไปตรงๆ เลยจ้า ท่ามกลางเสียงอึกอักของผู้โดยสารที่ควรจะกรี๊ดแหละ แต่ดันเป็นพวกตกใจเงียบกัน ขณะที่รถไหลลงมาตามทางลาดชัน มันค่อนข้างไปด้วยแรงโน้มถ่วงแล้ว แต่สังเกตว่ามาร์คจะบังคับพวงมาลัยเหมือนงูเลื้อยเล็กๆ อีก คล้ายกับว่าเฉียงล้อเพื่อเพิ่มแรงต้านทานไม่ให้มันพรวดลงเร็วจนรถพลิก

รูปนี้เงาะถ่าย ไม่ใช่แค่โชว์ไต่ขอบ แต่ตอนจบดิ่งลงมาตรงๆ เลย

จะอย่างไรก็เถอะ อีนี่หนุกมากกกก มันส์มาก โอ๊ยชอบ อยากลองขับเองด้วยซ้ำ ตอนลงมาจอดหน้าแค้มป์ได้สำเร็จ เห็นครอบครัวฝรั่งครอบครัวหนึ่งยืนอึ้งอยู่ คงสงสัยว่าบริการของรีสอร์ทรึเปล่า ราคาเท่าไหร่นะ

การเดินทางกลับไม่ต้องมีคนนำแล้ว เพราะว่าสว่างมองเห็นทาง มาร์คมาขับรถขาวนำ เงาะขับรถแดงตาม ผู้โดยสารนั่งเหมือนขามา รู้สึกเหมือนได้เล่นโรเลอร์โคสเตอร์น้อยๆ แถมท้ายอีก ๒๐ กม. โคตรมันเลยท่านผู้ชม

โอมานอีสออซั่มมมม #๔

ความเดิมตอนที่แล้ว พวกเราหุบแคมป์ขึ้นรถ และออกเดินทางกันต่อ จากหาดที่กางเต็นท์นอนไปยังที่แวะลำดับถัดไป ระยะทางจริงๆ ไม่ได้ไกลเลย แต่มีความระทึกเกิดขึ้นจนได้ เพราะว่าที่เห็นเมฆดำๆ เมื่อค่ำวาน กับฝนลงเม็ดนิดๆ หน่อยๆ นั่น กลับทำให้เกิดน้ำหลากกระทันหัน แล้วไหลตัดเอาถนนเลียบทะเลขาดบางจุด ลักษณะพื้นที่รับน้ำเป็นแบบเดียวกับหาดที่เราอยากให้ตั้งแคมป์ทีแรกแล้วมาร์คบอกว่าเป็นทางน้ำไหล ไม่ปลอดภัย นั่นเอง โห.. โปรจริงไรจริง ข้าน้อยขออภัยที่ลบหลู่เม้าในใจว่าเฮียนอยด์ไปรึเปล่า ข้าน้อยผิดไปแล้ว

นอกจากรถเราสองคัน ยังมีรถยนต์คันอื่นอีกสองสามคันที่ขับวนๆ กันไปมา หาทางกลับเข้าสู่ถนนหลัก เมื่อขับไปถึงทางตันก็ต่อแถวกันถอยยาวและยูเทิร์น ทุกคนดูงงๆ และชิวๆ ปะปนกันไป หลังจากพยายามอยู่พักใหญ่ รถทุกคันก็กลับเข้าสู่ถนนหลักได้สำเร็จ ไม่นานนักเราก็มาถึง Wadi Shab โอเอซิสที่เป็นที่นิยมของเหล่านักท่องเที่ยว แต่ไม่รู้นิยมกันประสาอะไร ข้อมูลในอินเตอร์เน็ตที่จะทำให้เข้าใจลักษณะพื้นที่ มีน้อยมาก เนื่องจากเงาะมาร์คยังไม่เคยมาที่นี่ เราก็พยายามค้นข้อมูลทั้งเว็บไทยและเว็บเทศ แต่นอกจากรูปสวยๆ แล้ว ก็ไม่ค่อยได้ความอะไรนัก เว็บไทยมีกระทั่งรูปสาวสวยในชุดเดรสยาว แต่งหน้าเต็ม ซึ่งภาพแบบนี้จะทำให้คิดอะไรได้มากไปกว่า อ้อ มันสะดวกสบายล่ะ จริงไหม

ชีวิตจริงนี่เพลงพี่ใหม่ต้องขึ้น มันไม่ใช่เลย มั้นมั้ยใช่เลยยยย..

เราเพิ่งรู้ว่าความแม่บ้านทำให้เงาะมัวแต่บริการทุกคนจนยังไม่กินข้าว แต่ห่อข้าวใส่กล่องมาด้วย แม่นางเลยนั่งกินข้าวริมน้ำ บรรยากาศดี๊ดี ปลายน้ำตรงจุดที่จะต้องเริ่มเดินทางด้วยการขึ้นเรือข้ามฟากไปก่อนนี้ มีน้ำที่ใสมากจนน่าโดด มีกอหญ้าเขียวสดตรงกลางน้ำเป็นฉากหน้า และล้อมกรอบด้วยภูเขาหินสีน้ำตาลสว่างด้านหลัง แพะสี่ห้าตัวหากินอย่างอิสระ บางตัวห้าวๆ หน่อยพยายามมาแทะสายกระเป๋าพวกเราด้วย หมาตัวหนึ่งเล่นน้ำอย่างเมามัน ก่อนเจ้านายที่เป็นฝรั่งจะตะโกนเรียก แล้วมันก็กระโจนขึ้นฝั่งอย่างเริงร่า มาร์คบ่นว่าค่าเรือข้ามฟากแพงไป (หัวละ ๑๐๐ บาท รวมไปกลับ ระยะแค่ตาเห็นเนี่ยแหละ) เริ่มเดินจากฟากนี้ไม่ได้หรือไงนะ

เมื่อพวกเราพร้อม ก็ได้เวลาลงเรือกัน ท่ามกลางอากาศที่ร้อน แดดแรงระดับที่เอื้อต่อธุรกิจหมูแดดเดียวและบรรดาปลาตากแห้งทั้งหลาย แต่พอได้อยู่กลางน้ำก็รู้สึกดีขึ้นมาก ยังไม่ทันเหงื่อยุบเราก็มาถึงอีกฝั่ง และเริ่มออกเดินเท้ากันด้วยความใสซื่อ ไม่ได้รู้จักโอเอซิสแห่งนี้เลยแม้แต่น้อย และเนื่องจากการจัดกระเป๋าของทริปนี้เป็นการจัดกระเป๋ามาเที่ยวทะเลทราย เราจึงไม่ได้เอากระเป๋ากันน้ำมาด้วย กล้องและของรักของหวงต่างๆ จึงเปลือยเปล่าอยู่ในกระเป๋าผ้าใบสะพายติดตัว

เส้นทางช่วงต้นเป็นทางลัดเลาะผ่านรั้วบ้าน รั้วสวนของผู้คน ผ่านสวนอินทผาลัม และพืชที่หน้าตาคล้ายๆ บ้านเรามากมาย ไม่นานนักก็พบว่าพื้นมันแฉะๆ จากนั้นน้ำมันก็นองๆ แอ่งแรกเราโดดหย็องแหย็ง พยายามเหยียบกิ่งไม้ ยอดหญ้าไม่ให้รองเท้าเปียก พอเจอแอ่งที่สองซึ่งน้ำสูงราวตาตุ่ม ก็ตัดสินใจถอดรองเท้าเดิน ไม่ได้เข้าใจตั้งแต่ต้น แต่มาเก็ตทีหลังว่า แอ่งน้ำเหล่านี้น่าจะไม่ใช่น้ำปกติของวาดี้ชาบ แต่มันน่าจะเกิดจากฝนตกเมื่อคืนมากกว่า มองไปไกลๆ แล้วน้ำใสมาก แต่ในแอ่งที่พวกเรากำลังย่ำอยู่นี้เป็นน้ำขุ่นโคลน หญ้าใต้เท้านุ่มนิ่มและเย็นสบาย ถ้าเป็นหญ้าแบบนี้ไปตลอดให้เดินซักสิบโลยังไหว

แต่แหม.. ชีวิตมันไม่ได้ง่ายแบบนั้น ปูนนี้แล้วน่าจะรู้แล้วนะ

สลับกับทุ่งหญ้าน้ำท่วม พื้นที่พ้นน้ำกลายเป็นถนนกรวด เราใส่รองเท้ากลับคืน เดินไปสักพักก็เจอลำธารอีก ภูมิประเทศเปลี่ยนไปจากพื้นที่ชุ่มน้ำ กลายเป็นลานหินสลับลำธารตื้นๆ ในอ้อมกอดของภูเขาทั้งสองฝั่ง ปะหน้าด้วยสีเขียวของต้นไม้ที่ไม่รู้จักและอินทผาลัมที่ดูรวมๆ แล้วเท่ห์สุดๆ สุดท้ายเราทุกคนก็พ่ายแพ้ต่อความใส่ๆ ถอดๆ เลยย่ำรองเท้าผ้าใบลงน้ำไปเลย กลับมาแล้วโคตรเหม็นอับ เราตากมันอยู่ตั้งสองเดือนแน่ะกว่าจะกลับมาใส่ได้อีก บริเวณตรงนี้จะเป็นบริเวณที่เราเห็นภาพตามอินเตอร์เน็ตว่าคือ วาดี้ชาบ เป็นอิมเมจว่าโอเอซิสต้องเป็นแบบนี้นะ

แต่จริงๆ แล้ว วาดี้ชาบไม่ได้มีแค่นั้น เส้นทางเดินสำรวจที่นี่ทอดยาว สูงขึ้นไปใต้ชะง่อนผาของภูเขาหิน เดินเพลินๆ อยู่ๆ ทางเดินที่เคยเป็นลานกว้างจนกลัวหลง ก็แคบเข้าและชันขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ รู้ตัวอีกทีก็เก็บกล้องเก็บมือถือหยุดถ่ายรูปหมด เพื่อโฟกัสไปที่ก้าวแต่ละก้าวบนก้อนหิน มันไม่ได้เหนื่อยมากนักสำหรับเราที่ออกกำลังกายเรื่อยๆ แต่ความร้อนของแดดในหลายๆ จุดที่ไม่มีร่มเงา และความที่ไม่ได้เตรียมตัวทำให้กังวลสารพัด ไหนจะห่วงกล้อง ไหนจะห่วงชีวิตเวลาข้ามเหว เราทั้งเดินทั้งปีนป่ายอยู่พักใหญ่ รองเท้าที่เปียกไปแล้วทำให้การยึดเกาะไม่ค่อยดี แล้วถึงจุดหนึ่งหนิงก็เอ่ยปากก่อนว่า เอาแค่นี้แหละ ไม่ไปต่อแล้ว จะค่อยๆ ชื่นชมบรรยากาศ แล้วเดินลงไปรอด้านล่างช้าๆ

เราและเงาะมาร์ค ตัดสินใจเดินและปีนป่ายต่ออีกจนกระทั่งถึงน้ำตกแรก และเดินตัดผ่านหน้าน้ำตกแรกไปจนถึงโค้งใหญ่ๆ ที่มองเห็นทิวทัศน์ข้างหน้าที่ตระการตา พบว่ามันยังอีกไกลเลยโว้ย จีงตกลงกันว่าจะหยุดเพียงเท่านี้ น้ำตกแอ่งใหญ่ที่เราไปถึง น่าเล่นน้ำมากๆ เสียงน้ำตกดังซู่ซ่าตลอดเวลา ขาแช่น้ำเย็นสบายจนแทบจะลืมไปว่าเราอยู่ในประเทศตะวันออกกลางนะนี่ ที่ใช้คำว่าแทบจะลืมเพราะพระอาทิตย์คอยย้ำเตือนเราตลอดเวลาว่า เอ็งกำลังอยู่ในประเทศตะวันออกกลางเฟ้ย อย่าได้ทำเป็นลืมไป นี่แน่ะ แผดๆๆๆ

ในความเห็นของเรา เทรควาดี้ชาบไม่ได้ยากจนเกินไป แต่ควรเตรียมตัวและอุปกรณ์ให้พร้อม แล้วเริ่มเดิมแต่เช้าหากต้องการเดินสูงขึ้นไปจนถึงแอ่งด้านในที่ ดูจากอัตราความแปรผันของวิวต่อความสูงแล้ว ข้างบนคงจะยิ่งอลังการ และควรจะเตรียมเสื้อผ้ามาเล่นน้ำด้วย เพราะน้ำใสปิ๊งเย็นเจี๊ยบ ดูจากแผนที่จะพบว่า เส้นทางเทรคจะลัดเลาะไปตามซอกเขา แต่ระยะหลังไม่สามารถเดินเท้าที่ลำธารได้แล้ว เพราะทั้งน้ำทั้งเกาะแก่งมันเยอะขึ้น เลยจะต้องปีนป่ายเลียบภูเขาไปนั่นเอง ซึ่งทางเดินเขาก็ทำไว้ปลอดภัยดี มีแค่ช่วงข้ามหินตามโค้งเท่านั้นที่อาจจะต้องบู๊นิดนึง นานๆ ทีจะมีจุดนั่งพักให้ด้วย

กล้องโกโปรเก่าที่ฝ่าฟันกันมาหลายทริปของเรา ตายในหน้าที่ไปตั้งแต่จุดแรกๆ ของการจุ่มน้ำ รูปไม่หาย เย้ๆ แต่กล้องก็ไม่หายเช่นกัน ป่านนี้ยังไม่มีกล้องกันน้ำตัวใหม่เลย หงิง.. เราสามคนเดินกลับทางเก่าและก็พบว่าน้ำที่ท่วมทุ่งหญ้ามีปริมาณสูงขึ้นอีก น้ำใสมาก และมีปลาตัวเล็กๆ ว่ายด้วย เอาจริงๆ ถ้าไม่รีบไปไหนต่อ เรานั่งดูปลาได้อีกเป็นชม. เป็นอย่างน้อย

เมื่อนั่งเรือข้ามฟากกลับ (ลำไหนก็ได้ จ่ายเงินรอบเดียว) พบมุ้ยหนิงที่นั่งรออยู่แล้วอย่างชิวๆ เราก็ไปเข้าห้องน้ำก่อนจะเดินทางต่อ ปริศนาเรื่องห้องน้ำก็คลี่คลายตรงนี้ เพราะแก๊งสามสาวเข้าห้องน้ำหญิงที่เมือกๆ มีกลิ่นตามประสาห้องน้ำในที่สาธารณะกันเสร็จ ก็ไม่ได้บ่นว่าอะไร แต่มุ้ยเข้าห้องน้ำแล้วออกมาชื่นชม ว่าห้องน้ำหอม และมีพนักงานที่ดูแลดีมาก ทำให้พวกเรางงมาก ประชดเหรอมุ้ย มุ้ยบอกว่าชมจริงๆ แล้วเล่าให้ฟังว่าบริการภายในห้องน้ำชายนั้นสุดยอดอย่างไร ทันทีที่ใช้ห้องน้ำเสร็จและเดินออก พนักงานจะเช็ดพื้นและฉีดน้ำหอมปรับอากาศทันที (มียื่นทิชชู่ด้วยไหมจำไม่ได้แฮะ) ทำให้พื้นแห้งสะอาด ห้องน้ำหอมตลอดเวลา เราสามสาวหวีดกันใหญ่ว่า ห้องน้ำหญิงแม่งบ้านๆ เลยนะโว้ย

ไม่ทันที่จะโวยวายเกินไป ก็เหลือบไปพบที่ละหมาดแยกหญิงชาย ถึงกับหยุดเรื่องห้องน้ำเลย เพราะท่ามกลางเปลวแดดที่แผดเผา ห้องละหมาดชายเป็นอาคารติดแอร์ ส่วนของผู้หญิงเป็นผ้าใบล้อมไม้ปัก ๔ ด้าน ตั้งไว้โด่ๆ กลางแจ้ง เฟมินิสต์อึ้ง พูดอะไรไม่ออก หิวด้วยแหละเลยข้ามเรื่องนี้ไป ไปหาอาหารกันดีกว่า

เนื่องจากละแวกนั้นแม้จะเป็นที่เที่ยวดังระดับประเทศ แต่ก็ดูเงียบๆ หาร้านรวงไม่ค่อยมี เราสุ่มได้ร้านอาหารอาหรับสไตล์บุฟเฟต์ในโรงแรมริมทะเลแห่งหนึ่ง ซึ่งข้อดีคือเราสามารถนั่งมองทะเลสีฟ้าเข้มกลางแดดจ้าได้ผ่านกระจกในห้องแอร์ ข้อเสียคือเราไม่เคยกินอาหารอาหรับ แล้วเริ่มต้นด้วยบุฟเฟ่ต์เลย ถ้าจำไม่ผิดหัวละประมาณ ๕๐๐ บาท แต่สบายมาก เพราะว่าเรากินอาหารทำเองกันมา ๔ มื้อติดแล้ว งบเหลือๆ

สรุปผลการกินอาหารอาหรับได้ความว่า เรา หนิงและมุ้ยชอบกินแทบทุกอย่างเลย เราได้กินฮัมมูสเป็นครั้งแรก (บ้างก็ออกเสียงว่าฮัมมัส เอานะ อันเดียวกัน อร่อยเหมือนกัน) กินกับขนมปังพิต้า ปลาทอดแล้วก็ซุปต่างๆ มื้อนี้ถ้านับปริมาณแล้วรู้สึกว่ากินไม่คุ้ม เพราะว่าน่าจะหิวเกินเลยกินได้ไม่เยอะ แต่ถ้านับว่าเป็นการทำความรู้จักกับอาหารอาหรับครั้งแรกแบบฟิวชั่นหน่อยๆ แล้วล่ะก็ กำไรเห็นๆ เพราะพวกเราเปลี่ยนความคิดเรื่องอาหารอาหรับไปเลย

เมื่ออิ่มหนำสำราญ เข้าห้องน้ำที่มีห้องน้ำหญิงที่สะอาดสะอ้านกลิ่นหอมแล้ว เราก็หันหลังให้ทะเล มุ่งหน้ากลับเข้าสู่แผ่นดิน เพราะคืนนี้เราจะไปนอนในทะเลทรายกัน และเรื่องราวการเดินทางมันก็มหากาพย์ซะจน ขอยกไปไหว้ตอนหน้าเลยแล้วกันนะ ไม่มีชี้คสุดหล่อเหมือนในนิยายทะเลทราย มีแต่ความมันส์ลุ้นระทึกล้วนๆ ตามประสาป้าซิ่งๆ ไม่มีใครรักก็รักตัวเองเยอะๆ รักเยอะก็เที่ยวเยอะโอเคมั้ยพีเพิ่ลลลลล

โอมานอีสออซั่มมมม #๓

เนื่องจากกล้องตั้งเวลาผิดไปหลายชั่วโมง เวลารวมรวบเรื่องราวมาเล่า จะสับสนงงๆ เองอีตรงเวลาเนี่ย เช้านั้น ไม่ว่าจะนอนดึกขนาดไหน เราก็ตื่นแต่เช้าตามเวลาไทยอีก (ตีห้าโอมาน ตื่นตาใส หิวท้องกิ่ว) จัดกระเป๋าสำหรับค้าง ๒ คืนไว้คร่าวๆ พอเงาะตื่น มุ้ยหนิงตื่น พวกเราก็เข้าครัวเตรียมอาหารกัน การได้เตรียมของแค้มปิ้งด้วยกันเป็นเวลาที่ดีมากพอๆ กับบรรยากาศของโร้ดทริป (โดยเฉพาะเมื่อครัวติดแอร์อะนะ) เราได้คุยกัน ได้ซักถามเรื่องวิถีวัฒนธรรม ค่าครองชีพ ข้อดี ข้อด้อยของโอมานไปพร้อมๆ กับอัพเดตเรื่องราวที่ไทย เราทำอาหาร ๒ ชุด ชุดหนึ่งกินเช้านี้เลย เป็นไข่เจียว ผัดผัก ส่วนมาร์คตื่นมาเทซีเรียลใส่นมกินเพราะแกเป็นฝรั่งจ๋าที่ไม่กินอาหารไทยเป็นมื้อเช้า (แต่มื้ออื่นแกกินนะ) อาหารอีกชุดเป็นชุดที่ไว้กินระหว่างทาง เพราะว่าเราจะออกนอกเมือง ไปสู่ดินแดนรกร้างกันล่ะ

มาร์คจัดการพวกสารพันอุปกรณ์แค้มปิ้งและเตรียมรถ พวกเราสาวๆ และมุ้ย ก็จัดการของกินและอุปกรณ์การกิน ล้อหมุนตอน ๑๐ โมงตามแผน ทิ้งบ้านไว้กับหมา ๒ แมวใหญ่ ๒ ที่ดูแลตัวเองได้ดี ส่วนลูกแมวไร้ชื่อที่เงาะเพิ่งไปช่วยชีวิตมา ต้องเอาไปฝากไว้บ้านนิคกี้ ซึ่งนิคกี้ได้แวะมารับมันแล้วตั้งแต่เมื่อวาน เรื่องลูกแมวนี่ก็เป็นหัวข้อคุยแทบจะทุกวันของเราจนกระทั่งกลับมาเลย คือเงาะมันไม่อยากเอาไว้ เพราะมีที่บ้านเยอะแล้ว แต่ก็สงสาร เลยชิงเก็บมาก่อนจะโดนฆ่าทิ้ง (ที่นี่เขาฆ่าหมาแมวจรทิ้งทันทีที่เจอเลย) หลังกลับมาก็เห็นเพื่อนวุ่นวายในเฟซบุ๊คอยากหาบ้านต่อให้ลูกแมว แต่นอกจากกดไลค์แล้วก็ไม่มีใครตอบรับเลย ระหว่างที่พยายามหาบ้านไปพร้อมกับดูแลลูกแมว แม้จะไม่ยอมรับแต่ชั้นว่าหล่อนก็หลงรักลูกแมวแล้วแหละ ใช่มั้ยยะ หลังจากลีลาและรีรออยู่เป็นเดือนๆ สุดท้ายก็มาขอไอเดียตั้งชื่อให้ลูกแมว
ตัดฉากมาที่ตอนนี้ นังชีต้าก็อ้วนท้วนชูคอนอนโซฟาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ใครเลยจะต้านทานพลังแมวได้

สิบโมงเราออกเดินทางด้วยรถสองคันเพื่อความสะดวกสบาย แต่มีลุ้นๆ อีตรงทะเลทราย เพราะแม้รถมาร์คจะเป็นกระบะแต่งเฟี้ยวสุดเท่ห์ที่น่าจะไปขับโชว์ไต่ถังตามงานวัดได้ แต่รถเงาะเป็นรถแม่บ้านที่มีฟังก์ชั่น 4×4 ติดไว้ให้ใจอุ่น อย่างที่เล่าไว้ตอนต้นว่า ช่วงแพลนการเดินทาง เราเคยคุยเรื่องนี้กันมาก่อนว่าเราอาสาช่วยขับเวลามันเหนื่อย และยังยืนยันอยู่ แต่เนื่องจากเราถือใบขับขี่สากล ขับได้เฉพาะรถเช่า จะขับรถบ้านไม่ได้ ก็เลยตีตั๋วนั่งหน้า ถ่ายรูปและเม้ามอยตลอดทริป

มาร์คน่ารักมาก ออกปากก่อนเลยว่า พวกผู้หญิงไปนั่งด้วยกันซะจะได้คุยกัน มุ้ยมาคันนี้ มุ้ยก็ตามไปอย่างว่าง่าย ซึ่งตอนแรกเราคิดเห็นใจมุ้ยว่าต้องไปนั่งกับฝรั่งที่เพิ่งรู้จักได้วันสองวัน จะอึดอัดมั้ย จะเม้าจะอะไรคงติดๆ ขัดๆ แต่กลายเป็นว่าสองหนุ่มก็เดินทางกันเงียบๆ คุยบ้างนิดหน่อย ต่างคนต่างอินบรรยากาศและสุขสงบใจดี
อีคันนังแอ้และแม่บ้านนี่สิ อยู่กันสามคนนะ แต่เม้ากันเซ็งแซ่ตลอดเวลา ตอนพักรถมาร์คทำหน้านิ่งๆ บอกเมียและผองเพื่อน คุยกันให้มันน้อยๆ หน่อย ตั้งใจขับรถด้วย พวกยูโคตรช้าเลย
เคยได้ทำงานและมีบอสเป็นชาวอังกฤษมาบ้าง แม่งก็จะขำหรือเล่นมุกอะไรแบบนี้ คนไทยฟังแล้วแบบเอ๊ะ นี่ด่า เอ๊ะ หรือฮา หรือประชดประชันกันแน่วะ รอบแรกๆ พวกเราก็ได้แต่หัวเราะ ฮ่าๆๆ คือเข้าใจว่ามุก อยากจะโต้กลับด้วย แต่คิดเป็นภาษาอังกฤษไม่ทัน

ใช้เวลาแค่ไม่นานเราก็ออกจากความเจริญของตัวเมือง และสวนสาธารณะแมนเมดสีเขียวสว่าง แม้ว่าทัศนียภาพรอบๆ จะมีแต่สีน้ำตาลสารพัดเฉดของภูเขาหินและทราย แต่ก็ต้องยอมรับว่าสวยมากว่ะเห้ย ฟ้าก็มีสีฟ้าสดใส แต่เป็นฟ้าสไตล์อินสตาแกรมเฟรนด์ลี่ เป็นฟ้าที่มองทะลุแผงแดดไปแล้ว เหมือนใส่ฟิลเตอร์ซันไรส์บางๆ ถนนโอมาน กว้างขวางเนี้ยบกริบ สองชั่วโมงเป๊ะตามแผน เราก็มาถึงจุดชมเขื่อนที่แวะแห่งแรกใน itinerary ของเจ้าบ้าน
Wadi Dayqah Dam หรือใน Google ระบุชื่อไว้ว่า Quriyat อันนี้ก็ไม่รู้ตกลงชื่อจริงชื่อเล่นหรืออะไร (น่าจะชื่อเมือง) แต่ป้ายบอกทางน่ะใช้ชื่อวาดี้เดย์คา

ทีแรกเราตั้งใจว่าจะมากินข้าวกล่องกันตรงนี้ พร้อมสั่งอาหารเพิ่ม เพราะใครซักคนบอกว่าร้านอาหารที่วาดี้นี้ มีไข่ออมเลตอร่อย แต่สองชั่วโมงมันไวไป ข้าวเก่ายังไม่ย่อยเลย อีกอย่าง.. ออมเลตเนี่ยนะ ต้องถ่อมากินถึงนี่เจียวรึ ตกลงเราก็เลยเดินฝ่าแดดชมบรรยากาศและถ่ายรูปกันเฉยๆ เวลาอยู่ในร่ม จุดนี้อากาศเย็นสบายมาก แต่พอออกนอกร่มปั๊บมันสุดจะเบิร์นนนน.. แสบอย่างสุดจะบรรยายเลย เป็นความร้อนแบบแห้งๆ ไม่เหงื่อ ไม่ชื้น มันค่อยๆ ไหม้ไปเฉยๆ อย่างเงียบงัน คนท้องถิ่นสองสามกลุ่มนั่งปิคนิคใต้ต้นไม้ เด็กวิ่งเล่นไปรอบๆ เหมือนทุกที่ นกตัวใหญ่สีฟ้าสวยมากตัวหนึ่ง บินมาเกาะใกล้ๆ กล้องอยู่ในมือแท้ๆ ถ่ายไม่ทัน มัวแต่ปรับค่านั่นนี่ เจ็บใจซะไม่มี

วาดี้เดย์คานี้ มีขนาดไม่ใหญ่มากหรอกถ้าเทียบกับเขื่อนบ้านเรา แต่สำหรับที่นั่นซึ่งคนก็ไม่เยอะ น้ำก็ไม่เยอะ ก็คงเป็นขนาดที่เหมาะสมแล้วแหละ มองจากด้านจุดชมวิวยิ่งเห็นแต่บริเวณด้านหน้า ดูเล็กเข้าไปใหญ่ แต่ถ้ามองท็อปวิวจาก Google แล้ว ก็จะเห็นว่ายังมีซอกเขาที่เก็บกักน้ำเขื่อนไว้อีกไม่น้อย เราถ่ายรูปเล่น และเข้าห้องน้ำแล้ว ก็ออกเดินทางต่อ ห้องน้ำหญิงก็ไม่ได้ดีแบบอู้อ้าเหมือนที่ญี่ปุ่น แต่ก็ใช้ได้ ไม่ได้แย่นัก ประมาณห้องน้ำหมอชิตพอได้ ไว้เดี๋ยวมาเล่าเรื่องน่าสนใจเกี่ยวกับห้องน้ำภายหลัง

วันนั้น เราเลื่อนมื้ออาหารกันไปมา
เงาะมาร์คอาจจะรู้สึกว่า เอ๊ะ ยังไม่หิว หรือว่าเอ๊ะ อยากไปต่อ อะไรยังไง แต่แขกจากไทยแลนด์มันเจ็ตแล็คหิวไม่ตรงเวลาปกติ พอถามว่า เที่ยงแล้วอยากกินมั้ย แน่นอนพวกเราส่ายหน้า บอกตรงๆ งงสุดๆ แต่ระหว่างทางเราก็แวะปั๊ม และสอยขนมรัวๆ ที่โอมานไม่นิยมกินน้ำแข็ง พวกน้ำหวานนี่เขาจะแช่เย็นมาเลย แล้วกินไปแบบนั้น กาแฟขวดแก้วโตๆ ที่เราหยิบมั่วๆ มาขวดหนึ่ง อร่อยมากเวอร์ อร่อยจนต้องซื้อซ้ำ ไอ้เงาะก็ซื้อตามในวันต่อมา

เมื่อล้อหมุนเป็นคำรบสอง ออกจากวาดี้เดย์คา เรามุ่งหน้าไปยังที่แวะสำคัญอีกจุดบนถนนที่มุ่งหน้าสู่ทะเล รถแดงแรงฤทธิ์พุ่งปราดไปด้วยแรงม้าสูง และสมาธิแน่นปึ้กของสองหนุ่ม ในขณะที่รถแม่บ้านตามหลังไปอืดๆ ด้วยเสียงเซ็งแซ่ราวกับบรรทุกโคโลนี่นกกระจอกในยามพลบค่ำมาด้วยเต็มคัน

หนึ่งชั่วโมงต่อมา ถนนวกมุ่งหน้าตรงเข้าสู่ทะเล มองเห็นเส้นขอบฟ้าตรงเปรี๊ยะที่ระบายด้านล่างด้วยผืนน้ำสีน้ำเงินเข้ม แดดแจ่มแจ๋ขับให้ท้องฟ้าเป็นสีฟ้าสว่างสดใส ในขณะเดียวกันแค่จินตนาการถึงการออกไปอยู่กลางแจ้ง ขนแขนก็เริ่มไหม้เกรียมหงิกงอในใจแล้ว

แล้วเราก็ต้องออกจากรถจริงๆ นั่นแหละ ก็ถึงที่เที่ยวแล้วนี่นา
ดูเปลวแดดนั่นสิทุกคน  

หลุมยุบ หรือ Sinkhole เป็นปรากฏการณ์ทางธรรมชาติอย่างหนึ่งที่ดินยุบตัวลงจนกลายเป็นหลุม (บ้างก็ว่าเป็นภัยพิบัติทางธรณี) จุดที่เราแวะนี้ค้นในเน็ตพบว่าชื่อ Bimmah Sinkhole ซึ่ง จำไม่ได้เลยว่ะ ว่าตอนที่ไป เพื่อนเรียกชื่อนี้ เราจอดรถแล้วหอบหิ้วอาหารไปด้วย เพราะว่าถึงตอนนั้น หิวไม่หิวก็ต้องกิน เพราะมันปาไปบ่ายสองโอมานแล้ว (ตูหิวข้าวเย็นพอดี) จากจุดจอดรถ เราต้องเดินไปตามทางเดินที่ตกแต่งข้างทางด้วยสนามหญ้าและต้นไม้รอบด้านแห้งแล้งขั้นสุด ทั่วบริเวณ ปกคลุมด้วยฝุ่นแดงๆ ของดินทรายร่วนๆ ยกเว้นสนามหญ้าที่เขียวและชุ่มชื้น ชุ่มจนเผลอเดินเหยียบแล้วโคลนเปื้อนเท้า เราออกความเห็นว่า นี่ฝังท่อปล่อยน้ำใต้ดินตลอดเวลานี่นา เงาะบอก ไม่รู้เหมือนกัน

รอบๆ ปากปล่องหลุมยุบ มีศาลานั่งพักอยู่หลายศาลา ส่วนมากมีคนจับจอง แต่เราเจอศาลาว่างหนึ่งหลัง จึงเข้าไปปักหลักกินข้าว ทุกคนกินอาหารที่เตรียมมากล่องใครกล่องมัน ส่วนมาร์คกินข้าวเหนียวกับหมูหวาน อตก. ที่เราแบกไป ได้บรรยากาศปิคนิคหน้าร้อนดี เวียร์ดกว่านี้ก็เคยเห็นมาแล้ว (วันที่พีคสุดในหน้าร้อนญี่ปุ่น คนโยโกฮาม่าแม่งนั่งปูเสื่อกลางสนาม ล้อมวงเล่นกีตาร์ร้องเพลงกันเฉย มือกีตาร์คงต้องเกร็งหน่อย เพราะเหงื่อซอกแขน เหงื่อแร้คงไหลทำกีตาร์ลื่นไปหมด)

กินเสร็จแล้ว กวาดเศษอาหารลงถังขยะ แล้วเช็ดกล่องข้าวพอให้เก็บได้ เงาะกับมาร์คบอก ขี้เกียจเดินบันได ลงไปหลายทีละ รอข้างบนนะ เราสามคนที่กินข้าวจนอิ่ม ก็เลยฝ่าเปลวแดดไปเดินบันไดชมหลุมยุบกัน

มองจากข้างบน หลุมขนาดยักษ์เป็นขอบโค้งยุบตัวลงลึก บรรจุน้ำสีเขียวเข้มลึกไว้ มีมนุษย์แหวกว่ายน่าสนุก (ยิ่งท่ามกลางแดดจ้าขนาดนี้แล้ว) เงาะบอกลงไปได้นะ แต่เราไม่ได้ลงกัน แค่ดูก็ชื่นใจละ ขี้เกียจชุดเปียก แต่ขณะเดียวกันยังมองเห็นขอบฟ้ากับผืนทะเลที่อยู่ใกล้ๆ ได้ รู้สึก่ว่ามันเป็นอีกหนึ่งทิวทัศน์ที่พิเศษจัง พยายามถ่ายรูปจากสองสามอุปกรณ์ที่มี พยายามหามุมแปลกๆ แต่สุดท้ายก็ยอมรับว่า อือ ได้แค่เนี้ย ยอม

บันไดสองพับสามพับ ทอดตัวลงไปภายในหลุม ขั้นบันไดสูงๆ กว้างๆ ทำให้ทุกคนที่เดินขาขึ้นเหนื่อยหอบแฮ่ก แต่ทุกคนก็รู้สภาพอยู่แล้วอะนะ มองเห็นตลอดไม่มีเซอร์ไพรซ์ ระหว่างเดินลง เราได้กระทำการหน้าแหกครั้งยิ่งใหญ่ไปหนึ่งครั้ง ขอออกตัวก่อนว่า ด้วยความที่เป็นเฟมินิสต์ มาประเทศมุสลิมแล้วมันอึดอัดขัดใจชะมัด ทำไมผู้หญิงที่นี่แม่งต้องโดนกดขี่วะ
ไม่ควรเหมารวม แต่เพื่อนยืนยันว่าสาวๆ ออกนอกเส้นที่เขากำหนดไม่ได้จริงๆ ด้วยความคิดขัดอกขัดใจแบบนี้ พอเห็นสาวสวยในชุดส่าหรีสีสดใส พร้อมตากล้องหนุ่ม ปีนออกนอกราวกั้นไปไต่อยู่ตามก้อนหิน หาที่โพสต์ท่าถ่ายรูปสวยๆ เรานี่ในใจคือ ดีใจมากนะ แล้วก็เลยชื่นชมกับเพื่อนว่า ผู้หญิงแก่นๆ ที่นี่มันต้องแบบนี้ (อันนี้คือชมจริงๆ จากใจ) ทางโน้นตะโกนกลับมาเลย คนไทยค่ะ ได้แต่บอกว่าขอโทษ แต่ไม่มีโอกาสได้อธิบายเรื่องราวในใจจริงๆ รู้สึกตัวเองกลายเป็นอีป้าปากคันไปเลยทันที

พอขึ้นไปเล่าให้เงาะฟัง มันบอกว่า ส่าหรีมันใช่ชุดคนที่นี่ซะที่ไหน (ตอนเห็นจำไม่ได้ว่าเรียกส่าหรี ต้องอธิบายกันอยู่พักนึง)

บรรยากาศในบึงน้ำ พอมองใกล้ๆ สวยน้อยกว่าตอนมองจากข้างบนพอสมควร อาจเป็นเพราะด้านบนความโค้งของขอบหลุมมันบังไม่ให้เราเห็นว่า เออ คนอยู่ข้างล่างก็เยอะนะ ริมตลิ่งมีรองเท้าวางอยู่เปะปะ ร่องรอยคนขึ้นลงน้ำทำให้พื้นบางส่วนเปียกๆ ลื่นๆ ใครใคร่ว่าย ก็ว่าย ใครใคร่โดดก็ไต่หน้าผาไปตรงที่น้ำลึกๆ หน่อยค่อยดิ่ง ยืนดูฝรั่งโดดน้ำที่นี่แล้ว รู้สึกว่า มนุษย์เราปรับตัวตามสถานที่จริงๆ น้ำที่นี่ใสๆ ลึกๆ โดดแค่เมตรสองเมตร ทำสะดีดสะดิ้ง อั๊ย กลัว อั๊ยจะโดด จะไม่โดด แหม.. หล่อน ปีนๆ มาขนาดนี้ละก็โดดๆ ไปตะ ถ้าจับอีพวกนี้ยัดใส่ประตูโดเรมอน ไปโผล่นู่น Canyoneering Cebu เชื่อเหอะว่า ๑๕ เมตร แม่งได้โดดกันตูมๆ  

สมควรแก่เวลา เราก็ไต่บันไดกลับ เห็นสายตาสมเพชของอีพวกสวนลงมาแล้วก็คิดว่า คงไม่ต่างจากสายตาเราตอนขาลงที่สบตากับพวกสวนขึ้น เดี๋ยวพวกมึงก็รู้สึก เหอๆๆ

ก่อนเดินทางกันต่อ เราแวะเข้าห้องน้ำอีก มุ้ยบอก ห้องน้ำชายก็โอเคนี่ ส่วนห้องน้ำหญิงนั้น เอิ่ม ต้องบอกว่า เอาเรื่องอยู่เหมือนกัน ส้วมเป็นแบบนั่งยอง โถเป็นโลหะ มีความเปรอะเปื้อนบ้าง เพื่อนๆ รับไม่ได้ ไม่เข้าเลย ส่วนเรา เจอมาแย่กว่านี้ ปวดฉี่ก็ฉี่ไม่ซับซ้อน แต่เรายังไม่เอะใจเรื่องห้องน้ำ ยังก่อน.. ยังไม่เฉลย

หลุมยุบนั้นอยู่ใกล้ริมทะเลแล้ว เมื่อออกจากหลุมยุบ เรามุ่งหน้าเข้าสู่ทะเล แล้วเลี้ยวขวาขับเลียบชายฝั่งไปเรื่อยๆ เพื่อหาจุดตั้งแค้มป์ ชายทะเลเป็นที่โล่งร้าง ไม่มีบ้านช่อง แถมยังมีป้ายบอกว่ามีสัตว์ป่าประเภทกวางด้วย ซึ่งอันนี้ประหลาดใจมากว่ามันมีด้วยเหรอวะ รถแดงคุณพ่อบ้านพุ่งปราดอย่างไม่รั้งรอ เพราะอยากเลือกที่ตั้งแค้มป์ดีๆ รถแม่บ้านยังคงเสียงดังเจี๊ยวจ๊าว ชื่นชมทัศนียภาพ เม้ามอยกิ๊วก๊าวทุกอย่างตามประสา นกสีชมพูตัวใหญ่เบิ้มสามตัวบินวน นักท่องเที่ยวอื่นจอดรถถ่ายอย่างตื่นตา ส่วนเราได้แค่ชะลอแล้วเปิดกระจกถ่าย เพราะรถแดงนำไปไกลแล้ว

สัปดาห์ก่อนหน้านี้ สองผัวเมียเจ้าบ้าน ได้มาสำรวจบริเวณนี้กันก่อนแล้ว และเจอทำเลเหมาะตั้งแค้มป์ แต่สัปดาห์นี้ผู้คนมากมายมุ่งหน้ากันมาจับจองพื้นที่ก่อนเรา คำว่ามากมายนี้ก็แค่ว่าหาดส่วนตัวที่หมายตาไว้ ถูก 2-3 เต็นท์กางอยู่ก่อน มีรถสี่ห้าคันจอดแต่ไม่กางเต็นท์ คาดว่าน่าจะแวะมานั่งดูทะเลเล่นๆ แล้วขับกลับ ถ้าเป็นบ้านเราก็แค่ไปกางแจมห่างๆ แต่มาร์คไม่ยอมแพ้ มาร์คจะหาหาดส่วนตัวให้พวกเรา เราเลยขับหากันต่อไป

ชายฝั่งบริเวณนี้ มีชื่อเรียกว่า Fin ถ้าตอนเรียนจีโอตั้งใจกว่านี้ คงบอกได้เต็มปากเต็มคำว่าเป็นดินหินชนิดไหน แต่เอาเท่าที่มีเหลือในหัว (เคาะดูได้ยินเสียงป๊องๆ ดังกังวาน) คาดว่าเป็นหินทราย และมีกรวดก้อนโตๆ เต็มไปหมด ทำให้ชายฝั่งกร่อน สลายตัวผสานกับคลื่นทะเลที่ซัดโครมๆ ชั่วนาตาปี จนเกิดเป็นภูมิทัศน์เว้าๆ แหว่งๆ สวยงามแปลกตา หาดเล็กหาดน้อยที่ลับหูลับตา โผล่ตรงนั้นนิดตรงนี้หน่อย เราจอดรถสำรวจหลายจุด มีหาดนึงยุบตัวซ่อนอยู่หลังเนินหินสองด้าน ยังไม่มีใครจับจอง เรานึกชอบแต่มาร์คบอกว่า ไม่เอา ตรงนี้ไม่ปลอดภัยเป็นทางน้ำหลาก

น้ำหลาก.. มาร์ค.. ยูนอยด์ไปปะวะ มันจะไปเอาน้ำที่ไหนมาหลาก แห้งแก๊ะซะขนาดนี้ เราค้านในใจ แต่ไม่ได้เอ่ยปากอะไรออกมา

เราขับกันไปจนสุดทาง หมดถนนแล้วก็ย้อนกลับ ระหว่างทางที่ผ่านมาร์คหมายตาจุดสำรองไว้แล้ว จึงพาพวกเรามุ่งหน้าไปบริเวณนั้น หาดนั้นเป็นหาดน้อยๆ ที่เต็มไปด้วยก้อนกรวดก้อนหิน เราเห็นแล้วก็รู้สึกเสียดายหาดน้ำหลากขึ้นมาตะหงิดๆ ทางลงหาดแน่นอนว่าไม่ใช่ถนน เป็นเนินชันๆ ที่มีอุปสรรคเป็นหินน้อยใหญ่ปูดโปนเต็มไปหมด แต่สองผัวเมียเจ้าถิ่นพยายามจะเอารถลงให้ได้ มาร์คเอารถแดงลงไปได้อย่างสบายๆ แต่รถแม่บ้านท่ามกลางความลุ้น สุดท้ายก็ทำได้แค่ค้างอยู่ในท่ากลับตัวก็ไม่ได้ให้เดินต่อไปก็ไปไม่ถึง ซึ่งในเวลาต่อมาเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง เพราะเราเอาไว้ฉี่แถวนั้นแหละ ตรงล้อหลังขวานั่นเลย ส้วมของฉัน

มาร์คเป็นเจ้ากรมอุปกรณ์โดยแท้ แกมีอุปกรณ์แค้มปิ้งสารพัดสิ่ง และที่สำคัญคือ แกไม่เบื่อที่จะกางมัน เต็นท์นอนถูกกางง่ายๆ ทีหลัง แต่ก่อนอื่นแกกางเต็นท์นั่งเล่นเป็นปรัมพิธีก่อน
เก้าอี้สนามเท่าจำนวนคนถูกแจกจ่าย ผู้มาเยือนสามคน กางสองเต็นท์กันอย่างแคล่วคล่อง (ตูนะที่คล่อง เรื่องกางเต็นท์นี่ปมเด่นเลย มุ้ยกับหนิงเป็นลูกมือชิวๆ)
เราไม่เคยกางเต็นท์หาดหินมาก่อน ปักสมอบกไม่ได้เลย มาร์คบอกให้มัดกับก้อนหิน เราค่อยๆ มองหาหินขรุขระก้อนใหญ่หนักๆ มาวางรอบๆ เพื่อดึงเชือกรั้งเต็นท์ ปรากฏว่าให้ผลดีกว่าที่คิดมาก เต็นท์ตึงสวยงามและเฟิร์มดี

จากนั้นก็เป็นเวลาพักผ่อน แค้มปิ้งยามค่ำคืน แดดค่อยๆ หมด ฟ้าค่อยๆ สลัวลง เมฆก้อนโตๆ ลอยมาจากทางภูเขา ปกคลุมจนดูอากาศอึมครึม แล้วก็มีละอองฝนลงบางๆ เรื่อยๆ เงาะยังย้ำว่า ที่โอมานนี่ฝนตกปีละ ๕ วันนะ

มันตกใส่เราสองวันแล้ว weather mutant จริงๆ

เมื่อจัดแจงสถานที่เสร็จ มื้อเย็นก็เริ่มขึ้นแบบเรื่อยเปื่อยตามประสาชาวแค้มป์ มาร์คเอนหลังสบายอารมณ์สูบซิการ์ดื่มเบียร์ไปตามเรื่องของแก กับแกล้มมาก็กิน ไม่มาก็ไม่บ่น เงาะผีแม่บ้านเข้าสิงเต็มตัว เข้ามากกว่านี้คงทะลุไปชัยนาท นั่งปิ้งนั่นย่างนี่หน้ามัน เราและเพื่อนๆ เป็นลูกมือบ้าง เป็นตัวถ่วงบ้างตามถนัด บรรยากาศดีมาก คลื่นซัดฝั่งเป็นระยะ พอชินเสียงแล้วก็รู้สึกสงบ ผ่อนคลาย อีหาดนี้ก็คงเสียอยู่อย่างเดียว คือเป็นกรวดล้วนๆ เดินแล้วเจ็บตีนชะมัด

ที่เห็นเปื้อนกล้องในรูปข้างบนคือฝนหยดบางแสนบาง

อาหารที่สรรหากันมา ค่อยๆ ทยอยสุก มาร์คดีใจมากที่มีมันฝรั่งมาด้วย มาร์คบอกเมียไม่ซื้อติดบ้านเลย ชาวอังกฤษอยากกินมาก เราเป็นชาวไทยบ้านที่ชอบกินมันฝรั่งเลยหยิบมาดื้อๆ แต่ไม่รู้ว่าต้องทำให้มันสุกได้ยังไง ก็เลยกลายเป็นว่าชาวอังกฤษนั่งสั่งการในระยะไกล ส่วนชาวไทยก็ห่อฟอยล์แล้วปิ้งตามคำสั่ง มาร์คห่วงใยมันฝรั่งมากกว่าสิ่งอื่น คอยเรียกอยู่นั่นแหละ หมุนมันสิ หมุนมันรึยัง สุดท้ายทุกคนก็ได้กินมันฝรั่งย่างเนยคนละหัว อร่อยพอดิบพอดีมาก

พอเริ่มจะอิ่ม มาร์คก็ไปลากเอาลังไม้พาเลทเก่าที่ติดท้ายรถมาด้วย แล้วก็เริ่มก่อกองไฟ เราถามเพื่อนว่า เอิ่ม มันไม่หนาวนะแก จะก่อไฟเพื่อ เงาะบอกว่า ถ้าไม่ก่อถือว่ามาไม่ถึง ปล่อยตะแกไปเถอะ

คืนนั้นเราเช็ดตัวด้วยทิชชู่เปียกรุ่นดีไซน์พิเศษ มีฟองด้วย ซื้อมาจากลาซาด้า โปะแป้งเย็นแล้วก็หลับไป มุ้ยกับหนิงหลับได้น้อยมาก เงาะดันหลับน้อยไปกับเขาด้วย ส่วนเราวิ้งวับสบายดี

ตื่นมาตอนเช้าก็เจอกับภาพนี้

ถ้าการได้ออกเดินทางเหมือนเป็นของขวัญ การได้ตื่นเช้าแล้วมีพระอาทิตย์ขึ้นตรงหน้าก็คงเป็นเหมือนการที่ได้ของขวัญถูกใจแถมยังห่อกล่องมาซะสวยอีก คลื่นทะเลตอนเช้าซัดแผ่วๆ พอตื่นขึ้นมาเจอฟ้าเป็นสีขอบพระอาทิตย์ ก็รีบเรียกเพื่อนมาชมบรรยากาศด้วยกัน เพื่อนๆ เรียกไม่ยาก เพราะมันนอนไม่ค่อยหลับกันอยู่แล้ว

จากนั้น ทุกอย่างก็กลับสู่จังหวะอันเร้าขึ้นนิดหน่อย เพราะทันทีที่พระอาทิตย์ขึ้นเต็มดวง มันก็ฮีทอัพทุกอย่างให้ร้อนฉ่า แดดเข้าเต็นท์เต็มๆ แค่เข้าไปเปลี่ยนชุดก็จะละลายแล้ว เหล่าผีแม่บ้านออกทำงานอีกครั้ง เงาะรีบปรุงอาหารเช้าให้ทุกคนกิน โดยไม่ยอมกินของตัวเอง แต่ห่อใส่กล่องไปก่อน เพราะกลัวทำนั่นนี่ไม่ทัน ดิฉันผู้ห่างไกลครัว พาเพื่อนเก็บเต็นท์ให้เสร็จ แล้วเดินถ่ายรูปเล่นรอบๆ เก็บบรรยากาศ เมฆฝนยามค่ำคืนหายไปแล้ว เหลือแต่แดดแจ่มจ้า ฟ้าใสกิ๊ง

ก่อนเก้าโมงเช้า พวกเราก็รื้อถอนอุปกรณ์แค้มปิ้งออกจนเกลี้ยง ทิ้งหาดหินไว้แบบเดิมก่อนที่เราจะมา ดีขึ้นนิดหน่อยด้วย เพราะเราเดินเก็บขยะที่ถูกน้ำซัดมาติดก้อนหินรวมทิ้งไปกับขยะของเรา ตอนถอยรถแม่บ้านขึ้นเนิน มาร์คต้องมาขับเอง ท่ามกลางความลุ้นของคุณเมีย เพราะคุณเมียกลัวยางแตก คอยหวีดสร้างบรรยากาศตลอด ส่วนเพื่อนๆ แค่ยืนลุ้นและถ่ายรูปอย่างเดียว

คณะของเราออกเดินทางกันต่อทันที ฟ้าสีฟ้าๆ กับภูเขาสีน้ำตาและท้องทะเล แถมยังมีทางโล่งๆ กรวดๆ พร้อมจะมีฝุ่นฟุ้ง ช่างเป็นโลเคชั่นที่น่าเอารถยนต์มาโฆษณาซะจริงๆ

ชมแบบภาพเคลื่อนไหวพร้อมเสียง commentary จ้ะ

https://web.facebook.com/watch/?v=469500597001001

โอมานอีสออซั่มมมม #๑

ปฐมบท

ไม่เคยคิดจะไปเลย โอมาน
คือรู้จักคำนี้ว่าเป็นนามสกุลอุปโลกน์ของดาราก่อนที่จะรู้ว่าเป็นชื่อประเทศซะอีก รู้สึกว่ามันถูกใช้จนแปดเปื้อนไปแล้ว ไอ้เราเองก็มีที่อยากเที่ยวมากมาย หาเงินไม่ทันเที่ยวจนต้องอดมื้อกินมื้อจนซูบผอม (ไม่เชื่อก็ทำเป็นพยักหน้าไปก็ได้) ย่อมไม่รู้สึกกระเหี้ยนกระหือรืออะไรกับประเทศนอกวิชลิสต์แบบนี้อยู่แล้ว
เพื่อนวัยเด็กของเรา ไปอาศัยอยู่ที่นั่นเป็น ๑๐ แล้ว หลายปีก่อนเคยถามที่อยู่จะส่งโปสการ์ดไปหา (แม้กระทั่งในยุคนี้ โปสการ์ดก็ยังเป็นช่องทางคอนเนคต์กับมนุษย์ที่เราโปรดปรานที่สุด) เพื่อนบอกว่า ไปรษณีย์ไม่ค่อยจะครอบคลุม สรุปว่าการส่งกระดาษน้อยใบเดียวดูจะเป็นเรื่องลำบากลำบนซะอย่างนั้น สำหรับประเทศเศรษฐีน้ำมันที่รวยๆ เราไม่เข้าใจว่าทำไมจะส่งโปสการ์ดไม่ได้วะ จากนั้นก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรโอมานอีก

สุดท้ายก็จับพลัดจับผลูจัดทริปไปโอมานกันจนได้ เพราะความเลยตามเลย ไม่ขัดใจเพื่อนและความอยากรู้อยากเห็นของเราเอง ไอ้นิสัยนี้ทำให้ได้ทำอะไรที่ไม่คิดว่าจะทำมาเยอะแยะแล้ว ทำไมเพื่อนไม่ผลักดันไปหาผู้ชายดีๆ บ้างนะ บางทีก็สงสัยอยู่ในใจ

ทริปนี้มีความ “ครั้งแรก” หลายอย่าง

ไปทะเลทรายร้อน เป็นครั้งแรก เป็นทะเลทรายแบบ ทราย. ไม่เหมือนมองโกเลียที่เป็นทะเลทรายแบบดินหิน คือเป็นดินแดนรกร้างมากกว่า
ไปตะวันออกกลาง (ตรงริมๆ) เป็นครั้งแรก
ไม่ได้แพลนทริปเอง เป็นครั้งแรก
ไปประเทศมุสลิม เป็นครั้งแรก พร้อมหมูแห้งเต็มกระเป๋า
แบกเต็นท์สองหลังไปต่างประเทศ เป็นครั้งแรก (และยังเสือกเอาฟลายชีทกับผ้าใบรองพื้นผืนใหญ่ไปด้วย)
เปิดยูทูปหัดโพกผ้าแบบมุสลิม เป็นครั้งแรก ไม่เข้ากับหน้าเลย ตาตี่หน้ากลมๆ โพกผ้าตีกรอบแก้มแล้วดูอย่างกะขนมเข่ง

ก่อนไปมีความลังเลเรื่องดีเทลการท่องเที่ยวและแผนการ หลักๆ ก็ไม่อยากกวนเพื่อนมาก รองลงมาก็อยากผจญภัยเอง รับผิดชอบชีวิตและการกระทำของตัวเองบ้าง แต่สุดท้ายก็สรุปว่าให้เงาะกับมาร์ค สองผัวเมียเจ้าถิ่นจัดการทำแผนและนำเที่ยวเสร็จสรรพไปเลย ซึ่งสำหรับเราไม่เคยเดินทางแบบที่ไม่ได้แพลนเองมานานแล้ว ต้องอาศัยการปล่อยวางพอสมควร มีบางคนเคยบ่นว่าได้เตรียมแผนป้องกันอันตรายไว้มั่งไหม ฟังดูก็เหมือนเป็นห่วง แต่เราก็เป็นแบบเนี้ย ต่อให้มีปัญหาอะไรยังไง ก็มั่นใจว่าเอาตัวรอดได้อยู่แล้ว ต่อให้หลงกลางทะเลทรายชั้นก็ไม่ตายหรอก ถ้าจำไม่ผิดวันนั้นน่าจะตอบไปแบบนั้น
จริงๆ นานๆ จะมีคนเป็นห่วงทีก็ไม่ควรเก่งใส่เนาะ ไม่ทันแล้ว

ผู้ไปเยือนนอกจากเราก็มีหนิงและมุ้ยอีกสองคน ซึ่งฝ่ายหญิงเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่เด็กฝ่ายชายคือสามีมัน สองคนนี้เที่ยวเยอะแบบมนุษย์ปกติ แต่เราก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกว่ามีหน้าที่ต้องดูแลเพื่อน และทำให้อีสองคนนี้ปลอดภัยกลับมาด้วยให้ได้

เรื่องราวสนุกๆ กับการเดินทางแค่ ห้าวันหน่อยๆ กำลังรอการเปิดเผย สปอยล์ให้ก่อนว่า ทุกอย่างราบรื่น เจ้าบ้านดูแลดี๊ดี ได้เดินทางกันแบบสนุกมากๆ บางครั้งเป็นคนตามบ้าง ก็ดีเหมือนกันนิ

เพียงแต่ในบางบริบทคนที่ชั้นอยากจะตาม เค้าก็ไม่ได้อยากจะนำชั้น..

ก่อนได้ไปเยือน เรารู้แค่ว่าโอมาน = น้ำมัน = ทะเลทราย จบ ไม่ได้รู้เรื่องอื่นที่น่าสนใจ เป็นต้นว่าสุลต่านที่ปกครองประเทศในปัจจุบัน ทรงปกครองมาตั้งแต่ ปี ๒๕๑๓ เพียงพระองค์เดียว ก่อนหน้านั้นประเทศโอมานเป็นเพียงชนเผ่าด้อยการพัฒนาในแทบทุกด้าน ทั้งดินแดนมีถนนก่อสร้างยาวแค่ ๖ กม. เท่านั้น สุลต่านอัลซาอิด (Qaboos bin Said al Said กอบุส บิน ซาอิด อัลซาอิด) หลังจากชิงอำนาจมาจากพ่อของตนเองที่ปกครองดินแดนอยู่ก่อนแบบโบราณ ด้วยการสนับสนุนจากฝั่งอังกฤษ (แน่ะ ไปแจมกับเขาอีก) แล้วก็ใช้ความรู้และแนวคิดแบบสมัยใหม่ที่ได้เรียนมาจากต่างประเทศ พร้อมกับสร้างสัมพันธ์ที่ดีกับรอบด้าน มาพัฒนาโอมานให้โตแบบก้าวกระโดดแล้วทะยานไปเลย (ยกเว้นการไปรษณีย์สินะ)

ซึ่งประเทศอยู่ในเวิ้งนั้นต้องยอมรับว่า การประคองตัวอยู่มานานขนาดนี้โดยไม่รบกับใครเลยนี่ไม่ใช่ง่ายๆ นะ คิดดูว่าโอมานมีพื้่นที่ติดต่อกับซาดุดิอาระเบีย ที่แสนจะคันคะเยอ และยังเยเมนที่ย่ำแย่ไปด้วยสงคราม ด้านเหนือสุดเชื่อมต่อกับยูเออีที่ดูเหมือนจะสายเศรษฐกิจตอนแรก แต่หลังๆ นี่มาสายวอร์ซะอีกแล้ว เพื่อนบ้านรอบๆ นอกจากจะมีศัตรูภายนอกแล้ว ยังบาดหมางกันเองภายใน จับคู่ตีกันเกือบจะเป็นแบบพบกันหมดอยู่แล้วมั้ง และการโต้ตอบความบาดหมางมันไม่ใช่แค่แซะกันไปแซะกันมาเหมือนแถบบ้านเรา นี่เขาเล่นยิงระเบิดใส่กันจริงจังเลยเหมือนระเบิดมันลูกละห้าบาทสิบบาท และชีวิตคนมันมีค่าแค่ผักปลา


นานามิตรประเทศได้ชวนโอมานเข้าร่วมกิลด์วอร์อยู่เนืองๆ แต่ด้วยพระปรีชาขององค์สุลต่าน
ซึ่งถืออำนาจปกครองสูงสุดในระบบสมบูรณาญาสิทธิราช ทำให้โอมานบาลานซ์อยู่บนความไม่ลงรอยนี้ได้ตลอดมา

เกร็ดน่ารู้ที่เพื่อนเล่าให้ฟังคือ สุลต่านอัลซาอิดไม่เคยเปิดเผยว่าใครเป็นรัชทายาท อย่าว่าแต่ตำแหน่งรัชทายาทเลย ใครเป็นลูกพระองค์ มีกี่คน ยังไม่เป็นเรื่องที่เปิดเผยเลยด้วย

การเดินทางไปโอมาน เราใช้เอเย่นต์คนเดิมที่หาตั๋วมองโกเลียให้ ได้บินการบินไทยในราคาที่ เอาวะ คงหาได้ไม่ดีไปกว่านี้แล้วมั้ง เนื่องจากโอมานอาจไม่ได้เป็นที่นิยมของชาวไทย จึงทำให้ตั๋วเครื่องบินราคามันยังงั้นๆ แทบจะตลอดทั้งปี ไม่ค่อยขึ้นไม่ค่อยลง ถ้าได้ถึงหมื่นห้าก็รีบซื้อได้เลย ส่วนเราได้มาที่หมื่นหกเจ็ดร้อย บินตรงแต่แวะรับคนที่การาจี ที่เลือการบินไทยมากกว่าโอมานแอร์ เพราะคิดว่าตัวเองคงไม่ชอบอาหารอาหรับแน่ อย่างน้อยขอกินอาหารไทยอีกซักนิดบนเครื่องก็ยังดี แต่แล้วเรื่องอาหารก็เป็นอีกเรื่องที่ผิดคาด คือทั้งเราทั้งเพื่อนดันชอบอาหารอาหรับซะงั้นน่ะ อ้วนเอ๊ย กินอะไรก็อร่อย ทำไมวะ

ไฟลท์เราใช้เวลารวม ๘ ชม. เป็นเดินทาง ๗ จอดรอชาวคณะขึ้นลงที่การาจีอีก ๑ ชม.
เราออกเดินทางล้อหมุนจากสุวรรณภูมิบ่ายสอง นับเวลาถอยหลังแล้วเข้าไปทำงานได้ ๒ ชม. ตอนเช้า จึงเข้างานติดพันต่ออีกพักนึงจนต้องไปนั่งโทรศัพท์เคลียร์บางเรื่องและอีเมลในแท็กซี่ (ทำไมอนาถ) เดินทางมันทั้งเสื้อแจกของบริษัทแบบนี้สิ ช่างสมเป็นเราซะจริง อีกทั้งอีเสื้อตัวนี้ยังปรากฏในบัตรประชาชน, ใบขับขี่ และวีซ่าบางประเทศด้วย

โอมานมีโซนเวลาช้ากว่าไทย ๓ ชม. ทำให้วันเดินทางเป็นวันที่มี ๒๗ ชม. สำหรับเรา แม่งยาวนานเหมือนความรู้สึกของวันจันทร์ที่เจ้านายอารมณ์บูด แต่เนื่องจากเดินทางตอนกลางวันแบบตามตะวัน ทำให้แทบจะตลอดไฟลท์ แสงจากข้างนอกมันสว่างจ้าตลอดเวลา ทุกช่องหน้าต่างพร้อมใจกันปิดจนภายในเครื่องมืดสนิทเหมือนไฟลท์ดึก แล้วก็พากันหลับคร่อกๆ ด้วยความที่เครื่องค่อนข้างโล่ง เพราะเส้นทางมันไม่ฮิต หลายๆ ท่านก็นอนพาด ๔ เบาะ หรูกว่าเฟิร์สคลาสก็พวกมึงนี่แหละ


ส่วนเราหลับไม่ลงเลยดูหนังไปสองเรื่อง Deadpool 2 กับ Walter Mitty ไม่อยากดูเรื่องที่ไม่เคยดู อยากดูอะไรที่มั่นใจว่าจะมีความสุขมากกว่า (ถึงจะดูจอเล็กๆ แต่ตอนมิตตี้ออกเดินทางเราก็น้ำตาซึมตามเคย) ด้วยจริตแอ๊บรักสะอาดจึงพกหูฟังส่วนตัวด้วย ตอนผล็อยหลับ ตูดไหลไปทับหูฟังตัวเองที่กำลังเสียบอยู่ แจ๊คหักได้อีก สุดท้ายก็ต้องใช้หูฟังของเค้า

ก่อนแลนด์ที่การาจีมีประกาศห้ามการถ่ายภาพต่างๆ ทั้งบนฟ้า และที่สนามบินของปากีสถาน ตอนแรกก็ไม่คิดอะไรหรอก พอห้ามเท่านั้นแหละ อื้อหือ.. คันขึ้นมาทันที และนี่คือภาพน่านฟ้าและสนามบินสุดหวงแหน มึงหวงอะไรกูยังไม่ค่อยเข้าใจ

ด้านล่างนี้รู้สึกตื่นตาตื่นใจกับแลนด์สเคปแปลกๆ ของปากี แต่แอร์เดินไปมาขวักไขว่ แอบถ่ายรูปไม่ได้วาดแม่มเลย จินตนาการซะว่ามันเหมือนก็แล้วกันนะ

ตลอดการเดินทาง บรรยากาศบนเครื่องดีมาก พนักงานให้ความกันเองและใส่ใจคนไทยมากกว่าต่างชาติแบบเห็นๆ ก็คงเหมือนความรู้สึกเวลาบินสายการบินประเทศอื่นมั้ง อีนี่ก็ไม่รู้เหมือนกัน ตอนบินของพวกจีน สิงคโปร์ มาเลย์ หลายครั้งเขาก็คิดว่าเราเป็นคนประเทศเขา (เป็นคนหน้าตาองคาพยพแบบนานาชาตินิดนึง) แล้วก็เอาใจใส่เราดีตลอดแม้กระทั่งเมื่อโป๊ะไปแล้ว
ตอนสมาชิกขึ้นมาสมทบจากการาจี กลิ่นอันเป็นเอกลักษณ์ก็ขึ้นเครื่องมาด้วยเลย เพื่อนๆ มีออกอาการบ้าง ส่วนเราสบายดี ปกติหลังตีแบดกูก็ประมาณนี้แหละ แต่สิ่งที่กระทบเรามากกว่าคือความไม่เสมอภาค คนที่ขึ้นมาแทบไม่มีผู้หญิงเลย เพราะผู้หญิงคงไม่มีค่าพอที่จะมีธุระสำคัญอันต้องเดินทางด้วยเครื่องบิน
เราเริ่มรู้ตัวว่านี่ต่างหากที่จะเป็นปัญหาสำหรับการเยือนประเทศมุสลิม-อาหรับ ของเรา เมื่อเฟมินิสต์ตัวอ้วนมาเยือนกรงขังอิสรภาพของมนุษย์สตรีเพื่อนร่วมโลก
เอ้าเพลงขึ้น

กักขังฉันเถิดกักขังไป ขังตัวอย่าขังหัวใจดีกว่า

ทุ่มนิดๆ หลังปรับไทม์โซนมือถือเป็นเวลาโอมาน เราก็แลนดิ้ง เหนือน่านฟ้าและที่สนามบินโอมานก็เป็นเขตห้ามถ่ายรูปเช่นกัน
เอ้ามาชมกันเลยจ้า  

มีเรื่องราวน่าสนใจไฮไลท์ในสนามบินอยู่ ๒ เรื่องด้วยกัน

๑.
เมื่อออกจากเครื่องสู่เส้นทางยาวไกลในตัวอาคารได้สำเร็จ เราผลัดกันเข้าห้องน้ำ และเริ่มต้นกระบวนการเดินๆๆๆ ไปหา ตม. เส้นทาง, ระยะ และป้ายบอกทางต่างๆ คล้ายสุวรรณภูมิมากๆ จนคิดว่าไม่ใครก็ใครต้องมีก๊อบกันบ้าง ในระหว่างการเดินอันยาวไกล มีทางเลื่อนแนวระดับโผล่มาเป็นต่อนๆ เหมือนสุวรรณภูมิอีกเช่นกัน ต่างกันตรงที่ความเร็วของโอมานจะเร็วกว่าเล็กน้อยราว ๐.๐๐๐๐๐๐๑ พาร์เซค

ตอนเราจะก้าวเข้าสู่ทางเลื่อนอันแรก ผู้หญิงในชุดคลุมดำแทบลากพื้นคนหนึ่งกำลังยืนลังเล ไม่กล้าก้าวลงไป ในมือเธอถือถุงดูเกะกะ ชุดคลุมรุ่ยร่ายทำให้เรามองไม่เห็นว่าเธอยังมีปัญหาอื่นหรือเปล่า
ในทางเลื่อน สามีของเธออุ้มลูกวัยน่าจะ ๒-๓ ขวบอยู่ ยิ่งเธอไม่ก้าวลงไป ทางเลื่อนก็พาพ่อลูกเลื่อนห่าง สามีก็มีการเดินกลับมาเล็กน้อย ทำหน้าเหมือนไม่ค่อยพอใจ พร้อมพูดรัวๆ ก็คงบอกว่าเดินๆ ลงมาตะอีโง่ อะไรทำนองนี้
เราเห็นหน้าเขา เขากลัวทางเลื่อน แต่กลัวผัวมากกว่า เขาเลยไม่รู้จะทำไงต่อกับชีวิต ได้แต่ยืนจดๆ จ้องๆ เราไปยืนข้างๆ แล้วบอกว่า May I help you? เรารับถุงพลาสติกที่อัดของแน่นมาถือให้ (แม่งหนักเลยแหละ) เอาล่ะตอนนี้คุณจะสามารถจับราวและก้าวลงมาได้เลย เราจะก้าวให้ดูก่อนนะ
เราก้าวลงไป พยายามทำท่าสบายๆ ให้ดู แต่เธอก็ยังไม่กล้า เราเลยเดินกลับไปหา คราวนี้บอกว่า จับมือชั้นนะ แล้วก้าวไปพร้อมๆ กัน

โอเค รอบสองสำเร็จ เธอลงมายืนขาโงนเงนได้สองวิ อีผัวห่าอุ้มลูกเดินย้อนทางเลื่อนกลับมา เอาลูกยัดใส่มือ แล้วเดินนำเฉิบหายหัวไปเล้ย อีเหี้ย เราแม่งหลังแบกกระเป๋าตัวเอง มือซ้ายหิ้วถุงเจ๊แก แล้วขวาก็จับมือซ้ายของแกตอนจะก้าวออกจากทางเลื่อน ส่วนเจ๊มือขวาอุ้มลูกตัวไม่ใช่น้อยๆ ด้วยมือเดียว มือซ้ายที่สั่นเทาจับเราแน่น พอออกจากทางเลื่อนอันแรกได้ อีผัวห่าลับตาหายไปแล้ว เจ๊แกไม่ประหลาดใจแต่กูอัศจรรย์ใจมาก ไม่คิดว่ามันจะขนาดนี้ เจ๊แกพอไม่เห็นหลังผัว ก็ไม่เข้าทางเลื่อนอีกแล้ว แกเดินอ้อมข้างๆ ผ่านทุกทางเลื่อน ไอ้เราซึ่งยังถือถุงให้แก และไม่กล้ายื่นคืนแกในสภาพนี้ ก็เลยเดินไปด้วย
แกพยายามอธิบายว่า มายเฟิร์สไทม์ๆ ไม่แน่ใจว่าครั้งแรกสำหรับการบิน หรือ การเดินทางเลื่อน แต่คงไม่ใช่ครั้งแรกที่ผัวทำตัวระยำตำบอนแบบนี้แน่

สุดท้ายตอนที่เราต้องแยกไปคนละทาง เรายื่นถุงคืนให้เธอ
เธอขยับท่าให้เหมาะที่จะแบกลูกบวกถือถุง ทำให้เราเห็นพุง อ้อ ท้องอยู่ มิน่าถึงไม่กล้าเสี่ยงกับทางเลื่อน เอ้าผัว เหี้ยซ้ำเหี้ยซ้อนได้อีก เราเดินผรุสวาทกับเพื่อนไปเบาๆ พยายามบังคับหน้าไม่ให้ออกยักษ์ออกมารอย่างยากลำบาก

๒.
ไม่คิดเลยว่าจะมีปัญหาใดๆ กับการผ่าน ตม.
เพราะพาสปอร์ตเราหรู ดูยังไงก็นักเดินทาง, เพราะเราทำวีซ่าออนไลน์เสร็จจบมาหมดแล้ว, เงินค่าธรรมเนียมก็จ่ายหมดแล้ว เพราะเรามีกระทั่งหนังสือรับรองจากที่ทำงาน เอกสารสำคัญอื่นใด เตรียมมาหมด จัดไว้เป็นชุดๆ เรียงตามลำดับเวลา เรียบร้อยกว่าเวลาทำงานอีก สุดท้าย โดนไล่ไป “สแกนนิ้ว” คือกูไม่หวงหรอกลายนิ้วมือกูเนี่ย แต๊มมาหลายประเทศแล้ว
แต่ทำไมไม่เอาเครื่องมาไว้ตรง เคาท์เตอร์ ตม. ทำไมต้องเอาเครื่องไว้ที่ห้องลึกลับ แล้วจิ้มโดนใครก็ไล่ให้เดินไปสแกนตั้งไกล
เจ้าหน้าที่สนามบินชุดสีส้ม สุภาพและอารีเข้ามาถามว่า ทำไมเราไม่ผ่าน ตม. ออกไป แต่ย้อนกลับเข้ามา อ๋อ เขาให้ไปสแกนนิ้ว ไปทางไหนรึ แล้วทำไมต้องเรียกฉัน เพื่อนฉันก็ผ่านไปได้แล้ว วีซ่าฉันก็มี เอกสารฉันก็ครบ ไม่แง้มดูเลยแม้แต่นิดเดียว เห็นหน้าไล่ไปสแกนเลย

มันรบกวนจิตใจมากว่าเราดูไม่น่าเชื่อถือตรงไหนวะ หลังจบกับการสแกนแล้ว เรายังกลับไปหาเสื้อส้มแล้วคาดคั้นให้ตอบว่าทำไมเราถึงโดนไล่ไปสแกน เราผิดตรงไหน อยากรู้จริงๆ เสื้อส้มตอบว่า แรนดอมล้วนๆ นะครับ

ตอนนั้นในเวลาทุ่มปลายๆ ของโอมาน นาฬิกาชีวภาพของเรามันบอกเวลาหวิดห้าทุ่ม ง่วงและอยากจะงอแง อยากจะวีนเหวี่ยง เรียกผู้จัดการมาด่าให้สาแก่ใจ แต่ต้องบอกตัวเองว่าอดทน อดทน อดทน อย่าให้พังตอนนี้นะ ยิ้มไว้ ยิ้ม.. ไว้..
ทางเข้าห้องสแกนนิ้วแม่งซับซ้อนซ่อนเงื่อน เดินหลงกลับออกมารอบนึง ถามเสื้อส้ม บอกให้พาไปได้มะ กูหลง เสื้อส้มไม่ยอมเดินเป็นเพื่อน ทำได้แค่ส่งปากประตู ให้เดินลับแลๆ เข้าไปเอง

ในห้อง “สแกนนิ้ว” ไม่มีผู้หญิงเลยแม้แต่คนเดียว เจ้าหน้าที่อยู่หลังเคาท์เตอร์ยาวที่ดูมีอุปกรณ์อะไรมากมาย ผู้มีปัญหาทั้งหลายอยู่อีกฝั่งของเคาท์เตอร์ ดูรวมๆ แล้วแทบทุกคนแต่งตัวและโพกผ้าทรงบินลาเดนแทบจะทั้งนั้นยืนกระจุกตัวอยู่ที่ด้าหนึ่งของเคาท์เตอร์
ด้วยความแปลกแยกของสุภาพสตรีผมยาวไม่มัดผมคนนี้ ทำให้ทุกสายตาจ้องมา เรากลัว ๑๐% อยากรู้อยากเห็น ๙๐% อยากคุยกับทุกคนเลย อยากสัมภาษณ์นู่นนี่ แต่ก็พูดได้แค่แต๊งกิ้วตอนที่เจ้าหน้าที่ด้านใน กวักให้ ไอ้ไทยแลนด์ ลัดคิวเข้ามาก่อน แล้วทุกคนที่ยืนหนาแน่นอยู่ก็แหวกให้เป็นทาง

เจ้าหน้าที่เป็นคนจังหวัดไหนไม่รู้ แต่ทำท่ายะโสสุดๆ นั่งเฉียงๆ ชายตามองหน้าเรานิดหน่อย แล้วก็หันไปมองทางอื่น พูดก็ไม่สบตา เหมือนเราเป็นคนละชั้น
พิน อดทน อดทนนะอดทน บอกตัวเอง เพราะสัญชาติญาณมันอยากจะจู่โจมแล้ว อยากจะตะโกนออกไปว่า ถ้าความเป็นคนของกูไม่เท่ากับมึง นั่นก็เพราะว่ากูมีมากกว่าาาาาา ซ้าดดดดด

เราโดนสแกนนิ้ว สแกนตา ผ่านไปอย่างขลุกขลัก พาสปอร์ตถูกยื่นกลับมา เอกสารที่เตรียมมาดิบดีแม่งไม่ดู เรารับพาสปอร์ตมา แล้วมือก็รูดไปเจอรอยพับ ไอ้ห่าทำพาสปอร์ตกูยับอีก เลยคลายรอยพับ แล้วพยายามรีดให้รอยมันคลี่ มันหันมาเห็น ทำท่าไม่พอใจ ดึงพาสปอร์ตกลับไปพับใหม่แล้วบอกเราว่า ชะนีมึงอย่าเอาออกอีกนะ
สรุปว่ารอยพับนั้นคือสัญลักษณ์บอก ตม.ข้างนอกว่า อีนี่สแกนแล้วนะ – สัญญลักษณ์มึงตื้นได้อีก

กว่าจะได้ผ่าน ตม. เราแม่งง่วงมากกกกก
แล้วก็ลุ้นว่าเพื่อนจะรู้มั้ยว่าเราไม่ได้ผ่านมา สรุปเป็นไปตามคาด เพื่อนเราเดาสถานการณ์ไม่ออก (ใครมันจะไปนึก) ได้แต่ยืนตระหนกอยู่ตรงนั้นสองคนผัวเมียว่าไอ้แอ้หายไปไหนวะ
มันสองคนเดินหาเราอยู่พักใหญ่จนสิ้นหวังเลยกลับมายืนเศร้าหมองอยู่ตรง ตม. เราเล่าเรื่องราวให้ฟังอย่างดุเดือด และเนื่องจากออกมาช้ามาก กระเป๋าของพวกเราก็ไหลวนอยู่ในสายพานนานแล้ว ถ้าก่อไฟไว้ด้านล่างกระเป๋าคงสุกกำลังกิน

เราพบแม่ลูกคู่นั้นอีกครั้งตรงสายพานรับกระเป๋า ส่งยิ้มให้เธอ
เธอยิ้มตอบกลับมา ดูดีขึ้นกว่าตอนเดิน เธอคงมีวิถีของเธอที่จะรับมือกับเรื่องราวพวกนั้นได้

ขั้นตอนที่เราแพลนไว้ก่อนเดินทางคือ คืนนั้นเราจะแลกเงินเรียล, ซื้อซิม และเดินทางไปโรงแรมที่จองไว้กันเอง เงาะกับมาร์คอยากมารับแต่เราห้ามไว้เพราะเกรงใจ บ้านก็ไกลสนามบินตั้ง ๑ ชม. ก็สรุปกันไว้ตามนั้น แต่หลังผ่าน ตม. และเดินเข้าสู่บริเวณทั่วไปของอาคารสนามบิน อยู่ๆ กำลังเม้าท์กันเพลินๆ ก็เจอหน้าคุ้นๆ ยืนยิ้มกว้าง ยัยเงาะเพื่อนเรากับมาร์คสามีนางมายืนรอรับ และบ่นว่าทำไมออกมาช้าจัง เป็นห่วง เราเลยได้โอกาสด่า ตม. และห้องสแกนนิ้วอีกรอบระหว่างมาร์คพาไปซื้อซิม
เคาท์เตอร์แลกเงินปิดแล้ว มาร์คเลยควักเงินมาให้ ๕ เรียลเป็นค่าซิมพร้อมเจรจากับคนขายให้เสร็จ ซึ่งดีมาก เพราะคนขายซิมการ์ดชายตามองเราเหมือนมองตัวอะไรซักตัวนึง และเรากำลังคิดเลยว่า จะเจรจาซื้อของกับคนแบบนี้ได้เหรอเนี่ย

เดินต๊อกๆ ตามหลังมุ้ยกับมาร์ค ด้านตรงข้ามคือเหล่าแท็กซี่โอมาน เป็นชาวโอมานแท้ในชุดประจำชาติ ซึ่งจะเห็นไม่ค่อยบ่อยในทริปนี้ เพราะว่าโอมานมีประชากรน้อยมาก (แต่ส่วนมากรวย) ประเทศจึงต้องรับ Expat จำนวนมากเข้ามาทำงาน การขับแท็กซี่เป็นหนึ่งในอาชีพสงวนที่มีไว้ให้คนโอมานแท้ๆ เท่านั้น

คืนนั้นสองผัวเมียส่งเราที่โรงแรมในย่านเงียบสงัดที่เราเลือกจองกันมาเอง ออกจากถนนใหญ่ลึกเข้าไปอีกพอสมควรในความมืด Location ที่ค้นจาก Google map ก็เคลื่อน ทำเอาสาวๆ ตระหนกเล็กน้อย (แน่นอนว่าเราไม่ได้อยู่ในหมวด “สาวๆ” แต่อย่างใด)
พอเจอโรงแรมแล้วก็เข้าไปเช็คอิน มาร์คผู้มีประสบการณ์เดินสำรวจรอบๆ ไวๆ แล้วกลับมาบอกเราว่า โน่นร้านสะดวกซื้อ ซึ่งช่วยชีวิตเราไว้เลย เพราะในห้องเสือกไม่มีน้ำดื่มให้

เทียบกับราคาแล้ว ห้องดี๊ดี เป็นห้องเล็กใหญ่คอนเนคต์กัน ต่างห้องต่างมีห้องน้ำในตัว ขาดแต่น้ำดื่มกับผ้าขนหนู Welcome ไว้เช็ดตีน ประหลาดมากที่ไม่มีสองสิ่งนี้ให้ เราเดินเท้าเมือกๆ ไปมา แล้วตัดสินใจออกไปซื้อน้ำ เราอาสาไปคนเดียว แต่หนิงกับมุ้ยบอกว่ามืดแล้วไปด้วยกันดีกว่า ตอนนั้นนาฬิกาชีวภาพเรามันคือราวๆ ตีสอง ตอนอยู่โอมาน นอนดึก (เวลาโอมาน) ทุกวัน ซึ่งสำหรับเวลาไทยแล้ว มันคือนอนตีสองตีสามทุกวัน ส่วนตอนเช้าเสือกตื่นเวลาไทย ตีห้าเด้งละ เรื่องเวลาที่เหลื่อมสามชั่วโมง กับการเดินทางแค่ห้าวัน เป็นอะไรที่ทารุณมาก

ระหว่างเดินไปร้านสะดวกซื้อที่อยู่ไม่ไกล มองเห็นจากหน้าโรงแรม ถนนมืดและเงียบสนิท มีเสียงผู้ชายทักมาจากข้างรถที่จอดอยู่ว่า ..Welcome to Oman.. หนิงกับมุ้ยแทบสะดุ้งโหยง เราตอบกลับกลั้วหัวเราะว่าขอบคุณมาก

ร้านสะดวกซื้อขนาดเล็กจิ๋ว แต่ของขายมีแต่ของดีๆ และครอบคลุมความต้องการ เราซื้อน้ำในขนาดที่ชอบมากแต่บ้านเราไม่มี คือเป็นขวดหิ้วขนาด ๓ ลิตร มันเป็นน้ำหนักที่ถือไม่เหนื่อยแบก แต่พอกินสำหรับอีพวกกินน้ำจุแบบเราสามคน เราตัดสินใจว่าอาหารมื้อดึกก่อนนอนของเราจะเป็นไอติมหนึ่งถ้วย


คนขายเป็นหนุ่มอาหรับแต่งตัวด้วยเสื้อยืดกางเกงขายาว หลั่นล้าทักทายพวกเรา ถามว่ามาจากไหน พอเราบอก แกดีใจใหญ่บอกว่า พวกยูเป็นคนไทยกลุ่มแรกที่ไอเคยเจอ ส่วนไอเป็นคนอิหร่านนะ เราก็เลยบอกว่ายูเป็นคนอิหร่านคนแรกที่เราได้เจอเหมือนกัน
จากนั้นก็คุยกันแบบระริกระรี้ดีใจ เหมือนไทยกับอิหร่านเป็นเครือญาติที่พลัดหลงกันมานานแสนนาน ก่อนออกจากร้าน คุณชายก็บอกว่าขอให้เที่ยวโอมานให้หนุกหนานเพลิดเพลินนะครับ

คืนนั้นกว่าจะนอนได้ก็ปาไปเที่ยงคืน ซึ่งก็คือตีสามไทย
อ่อนเพลียจนแทบจะหลับคาถ้วยไอติม แต่ถามว่ากินไหม

ก็กิน

เพราะการหุบๆ กางๆ เต็นท์ไม่เคยทำให้เราเหนื่อยหน่ายเลยซักครั้ง

สิ่งที่ทำให้การท่องเที่ยวถาวรได้มีอยู่สองสามประการสำหรับเราดังนี้

๑. เที่ยวสนุกแค่ไหนก็ต้องกลับมาทำงาน ไม่เถลไถล ลาไว้แค่ไหนแค่นั้นไม่ลาป่วยตบท้าย

๒. ใช้เงินตัวเองเที่ยว และเลี่ยงการใช้เงินในอนาคตให้มากที่สุด เพราะอนาคตก็ต้องออกไปเที่ยวอีกอยู่ดี

๓. เลือกเพื่อนรวมถึงเลือกที่จะไปคนเดียว ให้เหมาะกับสไตล์ของการเดินทาง 

คนแต๊ดแต๋อย่างเราเที่ยวได้แทบทุกแนว แต่การเที่ยวแต่ละแนวอาจไม่เหมาะกับเพื่อนไปซะหมดทุกคน เราชอบการนอนเต็นท์มากพอๆ กับการไปนอนสบายที่โรงแรมสวยๆ ชอบทำอาหารประหลาดกินได้บ้างไม่ได้บ้างด้วยอุปกรณ์สนาม มากพอๆ กับนั่งในร้านหรูรอคนมาเสิร์ฟความอร่อยในชุดจานชามที่สวยงามเป็นมิตรกับอินสตาแกรม การนอนเต็นท์อาจเป็นเรื่องน่ากังวลสำหรับใครบางคน แต่สำหรับผู้เสพธรรมชาติแล้ว เราต่างรู้ดีว่า เวลาที่ได้อยู่ใกล้ชิดดินหินและยอดหญ้า จะเป็นเวลาที่เราได้กลับคืนสู่อ้อมกอดชื้นเย็นของแผ่นดินที่แผ่กว้าง ตอนอายุน้อยกว่านี้เรามักจะนอนเต็นท์โดยปูแค่ผ้าบางๆ ทับบนพื้นผ้าใบของเต็นท์ เพื่อให้ร่างกายได้สัมผัสกับพื้นโลกมากที่สุด ตอนนี้เหรอ ขอเบาะฟองน้ำหน่อยเถอะ ป้าปวดหลังหลานเอ๊ย..

พี่แอนนี่เป็นหนึ่งในสมาชิกสายแค้มปิ้งของเรา เราออกไปนอนเต็นท์กันปีละครั้งสองครั้ง เดินเท้าเบาะๆ เบาๆ พอได้ออกกำลังกาย ต้นปีนี้อากาศหนาวคลายตัวลงไปเกือบหมดแล้ว เราเพิ่งจะมีเวลาแบกเต็นท์คนละหลังใส่รถเจ๊ แล้วแจ้นออกจากเมืองกรุงมุ่งหน้าขึ้นเหนือหลังวันทำงานอันอ่อนล้า เป็นประเพณีของเราสองคนที่จะเดินทางออกจากกรุงเทพให้ไกลที่สุด แล้วหาที่นอนเอาตอนที่หมดแรง สมัยก่อนเราหมดแรงที่เถิน แต่เปลี่ยนมาเป็นตากหลายปีแล้ว (หรือว่าอีกหน่อยจะได้แค่ยุดยา) 

เราจองที่พักไว้ก่อนเพื่อความชัวร์ บ้านสวนศิริวัจ (กูเกิ้ลชื่อไทยมา เพราะจองผ่าน Booking เห็นแต่ชื่อภาษาอังกฤษ เพิ่งรู้ว่าสะกดอย่างนี้แฮะ) เป็นที่พักระหว่างทางที่ดีมาก ราคาถูก ห้องดี ที่นอนโอเค สะอาด และจอดรถได้ใกล้ๆ บ้านพัก เหมาะกับเราสองคนที่ง่วงงอมพอสมควรเมื่อไปถึงราวตีหนึ่ง แต่สิ่งที่ทำให้พี่แอนนี่ตาสว่างคือ กะสุดท้ายก่อนถึงเป็นผลัดเราขับ แล้วกูเกิ้ลแม็พก็บอกทางให้เลี้ยวผ่าป่าช้าไปเลยเว้ย ถ้าเป็นพี่แอนนี่ขับแกถอยแน่นอน แต่เมื่อพวงมาลัยอยู่ในมือเรา เราก็ปลอบพี่แอนนี่ว่า มันลัดน่ะพี่ แค่นิดเดียวก็พ้นแล้ว ไม่ต้องกลัว ตีนก็เหยียบคันเร่งฝ่าป่าช้ามืดตึ้บไปอย่างห้าวหาญ ถามว่ากลัวไหม ไม่ถึงกับใจสั่น แต่ก็ล็อครถซ้ำๆ ไปหลายทีเหมือนกัน เอ๊ะ เมื่อกี้กูล็อคแล้วยังวะ เอาให้ชัวร์ขออีกทึ พลึ่ก พลึ่ก 

เช้าวันรุ่งขึ้น เราสองคนตื่นซะสายตะวันโด่ง ทานข้าวต้มที่ทางที่พักเตรียมไว้ให้ และพูดคุยทักทายเจ้าของและทีมงานก่อนเดินทางกันต่อแบบเกือบเที่ยงเลยทีเดียว อะไรมันจะชิวปานนั้น ด้วยความที่พกบ้านมาด้วยคนละหลัง ทำให้ไม่จำเป็นต้องรีบร้อนอะไร ผลัดกันขับไปคุยกันไป แวะโลตัสซื้ออาหารแค้มปิ้งหนึ่งครั้ง แล้วขึ้นไปถึงม่อนวิวงามที่ม่อนแจ่ม ปาไปกว่าหกโมงเย็น เราสองคนรีบหาที่กางเต็นท์และจัดการมันซะขณะที่ฟ้ายังเหลือแสงอ่อนๆ ก็ยังดี แต่ความซวยหรือจะเรียกว่าซุ่มซ่ามก็ได้ เราดันล้มตรงพื้นคอนกรีตผุกร่อนชันๆ อย่างแรงจนหัวเข่าทะลุเป็นรูๆ เลือดค่อยๆ ซึมออกมา อากาศที่ไม่หนาวเลยมาตลอดก็เริ่มหนาวเย็นลง ซึ่งแม่งแสบหัวเข่ามากค่ะ ไม่รู้เป็นเพราะอะไร จำเป็นต้องโขยกเขยกไปขอล้างแผล ซึ่งที่ร้านอาหารก็มีเตรียมไว้พร้อม แล้วกิจกรรมยามค่ำของเราก็เลยดำเนินไปแบบช้าลง ๒๐% เพราะต้องค่อยๆ หาท่าลุกนั่งที่ไม่ตึงเข่ามาก (ซึ่งปกติแม่งก็ตึงไปหมดทั้งตัวอยู่แล้วตามธรรมชาติ)

ที่กางเต็นท์เอกชน แม้จะไม่มีกฎระเบียบมากเหมือนอุทยาน มีเพียงคำขอร้องให้ร่วมกันรักษาบรรยากาศ แต่ก็ไม่มีเสียงดังเอะอะเกินงามจากทิศทางไหนๆ เราเลือกจุดที่สูงเกือบสุดของม่อนวิวงาม ทำให้มองลงมาเห็นสิ่งก่อสร้างทั้งถาวรและชั่วคราวเรียงรายปกคลุมลูกเนินเป็นชั้นๆ แทบทุกช่องเปิดล้วนหันหน้าเข้าสู่หุบเขา บ้านพักหลังน้อย และเต็นท์สีสันสวยงามค่อยๆ กลืนหายไปในความมืด เหลือแค่ดวงไฟส่องแค่พอเห็นทางที่สว่างเหมือนดาวบนดิน

เรานอนหลับสบายและตื่นก่อนสว่าง แทบจะทุกครั้งที่ออกเดินทาง หกโมงครึ่ง เตาสนามก็ถูกใช้งานและผลิตน้ำร้อนสำหรับกาแฟยามเช้า อาหารทำเองอาจจะเหมือนคนทำ คือไม่สวย ไม่อร่อย แต่กินได้นะ อะคริๆ เราสองคนกินอาหารและเสพบรรยากาศยามเช้ากันเร็วๆ เพราะหวังชมพระอาทิตย์ขึ้นจึงเลือกกางเต็นท์หันหน้าไปทางทิศตะวันออก หลังพระอาทิตย์ดวงแดงๆ โผล่พ้นสันเขาตรงหน้า ความร้อนก็สาดเข้ามาอย่างเร็วมาก เหงื่อย้อยใส่แผลที่เข่าทีก็อยากจะหวีด เราจัดการมื้อเช้าและเก็บเต็นท์เสร็จหมดเหลือแต่ดินเดิมๆ ที่แบนราบลงไปอีกนิด ราวเก้าโมงเช้าพร้อมเดินทางกันต่อไป

มนุษย์บางคนอาจเดินทางเป็นเส้นตรง แต่บางประเภทก็วกวนเหนือคำบรรยาย เราสองคนแวะไปหาพี่แอนที่สะเมิงซะก่อน พี่แอนเป็นสาวแกร่งนักพัฒนาที่เคยพาเราเที่ยวสะเมิงมาเยอะครั้งนับไม่ถ้วน คือใช้คำว่าแวะก็ไม่ถูกนัก มันคือการออกนอกเส้นทางไปเพื่อทักทาย เม้ามอย แล้วก็จากพี่แอนมา ทริปนี้สะเมิงไม่ใช่นางเอก ไว้รอบหน้าค่อยเล่านะ ก่อนจากกันพี่แอนแนะนำที่พักคืนถัดไปให้เราแถมยังช่วยติดต่อประสานงานให้เป็นพิเศษอีกด้วย

เมื่อกลับเข้าสู่เส้นทางเดิมแล้ว แน่นอนว่ามาวนเวียนใกล้ๆ ขนาดนี้แล้ว ไม่แวะม่อนแจ่มก็จะกระไรอยู่ เราไม่แน่ใจว่าม่อนแจ่มแต่แรกเริ่มโด่งดังขึ้นมาด้วยกิจกรรมสันทนาการใด แต่ทางขึ้นแม่งชันแคบ และต้องผ่านบ้านชาวบ้านที่มีทั้งรั้วทั้งกำแพง เรียกได้ว่าจิตใจคนขับต้องเข้มแข็งสักหน่อย ยิ่งถ้าตัวเล็กๆ ตอนรถแหงนขึ้นแล้วมองไม่เห็นพื้นนี่เครียดฉิบหายเลยนะ ปัจจุบันมีสวนดอกไม้ชื่อไร่ดอกลมหนาวที่เขาการันตีว่ามีให้ชมตลอดปีอยู่สูงสุดบนยอดดอย หลังจากฝ่าฟันถนนหนทางตลอดจนที่จอดรถ ซึ่งถ้าใจแข็งพอและคนเฝ้าถนนไม่ห้าม แสดงว่าที่จอดรถข้างบนยังเหลือพอ ก็ขับขึ้นไปจอดข้างบนได้เลย ไม่ต้องเดิน แต่ถ้าจะจอดที่ลานจอดแล้วเดินต่อก็ย่อมได้ ไม่ได้ชันและห่างไกลจนสุดวิสัย และยังมีตลาดชาวบ้านให้ช็อปนู่นนี่ที่ลานจอดรถอีกด้วย

ไร่ดอกลมหนาวถูกจัดไว้ดีถูกใจสายพอร์ตเทรตยิ่งนัก พี่แอนนี่โบยบินไปรอบๆ อย่างร่าเริง ชุดเก้าอี้และซุ้มนั่งมีให้พอสมควร แต่คนไม่ค่อยนั่งเพราะมันแดด ต้นไม้เดิมตามธรรมชาติมีอยู่เล็กน้อย กลายเป็นร่มเงาสำหรับคนหลบแดดแทน ส่วนดอกไม้ไฮไลท์ของดอยต้องยกให้ดอกเวอร์บีน่าสีม่วงที่แผ่ปกคลุมด้านหนึ่งของเนินเขา ลมแรงมาก แดดจัด และฟ้าเป็นสีฟ้าอ่อน เดาเอาว่าทุกๆ วินาทีน่าจะมีซัก ๑๐๐ ชัตเตอร์เกิดขึ้นที่นี่ ดอกเวอร์บีน่าก้านยาวๆ โอนเอนไปมาตามแรงลม เหล่านางแบบและตากล้องผลุบโผล่อยู่ตรงพุ่มนั้นพุ่มนี้ เหมือนแมลงตัวใหญ่ที่ไต่ตอมดอกไม้

บ่ายแก่แล้ว ป้าสองคนยังชิวดิ๊ดดึ่งๆ อยู่ ที่นอนคืนนั้นตั้งใจจะไปกางเต็นท์กันที่อุทยานแห่งชาติดอยเวียงผา อ.ไชยปราการ ซึ่งต้องขึ้นเหนือต่อไปอีกร้อยกว่าโล แน่นอนว่าความชิวเกินไปของเรา ก่อให้เกิดผลกรรม เมื่อแสงเย็นสุดสวย สาดส่องบนท้องนาที่ต้นข้าวยังอ่อนเป็นสีเขียวอ่อนอมแดด เราก็ยังไม่ถึงเป้าหมายซะที อยากแวะก็อยาก แต่ก็แวะไม่ได้ แถมยังขับหลงเข้าทางดินฝุ่นๆ เปลี่ยวสัสๆ อีกหลายกิโลมาก ต้องอาศัยถามชาวบ้านถึงกลับเข้าเส้นที่ถูกได้ กว่าจะถึงอช.แสงก็หายไปจนหมด และเราต้องเร่งกางเต็นท์กันให้ทัน ก่อนความมืดจะโรยตัวลงมา (อีกแล้วครับทั่น)

คืนนั้นเราเลือกทำเลกลางสนามริมสระบัว พี่แอนนี่มีจินตนาการว่าจะลองปูเบาะนอนในรถ หลังจากพยายามทัดทานเต็มกำลังเพราะกลัวแกไม่มีอากาศหายใจ สุดท้ายต้องยอมรับว่าบางศึกไม่อาจเอาชนะได้ เราจึงใช้วิธีปล่อยแกตามสะดวก แล้วก่อนนอนไปส่องดูบ่อยๆ แทน เจ้าหน้าที่อุทยานต้อนรับเราดีมากเวอร์ เพราะพี่แอนโทร.บอกหัวหน้าอุทยานซึ่งเป็นเพื่อนแกไว้ก่อน และก็คงเพราะความใจดีของเหล่าเจ้าหน้าที่เอง เราได้ที่นอนหมอนผ้าห่มคนละชุดมากรุเต็นท์ ซึ่งรู้สึกผิดมาก เพราะอีแผลที่หัวเข่ามันเสือกเปิดตอนนอนดิ้น ทำเลือดเปื้อนผ้าเขาเลยแม่งเอ๊ย (สารภาพพร้อมโชว์แผลแล้วเรียบร้อย)

คืนนั้นและเช้าวันถัดมาด้วย เราลงมือทำอาหารเอง ปกติจะเกรงๆ เรื่องทำอาหาร ไม่กล้าออกหน้ามากเพราะทำห่วย แต่วันนั้นคึกชิบหาย คงเพราะองค์พเนจรนอนเต็นท์ประทับร่างเลยจัดการทุกอย่างเองคนเดียวอย่างเมามันในอารมณ์ มื้อเย็นและการหย่อนใจใต้ท้องฟ้ายามค่ำคืนผ่านไปอย่างเรียบร้อย ยุงกระหน่ำกัดอย่างไม่แคร์ซอฟต์เฟลที่ถ้าพ่นมากกว่านี้ก็อาบหรือฉาบเลยเถอะ พอได้เวลานอนเราสองคนก็แยกย้ายเข้าใต้หลังคาใครหลังคามัน เมื่อเสียงปาร์ตี้ของผู้เข้าพักที่บ้านหลังตรงข้ามอีกฝั่งของสระบัวเงียบลง ก็คงเหลือแต่เสียงแมลงกลางคืน และเสียงกบโดดลงน้ำดังจ๋อมๆ กล่อมนอน

เช้าวันรุ่งขึ้น เราตื่นพร้อมตะวันแล้วไปวิ่งเหยาะๆ รอบบริเวณอช. คนเดียวพอได้เหงื่อชุ่ม จากนั้นก็ลงมือต้มน้ำลวกกาแฟดริป พร้อมทำไข่กะทะที่อลังการใช้ได้ ทุกวันนี้ยังภูมิใจอยู่เลยเนี่ย ขณะกินอาหารเช้าและเพลิดเพลินกับบรรยากาศ ก็รู้สึกว่ามีอะไรร่วงหล่นจากฟ้าเป็นระยะๆ พอสังเกตดีๆ ก็พบว่าเป็นฝูงนกตัวเล็กสีออกแดงสวยฉูดฉาดที่มาเก็บลูกไม้กินกันอย่างเอิกเกริก คงมูมมามจนมันหล่นใส่กบาลคนใต้ต้น เจ้านกตัวเล็กบินเร็วมาก พยายามถ่ายรูปก็ได้มาแต่ไหวๆ และพอเขียนถึงมัน ก็พบว่าเราไม่ได้จำชื่อมันมาว่ะ ถามเจ้าหน้าที่แล้ว ได้คำตอบแล้วด้วย แต่ลืมไปแล้ว เค้าขอโทษ

สายๆ เราเก็บข้าวของแล้วมุ่งหน้าไปยังฝาง เป็นการเลือกที่อ๊องๆ หน่อยเพราะเราเหลือเวลาอีกแค่ ๑ คืน กับ ๑ วันที่ต้องใช้ไปกับการเดินทางกลับ ยังจะทะลึ่งขึ้นเหนือต่อไปอีก แต่เรามีเหตุผลที่ดีนะ คือยังไม่เคยไปไง อยากไป แค่นี้นะ อีกอย่างก็ไม่ได้ไกลอะไรมากมาย แค่ ๑ ชม. เท่านั้น ระหว่างทางก่อนกลับสู่ถนนใหญ่ เราผ่านทุ่งนาแสนสวยที่เดิมที่ผ่านมาแล้วเลยแวะถ่ายรูปสักเล็กน้อย เราเอาโดรนไปด้วย เลยเอาขึ้นฟ้าได้นิดเดียว ลมพัดอย่างแรงเลยรีบเอาลงมือไม้สั่น เรื่องราวระหว่างเรากับโดรนมีตำนานกันอีกมากมาย ต้องเล่าต่างหากทีหลัง ขณะเดียวกันพี่แอนนี่เอาไอโฟนติดขาตั้งกล้อง ลมก้อนเดียวกันพัดวูบไอโฟนปักโคลนท้องนาเลยจ้า ใจหายแว้บแต่สุดท้ายก็ปลอดภัยดีทั้งโดรนและโฟน

เที่ยงครึ่ง เรามาถึงบ่อน้ำพุร้อนฝาง ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของอุทยานแห่งชาติดอยผ้าห่มปกที่อยากขึ้นไปใจจะขาดแต่รอบนี้หมดเวลาละ เราสองคนเปิดด้วยการแช่น้ำพุร้อนกันเลยแบบไม่รอรี ที่นี่มีห้องแช่แบบแยกตามที่ต้องการ เราสองคนจัดกันไปคนละห้อง รับผ้าถุงแล้วก็ลุยเลย บ่อน้ำพุร้อนที่นี่เป็นบ่อกลมๆ ขนาดไม่ใหญ่มาก ถ้าลงไปสองคนที่ไม่ใช่แฟนกันก็อาจจะเริ่มเข้าหน้ากันไม่ติดละ ภายในห้องมีราวเหล็กไว้เกาะปีนขึ้นปีนลงและแขวนผ้า แล้วก็ระฆังอีกหนึ่งอัน เดาว่าถ้าเกิดเหตุฉุกเฉินก็เคาะเรียกเอานะ อันที่จริงการแช่น้ำร้อนนี้มีความอันตรายอยู่เหมือนกัน สำหรับคนที่ไม่คล่องตัวก็คือการปีนขึ้นลงบ่อ และสำหรับคนเป็นความดันสูงก็คือความร้อนของน้ำนี่แหละที่ต้องควรระวังให้มากๆ

เมื่อแช่น้ำร้อนได้พึงพอใจ รู้สึกอ่อนวัยลงสิบปีแล้ว เราก็ไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าที่ห้องน้ำ ผู้มาใช้บริการหนาตาขึ้นกว่าตอนก่อนเราลงมากๆ หนาซะจนรองเท้าแตะเราหายไป ซึ่งมันแพงโว้ยอย่าเอาของตูไป๊ เอาคืนมา ดิ้นกะแด่วๆ ไปก็คงไม่ได้อะไรขึ้นมา เราเลยไปฟ้องเจ้าหน้าที่ว่าใครซักคนคงใส่ไปลงบ่อน้ำร้อนซะแล้ว ฝากเอาคืนด้วยแต่ตอนนี้ขอไปเดินเที่ยวก่อน เจ้าหน้าที่ก็รับปากเป็นมั่นเหมาะและสุดท้ายก็ได้คืนในที่สุด

บริเวณของน้ำพุร้อนฝางนั้นกว้างขวางและได้รับการดูแลอย่างดี ทริปนี้เราเดินทางกันเดือนกุมภา ๒๕๖๒ ซึ่งแม้กลางคืนบนดอยจะเย็นสบาย แต่กลางวันมันไม่หนาวแล้ว บ่ายจัดๆ แดดแรงแทบสลบ แต่ฟ้าสวยตัดกับหญ้าเขียวๆ แล้วถ่ายรูปขึ้นมาก ด้านในสุดเป็นน้ำพุร้อนชนิดไกเซอร์ พุ่งสูงราว ๓๐ เมตร ละอองฟุ้งกระจายในแสงแดด แรงดันของน้ำพุมากซะจนถูกนำพลังงานไปใช้ทำไฟฟ้า ขณะที่ไปชมเจ้าหน้าทีมไฟฟ้าที่ยังปีนๆ ป่ายๆ ทำอะไรอยู่เลย พื้นที่โดยรอบมีบ่อน้ำร้อนสลับกับธารน้ำร้อนที่มีตะกอนทั้งขาวๆ ทั้งสีส้ม เกาะทั่วไปหมด ท่ามกลางอากาศร้อน การเดินทางลัดเลาะไปทั่วๆ ธารน้ำร้อนโดยมีละอองน้ำพุร้อนเป็นฉากหลังเป็นอะไรที่ทรมานใช้ได้เหมือนกัน แต่แค่นี้ไม่ตายหรอก ไปเที่ยวก็ต้องลำบากบ้าง เดินๆ มันไปจะบ่นไรมากมาย วู้

เดินชิวกันจนถึงบ่ายสามก็ได้เวลาออกเดินทางมุ่งหน้าทิศใต้ซะที ระหว่างที่เดินกันก็คิดไปว่าจะหาที่นอนที่ไม่ต้องเหนื่อยวันกลับมาก ตอนแรกหวังไกล หวังว่าจะนอนซักอช.ลำน้ำน่านจะได้เหลือระยะทางเข้ากรุงเทพฯ น้อยหน่อย ฝันไปเถอะ เรื่อยเปื่อยขนาดนี้ เราเลยเปลี่ยนแผนเป็นนอนที่ อช.ดอยภูนางแทน ซึ่งร่นระยะมากว่า ๒๐๐ กม. ก็ยังถึงเอาตอนฟ้ามืดมิด

ระหว่างทาง ตอนพระอาทิตย์ใกล้ตก แวะที่พักข้างทางป้ายว่าชื่อบ่อน้ำร้อนห้วยทรายขาว แปลกที่สิ่งก่อสร้างต่างๆ ทำมาได้ดีมาก ที่จอดรถก็กว้างขวางดี แต่ไม่มีคนเลย อาจจะหมดเวลาทำงานแล้วเพราะเราแวะซะเย็นมาก เราเลยเข้าห้องน้ำ และพักแข้งขาสักครู่ที่นั่น เข้าห้องน้ำไปก็เสียวไปเพราะจะมืดแล้ว และห้องน้ำอยู่ไกลสุด ค่อนข้างติดเขากับต้นไม้ครึ้มๆ อีกด้วย 

เรื่องราวคืนนั้นเกิดขึ้นอย่างว่องไว เราสองคนซึ่งเหนื่อยพอสมควร โผล่ไปถึงอช.ดอยภูนางตอนพระจันทร์ขึ้นแล้ว แต่ระหว่างทางโทร.เช็คก่อนว่าเจ้าหน้าที่โอเคนะที่จะเข้าไปช้าหน่อย เราไม่พูดพร่ำทำเพลง กางเต็นท์มันตรงสนามหญ้าหน้าที่ทำการอุทยานนั่นแหละ แต่เลือกที่ริมใกล้ห้องน้ำหน่อย อากาศกลางคืนเย็นน้อยลงมากเมื่อขยับลงมาถึงพะเยา เราทำอาหารง่ายๆ กิน นั่งคุยเล่นกันซักพักก็แยกย้ายเข้านอน เจ้าหน้าที่บอกไว้ว่าที่นี่จะมีนกยูงลงมาเดินทอดหุ่ยด้วยตอนเช้าๆ ซึ่งเราหมายมั่นปั้นมือจะได้เจอ  

วันรุ่งขึ้น เราตื่นก่อนสว่างมานั่งดูดาวหัวรุ่งคนเดียว จากนั้นเมื่อพระอาทิตย์ใกล้จะขึ้นจากทางด้านหลังเต็นท์ซึ่งเป็นภูเขาลูกย่อมๆ เราชะเง้อชะแง้หามุมชมพระอาทิตย์ขึ้น เจ้าหน้าที่ท่านนึงเดินผ่านและบอกเราว่าให้ขึ้นไปดูบนเขา ซึ่ง ณ เวลานั้นไม่มีใครอยู่บนนั้น เรากึ่งเดินกึ่งวิ่งขึ้นไปจนหอบเหมือนหมาโดนทิ้งไว้ในรถยนต์ร้อนๆ บนเขาแม้จะอยู่ติดกับลานกางเต็นท์ และยังมียกพื้นอีก ๒ แผงสำหรับผู้ที่ต้องการกางเต็นท์มันเปลี่ยวๆ บนนี้ แต่ด้วยความไม่มีคน ฟ้าก็ยังสลัวๆ ต้องบอกว่า เร้าชิบหาย ใจมันบอกว่าพอเฮอะ เอ็งดูพระอาทิตย์ขึ้นมาเยอะแล้ว พลาดซักวันไม่ตายหรอก ลงเฮอะ แต่ขามันยังก้าวไปเรื่อยๆ จนถึงบนสุดที่มีแต่ใบไม้ตกทับถม จากที่กลัวอะไรก็ไม่รู้ ก็ย้ายเอาความกลัวพวกนั้นมาลงที่งูหรือสัตว์มีพิษอื่นๆ แทน เอาวะ เขาก็ไม่ได้ลับแลมาก ถ้าโดนอะไรกัดก็กลิ้งลงแล้วกัน ซักสี่ห้าวิคงถึงด้านล่าง ชิวๆ

พระอาทิตย์ค่อยๆ ลอยขึ้นจากหมอกเหนือทิวเขา เราดูอยู่พักหนึ่งจนพอใจก็เริ่มเดินลง แสงสีส้มลอดตามช่องว่างระหว่างกิ่งไม้ขณะที่เราเดินไปเรื่อยๆ เหมือนในมิวสิควีดีโอเพลงรัก พอมองเห็นลานจอดรถ ก็เห็นนกยูงตัวหนึ่งกำลังเดินไวๆ ผ่านไป เราแจ้นลงเขา แต่ไม่ทันน้องนก รีบมาเรียกพี่แอนนี่ตื่น แล้วก็เดินตามทางที่นกไป อ้อมอาคารสำนักงานไปอีกด้าน น้องนกมีความซึนเดเระพอสมควร ไม่ได้หนีไป แต่ไม่ค่อยโอเคถ้าเข้าใกล้มาก เราดูน้องเกาะป้ายอุทยานไซ้ปีกไซ้ขนอยู่นานจนพี่แอนนี่มาสมทบ จากนั้นน้องก็บ่ายหน้าขึ้นเขา วิ่งเหยาะๆ จากไป

เราจัดการอาหารเช้าไปพร้อมๆ กับเจ้าหน้าที่ตั้งแถวเคารพธงชาติและบรีฟงานกัน หลังอาหารเช้า เราสองคนเก็บข้าวของขึ้นรถแล้วตากเต็นท์ผึ่งแดด ก่อนออกเดินเส้นทางศึกษาธรรมชาติสั้นๆ ลงไปที่น้ำตกธารสวรรค์ ซึ่งมาดูรูปในกุ๊กเกิ้นตอนนี้แล้วทำไมมันสวยจังวะ สปอยเลอร์อะเลิร์ท เราไปไม่ถึงตัวน้ำตก เดินไปแค่พอสบายใจ ดูป่าดูแมลง พอได้ยินเสียงน้ำตกซู่ซ่า เราก็พบว่า ใกล้เที่ยงแล้วสินะ เวลาชักเหลือน้อยเทียบกับระยะทางที่เหลือหกร้อยกว่าโล จึงจำเป็นต้องเดินกลับ และบอกลา อช.ดอยภูนางไว้แต่เพียงเท่านี้ก่อนในครั้งนี้

ตลอดเวลาที่เหลือเราสองคนผลัดกันขับแบบเป็นกะ กะละ ๑๕๐ กม. บวกได้นิดหน่อยถ้ากำลังติดลม แต่ไม่เกิน ๒๐๐ เพราะมันจะเพลียโดยใช่เหตุ แวะกินอาหารเติมน้ำหวานกาแฟเรื่อยๆ ตามปั๊ม ถึง กทม.ค่ำหน่อยแต่ไม่น่าเกลียด เต็นท์ที่กางๆ หุบๆ ถึงสามครั้งในทริปนี้ก็ถูกพากลับบ้าน มันจะถูกวางซุกไว้เงียบๆ ตามมุมห้อง รอคอยเวลาสักวันที่มันจะได้กลับคืนสู่พงหญ้าและป่าใหญ่อีกครั้ง